2/7/53

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า

ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ในเดือนพฤษภาคม แต่เมื่อท่านอ่านบทความนี้ก็จะเป็นเดือนกรกฎาคมแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าคงไม่ช้าไปสำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะพูด ขณะที่เขียนบทความนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่นิวยอร์ก ข้าพเจ้ามาพักอยู่กับลูกสาวคนเล็กซึ่งจากบ้านมานานเข้าปีที่เจ็ดแล้ว ทั้งครอบครัวเดินทางมาเยี่ยมในเดือนเมษายนหลังจากที่ไปแวะซานฟรานซิสโกและลอสเอเจิงลิสแล้ว ลูกสาวคนเล็กบินไปเจอกันที่นั่น เมื่ออยู่ที่นั่นก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่เติบโตขึ้นมาในคริสตจักรด้วยกัน ส่วนบางคนที่ไม่ได้พบหน้ากันก็โทรศัพท์พูดคุยกัน หลังจากนั้นก็เดินทางมานิวยอร์ก ข้าพเจ้าอยู่ต่อหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว

เมื่อข้าพเจ้าจากประเทศไทยมานั้นการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดงเริ่มขึ้นแล้ว และคิดว่าไม่นานก็คงจะกลับสู่ความเป็นปกติสุขเหมือนเดิม แต่นี่ก็ล่วงเลยมานานนับเดือนๆ แล้ว เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบเสียทีและดูเหมือนว่าจะรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้าติดตามข่าวอยู่ที่นี่ด้วยความเป็นห่วงและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างที่เห็นไปได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้อ่านข่าวในรายละเอียดเพราะรู้ว่าข่าวที่นำเสนอมานั้นไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด อ่านทั้งข่าวไทยและข่าวต่างประเทศ แต่ก็รู้มาอีกว่าการนำเสนอข่าวของนักข่าวต่างประเทศนั้นมิได้เสนอตามข้อเท็จจริงอีก เป็นอันว่าข่าวที่ได้ยินนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ไม่อาจบอกได้ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าชาติไทยกำลังจะพินาศ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้มีสมาชิกครอบครัวอยู่ในประเทศไทยสองคน คนหนึ่งอยู่หาดใหญ่ ส่วนอีกคนอยู่กรุงเทพมหานคร แม้บ้านพักจะอยู่ไกลจากพื้นที่ชุมนุมหรือตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าสนามรบได้กระมัง แต่ที่ทำงานก็อยู่ในเขตอันตรายทีเดียว

บางคนบอกว่าดีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ประเทศไทย เพราะหากออกจากบ้านไปทำธุระนอกบ้านอาจได้รับอันตรายหรือถูกยิง อยู่ที่นิวยอร์กไปก่อนจนกว่าเหตุการณ์จะเรียบร้อยค่อยกลับมา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ก็ใช่ว่าจะพ้นอันตราย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงได้ยินข่าวการวางระเบิดที่ไทม์แสควร์ ขอบคุณพระเจ้าที่ระเบิดมันไม่ทำงาน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งในมหานครนิวยอร์ก (ที่หลายคนอยากจะมาเหลือเกิน) อีกครั้ง ข้าพเจ้าต้องขอปรบมือให้กับการไล่ล่าผู้ก่อการร้ายของตำรวจนิวยอร์กจริงๆ ไม่กี่วันต่อมาก็จับคนร้ายได้ในขณะที่กำลังจะหนีออกนอกประเทศ ขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางการก็ขึ้นไปจับคนร้ายบนเครื่องบินทีเดียว บนเที่ยวบินนั้นมีคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนของลูกสาวเดินทางไปด้วย จึงได้ทราบว่าผู้โดยสารไม่ได้รับการแจ้งว่ามีการจับกุมคนร้าย รู้แต่ว่าเที่ยวบินนั้นต้องใช้เวลาอีกมากกว่าหกชั่วโมงจึงจะออกเดินทางต่อไปได้ ผู้โดยสารรับทราบข้อเท็จจริงจากการฟังการรายงานข่าวทางทีวีในสนามบินขณะที่กำลังรอขึ้นเครื่องใหม่อีกครั้งนั่นเอง

