30/9/51

คุณค่าแห่งการให้

การให้มิได้หมายเฉพาะถึงการให้สิ่งของที่จับต้องได้เท่านั้น มิติแห่งการให้ยังรวมถึงหลายสิ่งและอีกหลายอย่างที่ประสาทสัมผัสเอื้อมไปไม่ถึง ทว่า…รับรู้ได้ด้วยมิติที่ลึกและกว้างกว่านั้น โลกของเราในยุคนี้ต้องการการเติมเต็มในหลายๆ ด้าน และ …กำลังมองหาน้ำใจที่จะถูกหยิบยื่นเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส กำลังรอคอยมือที่จะซับน้ำตาของผู้ที่อยู่ในภาวะยากลำบาก กำลังเงี่ยหูฟังการขานรับจากผู้ที่ยอมสละตัวเองเพื่อรับใช้ผู้อื่น กำลังไขว่คว้าหาความรัก กำลังโหยหาความเห็นอกเห็นใจ กำลังขาดแคลนความเอื้ออาทร กำลังรอคอยสิ่งจรรโลงชีวิต เพื่อ…ดำรงและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง
คุณพร้อมไหมที่จะ ให้ 

กำลังทรัพย์เพื่องานการกุศล
กำลังกายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ขาดตกบกพร่องทางกาย
กำลังใจเพื่อประเล้าประโลมผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์
เวลาเพื่อฟังการปรับทุกข์ของใครสักคนที่หัวใจแตกสลาย
ความเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงแก่คนที่อยู่อย่างเดียวดายไร้จุดหมายปลายทาง
คำปรึกษาเพื่อนำทางใครสักคนที่หลงหายไปให้กลับมาอยู่บนเส้นทางชีวิตอีกครั้ง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงบางส่วนที่คุณสามารถให้ได้โดยไม่ลำบาก คุณพร้อมที่จะเป็นผู้ให้หรือยัง เมื่อคุณพร้อมและให้เมื่อใด เมื่อนั้นคุณจะกลับกลายเป็นผู้รับในทันที เพราะเมื่อคุณ ให้ คุณจะได้ รับ

ความซาบซึ้งใจจากผู้ที่ได้รับน้ำใจจากคุณ
การระลึกถึงไม่รู้เสื่อมคลายจากสิ่งที่คุณมอบให้
การตอบสนองที่จะทำให้เห็นคุณค่าของการให้มากยิ่งขึ้น 

เช่นกัน นี่ก็เป็นเพียงบางส่วนที่คุณจะได้รับจากการให้ของคุณ ที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่าคุณมุ่งหมายการตอบแทนตั้งแต่แรก การให้ที่แท้จริงต้องเป็นการให้ที่มิได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงจากการให้ของคุณ คงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าผู้รับตัวจริงก็คือตัวผู้ให้นั่นเอง 

หากคุณอยากสัมผัสความหอมหวานและความอิ่มเอิบกับชีวิตที่เต็มบริบูรณ์ เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ขรุขระอย่างที่คิด แม้ไม่ง่ายเสียทีเดียว แต่เป็นก้าวย่างที่ต้องเริ่มเดิน ก้าวแรกอาจไม่มั่นคงนัก แต่ก้าวต่อๆ ไปจะมั่นคงขึ้น และคุณจะรู้ว่ายิ่งให้มากก็ยิ่งมีมากจากสิ่งที่ได้รับกลับคืนมาจากการให้ของคุณ 

มาช่วยกันสร้างคุณค่าแห่งการให้และค้ำจุนมันให้คงอยู่สืบไปกันเถอะนะ

สิธยา คูหาเสน่ห์

*** บทความนี้เขียนเพื่อนำไปลงใน คม ชัด ลึก สำหรับโครงการคริสตมาส 2006 ในหัวข้อ "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" แต่ version ที่ลงใน คม ชัด ลึก ถูกตัดข้อความบางส่วนทิ้งไปเพื่อความเหมาะสมของเนื้อที่

ของขวัญสำหรับคุณ

เมื่อพูดถึง คริสตมาส ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีของชาวคริสต์ มิได้มีเฉพาะชุมชนคริสเตียนเท่านั้นที่เฉลิมฉลองวันแห่งความชื่นชมยินดีนี้ ชุมชนโลกซึ่งประกอบด้วยศาสนิกชนหลากหลายความเชื่อก็ร่วมเฉลิมฉลองยินดีด้วย วันนี้เป็นวันแห่งการรอคอย มีการเตรียมการกันล่วงหน้า มีการเตรียมใจเพื่อเข้าสู่การเฉลิมฉลองตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมเยี่ยมหน้ามาทักทายกันเลยทีเดียว ทว่าความหมายที่แท้จริงหรือเบื้องหลังของงานรื่นเริงนั้นเป็นที่เข้าใจถูกต้องหรือไม่ยังเป็นประเด็นอยู่ หลายคนเข้าใจว่าเป็นวันที่ตาแก่พุงพลุ้ยหนวดเฟิ้มที่มีชื่อว่า ซานตาคลอส หรือ ลุงซานตา มาแจกของขวัญให้แก่เด็กๆ ที่อธิษฐานขอไป และเชื่อกันว่าอธิษฐานขออะไร ลุงซานตาผู้ใจดีก็จะนำสิ่งนั้นมามอบให้ แม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคนก็เข้าใจเช่นนั้น 
แท้จริง วันคริสตมาสก็คือวันคริสตสมภพซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งที่ชาวคริสต์เรียกกัน เชื่อว่าชื่อหลังคงทำให้มองเห็นภาพได้ลางๆ ว่าเป็นวันเกิดของพระคริสต์ ชาวคริสต์จึงจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงการเสด็จมาในโลกของพระคริสต์ และเป็นการแสดงให้รู้ว่าเราชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้นกับของขวัญที่พระเจ้าผู้แสนดีทรงมอบให้กับเราด้วยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้เข้ามาในโลกนี้ ของขวัญชิ้นนี้ที่พระเจ้าทรงมอบให้กับชาวโลกล้ำค่ายิ่งนัก ภายในกล่องบรรจุความรักที่ไม่มีวันเหือดแห้งของพระองค์ไว้จนเต็ม ความรักนี้ยิ่งใหญ่หาขอบเขตมิได้ ความรักนี้ไม่ตาย ไม่หมดไป ไม่จืดจาง เป็นอมตะ เติมเต็มอยู่เสมอ หวานชื่น ส่งกลิ่นหอม และให้ความอบอุ่นใจ ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เพราะความรักนี้ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ความรักนี้ดำรงอยู่เมื่อวานอย่างไร ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นมิเปลี่ยนแปลงในวันนี้และในวันพรุ่งนี้
 ความรักนี้ต้องชิมดู จึงจะรู้ว่าหวาน… ต้องสัมผัสดู จึงจะรู้ว่ามีพลังให้ชีวิต… ต้องรับไว้ จึงจะรู้ว่าเป็นความหวังใจ… ต้องหยั่งดู จึงจะรู้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล 
เมื่อคุณได้สัมผัสกับความรักนี้แล้ว คุณจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้เลย คุณจะรู้สึกอยากแบ่งปันให้กับผู้อื่น อยากบอก อยากเล่า ความรักนี้แปลกแตกต่างจากความรักที่เรารู้จักกันทั่วไป หากทุกคนในโลกมีความรักแบบนี้และแบ่งปันให้กันและกัน โลกที่กำลังป่วยจะได้รับการเยียวยารักษา โลกที่เผชิญความรุนแรงรายวันจะสงบสุข โลกที่ดูเหมือนขาดแคลนความรักจะถูกเติมเต็ม อาจมีเสียงใจถามว่า จริงล่ะหรือ ก็ลองฟังนิยามความรักนี้ดูสิ แล้วคุณจะเห็นด้วยว่าที่กล่าวมาข้างต้นมิได้พูดเกินจริงเลย ฟังนะ
ความรักนี้อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยายคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ยินดีในความจริง ความรักนี้ปกป้องคุ้มครองเสมอ ให้ความหวังเสมอ ในความรักนี้มีความไว้วางใจเต็มเปี่ยม และความอดทนบากบั่นเป็นนิจ
ของขวัญชิ้นนี้พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้สำหรับทุกๆ คน ชาวคริสต์นำข่าวมาบอกด้วยเสียงเพลงอันไพเราะดุจเสียงขับขานของชาวสวรรค์ เมื่อคุณได้ยินข่าวดีนี้แล้ว คุณไม่อยากจะได้ของขวัญสักกล่องหรือ มาสิ มารับไป รับไปเถอะ แล้วคุณจะพบว่าชีวิตของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 
สุขสันต์วันคริสตมาส!

