1/10/51

เสียงเรียกของพระเจ้า

การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน...1 โครินธ์ 12:7

พระเจ้าตรัสกับเราหลายวิธีด้วยกัน บางคนสัมผัสได้ผ่านบุคคล บางคนผ่านคำเทศนา คำหนุนใจ ส่วนคนอื่นๆ อาจมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม พระองค์ทรงทำงานผ่านพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเรา-ในใจของเรา บางครั้งเสียงเรียกนั้นก็ดังฟังชัด แต่ทว่าบางคราวเบาๆ เป็นเสียงกระซิบ เมื่อเป็นประการหลังท่านไวพอที่จะได้ยินไหม

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน นกหลากหลายชนิดก็อพยพย้ายถิ่นที่อยู่ไปยังที่ที่อบอุ่นกว่า และเมื่อถึงฤดูร้อนมันก็บินกลับถิ่นเดิม พ่อลูกคู่หนึ่งนั่งรับประทานอาหารเที่ยงกันอยู่บนดาดฟ้าเรือ ผู้เป็นพ่อบอกลูกชายตัวน้อยว่านกคาร์ดินัล (นกชนิดหนึ่งที่อพยพย้ายถิ่นที่กล่าวมาข้างต้น) บินกลับมาแล้ว เด็กน้อยก็ถามพ่อว่ารู้ได้อย่างไร ชายคนนั้นก็บอกว่ารู้ได้จากเสียงร้องของมัน แต่ลูกชายตัวน้อยบอกว่าได้ยินเสียงนกร้องหลายชนิดดังเซ็งแซ่ไปหมด เขาก็พยายามบรรยายลักษณะเสียงร้องของนกคาร์ดินัลให้ลูกชายฟังเพื่อให้เขารู้จักเสียงร้องของนกชนิดนี้ แต่จนแล้วจนรอดเด็กน้อยก็แยกแยะไม่ออกอยู่ดี

ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็คล้ายกับประสบการณ์ของเด็กน้อยคนนี้ เรารู้จักเสียงเรียกของพระเจ้าได้อย่างไร เราจะได้ยินเสียงที่พระเจ้าตรัสกับเราเบาๆ หรือที่ทรงเรียกเราได้หรือในเมื่อเสียงที่อยู่แวดล้อมตัวเรานั้นดังเซ็งแซ่ไปหมด บางครั้งเสียงที่ดังอยู่ข้างหูของเราก็เหมือนเสียงนกร้องที่เซ็งแซ่ปะปนกันไปหมดจนไม่รู้ว่าเป็นเสียงของนกชนิดใดกันแน่ การท้าทายของเราก็คือเราต้องรู้จักเสียงเรียกของพระเจ้าท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจฟังแทบไม่ได้ศัพท์ที่แวดล้อมตัวเราอยู่

พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือช่วยเราให้รู้จักเสียงของพระเจ้า เมื่อเราได้ยินเสียงนั้นชัดเจน เราก็จะมีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้าและรับใช้ในที่ที่เราถูกใช้ไป นี่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เต็มบริบูรณ์และชีวิตแห่งความชื่นชมยินดี ดังนั้นพี่น้องที่รักทั้งหลาย ขอให้ท่านไวต่อเสียงเรียกของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราให้ออกไปหาคนทั้งโลก และพาพวกเขามาหาพระองค์

เมื่อได้ยินการทรงเรียกแล้ว ก็จงรู้ไว้ว่า
1. ไม่ว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้ทำงานอะไรก็ตาม มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อพระสิริของพระเจ้า (ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้ เป็นเจ้าไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ ... โคโลสี 3:23) ในแง่นี้ไม่มีงานใดดีเหนือกว่างานอื่นๆ ต่างทำเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
2. วิธีทำงานของเราสามารถทำให้ผู้ไม่เชื่อนับถือยำเกรง (จงตั้งเป้าว่าจะอยู่ อย่างสงบและทำกิจธุระส่วนของตนและทำการงานด้วยมือของตนเองเหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และท่านจะไม่ต้องพึ่งอาศัยใครเลย... 1 เธสะโลนิกา 4:11-12) คริสเตียนไม่จำเป็นต้องให้เจ้านายเตือนว่าควรขยันทำงานหรืออย่าเอาเวลางานไปทำอย่างอื่นเพราะเรารู้หน้าที่ของเรา
3. การงานของเราเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้จุดมุ่งหมายสองประการในชีวิตของเราบรรลุผล นั่นคือ รักพระเจ้าและรักผู้อื่น การแสดงให้เห็นว่ารักเพื่อนร่วมงานเป็นวิธีที่แสดงให้เห็นว่ารักพระเจ้าแบบหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ดี (จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้าและด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่น แหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่และข้อต้น ข้อที่สองก็เหมือนกันคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้นก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้ ... มัทธิว 22:37-40)

ท่านคงไม่ปฏิเสธว่าเส้นทางแห่งการรับใช้นั้นมิได้ดำเนินได้ง่ายๆ โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง เส้นทางนี้ก็มิได้ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบเช่นกัน แต่ทว่า...เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่เราจำเป็นต้องข้ามไปเพื่อให้ก้าวย่างแห่งความเชื่อของเรานั้นกว้างกว่าเดิม

ท่านพร้อมที่จะตั้งใจฟังเสียงเรียกของพระเจ้าหรือยัง


สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น