23/7/58

เก้าอี้สีชมพู

วันหนึ่งข้าพเจ้าอ่านพบเรื่องนี้ในการเฝ้าเดี่ยวและเห็นว่าน่าจะนำมาแบ่งปันกัน ชายคนหนึ่งเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของคุณยายเพราะคุณแม่ของเขาติดยาเสพติดตลอดชั่วชีวิตของเธอ คุณยายก็พาเขาไปโบสถ์ตั้งแต่เด็ก เขาได้เรียนรวีวารศึกษาและไปนมัสการพระเจ้าเป็นประจำเมื่อโตขึ้น คุณยายอธิษฐานมอบตัวเขาไว้กับพระเจ้าและมีความหวังว่าเขาจะรับใช้พระเจ้าโดยอยากให้เขาเป็นศิษยาภิบาล แต่เมื่อเขาเติบโตเป็นชายหนุ่มก็เดินทางผิดไปสู่การเสพยา เป็นนักเลงหัวไม้ และทำผิดกฏหมาย ทุกเช้าคุณยายจะนั่งบนเก้าอี้สีชมพูเก่าๆ อ่านพระคัมภีร์และเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัว บางวันหลานชายเพิ่งกลับบ้านจากการท่องราตรีมาทั้งคืน ที่จริงคุณยายนั่งรอหลานชายบนเก้าอี้สีชมพูนั้นตั้งแต่เมื่อคืน คุณยายเฝ้ารอด้วยความกังวลใจและพร่ำอธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าให้หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย คุณยายไม่เคยสิ้นหวัง ในที่สุดด้วยความรักและการเป็นพยานของคุณยาย หลานชายก็ได้พบกับองค์พระผู้ช่วยให้รอดและถวายตัวรับใช้เป็นศิษยาภิบาล



แต่ชายคนนี้ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่คุณยายของเขาเคยพบมาก่อน ลูกสาววัยรุ่นของเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เขาพบว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะห้ามปรามและกังวลใจเป็นที่สุด และเขาก็พบว่าเขาก็มี 'เก้าอี้สีชมพูเก่าๆ' ตัวหนึ่งเหมือนกัน เขานั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นอ่านพระคัมภีร์และเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวที่นั่น พร่ำอธิษฐานเผื่อลูกสาว และรอคอยการกลับมาอย่างปลอดภัยของลูกสาว และในที่สุดลูกสาวก็เห็นความเชื่ออันมั่นคงของพ่อที่เรียนรู้มาจากคุณยาย และได้พบทางรอดเช่นกัน ชายคนนี้กล่าวว่าเขาจะไม่มีวันลืมเก้าอี้สีชมพูตัวเก่าๆ ของคุณยายและความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ของท่าน



เปาโลเขียนใน 2 ทิโมธี 1:5 ว่า "ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย"



ข้าพเจ้าแน่ใจว่าหลายคนมี 'เก้าอี้สีชมพู' ของตัวเอง จะเก่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ และจะเป็นเก้าอี้สีชมพูจริงๆ หรือเป็นที่ใดก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน เพราะที่ที่เราจะนั่งอ่านพระคัมภีร์ มีสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และอธิษฐานสนทนากับพระองค์ จะเป็นที่ไหนๆ ก็ได้ที่สงบเงียบและทำให้เราพร้อมที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสผ่านพระคำ ข้าพเจ้าเชื่อว่าแต่ละท่านจะมีคนที่ท่านรักและห่วงใยที่อธิษฐานเผื่อ ด้วยความเชื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่ทูลขอจะได้รับคำตอบ ข้าพเจ้าขอยืนยันหนักแน่นว่าเป็นเช่นนั้น ทว่าเวลาที่คำตอบจะมาถึงนั้นสำหรับการขอแต่ละครั้งก็แตกต่างกัน ขอให้มีความเชื่อมั่นคงและพร่ำอธิษฐานวิงวอนต่อไป คำตอบจะมาถึงอย่างแน่นอน



ขอให้ท่านหา 'เก้าอี้สีชมพู' ของตัวเองให้พบ และอย่าปล่อยให้เก้าอี้ของท่านรอเก้อ ขอให้ใช้เป็นประจำ ถ้าใครยังหาไม่พบก็พยายามต่อไปจนพบ




สิธยา คูหาเสน่ห์

20/8/57

มอบแผนงานไว้กับพระเจ้า

จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
จงวางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน
สดุดึ 37:5