สิธยา คูหาเสน่ห์

ใจคับแคบ

นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจเพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่าเขาแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจนความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์ ฝ่ายพระองค์ผู้ประทานพืชแก่คนที่หว่านและประทานอาหารแก่คนที่กินจะทรงโปรดให้พืชของท่านที่หว่านแล้วนั้นทวีขึ้นเป็นอันมากและจะทรงให้ผลแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญยิ่งขึ้น โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้นเพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวางซึ่งโดยเราจัดแจกจะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้นมิใช่จะช่วยธรรมิกชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย (2 โครินธ์ 9:6-12)
 
ใจที่คับแคบปรากฏชัดขึ้นๆ ในยุคนี้ ใจที่คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมแจกจ่ายออกไปนับว่าเป็นใจที่ตายแล้ว เหมือนทะเลตาย (ทะเลมรณะ) ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 1,500 ฟุต และเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออก ในแต่ละปีแสงแดดก็แผดเผาน้ำให้เหือดแห้งไปประมาณ 60 นิ้ว ทำให้มีเกลือและแร่ธาตุต่างๆ ตกตะกอนมากกว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นสิบเท่า ความเค็มของทะเลตายทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “ทะเลใจคับแคบ” เพราะมันไม่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิต สัตว์น้ำและปลาอาศัยอยู่ไม่ได้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เลยในทะเลสาบนี้ 

เมื่อทะลสาบนี้ไม่มีทางออกจึงทำให้เป็นฝ่ายรับเท่านั้น (จากแม่น้ำจอร์แดน) ความจริงข้อนี้เตือนเราให้ตระหนักว่าตัวเราเองก็อาจกลายเป็น “ทะเลตาย” ได้เช่นกัน หากใจของเราไม่เคยคิดที่จะแบ่งปันไม่ว่าจะเป็นเวลา สิ่งของ และแม้แต่ตัวเราเองให้กับผู้อื่น พระคัมภีร์รับรองไว้ว่าเราจะไม่มีวันขาดสิ่งใดๆ ที่จำเป็นเลยหากมีการแบ่งปัน “จงให้เขาและท่านจะได้รับด้วย” (ลูกา 6:38) เพราะผู้รับตัวจริงก็คือผู้ให้นั่นเอง 

ให้เถอะ อย่ารับฝ่ายเดียวเลย เพราะใจที่มักได้จะถูกกัดกร่อนจนไม่เหลือร่องรอยแห่งการมีชีวิต อย่าให้ใจของเราเป็นทะเลตาย หัดแบ่งปันบ้าง เราสามารถรักษาแม่น้ำแห่งชีวิตให้ไหลผ่านตัวเราและหลีกเลี่ยงความซบเซาฝ่ายวิญญาณได้ด้วยการรับใช้ การให้ และการแบ่งปัน ยิ่งให้มากก็ยิ่งได้รับมาก

เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรักก็เวียนมาอีกครั้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเดือนกุมภาพันธ์จึงจะบอกรักหรอกนะ เราสามารถบอกรักได้ตลอดเวลา เราสามารถแบ่งปันความรักของพระเจ้าในตัวเราได้เสมอ ความรักนี้น่ะไม่มีวันหมด ยิ่งให้ก็ยิ่งมี ยิ่งแบ่งปันก็ยิ่งได้รับ ให้เรามาหัดเป็นคนที่มีใจกว้างขวางกันดีกว่า ทิ้งใจคับแคบไว้เบื้องหลังเถอะ อย่าแม้แต่จะเหลียวกลับไปมอง และมุ่งหน้าเดินเส้นทางแห่งการให้เส้นใหม่ แม้เส้นทางนี้จะไม่กว้างใหญ่แต่มันจะนำไปสู่สวนแห่งความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้า 

หากท่านไม่ได้แบ่งปันหรือให้สิ่งของ แต่อย่างน้อยท่านก็สามารถอธิษฐานเผื่อซึ่งก็เป็นการให้หรือการแสดงความรักแบบหนึ่ง และพระเจ้าทรงรับรู้และทรงพอพระทัย ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้ที่ท่านระลึกถึงก็สามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกในมิติที่อยู่นอกเหนือการสัมผัสทางกายภาพอย่างแน่นอน 

ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ส่งความรักและความหวังดีมาให้แก่ทุกท่านด้วยความรักของพระเจ้าที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า 

สิธยา คูหาเสน่ห์

เมื่อเผชิญการทดลอง

การถูกทดลองไม่มีบาป ทุกคนย่อมเผชิญการทดลอง-จะใหญ่หรือเล็กเท่านั้น แม้แต่พระเยซูเองก็ไม่เว้น (ฮีบรู 4:15) การดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์มักหนีไม่พ้นการทดลอง ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งเผชิญการทดลองมากเท่านั้น ดังเช่นบนยอดเขาสูง ลมย่อมแรงกว่าที่ตีนเขา ทำนองเดียวกัน ชีวิตยิ่งสูงมากเท่าไร การทดลองก็ยิ่งต้านทานยากขึ้นเท่านั้น ชีวิตที่ชอบธรรมไม่ใช่ชีวิตที่ไม่ถูกทดสอบ ตรงกันข้ามมันเป็นชีวิตที่ถูกผลักไปจนถึงภาวะคับขันด้วยการทดลอง “ทว่าโดยปราศจากบาป”

ดังนั้นท่านก็ถูกทดลองเหมือนคนอื่นๆ “แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลงเมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม” (ยากอบ 1:14) คำถามอยู่ที่ “ท่านรับกับการทดลองอย่างไร” 
 
ซาตานมีคำโกหกคำโตสองคำที่อยากให้เราเชื่อว่าเป็นพื้นฐานสำหรับการรับมือกับการทดลอง คำแรกที่ซาตานบอกกับเราเมื่อเราเผชิญการทดลองคือ มัน “แค่ครั้งเดียวไม่เป็นอันตรายหรอก” คำที่สองหลังจากที่เราพ่ายแพ้การทดลองไปแล้วคือ “ไหนๆ เจ้าก็ทำให้ชีวิตล่มจมแล้ว เจ้าไม่ใช่เครื่องมือที่พระเจ้าจะทรงใช้ได้แล้ว ก็สนุกกับการทำบาปเถอะ” 
 
จริงๆ แล้วแค่ครั้งเดียวก็เป็นอันตรายแล้ว เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย (โรม 3:23) มันจะทำอันตรายต่อมโนธรรมของท่าน การบังคับควบคุมของท่าน และการสำนึกคุณค่าในตัวเองของท่าน มันเป็นอันตรายแน่เพราะมันจะทำให้ท่านอ่อนกำลังและทำให้หวั่นไหวง่ายต่อการทดลองที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตในเวลาข้างหน้า มีคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “การข่มใจและเอาชนะการทดลองครั้งแรกย่อมง่ายกว่าการตอบสนองการทดลองครั้งต่อๆ ไปที่จะตามมา” เราต้องหัดปฏิเสธการเย้ายวนใจเสียบ้างเพื่อมิให้ชีวิตจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความปรารถนาที่เป็นกับดักของซาตาน มันทำได้ไม่ง่าย แต่หากท่านมีความเชื่อที่มั่นคงและการเสริมกำลังจากพระเจ้า ท่านย่อมทำได้แน่ (แม้จะต้องมีการปล้ำสู้ที่เกือบเอาชนะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม)
 
แต่หากว่าท่านพ่ายแพ้การทดลอง ก็จงอย่ายอมแพ้เด็ดขาด มันยังมีความหวังสำหรับการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมอยู่ สิ่งที่เป็นจริงในสงครามก็เป็นจริงในการปล้ำสู้ของท่านกับซาตานด้วย ท่านอาจต้องสู้มากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อเอาชนะมันให้ได้ ชีวิตของผู้เชื่อที่ยิ่งใหญ่บางคนครั้งหนึ่งเคยทำบาปมหันต์มาแล้ว อย่างเช่น บาปของกษัตริย์ดาวิดเป็นบาปที่หนักมากจนพระองค์ประกาศว่า “เพราะความบาปผิดของข้าพระองค์ท่วมศีรษะ” (สดุดี 38:4) อัครทูตเปโตรเคยทูลพระเยซูครั้งหนึ่งว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิดเพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป” (ลูกา 5:8) อัครทูตเปาโลประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอดและในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (1 ทิโมธี 1:15) 
 
ท่านกำลังเผชิญการทดลองอยู่หรือเปล่า เราทุกคนล้วนเผชิญกันทุกคน ขอให้เราเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ แหงนหน้าขึ้น ดึงดาบออกจากฝัก ตามองตรงไปที่ศัตรู จงตอบโต้การท้าทายของซาตานด้วยถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะในครั้งโบราณที่กล่าวว่า “ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลงข้าจะลุกขึ้นอีก” (มีคาห์ 7:8)
 
ถ้าท่านกำลังเผชิญการทดลองท่านคิดว่าท่านจะรับมือกับมันอย่างไร

 
แอชลีย์เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ในวันที่เธอนำเสื้อครุยที่เช่ามาไปคืน เธอสังเกตเห็นว่าพนักงานที่รับคืนไม่ได้จดบันทึกอะไรไว้เลย เมื่อรับเสื้อมาก็โยนไปกองๆ ไว้ที่มุมห้อง ความคิดชั่วร้ายผ่านเข้ามาในหัวของเธอ ด้วยความที่อยากเก็บเสื้อครุยไว้เพื่อใส่ถ่ายรูปกับเพื่อนๆ และสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้มาในวันรับปริญญาของเธอ แต่เธอก็ไม่อยากเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเสื้อนั้นไว้ เธอบอกกับตัวเองว่าถ้าไม่คืนเสื้อให้ก็ไม่มีทางรู้เพราะไม่มีการจดบันทึกใดๆ เลย เธอยืนปล้ำสู้อยู่กับทดลองนั้นนานมาก แต่ในที่สุดเธอก็เดินเข้าไปหาพนักงานและยื่นถุงเสื้อให้ เธอเล่าว่าในขณะที่เธอยื่นถุงให้นั้นเธอมีความรู้สึกซ่านออกจากตัว และในวินาทีนั้นเองที่เธอรู้สึกชื่นชมยินดีและขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยเธอให้พ้นจากหลุมพรางของซาตาน เธอชนะการทดลอง! 
 
