2/4/52

‘คนนั้น’

ปัจจุบันชนชั้นที่ทำงานรับจ้างไม่ว่าจะในระดับใดก็ตามเผชิญความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ การเป็น ‘คนนั้น’

เช้าวันหนึ่งเมื่อไปถึงที่ทำงาน ชายคนหนึ่งก็ได้เป็น ‘คนนั้น’ เจ้าของกิจการบอกกับพนักงานทั้งหมดว่าเขาจำเป็นต้องปลดคนงานออกห้าคนเนื่องจากธุรกิจถดถอยซบเซาลงมาก ข่าวนี้ทำให้ชายคนนี้ (ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนที่ต้องถูกปลดจากงานนั่นแหละ) ถึงกับช๊อกทีเดียว เพราะเขากลายเป็นคนว่างงานไปอย่างกระทันหัน เขาคิดทันทีว่าต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อความอยู่รอด แต่ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เขาหวังไว้แทบจะเป็นไปไม่ได้

ข้าพเจ้าคิดว่าอาการผวาที่จะเป็น ‘คนนั้น’ คงจะหลอกหลอนความรู้สึกของคนทำงานไม่น้อย แต่สำหรับผู้เชื่อแล้ว เราต้องวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะตอบสนองความจำเป็นของเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์ แต่ถ้าใครจะบอกว่าไม่มีความกังวลเลยก็คงจะไม่ได้พูดความจริง เราต้องเชื่อวางใจพระเจ้า แต่ในยามอับจนหนทางก็อาจจะมองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ วิธีเพิ่มความเชื่อทางเดียวที่แน่ๆ คือการถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าสำหรับความจริงที่ว่า “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์…โรม 8:28” เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเรา และละความกระวนกระวายไว้กับพระองค์ (1 เปโตร 5:7)
นอกจากนั้นข้อพระวจนะในมัทธิว 6:33-34 ที่กล่าวว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” ยังพอเป็นแสงที่ส่องสว่างให้แก่เราได้ในวันที่ดูเหมือนมืดมิดและมีการปล้ำสู้เกิดขึ้น ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แล้วความกระวนกระวายใจก็จะหมดไป พระองค์ทรงรู้ความจำเป็นของเราทั้งหลายก่อนที่เราจะทูลขอจากพระองค์เสียอีก เมื่อเราวางใจพระเจ้า ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจของเราก็จะน้อยลง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็มีโอกาสรับรู้บรรยากาศที่ตึงเครียดดังกล่าวจากลูกทั้งสามคน ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีคนจากที่ทำงานของลูกต้องกลายเป็นคน ‘คนนั้น’ มันมีความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คืออธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะบอกลูกๆ ให้อธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปแล้วนั้นด้วย

สำหรับคนหนุ่มสาวที่จะต้องหางานทำใหม่ยังพอมีแสงเรืองรองอยู่บ้าง แต่สำหรับชายคนนั้นที่ต้องเล่นบทบาท ‘คนนั้น’ อย่างไม่เต็มใจดูเหมือนจะริบหรี่เต็มทน เขาอายุ 62 ปีแล้ว แต่เขาเป็นผู้เชื่อที่วางใจพระเจ้า ดังนั้น เขาจะไม่สิ้นหวังเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเขา และรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

เพื่อนร่วมงานหลายคนของลูกสาวคนเล็กที่ทำงานอยู่ในองค์กรหนึ่งในสหรัฐอเมริกาถูกยัดเยียดบทบาท ‘คนนั้น’ ให้อย่างตั้งตัวไม่ติด ระลอกแรกลูกสาวบอกข้าพเจ้าว่าอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สัมผัสมือกับคนที่ต้องเดินจากไปแบบงงๆ เศร้าลึกๆ แต่ไม่กลัว หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายระลอกตามมา การถูกปลดจากงานในประเทศนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจเจอะเจอได้เป็นเรื่องธรรมดา วันหนึ่งมีคนถามลูกสาวและเพื่อนอีกสองคนว่า “ทำงานแถวดาวน์ทาวน์กันเหรอ เอ๊ะ ยังมีงานทำกันอยู่เหรอนี่” มันไม่ใช่การแดกดัน แต่เป็นความประหลาดใจมากกว่า เพราะย่านนั้นมีการปลดคนงานออกจำนวนมาก

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกวันนี้หลายคนคงใช้เวลามากขึ้นในการคุกเข่าอธิษฐาน คำอธิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการทูลขอพระเจ้าว่าอย่าให้ต้องตกงานเลย นั่นเป็นการทูลของมนุษย์ (แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ …สุภาษิต 16:1ก) แต่พระเจ้าทรงมีคำตอบของพระองค์ (แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า … สุภาษิต 16:1ข) พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า … เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า (เยเรมีย์ 29:11, 13)

เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า “ฉันแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของฉันหรือยัง” ฉันเชื่ออย่างนี้หรือไม่ว่า “สิ่งสารพัดซึ่งฉันอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ฉันจะได้” (มัทธิว 21:22) “ฉันวางใจพระเจ้าแค่ไหน”
ให้เราอธิษฐานให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระทัยของพระองค์มิใช่ตามความปรารถนาของเรากันเถอะ
ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อ ‘คนนั้น’ ทุกคน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

สิธยา คูหาเสน่ห์