การวางแผนงานที่ไม่ให้พระเจ้ามีส่วนไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พึงทำ เพราะพระองค์อาจทรงไม่สถาปนาแผนงานนั้น เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงเลือกไว้ เราจะรู้ตัวได้เองว่าความไม่สำเร็จนั้นเกิดจากการที่เราวางแผนโดยไม่มีพระเจ้านั่นเอง บางครั้งเราพบว่าสิ่งที่เราได้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่หลังจากนั้นเราก็จะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า

เราควรให้พระเจ้าทรงนำหน้าในการดำเนินชีวิต เราควรระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำหน้าพระองค์ แต่บางคนอาจแย้งว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงหรือที่จะให้พระเจ้าทรงนำหน้าในทุกเรื่อง ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยหากเราติดสนิทกับพระเจ้า เราทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์ เราฟังพระสุรเสียงของพระองค์ บางคราวอาจเป็นความทุกข์ใจสักหน่อยที่พระเจ้าไม่ทรงประทานสิ่งที่เราอยากได้ บางครั้งเราอาจท้อใจว่าทำไมพระองค์ทรงให้เรารอนานเหลือเกินกว่าคำตอบจะมา ข้าพเจ้าขอบอกตามตรงว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ แต่ "ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:13) ขอให้เราระลึกถึงข้อพระวจนะนี้เมื่อเราต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เห็นความสำเร็จของแผนงานที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางหลายครั้ง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการไม่ย่อท้อต่อการอธิษฐานวิงวอนนั้นมีบำเหน็จที่แสนหวานรออยู่ แต่บางคนอาจไม่อดทนพอที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะได้ลิ้มรสบำเหน็จนั้น แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกในตอนนี้ว่าเมื่อเราผ่านการรอคอยที่ดูแสนเนิ่นนานและบางช่วงอาจมีคำถามผุดขึ้นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไปได้ เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงแสนดียอดเยี่ยม ทุกสิ่งที่ได้มาเป็นการอัศจรรย์ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง แต่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า และเป็นการคัดสรรและการจัดเตรียมของพระองค์ที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความยอดเยี่ยมดีเลิศเกินกว่าที่เราขอไว้แต่แรก เราจะได้ตามที่ขอและได้สิ่งที่ดีกว่านั้นอีกด้วยการมอบแผนงานและชีวิตของเราไว้กับพระเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ เพียงว่าเรา 'ยอม' หรือไม่เท่านั้นเอง

การเชื่อวางใจพระเจ้าเป็นสื่งที่ต้องมีการตัดสินใจ ถ้าเมื่อไรที่เราพบว่าไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้าและอาจถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เพราะเหตุใดพระองค์ทรงไม่จัดเตรียมและประทานสิ่งที่ขอ” เราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อวางใจเรา”

ข้าพเจ้าไม่อยากให้มีสักคนเดียวได้ยินพระดำรัสตอบแบบนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์