ขอบคุณพระเจ้า! นี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน ขอให้เข้มแข็งเมื่อเผชิญการทดลอง-ใหญ่หรือเล็กก็ตาม ไม่ว่าการทดลองนั้นจะน่าลิ้มลองสักปานใด ก็อย่าชิมเลย เพราะไม่มีอะไรที่หวานชื่นใจมากกว่าพระคำของพระเจ้าอีกแล้ว จริงๆ นะ

สิธยา คูหาเสน่ห์

25/9/51

พระพรที่มาจากหนาม

เรารู้จักหนามว่าเป็นส่วนแหลมๆ ที่งอกออกจากกิ่งไม้ซึ่งเมื่อถูกตำทีไรก็เจ็บเมื่อนั้น หนามในแง่นี้เป็นทางกายภาพ แต่หนามในเนื้อหรือจิตวิญญาณของเรานั้นหมายถึง อุปสรรค ขวากหนาม ความยุ่งเหยิง ความเจ็บปวด ความปวดร้าวใจ ความขมชื่น ... หนามในแง่นี้เป็นทางจิตภาพ หนามที่เห็นได้ด้วยตานั้นทิ่มเนื้อตำกาย แต่หนามที่รับรู้ด้วยจิตนั้นทิ่มจิตแทงใจ มันเป็นเครื่องเตือนใจให้เรามีสติอยู่เสมอ มันเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเรา ในจิตสำนึกของเรา 
แซนดรารู้สึกย่ำแย่เป็นที่สุดในขณะที่เธอเดินฝ่าลมที่พัดแรงในเดือนพฤศจิกายนผ่านหน้าร้านขายดอกไม้แห่งหนึ่ง ชีวิตของเธอราบรื่นมาโดยตลอดจนกระทั่งเธอตั้งครรภ์ลูกคนที่สองได้สี่เดือน เธอก็ประสบอุบัติเหตุและความสุขในชีวิตของเธอก็โบยบินหายไปพร้อมกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น มิเช่นนั้นเธอคงจะให้กำเนิดลูกชายในช่วงวันขอบพระคุณพระเจ้า เธอโศกเศร้ายิ่งนักกับการสูญเสียในครั้งนี้ ราวกับว่าเธอยังทุกข์ใจไม่มากพอ บริษัทที่สามีของเธอทำงานอยู่จะต้องย้ายไปยังทำเลใหม่ ซ้ำร้ายกว่านั้นน้องสาวของเธอซึ่งมาเยี่ยมเธอเป็นประจำในช่วงนี้ก็โทรศัพท์มาบอกว่ามาไม่ได้เสียแล้วในปีนี้ ยิ่งกว่านั้นเพื่อนๆ ของเธอยังทำให้เธอขุ่นเคืองใจมากขึ้นโดยบอกเป็นนัยว่าความทุกข์ของเธอนั้นเป็นเส้นทางที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้เพื่อให้เธอเติบโตขึ้นและสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของเธอผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจกับผู้อื่นที่ทนทุกข์ทรมานในแบบเดียวกัน แต่เธอกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “เธอไม่รู้หรอกว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไร” 
เธอถามตัวเองดังๆ อย่างคลางแคลงใจว่าขอบพระคุณพระเจ้าหรือ ขอบคุณสำหรับอะไรกันเล่า สำหรับคนขับรถบรรทุกที่ถอยหลังมาชนเธอและทำให้เธอต้องเสียลูกไป แต่รถของเขาแทบไม่เสียหายอะไรเลย กระนั้นหรือ สำหรับถุงลมนิรภัยที่ช่วยรักษาชีวิตของเธอไว้ได้ แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตของลูกน้อยของเธอ กระนั้นหรือ 
พนักงานในร้ายขายดอกไม้ถามเธอว่า “สวัสดีค่ะ จะให้ช่วยอะไรได้บ้างคะ” เธอตกใจเพราะมัวไปคิดคำนึงถึงความสูญเสียของตัวเอง เธอตอบตะกุกตะกักว่า “ฉัน … เออ … อยากได้ดอกไม้สักช่อ” “คุณอยากได้ช่อดอกไม้ที่สวยงามแต่เป็นแบบธรรมดา หรือว่าอยากได้ช่อพิเศษสำหรับเทศกาลขอบพระคุณพระเจ้าของร้านของเราซึ่งดิฉันเรียกว่า ช่อพิเศษสำหรับวันขอบพระคุณพระเจ้าคะ” พนักงานคนนั้นถามแซนดรา “ดิฉันแน่ใจว่าช่อพิเศษนั้นบอกเรื่องราวได้อย่างแน่นอน”
การสนทนาดำเนินต่อไป “คุณกำลังหาดอกไม้ที่จะใช้แสดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้าหรือคะ” “ไม่เชิงนัก ในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา อะไรๆ ที่ไม่ดีที่อาจเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้ว” แซนดรากล่าวอย่างเศร้าๆ แต่ก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพนักงานคนนั้นบอกว่า “ดิฉันจะจัดดอกไม้ช่อพิเศษสุดให้ค่ะ” 
ระฆังหน้าประตูดังขึ้น และพนักงานก็กล่าวต้อนรับลูกค้าคนใหม่ที่เข้ามา “สวัสดีค่ะ คุณบาร์บารา ดิฉันจะจัดดอกไม้ตามที่สั่งไว้ค่ะ” เธอกล่าวขอตัวอย่างสุภาพและเดินหายเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง สักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับช่อดอกกุหลาบที่มีแต่ก้านเท่านั้น ทุกก้านไม่มีดอกกุหลาบแสนสวยติดอยู่ที่ปลายก้าน แล้วถามลูกค้าอย่างสุภาพว่า “จะให้บรรจุลงกล่องมั้ยคะ” 
แซนดราคอยดูว่าลูกค้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นช่อก้านกุหลาบ นี่เขากำลังเล่นตลกกันหรืออย่างไร ใครจะอยากได้แต่ก้านกุหลาบเท่านั้น แซนดรารอฟังเสียงหัวเราะจากหญิงสาวทั้งสองคน แต่เธอไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเลย บาร์บาราตอบว่า “ดีค่ะ” พร้อมกับยิ้มอย่างขอบคุณในการบริการที่ดีเยี่ยมของพนักงานคนนั้น แล้วก็พูดว่า “คุณคงคิดว่าหลังจากที่ฉันซื้อดอกไม้ช่อพิเศษจากคุณไปสามปีแล้ว ฉันคงไม่รู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วล่ะสิ แต่ฉันยังรู้สึกได้ตรงนี้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ” เธอแตะเบาๆ ตรงหน้าอก
แซนดราตะกุกตะกักถามขึ้นว่า “เอ่อ … สุภาพสตรีคนนั้นเพิ่งมาซื้อก้านกุหลาบไปช่อหนึ่ง … เอ่อ … ใช่มั้ยคะ” “ค่ะ ดิฉันตัดดอกกุหลาบออก ดิฉันเรียกช่อนั้นว่า ช่อหนามแห่งการขอบพระคุณ” “อย่าพูดเล่นอยู่เลย ใครจะยอมจ่ายเงินซื้อช่อก้านกุหลาบที่ไม่มีดอกกุหลาบเลยสักดอก” แซนดราอุทานเสียงดัง
พนักงานคนนั้นอธิบายให้แซนดราฟังว่า “เมื่อสามปีก่อน บาร์บาราเดินเข้ามาในร้านนี้พร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ เธอคิดว่าเธอไม่รู้ว่าจะขอบพระคุณพระเจ้าเรื่องอะไรดี โรคมะเร็งได้คร่าชีวิตของคุณพ่อของเธอไป ธุรกิจครอบครัวก็กำลังล่มจม ลูกชายพัวพันกับยาเสพติด และเธอต้องได้รับการผ่าตัดใหญ่” เธอเล่าต่อว่า “ในปีเดียวกันนั้นเอง ตัวดิฉันสูญเสียสามีไป และเป็นครั้งแรกที่ต้องขอบพระคุณพระเจ้าตามลำพัง ดิฉันไม่มีลูก ไม่มีสามี ครอบครัวก็อยู่ไกล และมีหนี้สินมากเกินกว่าที่จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้” 
แซนดราถามว่า “แล้วคุณทำอะไรบ้าง เธอตอบเบาๆ ว่า “ดิฉันเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณสำหรับหนามต่างๆ ในชีวิต ดิฉันขอบพระคุณพระเจ้าเสมอๆ สำหรับสิ่งดีๆ ในชีวิต และไม่เคยคิดที่จะถามพระเจ้าเลยว่าทำไมจึงมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต แต่เมื่อเจอมรสุมชีวิต ดิฉันไม่รีรอที่จะถามพระองค์ ดิฉันค่อยๆ เรียนรู้ว่าช่วงยากลำบากก็สำคัญ ดิฉันชื่นชม ‘ดอกไม้’ แห่งชีวิต แต่ดิฉันเห็นความยอดเยี่ยมแห่งพระคุณของพระเจ้าด้วยหนามต่างๆ คุณรู้ไหมว่า พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงประเล้าประโลมใจเมื่อเรามีความยากลำบาก และจากการปลอบประโลมใจของพระองค์ เราเรียนรู้ที่จะปลอบประโลมใจผู้อื่น”
แซนดรานึกถึงคำพูดของเพื่อน และรำพึงว่า “บางทีฉันอาจไม่อยากได้การปลอบใจก็ได้ ฉันเสียลูกไปและโกรธพระเจ้า” ตอนนั้นเองก็มีลูกค้าอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน “สวัสดีค่ะ ฟิล” พนักงานคนนั้นทักชายร่างท้วมหัวล้านที่เพิ่งเดินเข้ามา “ภรรยาของผมให้มารับช่อดอกไม้อย่างที่เราสั่งทุกครั้งสำหรับวันขอบพระคุณพระเจ้า … ก้านกุหลาบที่มีหนาม 12 ก้าน” ฟิลตอบหน้าตายิ้มแย้มขณะที่พนักงานขายหยิบช่อก้านกุหลาบที่ห่อด้วยกระดาษจากตู้เย็นยื่นให้แก่เขา แซนดราอดที่จะถามไม่ได้ว่า “นั่นสำหรับภรรยาของคุณหรือคะ จะว่าอะไรไหมคะถ้าจะถามว่าทำไมภรรยาของคุณจึงอยากได้ช่อดอกไม้ที่มีแต่ก้านและไม่มีกุหลาบแม้สักดอกเดียวคะ” ฟิลตอบว่า “ไม่เลยครับ ผมดีใจนะที่คุณถาม เมื่อสี่ปีที่แล้วผมกับภรรยาเกือบจะหย่ากันอยู่แล้ว หลังจากที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาสี่สิบปี เราก็มีเรื่องระหองระแหงกันไม่หยุดไม่หย่อน แต่ด้วยพระคุณและการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ทุกเรื่อง พระองค์ทรงรักษาการแต่งงานของเราไว้ เจนนี (พนักงานขายดอกไม้) บอกเราว่าเธอเก็บแจกันที่มีก้านกุหลาบเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่านช่วงเวลา “ยากลำบาก” และมันก็ใช้ได้สำหรับผมด้วย ผมซื้อก้านกุหลาบกลับบ้าน ผมและภรรยาตกลงกันว่าจะเขียนทุก “ปัญหา” ที่เรามีติดไว้กับทุกก้านและขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนที่ได้จากปัญหาเหล่านั้นทุกปัญหา” ขณะที่ฟิลชำระเงิน เขาหันมากล่าวกับแซนดราว่า “ผมขอแนะนำให้คุณซื้อก้านกุหลาบสักช่อ” แต่แซนดราพูดกับพนักงานขายว่า “ไม่รู้ว่าฉันจะสามารถขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับหนามในชีวิตของฉันได้หรือไม่ เพราะฉันเพิ่งถูกกหนามตำมาหยกๆ” 
พนักงานคนนั้นตอบอย่างสุขุมว่า “ประสบการณ์ของดิฉันสอนว่าหนามทำให้ดอกกุหลาบมีค่ามากยิ่งขึ้น เราทะนุถนอมการดูแลของพระเจ้าในยามยากลำบากมากกว่าในยามใดๆ อย่าลืมสิคะว่า พระเยซูทรงสวมมงกุฏหนาม เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงรักเรา อย่าแค้นเคืองหนามของคุณเลยค่ะ”
น้ำตาไหลอาบแก้มแซนดรา เป็นครั้งแรกที่ความแค้นเคืองของเธอถูกปลดปล่อย “งั้น ฉันขอซื้อก้านกุหลาบสัก 12 ก้าน” แซนดรากล่าวในที่สุด พนักงานขายพูดว่า “ดิฉันก็ว่าคุณควรทำอย่างนั้นค่ะ ดิฉันจะจัดการให้ภายในหนึ่งนาที” แซนดราถามว่า “ราคาเท่าไหร่คะ” พนักงานขายตอบว่า “ไม่คิดเงินค่ะ แต่คุณต้องสัญญาว่าจะยอมให้พระเจ้าทรงเยียวยาจิตใจของคุณ ดิฉันมักไม่คิดเงินสำหรับช่อแรกค่ะ” พนักงานคนนั้นยิ้มและยื่นการ์ดใบหนึ่งให้แซนดรา “ดิฉันจะติดการ์ดนี้ไว้กับช่อก้านกุหลาบของคุณ แต่คุณอาจอยากอ่านมันก่อนก็ได้”  
การ์ดใบนั้นอ่านว่า
“ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เคยขอบพระคุณสำหรับหนามของข้าพระองค์เลย ข้าพระองค์ขอบพระคุณเป็นพันครั้งสำหรับดอกกุหลาบ แต่ไม่เคยขอบพระคุณสำหรับหนามสักครั้งเดียว ขอพระองค์ทรงโปรดตรัสสอนถึงความประเสริฐของกางเขนที่ข้าพระองค์แบกแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสสอนถึงคุณค่าของหนามแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงให้ข้าพระองค์เห็นว่าข้าพระองค์ได้ตะกายเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นบนเส้นทางแห่งความปวดร้าวของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงให้ข้าพระองค์เห็นว่ารุ้งของพระองค์นั้นมีสีสดใสกว่าผ่านน้ำตาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ตรัสสอนเถิด พระเจ้าข้า”  
หนามในชีวิตของท่านอาจทิ่มตำกายทิ่มแทงใจเมื่อไรก็ได้ ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าขอให้นึกถึงพระคุณของพระเจ้า ขอบพระคุณ และเรียนรู้จากหนามนั้น สิ่งที่ท่านพบจะเป็นบทเรียนล้ำค่าและเป็นพระพรล้ำเลิศ

