27/12/51

คำสัญญาของพ่อ

แผ่นดินไหว 8.2 ริคเตอร์ในปี 1989 แทบจะถล่มอาร์เมเนียจนราบและยังได้คร่าชีวิตคนไปกว่าสามหมื่นในชั่วระยะเวลาเพียง 4 นาที มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดรวดร้าว และความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นได้ โลกของคนมากมายถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและชีวิตมากหลายถูกทำลาย แต่หายนะเช่นนี้เองที่ทำให้เห็นส่วนดีๆ ในผู้คน อย่างน้อยก็มีหลืบให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของแต่ละคน เรื่องที่จะแบ่งปันต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของพ่อคนหนึ่งที่มีหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อลูกชายของเขา

เขาวิ่งตรงไปที่โรงเรียนของลูกชายท่ามกลางความโกลาหลด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เมื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะเห็นโรงเรียนกลับเห็นเศษหินเศษปูนกองโตอยู่ตรงหน้า ลองจินตนาการดูสิว่าอะไรที่โลดแล่นอยู่ในความคิดของเขาในขณะนั้น อะไรที่ผุดขึ้นในความคิดของท่านในขณะนี้ บางทีท่านอาจจะตกอยู่ในสภาวะช็อกเหมือนกับพ่อแม่อีกหลายๆ คนที่กำลังเดินหาลูกของตนพร้อมร้องเรียกชื่อของพวกเขา แต่สำหรับพ่อคนนี้ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าไม่อาจทำลายความหวังของเขาลงแม้แต่น้อย เขาวิ่งตรงไปยังบริเวณที่เป็นห้องเรียนของลูกชายและมองหาตรงที่เป็นที่นั่งของลูกชาย เขาเริ่มลงมือขุดเศษหินเศษปูนที่กองอยู่ตรงหน้า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขายังมีความหวังอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือ โอกาสที่ลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ยังมีอีกหรือ เขารู้แต่ว่าเขาได้สัญญากับลูกชายไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือ คำสัญญานี้เองที่ทำให้เขาขุดต่อไปเรื่อยๆ และยังมีความหวังว่าจะเห็นลูกชายของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้หวังดีพยายามดึงเขาออกไปในขณะที่เขาพยายามใช้มือขุดหาลูกชายและพูดกับเขาว่า “มันสายไปแล้วล่ะ ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ได้หรอกในสภาพการณ์แบบนี้ คุณช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ กลับบ้านเถอะ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพยายามฉุดเขาออกไปและพูดว่า “มีไฟลุกและการระเบิดทั่วบริเวณนี้ คุณจะได้รับอันตราย กลับบ้านเถอะครับ” สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาพูดกับเขาว่า “คุณกำลังโกรธ ว้าวุ่นใจ แต่มันจบลงแล้ว กลับบ้านเสีย” แต่พ่อคนนี้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับลูกชายและเขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

ความรักที่มีต่อลูกชายของพ่อคนนี้ทำให้เขาสามารถขุดหาลูกชายนานถึงสามวัน…36 ชั่วโมง และในชั่วโมงที่ 38 เขาก็ยกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นและได้ยินเสียงลูกชายร้องขอความช่วยเหลือ เขาตะโกนเรียกชื่อของลูกชายทันที และเขาก็ได้ยินลูกชายเรียกเขา “คุณพ่อ! ผมบอกเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ว่าถ้าพ่อยังไม่ตาย พ่อจะมาช่วยผม พ่อสัญญากับผมไว้ พ่อบอกว่าพ่อจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ แล้วพ่อก็ทำตามสัญญาจริงๆ”
พ่อที่ไม่ยอมแพ้ คำสัญญาที่รักษาไว้ และหินที่ถูกกลิ้งออกไปช่วยกู้ชีวิตไว้ได้

เรื่องนี้นำเราย้อนกลับไปที่อีสเตอร์แรกเมื่อพระบิดาในสวรรค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ด้วยการกลิ้งหินที่มีนัยสำคัญยิ่งกว่าออกไป จากการที่หินก้อนนั้นถูกกลิ้งออกไปจึงทำให้เราทั้งหลายได้ชีวิตนิรันดร์และเสรีภาพในพระคริสต์ และพระบิดาของเรายังทรงกลิ้งหินอยู่แม้ในขณะนี้

อะไรบ้างที่เป็นหินในชีวิตของท่าน ไม่ว่าหินของท่านจะก้อนใหญ่หรือเล็กก็ตาม พระบิดาทรงกำลังมองหาท่านอยู่ พระองค์ทรงกำลังหาตัวท่านจากเศษหินเศษปูนกองโตและซากปรักหักพังในชีวิตของคนที่ไม่ได้อยู่เพื่อพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการที่จะกลิ้งหินแห่งความสิ้นหวัง โขดหินแห่งการสำนึกผิด พันธนาการแห่งการผูกมัดออกไปจากชีวิตของท่าน ขอให้ท่านระลึกถึงหรือสำหรับบางคนค้นพบเป็นครั้งแรกว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาทั้งหมดของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักษาพระสัญญานั้นที่ทรงให้ไว้กับพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เมื่อสองพันปีมาแล้ว

กิจการ 13:37-38 “แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้เป็นขึ้นมานั้น มิได้ประสบความเน่าเปื่อยเลย เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย และโดยพระองค์นั้นทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง..”