6/6/57

จงขอแล้วจะได้

เราเป็นเถา‍องุ่นแท้ และพระ‍บิดาของเราทรงเป็นผู้‍ดู‍แลรักษา แขนงทุกแขนงในเราที่ ไม่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออก‍ผลมากขึ้น พวก‍ท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อย‍คำที่เรากล่าว กับท่าน จงติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับพวก‍ท่าน แขนงจะออก‍ผลเองไม่‍ได้ นอก‍จากจติด‍สนิทอยู่กับเถา พวก‍ท่านก็เช่น‍เดียว‍กันจะเกิด‍ผลไม่‍ได้นอก‍จากจะ ติด‍สนิทอยู่กับเรา เราเป็นเถา‍องุ่น พวก‍ท่านเป็นแขนง คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเรา ติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำ สิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำ ของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น พระ‍บิดาของเราทรงได้รับ‍พระ‍เกียรติเพราะ‍เหตุ‍นี้ คือเมื่อพวก‍ท่านเกิด‍ผลมากและ เป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 15:1-8)
พระวจนะตอนนี้มีพระสัญญาที่ไม่ธรรมดาของพระเจ้าอยู่ในนั้น "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น"
พระเยซูกำลังตรัสว่าเมื่อเราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น เหตุผลที่เราได้ตามที่ขอก็เพราะพระเจ้าทรงได้รับเกียรติโดยให้ตามที่ขอ ดังนั้น จงขอแล้วจะได้ นั่นเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
แต่พระสัญญาข้อนี้ของพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถาง และจะทำให้ผู้เชื่อเศร้าเสียใจ ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถางเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญา นั่นเป็นข้ออ้างของพวกเขา แต่ทำไมผู้เชื่อเศร้าเสียใจล่ะ เพราะพวกเขาขอแล้วไม่ได้ ผู้เชื่อบางคนเมื่อขอแล้วไม่ได้จึงทำให้ความเชื่อสั่นคลอน และหันคล้อยตามกับผู้ที่ไม่เชื่อและสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของพวกเขา
แต่ที่ว่า "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น" มีบางสิ่งที่เล็ดลอดจากความสังเกตของเราไป บางคนอาจคิดว่าเมื่อขอก็ให้ขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า แต่พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนั้นในพระวจนะนี้ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า "ขอ" และ "พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้" และพระองค์จะประทานให้จริงๆ
"ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น”
เราซึ่งเป็น “แขนง” ต้องติดสนิทอยู่กับพระเยซูซึ่งทรงเป็น “กิ่ง” เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อเราขอสิ่งใดจากพระเจ้าก็จะได้สิ่งนั้นเพราะ
“คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำสิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย”
ถ้าเราไม่ติดสนิทกับพระเยซู เราก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป และสุดท้ายก็จะถูกทำลาย “ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ”
การเกิดผลเป็นการเชื่อมโยงถึงการได้รับตามที่ขอ พระเจ้าทรงได้รับเกียรติเมื่อเราเกิดผล และเราเกิดผลเมื่อพระเจ้าทรงประทานสิ่งที่เราขอ
แต่บางคนที่ไม่ได้รับตามที่ขออาจกล่าวว่า “ฉันติดสนิทกับพระเจ้า ฉันขอบางสิ่งจากพระเจ้า แต่ฉันไม่เคยได้รับตามที่ขอเลย” นั่นอาจเป็นการกล่าวที่ใช้ไม่ได้ เมื่อคนหนึ่งปลูกต้นส้มวันนี้ คนนั้นคงไม่หวังว่าจะได้กินผลไม้นี้ในวันรุ่งขึ้นเลย มันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจนต้นส้มโตเต็มที่จึงจะผลิดอกออกผลได้ การที่ต้นส้มจะเติบโตได้ก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู เช่นเดียวกัน ผู้เชื่อก็ต้องใช้เวลาในการฟูมฟักให้ความเชื่อแข็งแรงและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อจึงจะได้รับสิ่งที่ขอด้วยความเชื่อและเกิดผลต่อไปได้
ดังนั้น ขอให้เรากลับไปทบทวนใหม่เมื่อเราขอแล้วไม่ได้ว่าเรามีความเชื่อมากพอที่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงตามพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าพระสัญญาข้อนี้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นพระสัญญาข้อนี้เป็นจริงในชีวิตของข้าพเจ้าและลูกๆ หลายต่อหลายครั้ง และข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะได้เห็นอีกในเวลาข้างหน้า ขอพระเกียรติจงเป็นของพระเจ้า



สิธยา คูหาเสน่ห์

7/5/57

“รอ”