สิธยา คูหาเสน่ห์

พระเจ้าทรงได้ยิน … แม้เสียงรำพึงในใจ

เสียงรำพึงหมายถึงการคิดคำนึงในใจ เหมือนเป็นการพูดกับตัวเอง บ่อยครั้งที่เราทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น สำหรับตัวข้าพเจ้าเองและอีกหลายๆ คนนั้น (ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น) เสียงรำพึงในใจของเราคงไม่ใช่ความคิดที่เป็นระบบสักเท่าไร เพราะเราคงคิดสับสนวุ่นวายไปหมด เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในมโนจิตที่ยังไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองและการใคร่ครวญว่าควรจะนำเรื่องราวนั้นๆ ทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ ยังไม่ทันไตร่ตรองดูว่าสิ่งที่เรากำลังจะทูลขอนั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยหรือไม่ ทว่า … เสียงเล็กๆ ในใจแบบนี้ของเรา พระเจ้าทรงได้ยิน แม้กระทั่งบางเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อยและไม่สมควรที่จะทูลต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงสนพระทัยและทรงนับว่าทุกเรื่องทุกราวในชีวิตของเราล้วนสำคัญต่อพระองค์ทั้งสิ้น ตลอดเส้นทางการจาริกฝ่ายวิญญาณของเรา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าทุกคนคงมีประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว ความชื่นชมยินดีมีมากเหลือล้นเกินบรรยาย ความรู้สึกปลาบปลื้มใจท่วมท้น และการเสริมกำลังที่ได้รับไหลล้นปรี่ ชีวิตที่อ่อนระโหยโรงแรงเจียนล้มพลันก็ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ พร้อมที่จะสู้ชีวิตต่อไป พร้อมที่จะดำเนินอย่างมั่นคงกับพระองค์บนทางแคบอย่างไม่หวั่นเกรงต่อไป พร้อมที่จะยิ้มให้กับทุกๆ สถานการณ์ที่จะเข้ามาในเส้นทางชีวิตต่อไป พร้อมที่จะรับใช้อย่างเข้มแข็งต่อไป พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐเพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้าต่อไป เราจะมีแต่คำว่า ‘ต่อไป’ และจะไม่หวนกลับไปมองอดีตที่เจ็บปวดอีก กำลังที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพลัง ทูลขอสิ!  

ข้าพเจ้าขออนุญาตเป็นพยานถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่พระองค์ทรงมอบให้กับลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าสักหน่อยเพื่อเป็นการยืนยันว่าพระเจ้าทรงได้ยินจริงๆ แม้เสียงรำพึงในใจ ขอพระเกียรติจงเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว 
 
ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้า (ซึ่งผู้อ่านคงจะได้รู้เรื่องราวมาบ้างแล้วจากบทความครั้งก่อนๆ) เดินทางจากนิวยอร์กกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมาสามปีแล้ว ลูกสาวคนนี้เรียนจบตามที่ได้ตั้งใจเพราะพระเจ้าทรงพระคุณล้ำเลิศ และพระองค์ทรงเปิดทางให้ทำงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ครอบครัวของเราไม่สามารถจะขอบพระคุณพระเจ้าได้เพียงพอสำหรับเรื่องนี้ เพราะการหางานที่ดีในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย เราเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าเป็นงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ การเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านคราวนี้เป็นการกลับบ้านจริงๆ เพราะเวลาทั้งสามสัปดาห์ที่ลางานมาเป็นการใช้เวลาอยู่ที่บ้านเกือบทั้งหมด มีเพียง 1-2 วันเท่านั้นที่ออกไปหาเพื่อน แต่น่าเสียดายที่พี่ทั้งสอง (พี่สาวและพี่ชาย) ไม่ค่อยได้อยู่กับน้องเพราะงานดึงเวลาของทั้งสองคนไปเสียหลายวัน (การอบรมของบริษัทส่วนใหญ่จัดที่ต่างจังหวัดหรือไม่ก็ต่างประเทศ) ดังนั้นจึงเป็นการใช้เวลาที่มีอยู่ทั้งหมดกับข้าพเจ้า (คุณพ่อรับใช้เป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่หาดใหญ่) แต่พระเจ้าทรงแสนดีและแสนน่ารักเพราะเมื่อถึงวันที่จะเดินทางกลับ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ หลังเลิกจากการนมัสการที่คริสตจักร เราทั้งหมด (ยกเว้นคุณพ่อ) ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านโปรดของลูกสาวคนเล็ก (แม้ว่าเราจะไม่ค่อยปลื้มกับร้านนี้แต่เราก็ยินดี) หลังจากนั้นก็ไปซื้อของและไปจบลงที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ที่พาไปร้านนี้เพราะอยากให้ไปชิมขนมรสเลิศและกาแฟรสเยี่ยม จำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมากและทำให้เกิดฟ้าคะนองดูน่ากลัว หลังจากที่พาคนไกลบ้านเที่ยวตระเวนจนเย็นก็ถึงเวลากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปสนามบิน แต่ละคนมีความตั้งใจคนละแบบ ข้าพเจ้าจะเข้าครัวเตรียมอาหารจานโปรดของลูกสาวคนเล็ก ลูกสาวคนโตจะของีบสักหน่อยเพราะต้องขับรถไปส่งน้องที่สนามบิน (เที่ยวบินดึกมาก) ลูกชายจะทำงานที่ทำค้างจากที่ทำงาน ลูกสาวคนเล็กจะตรวจความเรียบร้อยของกระเป๋าเดินทาง แต่เนื่องจากฝนตกฟ้าคะนองจึงทำให้ไฟฟ้าดับอยู่นานพอสมควร เมื่อไม่มีไฟฟ้าต่างคนก็ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ ครั้งแรกเราก็หงุดหงิดเพราะมันร้อนอบอ้าวและที่สำคัญไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทุกคนมานั่งรวมกันและคุยกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องราวในวัยเด็กและช่วงเวลาในอดีตที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว (ในแสงเทียน) ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนไฟดับนั้นเองเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเต็มล้นด้วยความสุขในใจ มันเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราอย่างแท้จริง แต่วิธีการของพระเจ้าเกินความเข้าใจของเรา ไม่มีความบังเอิญในสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขอให้มั่นใจอย่างนั้น
 