เรียบเรียงจากบทความที่เขียนโดยมาร์ก แฮนเซน

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/12/51

ทำไมต้องฉลองวันคริสตมาส

ท่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมพร้ะเยซูต้องมาบังเกิดในโลกนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนอาจยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน และหลายคนอยากย้ำเตือนคำตอบที่มีอยู่แล้ว

พระองค์ทรงให้คำตอบไว้แล้วว่า “…เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ...” (ยอห์น 18:37ข)

พระเยซูมิได้ตรัสว่าพระองค์ทรงบังเกิดมาเพื่อเทศนาหรือรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ

พระเยซูยังทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต…และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 14:6ก; 8:32)

พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกโดยนำข้อความที่มีความสำคัญยิ่งยวดมา นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระผู้ค้ำจุน และพระผู้ไถ่ จะเห็นพระบิดาได้ เราต้องมองที่พระบุตรของพระองค์

ฉะนั้น ที่พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกก็เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้า นี่เองที่เป็นเหตุผลของฉลองวันคริสตมาสด้วยความชื่นชมยินดีปีแล้วปีเล่า

จากข้อความยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงนำมานั้น พระองค์ทรงมอบความรับผิดชอบให้แก่เราที่จะแบ่งปันกับคนอื่นๆ “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา… จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8ข) วิญญาณนับล้านๆ ดวงต้องการข้อความที่ให้ชีวิตนั้น…ข่าวประเสริฐ

คริสตมาสเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่เราแต่ละคน วิธีที่เราสามารถทำได้อย่างดีที่สุดคือการมอบของขวัญให้แก่พระเยซู—ของขวัญแห่งความรักและการขอบพระคุณ มันเป็นเวลาที่เราสามารถหยุดและระลึกถึงผู้ที่ถูกลืมบ่อยครั้ง เราสามารถที่จะออกไปช่วยเหลือเขาเหล่านั้นซึ่งมีความขาดแคลนในหลายๆ ด้าน…การแบ่งปัน

สิ่งเหล่านี้มิเพียงทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความพึงพอใจเป็นอย่างมากด้วย คริสตมาสมิได้มีความพิเศษด้วยของขวัญต่างๆ ที่มอบให้แก่กัน การตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม และงานเลี้ยงรื่นเริงต่างๆ แต่ด้วยสิ่งที่เรามอบแด่พระเยซูและผู้อื่นจากใจของเราต่างหาก การให้ด้วยใจแสดงให้เห็นการรู้คุณที่แท้จริงและความซาบซึ้งใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย

ที่พระเยซูมาบังเกิดนั้นเพราะพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย พระองค์ทรงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงมีทั้งพระอำนาจ พระสิริ และความโอ่อ่าตระการของสวรรค์เพื่อมาไถ่บาปของมนุษยชาติและช่วยให้รอดเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงมุ่งหวังจะได้รับของขวัญที่มีค่ายิ่งจากเรา นั่นคือ ความรักของเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นมนุษย์ จอมกษัตริย์และทาสผู้รับใช้ พระองค์ทรงสละบัลลังก์นิรันดร์บนสวรรค์และทรงสวมสภาพมนุษย์อย่างต่ำต้อยบนโลก พระองค์ทรงดำเนินชีวิตท่ามกลางเราทั้งหลายเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดและได้ชีวิตนิรันดร์

พระองค์ทรงเริ่มต้นโซ่แห่งความรักไว้นานแล้วตั้งแต่วันคริสตมาสแรก และพระองค์ทรงพึ่งพาเราให้สานต่อการส่งต่อความรักนั้น ความรอดซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้านั้นมีไว้เพื่อทุกคนที่รับไว้ และพระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนบนโลกนี้รู้จักพระองค์และรู้ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขา ข่าวประเสริฐเรื่องความรักนี้จะต้องส่งต่อไปด้วยการบอกปากต่อปาก ด้วยการออกไปประกาศให้รู้โดยทั่วกัน อย่ายอมให้โซ่แห่งความรักนั้นขาดสะบั้นลง ให้เราต่อโซ่ออกไปให้ยาวที่สุด เราทำได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อเราได้รับความรักของพระองค์ก็ขอให้แบ่งปันความรักนั้นแก่คนอื่นๆ เพื่อเป็นการประกาศความหมายที่แท้จริงของคริสตมาส คนเป็นจำนวนมากต้องการข่าวประเสริฐเรื่องความรอด ดังนั้นขอให้มอบความหมาย ‘ที่แท้จริง’ ของวันคริสตมาสให้แก่พวกเขาด้วยการนำสันติสุขและความสุขและความชื่นชมยินดีแห่งความรักขององค์พระเยซูคริสต์ไปให้

สุขสันต์วันคริสตมาส

สิธยา คูหาเสน่ห์