เมื่อหลายวันก่อนหลังจากที่ออกไปรับประทานอาหารเย็นแล้ว เราก็ไปท่องนิวยอร์กยามค่ำคืนกัน เพราะลูกสาวบอกว่าข้าพเจ้าไม่ยอมออกไปไหนเลย ก็เลยพาไปโน่นไปนี่บ้าง ในที่สุดเราก็ไปถึงไทม์แสควร์ซึ่งมีคนมาเที่ยวและใช้เวลาอยู่ที่นั่นกันมากมายจริงๆ ลูกสาวก็พูดขึ้นมาว่าผู้ก่อการร้ายนี่ใจร้ายมากนะ เพราะถ้าหากระเบิดขึ้นมาจริงๆ ดูสิว่าจะมีคนตายมากมายขนาดไหน เป้าหมายของพวกผู้ก่อการร้ายคือต้องการทำร้ายชาวอเมริกัน แต่คนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นไม่ใช่ชาวอเมริกันทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว เราพูดกันว่าจะกลับมาอีกเพราะไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา จะกลับมาถ่ายรูปกัน ลูกสาวก็พูดกับข้าพเจ้าว่าเราคงต้องเสี่ยงอันตรายกันอีกครั้งนะเพราะไม่รู้ว่าวันที่เราจะมาจะมีผู้จะก่อการร้ายลอบวางระเบิดอีกหรือเปล่า ถ้าท่านจะถามว่ากลัวไหม ข้าพเจ้าคงตอบว่า “ไม่” เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของพระเจ้านั้นทรงฤทธิ์ ไม่ต้องไปไกลถึงเรื่องการก่อการร้ายหรอก เอาแค่การไปไหนมาไหนด้วยรถไฟใต้ดินก็พอ สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น เพราะในบางครั้งรถไฟแน่นมาก ต้องยึดเบียดกัน ถ้าจะคิดถึงเรื่องอันตรายก็มีรอบด้าน ผู้คนที่ใช้บริการบางคนก็สกปรก บางคนหน้าตาน่ากลัว บางคนส่งเสียงดัง ตรงข้ามกับคนส่งเสียงดังก็นั่งหลับอ้าปากแถมยังเอาสัมภาระวางไว้ข้างตัวเปลืองที่นั่งไปหนึ่งที่อีกต่างหาก ไม่น้อยที่ถือกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาด้วย ในนั้นมีระเบิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือบางทีเดินๆ อยู่ก็มีคนเดินมาชนอย่างแรงซึ่งมองดูเหมือนตั้งใจและไม่มีการขอโทษ ชีวิตประจำวันที่นี่ (หากออกจากบ้านไปไหนมาไหน) ก็จะเป็นเช่นนี้

ย้อนกลับมาเรื่องประเทศไทย ข้าพเจ้าอยากให้เรื่องเลวร้ายมันจบลงเสียที แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศสำหรับจัดการกับปัญหาใหญ่หลวงนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คืออธิษฐานทูลวิงวอนพระเมตตาจากพระเจ้า และมอบทุกเรื่องไว้กับพระองค์ พระเจ้าทรงให้ชีวิตมา ก็จงมอบชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดำเนินกับพระองค์วันต่อวัน ชีวิตในโลกนี้มักเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วงต่างๆ มีอะไรมากมายที่เป็นปัญหากวนใจ ทำให้กลัว ทำให้เจ็บปวด เราไม่อาจหลีกหนีความเจ็บป่วย ความผิดหวัง ความกดดันด้านอารมณ์ และความเสียใจ ให้เราเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า ทูลวิงวอนต่อพระองค์ และให้พระองค์ทรงครอบครองชีวิตของเรา ละความกลัวและความกระวนกระวายใจไว้กับพระองค์

พระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเช่นเดียวกับเหตุการณ์สำคัญๆ ในมัทธิว 10:29-30 พระเยซูตรัสว่า “นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินไม่ได้ ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น”

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้พ้นจาก “หุบเขาเงามัจจุราช” บางครั้งพระหัตถ์นั้นอาจนำเราเข้าไปเฉียดหุบเขาแห่งความตายนั้น แต่ก็ทรงนำเรากลับออกมาได้ แล้วพระหัตถ์นั้นก็จะทรงพาเราผ่าน “หุบเขาเงามัจจุราช” ไปสู่ “ชีวิตนิรันดร์” เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระหัถต์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เราจะไม่กังวลกับสารพันสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เมื่อเราคิดคำนึงถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าทำให้เกิดความกล้าในการกระทำสิ่งต่างๆ มันทำให้ความหวาดกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการถูกทำร้ายหมดไป มันทำให้เกิดความมั่นใจและไม่กลัวในการดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้


สิธยา คูหาเสน่ห์