การรอเป็นเรื่องยาก ไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการรออะไรก็ตาม มันเป็นความล่าช้าที่เราอยากหลีกเลี่ยง เป็นความกังวลใจที่ร้อนรุ่มอยู่ในใจ เป็นภาระหนักที่ต้องแบกไว้ เป็นความทุกข์ใจที่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนคงเคยลิ้มรสแห่งการรอมาแล้วทั้งสิ้น แต่ทว่าการ “รอ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งความเชื่อของเรา
แต่ที่ข้าพเจ้าจะพูดในที่นี้ขอจำกัดวงให้แคบลงมาที่ รอ คำตอบจากพระเจ้า เมื่อเราอธิษฐานทูลขอบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า “จงขอแล้วจะได้” (มัทธิว 7:7พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) ข้าพเจ้าสามารถยืนยันจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นอยากหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อจะอธิษฐานทูลขอสิ่งใดก็ตาม ให้แน่ใจว่าเป็นที่สิ่งที่ท่านปรารถนาจะได้หรืออยากให้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะท่านจะได้สิ่งนั้นอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์
เมื่ออธิษฐานทูลขอ เราจะได้คำตอบสามแบบจากพระเจ้า คือ “ได้” “ไม่ได้” และ “รอ” สำหรับคำตอบแรกไม่ต้องมีคำอธิบาย คำตอบที่สองก็ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่อ่านว่า “ไม่ได้” เพราะพระองค์อาจหมายความถึงคำตอบที่สามก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์จะประทานสิ่งที่ดีกว่าที่ขอไปให้แก่เราก็เป็นได้ ฉะนั้น คำตอบที่สองและที่สามก็หลีกไม่พ้นการ “รอ” เพราะคำตอบจะมาในเวลาของพระองค์เท่านั้น มิใช่เวลาของเรา เวลาของพระเจ้ากับของมนุษย์มีกรอบที่ต่างกัน เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเสมอ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์เสมอ เราอาจมองว่าพระองค์ทรงปฏิเสธไม่สนองตอบคำอธิษฐานสำหรับคำตอบ “ไม่ได้” และ “รอ” แต่แม้ว่าจะเป็น “ไม่ได้” หรือ “รอ” ก็ยังเป็นคำตอบอยู่ดี แม้ว่าความเงียบของพระองค์อาจทำให้เรากระวนกระวายใจ ทนทุกข์ทรมาน เราอาจหมดกำลังใจสงสัยว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานหรือไม่ หรือเราอาจโกรธพระองค์เมื่อเห็นว่าผู้อื่นได้รับการอวยพรอย่างมากมายในสิ่งเดียวกับที่เราขอแล้วยังไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อได้อย่างไรในช่วงที่รอคำตอบจากพระองค์
พระเจ้าทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง เราเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งที่เราขอ ทำไมเราต้องรอ ทำไมเราได้ในสิ่งที่ไม่ได้ขอ ขอให้จำไว้ว่าสิ่งที่เราเห็นว่าดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา ขณะที่รอคำตอบจากพระองค์ ขอให้เราเชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายในการที่พระองค์ทรงล่าช้าในการตอบคำอธิษฐาน ขณะที่เรารอ พระเจ้าทรงกระทำการอยู่เบื้องหลังแทนเรา ให้เราอย่าย่อท้อในการรอเพราะเราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และในที่สุดเราก็จะรู้ว่าการรอที่ยาวนานและแสนทุกข์ทรมานนั้นคุ้มค่าจริงๆ
มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเรารอบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นจะหนีการบ่นไปไม่พ้น มันเป็นเรื่องยากที่เราจะพอใจกับชีวิตในช่วงแห่งการรอนั้น แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามีความพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า “อย่าท้อใจเลย วางใจพระเจ้าสิ” แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขหากเรากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
อย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราบ่นเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง แต่ให้เรารักษาความเชื่อไว้ อย่าขาดการนมัสการพระเจ้าเพราะการนมัสการเป็นการบ่งบอกถึงการยอมจำนนและการถ่อมใจ เพราะเมื่อเรานมัสการพระเจ้า ตัวเราจะพูดว่า “พระองค์ทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” การนมัสการนี่แหละที่จะเป็นแหล่งกำลังของเราในการที่จะอดทนรอต่อไป
เราต้องทูลขอต่อไปจนกว่าคำตอบจะมาถึง ยากอบ 4:2 บอกว่า “ท่านไม่‍มีเพราะไม่‍ได้ขอ” เราต้องไม่กลัวที่จะทูลขอต่อไป ทูลพระองค์ในสิ่งที่เราต้องการขณะที่กำลังรอ ยากอบยังบอกต่อไปว่าที่ไม่ได้เพราะเราขอผิด บางทีเราอาจขอในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัย ขอในสิ่งที่ผิด เราจึงต้องรอ ลองสำรวจดูว่าเราขอผิดหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังการทูลขอของเราอย่างแน่นอน
การท้าทายที่เราต้องเจอคือการเชื่อวางใจ สุภาษิต 3:5, 6 บอกว่า “จงวาง‍ใจในพระ‍ยาห์‌เวห์ด้วยสุด‍ใจของเจ้า และอย่าพึ่ง‍พาความรอบ‍รู้ของตน‍เอง จงยอม‍รับรู้พระ‍องค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระ‍องค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบ‍รื่น” “รอ” ด้วยความเชื่อวางใจ เป็นกุญแจสำคัญ


สิธยา คูหาเสน่ห์