สำหรับข้าพเจ้าวันรุ่งขึ้นดูว่างเปล่า ไม่ต้องไปปลุกลูกสาวคนเล็กให้ลุกขึ้นอีกแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องเติมอาหารฝ่ายร่างกายดูเหมือนไม่รู้ว่าจะรับประทานอะไรดี ดูโหวงๆ งงๆ ทำไมวันนี้บ้านดูเงียบเหงา ดูโล่งตา ดูเศร้าๆ สำหรับลูกสาวคนเล็กยังอยู่ในระหว่างเดินทางกลับไปนิวยอร์ก เมื่อยตัว (บินนาน 17 ชั่วโมง) คิดถึงบ้าน เศร้า! ลูกสาวคนนี้เศร้าและคิดถึงบ้าน (ทุกคนที่บ้าน) ไปอีกหลายวันหลังจากที่เดินทางกลับถึงบ้านที่นิวยอร์กแล้ว ลูกเล่าว่ารู้สึกงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำไมเมื่อเวลาเดินหน้าไปอีกเพียง 17 ชั่วโมงจึงทำให้รู้สึกแตกต่างได้มากมายถึงเพียงนี้ ทำไมจู่ๆ ก็ต้องมานั่งอยู่ในห้องนอนคนเดียว แม่ พี่สาว พี่ชาย ไปไหนกันหมด รู้สึกว่าภาระที่แบกอยู่นั้นมันหนักแทบจะรับไม่ไหว เมื่อกลับจากที่ทำงานก็นอนเลยโดยไม่รับประทานอาหารเย็น เพียงเพื่อไม่ให้คิด เพราะหลับแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันทีเดียว แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง พระองค์ทรงรู้วิธีที่จะฟื้นจิตใจของลูกคนนี้ พระองค์ทรงสดับเสียงรำพึงในใจของลูกสาวของข้าพเจ้า แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกเรื่องในชีวิตของเราเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพระองค์ แม้มนุษย์จะมองว่าไม่เป็นเรื่อง แต่พระเจ้าทรงมองอีกแบบหนึ่ง 
 
ลูกสาวคนนี้จำทะเบียนรถแท็กซีคันแรกที่นั่งเมื่อเดินทางไปถึงนิวยอร์กเพื่อไปศึกษาต่อในปี 2004 ได้ และปรารถนาที่จะได้เห็นรถแท็กซีคันนี้อีกสักครั้งมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนจะเป็นฝันที่ไม่มีวันกลายเป็นจริงได้เลย ในนิวยอร์กมีรถแท็กซีนับเป็นหมื่นๆ คัน ดังนั้นโอกาสที่จะได้เห็นรถคันนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่ลูกสาวคนนี้ก็ยังแอบหวังอยู่ในใจมาโดยตลอด เมื่อวันที่เขาเดินทางกลับไปถึงในคราวนี้ก็เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าได้นั่งรถแท็กซีคันนี้กลับบ้านคงดีไม่น้อย (อยู่ที่นั่นต้องรับผิดชอบตัวเองทุกเรื่อง) แต่ก็ไม่พบ ด้วยใจที่ห่อเหี่ยวและกำลังใจเหือดแห้งอันเป็นผลมาจากความคิดถึงบ้าน เมื่อผนวกกับแรงกดดันจากงานที่มีความท้าทายสูงจึงเป็นภาวะที่แทบจะไม่อยากรับรู้ แต่อยากเน้นว่าในพระเจ้าไม่มีความบังเอิญ ทุกเรื่องอยู่ในแผนการของพระเจ้า เช้าวันหนึ่งเมื่อกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ (shuttle bus) ก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมของบางอย่างจึงจำเป็นต้องกลับไปเอาที่บ้าน เมื่อกลับขึ้นมาบนรถเมล์อีกคันหนึ่ง (มีรถออกทุก 10 นาที) ก็ไปนั่งด้านซ้าย (ปกตินั่งด้านขวา) เมื่อมองออกไปที่ถนนอย่างไม่ตั้งใจ (ปกติไม่เคยมอง) ทันใดนั้นเองก็มีรถแท็กซีคันหนึ่งแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ พอที่จะทำให้รู้ว่าเป็นรถคันที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอด (ทะเบียน 4E32 เป็นตัวเลขที่จำได้ไม่เคยลืมตลอดสามปีครึ่งที่ผ่านมา) วินาทีนั้นเป็นวินาทีที่วิเศษสุดในวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง การได้เห็นรถแท็กซีคันนั้นอีกครั้งตามที่ใจเรียกร้องมาโดยตลอดช่วยปลดภาระที่หนักอึ้งลงไปได้มากโดยเฉพาะความคิดถึงบ้าน ทำไมการได้เห็นรถแท็กซีคันนั้นจึงสำคัญมากและมีอิทธิพลต่อจิตใจลึกซึ้งเพียงนั้น มันไม่ใช่การได้เห็นในตัวมันเองหรอก แต่มันเกิดจากการมั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังแม้เสียงรำพึงในใจ และมันเป็นการยืนยันจากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างและรับรู้เรื่องราวในใจทุกเรื่อง พระองค์ทรงรู้วิธีที่จะฟื้นจิตใจลูกคนนี้ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมาเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เล็กมากจริงๆ แต่พระองค์ทรงเห็นว่าสำคัญ และเท่านั้นเองที่ลูกสาวของข้าพเจ้าสามารถผ่านพ้นห้วงทุกข์มาได้ 
 
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องไฟดับและเรื่องลืมของ บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เราหงุดหงิดใจ แต่ขอให้แน่ใจเถอะว่ามีพระพรซ่อนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่ว่าเราสามารถค้นหาพบหรือไม่เท่านั้น
 
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะหาพระพรที่ซ่อนอยู่ในทุกสถานการณ์ชีวิตของท่านพบ แม้จะซ่อนไว้ลึกล้ำสักปานใด เมื่อทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า ท่านจะหาพบแน่นอน ข้าพเจ้าขอยืนยัน!

สิธยา คูหาเสน่ห์

ประสบการณ์ใหม่

ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยพระพรหลากหลายรูปแบบ ทุกคนได้รับการอวยพรที่แตกต่างกันไป แต่เป็นพรที่มีความพิเศษเฉพาะตัวบุคคลเพราะพระเจ้าทรงรู้จักลูกทุกคนของพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่บางครั้งเราไม่ได้สำนึกถึงพระคุณนั้น เราอาจลืมไปว่าทุกเรื่องราวในชีวิตไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า บางคราวเราไม่ไวพอที่จะเห็นว่าเป็นการอวยพรจากพระเจ้า เพราะคิดเหมาเอาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสมควรที่เราจะได้อยู่แล้ว 

แต่มีประสบการณ์ใหม่ๆ เรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางชีวิตของเรา เมื่อเรื่องราวหนึ่งจบลง เรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น สิ่งนี้แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตที่เราจำเป็นจะต้องสังเกตและเฝ้าดู บางเรื่องเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอ บางเรื่องเป็นประสบการณ์เรียนรู้ผ่านสิ่งต่างๆ 

ทว่า…หลายคนไม่อยากมีประสบการณ์ใหม่ในชีวิต หลายคนพอใจกับ “สิ่งคุ้นเคย” ไม่อยากเจอสิ่งใหม่ๆ ไม่อยากพบความแปลกใจ ไม่อยากมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น มิใช่หรือ ทารกในครรภ์มารดาคงอยากอยู่มืดๆ ในครรภ์ที่อบอุ่นนั้นตลอดไป แต่มันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ เมื่อถึงกำหนดทารกนั้นก็ต้องออกมาใช้ชีวิตนอกครรภ์มารดา ทารกนั้นไม่สามารถเลือกที่จะอยู่ในครรภ์มารดาตลอดไป แม้เมื่อออกมาใช้ชีวิตในโลกในช่วงหลายขวบปีแรกก็ตาม ทารกที่ค่อยๆ เติบใหญ่ก็ยังไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ในที่สุดสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตก็ค่อยๆ มีมากขึ้น นั่นเป็นความจริงพื้นฐานของชีวิตที่เราต้องยอมรับ แต่ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าหลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของปรากฏการณ์ ‘ดักแด้’ ซึ่งมีอยู่ทุกสังคม แต่เห็นได้ชัดเจนกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา มันเป็นสภาวะที่เราถอยตัวเองเข้าไปในที่ที่ซึ่งมีความอบอุ่น ความสบาย ความปลอดภัยจากสภาวะภายนอกที่หดหู่ อันตราย มันเป็นการป้องกันตัวเองจากสิ่งและบุคคลต่างๆ ที่อาจทำให้เรารู้สึกไม่อบอุ่นใจ (เหมือนหนอนผีเสื้อในรัง) 

หลักการนี้ใช้ได้กับชีวิตฝ่ายวิญญาณ

การปฏิบัติดังกล่าวอาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามในโลกนี้ แต่มันก็ทำให้ประสบการณ์ชีวิตในหลายๆ ด้านขาดหายไปจากชีวิตของเราด้วย และยังทำให้เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกด้วย เมื่อเราเป็นคริสเตียน พระเจ้าทรงคาดหวังให้เรา “ออกจากครรภ์” แล้วเติบโต ได้รับประสบการณ์ชีวิต และหากว่าเราไม่เติบโตขึ้นเลย นั่นหมายความว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามีปัญหาเสียแล้ว!

ท่านอาจคุ้นเคยกับสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับเราว่า


ท่านเป็นคริสเตียนมานานแล้ว และเมื่อถึงตอนนี้แทนที่ท่านจะสอนคนอื่น ท่านกลับต้องมีคนสอนเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับความเชื่อเหมือนผู้เชื่อใหม่เสียเอง ท่านต้องเรียนรู้พระคำใหม่อีกครั้ง ท่านเหมือนทารกที่ดื่มได้แต่น้ำนมเท่านั้นและรับประทานอาหารแข็งไม่ได้เลย และบุคคลที่ดื่มนมได้อย่างเดียวคงไม่สามารถเติบโตฝ่ายวิญญาณได้มากสักเท่าไร และคงมีความรู้ไม่มากพอที่จะรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง บุคคลที่รับประทานอาหารแข็งได้คือคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ คนที่ฝึกฝนตัวเองให้รู้จักแยกแยะถูกผิดและเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง 

ดังนั้นให้เราเติบโตขึ้นและไม่ต้องกลับไปเรียนพื้นฐานความเชื่อกันใหม่ ให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจ แน่ล่ะ เราคงไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการเรียนรู้ว่าต้องหันกลับจากการกระทำชั่วและเชื่อวางใจพระเจ้า เราคงไม่ต้องให้ใครมาสอนเรื่องศีลบัพติศมา เรื่องการวางมืออธิษฐาน เรื่องการฟื้นจากความตาย และการพิพากษาในวันสุดท้าย และถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น 

เราทุกคนได้รับการอวยพรอย่างเต็มเปี่ยมในชีวิตบนโลกนี้ และหากเราสร้าง ‘เปลือกหุ้ม’ ไว้รอบๆ ตัวเรา ทำไมไม่ฉีกมันทิ้งเสียล่ะ แล้วก็เติบโตเป็นคริสเตียนผู้ใหญ่ เป็นคริสเตียนที่สามารถรับใช้พระเจ้าและเป็นบุคคลที่มีค่าต่อผู้อื่นที่อยู่รอบตัวตามที่พระผู้สร้างทรงมุ่งหมายให้เป็นเสียทีเล่า

ข้าพเจ้าหวังว่าเราทุกคนคงอยากลิ้มรสอาหารอื่นๆ บ้างนอกเหนือจากน้ำนมที่คงไม่ได้มีรสชาติให้เลือกมากนัก และเมื่อท่าน “นับพระพรของท่านดูทีละอัน นับพระพรซึ่งพระเยซูประทาน นับพระพรนั้น นับดูทีละอัน นับพระพรของท่านซึ่งพระเยซูประทาน” ท่านจะพบว่าพระพรของท่านนั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แล้วสักวันหนึ่งเราคงได้มีโอกาสแบ่งปันพระพรกัน 


สิธยา คูหาเสน่ห์

ฉากปิด…ฉากเปิด

วิถีชีวิตของแต่ละคนได้เรียนรู้จากบทเรียนมากมาย หลากแบบ หลายรสชาติ เศร้าระคนสุขสลับกันไป เมื่อบทหนึ่งปิดฉากลง อีกบทหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น บางที… ฉากปิดของคนหนึ่งเป็นฉากเปิดของอีกคนหนึ่งในบริบทเดียวกัน …
 
ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายวัยเจ็บขวบที่มีเนื้องอกในสมองและเป็นเนื้อร้าย วันนั้นเป็นวันที่หนูน้อยแจ็คมารับเคมีบำบัดเป็นครั้งสุดท้ายของคอร์สแรก พวกเขานำขนมเค็กมาด้วยเพราะแผนกเคมีบำบัดจะจัดงานเลี้ยงให้สำหรับการสิ้นสุดคอร์สแรกของการให้เคมีบำบัดของแจ็ค
 
หลังจากที่แจ็คสะอึกอยู่นานเนื่องจากระบบภูมิต้านทานต่ำมากจากการที่เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เคมีบำบัดครั้งสุดท้ายของคอร์แรกก็ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายที่อ่อนแอบอบบางของเขา หลังจากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น
 
เมื่อฉากชีวิตบทหนึ่งของครอบครัวนี้ปิดลง ฉากชีวิตบทใหม่ของอีกครอบครัวหนึ่งก็เปิดขึ้นด้วยการนำลูกชายวัยสี่เดือนมารับเคมีบำบัดหลังจากที่แพทย์ได้ผ่าตัดเนื้องอกในไตออกแล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อร้ายจะถูกกำจัดให้หมดไปจากร่างกายอย่างสิ้นเชิงจริงๆ หนูน้อยจำเป็นต้องรับการรักษาแบบเคมีบำบัด
 
คุณแม่พร้อมด้วยลูกชายตัวน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจและสามีเดินเข้าไปในแผนกเคมีบำบัดที่กำลังชุลมุนอยู่กับการจัดงานเลี้ยงให้แจ็ค หลังจากที่มีการแนะนำให้รู้จักกันแล้ว สองสามีภรรยาก็ไปนั่งรอ คุณแม่ของแจ็คก็มองไปที่คุณแม่คนนี้ที่กำลังนั่งรออยู่ (อย่างที่เธอเคยนั่งรอมาแล้ว) และเบนสายตาไปรอบๆ ห้องนั้นซึ่งเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่มีสายยางห้อยระโยงระยาง เด็กเหล่านั้นยิ้มแย้มและเล่นตามประสาเด็ก น้ำตาของเธอก็เอ่อล้นเต็มดวงตาทั้งสองข้าง เธอเต็มตื้นด้วยความรู้สึกกับภาพที่เห็นต่อหน้าและสิ่งที่เธอได้เจอะเจอมาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ความคิดเตลิดไปไกลถึงความรู้สึกของคนร่วมชะตากรรมเดียวกันว่า คุณแม่คนนี้พาลูกน้อยวัยสี่เดือนมาตรวจร่างกายตามปกติ และแล้ว…วันรุ่งขึ้นก็ต้องพาลูกกลับมาที่โรงพยาบาลอีกเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอก ฉับพลันนั้นเองก็พบว่าตัวเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่ามีชุมชนแบบนั้น…หากว่าลูกชายของเธอไม่มีก้อนเนื้องอกขึ้นในไต
 
เธอมองตาคุณแม่ของเด็กน้อยวัยสี่เดือนและพูดกับเธอว่า “สิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณใช่มั้ยคะ” คุณแม่คนนั้นเริ่มร้องไห้ เธอจึงเล่าให้ฟังถึงความกลัวและความรู้สึกของเธอเมื่อลูกชายเริ่มการรักษาแบบเคมีบำบัด หลังจากนั้นเธอก็แบ่งปันกำลังใจและการหนุนน้ำใจที่ได้รับผ่านเพื่อนและพระพรของพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ยากนั้น เธอแบ่งปันเกี่ยวกับความรักและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงสามารถทำให้เกิดผลดีได้ในทุกสิ่ง เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็เริ่มร้องไห้ด้วยเช่นกัน คุณแม่สองคนร้องไห้เพราะลูกชายของตน คนหนึ่งร้องไห้เพราะลูกกำลังเข้าไปสู่ชุมชนเคมีบำบัด อีกคนหนึ่งร้องไห้เพราะลูกกำลังจะออกจากชุมชนนั้น

เธอซาบซึ้งใจจนอยากกู่ร้องให้ก้องโลกว่า “หากว่าพวกคุณรู้ว่าฉันทุกข์ใจแค่ไหน…กลัวและโกรธแค่ไหน…การที่ใครสักคนซึ่งเลือกทำบาปมานานแสนนานสามารถมีถ้วยแห่งความชื่นชมยินดีที่ไหลล้นอยู่ มีความปรารถนาที่จะยึดถือพระคำของพระเจ้า น้ำตาที่พระเจ้าทรงนับไว้ และความแน่ใจในชีวิตนิรันดร์ คุณสามารถได้เหมือนที่ฉันได้ มีอย่างที่ฉันมี พระเจ้าทรงกำลังรอคอยที่จะอวยพระพรให้แก่คุณ ขอให้มองดูที่จอมกษัตริย์แห่งสง่าราศี พระผู้สร้าง พระเจ้าผู้ทรงรักจิตวิญญาณของคุณ จงมอบใจของคุณให้พระองค์เถิด แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจอย่างแน่นอน” 

เธอสรรเสริญพระเจ้าว่า

ขอบพระคุณพระเจ้า สรรเสริญพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นความชื่นชมยินดี เพราะการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณของพระองค์ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ซึ่งสุดวิสัยที่จะทำได้เอง และทำให้มีชีวิตอยู่ในพระองค์ 

เธอเทใจร้องทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่เพราะการรักษาด้วยเคมีบำบัดของลูกชายสิ้นสุดลงแล้ว แต่เพราะว่าความสัตย์ซื่อของพระองค์ในทุกขณะของทุกวันบนเส้นทางที่ครอบครัวของเธอต้องเผชิญต่างหาก และทุกวันทั้งก่อนและหลังความทุกข์ทรมานใจ พระองค์ทรงประเล้าประโลมใจเธออย่างแท้จริง

อีกสองสัปดาห์ครอบครัวนี้ก็จะรู้ผลแน่ชัดว่าเนื้องอกในสมองของแจ็คฝ่อหมดแล้วหรือไม่ หรือว่าจำเป็นที่จะต้องให้เคมีบำบัดต่อไป แต่ขณะนี้…ในห้องนี้…เธอสนุกกับงานเลี้ยง และมีความปีติยินดีในพระบิดา และรู้ว่าเธอมิได้ต่อสู้อยู่บนเส้นทางนั้นอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นพระเจ้าทรงอนุญาต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายสักปานใด (ในความรู้สึกของท่าน) ก็ตาม แต่ในนั้นจะมีพระพรของพระเจ้าซ่อนอยู่เสมอ หาสิ…หาพระพรนั้นให้พบ พระเจ้าทรงมีทางออกให้เสมอ อธิษฐานสิ…แล้วจะพบคำตอบ

เชื่อวางใจพระเจ้า ถ่อมใจลงและยอมรับน้ำพระทัยของพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง แล้วท่านจะได้รับการชูใจและรู้ว่าพระพรที่ซ่อนอยู่นั้นหอมหวานเพียงไร

สิธยา คูหาเสน่ห์

คริสตมาสดิลิฟเวอรี่

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าคนในยุคนี้คงรู้จักบริการดิลิฟเวอรี่เป็นอย่างดีกันแทบทุกคน (เพราะคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งบริการนี้ไปไม่ถึงคงยังไม่รู้จัก) เราคงต้องยอมรับว่าบริการนี้ให้ความสะดวกสบายแก่ชีวิตที่ผูกติดกับงานเสียจนแทบจะหาความหมายของคำว่า ‘ชีวิต’ ไม่พบเสียแล้ว เวลารับประทานอาหารหรือแม้กระทั่งเวลาพักผ่อนดูจะมิได้รวมอยู่ในตารางการใช้ชีวิตประจำวันเสียแล้ว เช่นนั้น ในช่วงเวลาทำงานการออกไปหาอาหารใส่ท้องในตอนพักเที่ยง (หรือมื้อเย็นในวันที่ต้องทำงานจนดึก) จึงเป็นการเสียเวลางานไปไม่น้อย ดังนั้น การพึ่งบริการดิลิฟเวอรี่จึงให้ประโยชน์มากโข ขณะนี้คำว่า ‘ดิลิฟเวอรี่’ จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการให้บริการในด้านอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่าง

‘ดิลิฟเวอรี่’ นอกจากหมายถึงการส่งสินค้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อแล้ว คำนี้ยังใช้ในแง่อื่นอีก ข้าพเจ้าจึงขอพูดถึงแง่อื่นๆ บ้าง เช่น การนำส่ง การส่ง การส่งสาร ที่ข้าพเจ้ายกแง่มุมเหล่านี้ขึ้นมาพูดก็เพื่อนำเข้าไปสู่บริบทการประกาศข่าวประเสริฐ การนำข่าวดี การส่งสารเกี่ยวกับความรอด เพราะเราทั้งหลายเป็นผู้เชื่อ เป็นสาวกของพระคริสต์ เป็นผู้ที่รอดแล้วโดยพระคุณของพระเจ้า มีหน้าที่ที่จะต้องป่าวประกาศเรื่องความรอดแก่ผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวสารนี้
 
ที่เรารอด เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายบนกางเขนแทนคนบาปทุกคนในโลกนี้ เราเชื่อและเรายอมรับพระบุตรของพระเจ้าซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา (เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลกมิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลกแต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น … ยอห์น 3:15-17)
 
ที่เรารู้ เพราะเราได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องการช่วยกู้ให้รอด มีคนนำข่าวดีนี้มาบอกให้เรารู้ ข่าวสารเรื่องความรอดถูกนำส่งมาถึงเรา (ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยินและการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์…โรม 10:17)
 
ที่คนเหล่านั้นนำข่าวดีมา เพราะพวกเขาทำตามพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสและถูกบันทึกไว้ในพระธรรมมัทธิว 28:19 ว่า เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค นั่นเองที่ทำให้ข่าวดีถูกนำส่งต่อไปเรื่อยๆ เป็นการส่งต่อที่มีคนรับช่วงต่อๆ ไปเสมอ การนำส่งจะดำเนินอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะสิ้นยุค
 
เพราะพระเจ้าทรงรักโลก คือ มนุษยโลก นั่นเอง พระเจ้าจึงทรงนำส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาให้แก่โลกที่ล้มลงในความบาป กบฎต่อพระองค์ ปฏิเสธพระองค์ เมินไม่ใยดีต่อความรักของพระองค์ ตามืดบอดมองไม่เห็นพระคุณของพระองค์ และยังมีคนอีกมายมายที่ยังไม่ได้รับของขวัญชิ้นยอดเยี่ยมที่สุดนี้ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้เพราะยังขาดคนนำส่ง 
 
ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหลายจึงควรที่จะนำส่งของขวัญชิ้นนี้ให้ถึงที่ ให้บริการดิลิฟเวอรี่แก่ผู้คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ผู้คนที่ยังไม่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระบุตรที่พระเจ้าทรงยอมสละเพื่อไถ่บาปคนทั้งปวง เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความรอดและชีวิตนิรันดร์ ถ้าใครยังไม่เคยประกาศข่าวประเสริฐ ยังไม่เคยนำส่งของขวัญแห่งความรอด ข้าพเจ้าใคร่ขอหนุนใจให้เริ่มต้นเสียในช่วงเทศกาลแห่งการให้ที่กำลังจะมาถึงนี้ นั่นคือ คริสตมาส ซึ่งเป็นที่เข้าใจของคนทั้งโลกว่าเป็นการเฉลิมฉลองวันประสูติขององค์พระเยซูคริสต์ เป็นเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดี เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนทำกิจกรรมมากมายหลายอย่างเพื่อระลึกถึงการเสด็จเข้ามาในโลกของพระเยซูคริสต์ เป็นการมาที่พระองค์ทรงตระหนักถึงภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่พระบิดาทรงมุ่งหมายให้พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จ พันธกิจการช่วยกู้ให้รอดนี้มิได้เป็นภารกิจธรรมดา แต่เป็นการเสียสละยิ่งใหญ่ เพราะพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานมาให้แก่โลกนั้นคือ “ผู้ทรงสภาพของพระเจ้าแต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้วพระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณากระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟิลิปปี 2:6-8)
 
คริสตมาสปีนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงนำข่าวดีหรือของขวัญล้ำค่าไปมอบให้แก่คนที่ยังไม่เคยได้รับของขวัญชิ้นนี้ ขอให้เรานำของขวัญชิ้นเยี่ยมนี้ไปมอบให้แก่คนเหล่านั้น ขอให้ท่านห่อของขวัญด้วยความรักที่ท่านได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า กระดาษห่อของขวัญของท่านจะงดงามที่สุดและเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ที่ยิ่งตัดใช้ก็ยิ่งยาว หยิบยื่นให้ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยในจิตวิญญาณของเขา นำของขวัญไปมอบให้ถึงมือด้วยมือแห่งการหยิบยื่นความรอด มือของท่านจะไม่มีวันเหนื่อยล้าในการหยิบยื่นความรอดเพราะท่านจะได้รับการเสริมกำลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 
 
ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้าขอส่งความสุขในวันคริสตมาสและวันปีใหม่ที่จะตามมาติดๆ มาถึงทุกท่าน หากพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ เราจะได้พบกันใหม่ในปี 2008 
 
จนกว่าจะได้พบกัน 

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไปผิดที่

เหตุฉะนั้นเราจะต้องสนใจในข้อความเหล่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้นเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น (ฮีบรู 2:1)
 ท่านจงพิจารณาดูตัวของท่านว่าท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงชันสูตรตัวของท่านเองเถิด (2 โครินธ์ 13:5)
 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกรกฎาคม 2004 ผู้โดยสารบนเที่ยวบินจากมิลานไปเมือง Cagliari ในซาร์ดิเนีย (ทางใต้ของ Gulf of Cagliari ซึ่งเป็นปากทางเข้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ได้รับทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจุดหมายปลายทางสำหรับเที่ยวบินนั้น เครื่องบินจะไม่ลงจอดที่เมือง Cagliari แต่จะไปลงจอดที่ Alghero แทนซึ่งห่างออกไป 142 ไมล์และต้องใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์อีกประมาณสามชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ นี่เป็นเที่ยวบินดึกและผู้โดยสารทั้งหมดก็พร้อมที่จะลงที่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องเพื่อกลับบ้านหรือพักค้างคืนในเมืองนั้น แต่ผู้จัดการของสายการบิน AirOne ซึ่งเป็นสายการบินของอิตาลีก็ตัดสินใจที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่ปลายทางใหม่โดยมิได้แจ้งผู้โดยสารให้ทราบจนกระทั่งบินมาได้ครึ่งทางแล้วจึงประกาศให้ทราบทั่วกัน สาเหตุที่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเพราะทางวิ่งที่สนามบิน Cagliari ปิดในคืนนั้นเพื่อซ่อมบำรุง ด้วยเหตุนี้ศาลจึงตัดสินว่าผู้จัดการทั้งสองคนและนักบินทำผิดฐานหลอกลวง และมีการอุทธรณ์การชะลอการลงโทษเกิดขึ้น
 เราคงพอจินตนาการได้ว่าผู้โดยสารบนเที่ยวบินนั้นจะคับข้องใจสักแค่ไหนเมื่อพบว่าตัวเองต้องไปลงที่อีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่อีกปลายหนึ่งของเกาะ มันเป็นช่วงดึกและก็มีการวางแผนไว้หมดแล้ว จะโทรศัพท์ไปหาใครได้ยามดึกดื่นปานนั้น จะทำอะไรได้ในยามนั้น ไม่เคยนึกฝันว่าการเดินทางครั้งนี้จะพาพวกเขาห่างจากจุดหมายปลายทางถึง 142 ไมล์และต้องนั่งรถต่ออีกสามชั่วโมงจึงจะถึงที่หมายที่ต้องการ 
 ท่านล่ะ ท่านกำลังจะไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการหรือไม่ ท่านกำลังไปยังที่ที่พระเจ้าทรงต้องการให้ท่านไปหรือเปล่า ท่านอยู่บนเที่ยวบินที่ถูกต้องที่กำลังพาไปยังที่ที่ท่านต้องการจะไปหรือไม่ หรือว่า … ชีวิตของท่านกำลังเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางอีกแห่งหนึ่ง 
 น่าเศร้า ที่หลายคนพบว่าชีวิตกำลังเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่ได้ต้องการจะไป เราตั้งใจที่จะทุ่มเทรับใช้พระเจ้าอย่างสุดกำลัง แต่ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็มีบางสิ่งบางอย่างมาหันเหความสนใจของเราไปเสียทางอื่น สำหรับบางคนอาจะเป็น ‘เวลาคุณภาพ’ กับครอบครัวซึ่งหาได้ยาก มันอาจจะปรากฏว่าการใช้เวลากับครอบครัวอย่างสนุกสนานที่ไหนสักแห่งในวันอาทิตย์เป็น ‘เวลาคุณภาพ’ ก็ได้ อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการในชีวิตของเราซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจฝ่ายวิญญาณสำหรับตัวเราเองหรือของครอบครัวได้เลย เราจะพบว่าช่วงเวลาที่น่าจดจำหรือน่าทะนุถนอมที่สุดก็คือเวลาที่เราได้อยู่กับครอบครัวในคริสตจักรซึ่งเป็นชุมชนความเชื่อของเรานั่นเอง
 หากเราต้องการที่จะไปในที่ที่เราต้องการจะไปและอยู่ในที่ที่พระเจ้าทรงต้องการให้อยู่แล้วล่ะก็ เราจำเป็นที่จะต้องทำอย่างที่บันทึกไว้ในพระธรรมฮีบรูที่บอกว่า “เราจะต้องสนใจในข้อความเหล่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้นเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น” อัครทูตเปาโลได้ให้คำแนะนะที่ยอดเยี่ยมไว้ในพระธรรม 2 โครินธ์เพื่อเป็นแนวทางให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องซึ่งกล่าวว่า “ท่านจงพิจารณาดูตัวของท่านว่าท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงชันสูตรตัวของท่านเองเถิด” บางทีถึงเวลาแล้วกระมังที่เราทุกคนจะต้องชันสูตรตัวเองเพื่อหาตำแหน่งแหล่งที่ของเราในเส้นทางฝ่ายวิญญาณเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเรายังตั้งอยู่ในความเชื่ออย่างที่ประกาศตัวไว้หรือไม่ 
ท่านยังดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางหรือไม่ 
หรือว่า … 

  สิธยา คูหาเสน่ห์

ในเวลาของพระองค์

ข้าพเจ้าคิดว่าคริสเตียนทุกคนคงรู้จักเพลงนมัสการ ‘ในเวลา’ ซึ่งร้องว่า

ในเวลา ของพระคริสต์
ทรงลิขิตชีวิตของข้า ตามน้ำพระทัย
ขอโปรดให้ข้าเรียนรู้ว่า
ตราบที่ข้า เดินในมรรคา
ดวงชีวาอยู่ในเวลา ของพระองค์

ในเวลา ของพระเจ้า
ทรงเฝ้าดูชีวิตให้อยู่ในน้ำพระทัย
โอ้พระเจ้าข้าขอมอบใจ
มอบถวายชีวิตทั้งกาย
เพื่อจะได้อยู่ในเวลา ของพระองค์

ใช่แล้ว พระเจ้าทรงกระทำการในชีวิตของผู้เชื่อตามน้ำพระทัยในเวลาของพระองค์ เมื่อเราทูลวิงวอนต่อพระองค์ บางครั้งดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเงียบเฉยอยู่ ทำให้ไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเราหรือไม่ ทำไมรอแล้วรอเล่า คำตอบไม่มาสักที ท้อแทบหมดแรง สั่นคลอนในความเชื่อ และท้ายที่สุดอาจถึงกับต่อว่าพระเจ้า 

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าท่านเคยมีประสบการณ์เช่นนี้บ้างไหมในชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่ที่แน่ใจก็คือไม่ว่าปัญหาของท่านจะเป็นอะไร ใหญ่แค่ไหน ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีคำตอบสำหรับปัญหาของท่านเสมอ พระองค์จะไม่มีวันเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของท่านอย่างแน่นอน แต่…พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านในเวลาของพระองค์เท่านั้น กรอบเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้สำหรับแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่คำตอบจะมาถึงทุกคน

ข้าพเจ้าอยากขออนุญาตเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อยเกี่ยวกับการสัมผัสจากพระเจ้าในการรักษาโรค จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อหนุนใจพี่น้องที่เจ็บป่วยซึ่งคำอธิษฐานขอการรักษายังมาไม่ถึง อย่าอ่อนระอาหมดแรงไปเสียก่อน ขอให้อธิษฐานต่อไป พระองค์ทรงมีพระประสงค์สำหรับท่านอย่างแน่นอน 

ข้าพเจ้ารับทราบจากคุณหมอว่าข้าพเจ้ามีปัญหาเกี่ยวกับตาเมื่อไปรับการตรวจประจำทุกหกเดือน คุณหมอซึ่งรับรู้สภาพตาของข้าพเจ้ามาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีพังผืดที่จอประสาทตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เริ่มเอะใจเมื่อคุณหมอเริ่มถามอะไรๆ นอกเหนือไปจากที่เคยถามแล้ว แต่ก็ไม่ได้วิตกเกินกว่าเหตุ เพียงคิดว่าตาคงเสื่อมลงไปอีกเพราะคุณหมอเตือนแล้วว่าตาของข้าพเจ้าคงเสื่อมเร็วกว่าคนในวัยเดียวกันเนื่องจากงานของข้าพเจ้าที่จำเป็นต้องจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานวันละหลายๆ ชั่วโมง พยายามทำตามคำแนะนำของแพทย์ที่ให้พักสายตาบ่อยๆ แต่ดูเหมือนทำไม่ค่อยได้เอาเสียเลย แต่เมื่อตรวจเสร็จก็ได้รับการบอกว่ามีพังผืดที่จอประสาทตา มันเป็นคำใหม่ที่ไม่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่รู้ว่ามีโรคตาที่เรียกว่าพังผืดที่จอประสาทตาด้วย (ร้ายแรงกว่าโรคตาต้อมาก) ในขณะนั้นก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะถ้าตามีปัญหาแล้วข้าพเจ้าคงไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้อีกในงานที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ทำ แต่ในใจลึกๆ ก็ไม่ได้ปริวิตกเกินเหตุเพราะแน่ใจว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับทุกสิ่ง ข้าพเจ้าจึงซักถามคุณหมอเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีการรักษา และทราบว่าสาเหตุนั้นบอกไม่ได้ แต่หากมีแผลเกิดขึ้นที่จอตาก็ทำให้มีพังผืดได้ แต่เท่าที่จำได้ตาของข้าพเจ้าไม่เคยบาดเจ็บถึงขั้นเป็นแผลเลย ส่วนวิธีการรักษาก็รับทราบเพียงว่าทำได้ด้วยการลอกพังผืดออก แต่การรักษาแบบนี้ (ซึ่งมีวิธีเดียว) ก็มีความเสี่ยงสูงและผลที่ตามมาก็ไม่พึงประสงค์ เช่น ทำให้เกิดต้อกระจกในภายหลัง จอตาหลุด คุณหมอบอกเท่านี้ แต่คำตอบเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าจุใจได้ ข้าพเจ้าจึงสำรวจเองทางอินเทอร์เน็ตและพบว่าผลร้ายมีมากกว่านั้น และนับว่าเป็นการรักษาที่อันตรายมากที่สุดของการรักษาเกี่ยวกับโรคตาทั้งหมด เมื่อทราบเช่นนี้ข้าพเจ้าก็อธิษฐานทูลพระเจ้าว่าข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์สำหรับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่ลอกพังผืดออกอย่างแน่นอน เมื่อถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุดก็แค่มองเห็นภาพบิดเบี้ยวและคงจะอ่านหนังสือไม่ได้เท่านั้นเอง แต่พระเจ้าทรงให้สติปัญญาและทรงใช้ข้าพเจ้าในการแปลหนังสือและเขียนบทความ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพเจ้าจะต้องพบกับภาวะเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่าโรคนี้คงรุนแรงมากจริงๆ เพราะคุณหมอนัดตรวจทุกสองเดือน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานขอการสัมผัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าทูลขอให้พระองค์ทรงลอกพังผืดออกไปด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งทรงเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกเช้าข้าพเจ้าจะอธิษฐานขอบพระคุณที่ยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในสภาพที่ข้าพเจ้าเคยเห็น แต่หากว่าข้าพเจ้ามอง Amsler Grid Eye Exam (ซึ่งเป็นตารางสำหรับทดสอบจอประสาทตา) ทั้งสองตาพร้อมกันก็ยังไม่เห็นภาพบิดเบี้ยว แต่หากมองทีละตาก็จะเห็นว่าตารางมันไม่เป็นเส้นตรงแล้ว ตาข้างขวาเป็นมากกว่าข้างซ้าย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้วิตกกังวล แต่อธิษฐานทูลขอการรักษาต่อไป ข้าพเจ้าจำได้ว่าภาพที่เห็นเหมือนเดิมสำหรับการทดสอบ 2-3 ครั้งต่อมา 

ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้าสงสัยในน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้างไหม ข้าพเจ้าขอตอบด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า ไม่เคยเลยสักนาทีเดียว แต่อย่างที่ข้าพเจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงกระทำการในเวลาของพระองค์ ในสถานที่ที่เราคาดไม่ถึง เรื่องราวของข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาดใหญ่เพื่อไปเป็นล่ามแปลในการสัมมนาของโครงการอวยพรหาดใหญ่ ขณะที่อยู่บนเครื่องบินข้าพเจ้าก็มองออกไปนอกหน้าต่าง (ข้าพเจ้าชอบมองดูก้อนเมฆ) ข้าพเจ้าตกใจเล็กน้อยเพราะมองเห็นสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามจังหวะการกรอกตาของข้าพเจ้า ภาพที่เห็นเหมือนเป็นรอยครูดยาวๆ มันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของคุณหมอที่บอกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพังผืดคือเป็นแผลที่จอตา ข้าพเจ้าจึงหลับตาและพนมมืออธิษฐานตรงนั้นบนเครื่องบิน เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นทูลพระเจ้าว่าขอโปรดสัมผัสดวงตาของข้าพเจ้าและเอาพังผืดที่อยู่ในตาทั้งสองข้างออกไปด้วย ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็เห็นนิมิตเป็นเปลวไฟลุกโพลงในตาทั้งสองข้าง (ข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ว่านานแค่ไหน แต่คงประมาณ 1-2 นาที) ในวินาทีนั้นเองข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงสัมผัสตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขนลุก (แม้ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ก็ขนลุกอีก) ไม่มีความเจ็บปวด ไม่รู้สึกร้อน เมื่ออธิษฐานเสร็จสิ้นลงก็ไม่ได้รู้สึกแปลบปลาบแต่อย่างใด แต่ในใจมีความสุขและความชื่นชมยินดี เมื่อข้าพเจ้ากลับมากรุงเทพฯ แล้วหลายวัน ข้าพเจ้าก็ทดสอบตาด้วย Amsler Grid Eye Exam (ที่จริงคุณหมอให้ทดสอบทุกวัน) ข้าพเจ้าตกใจมากกับภาพที่มองเห็นต่อหน้า (ตามขั้นตอนการทดสอบ) เมื่อมองด้วยตาซ้ายข้างเดียวข้าพเจ้าเห็นตารางไม่บิดเบี้ยวเลย (ก่อนหน้านี้บิดเบี้ยวบ้าง) ส่วนตาข้างขวาบิดเบี้ยวเฉพาะตรงกลางนิดเดียว (ก่อนหน้านี้บิดเบี้ยวค่อนข้างมากและมากกว่าตาข้างซ้าย) ข้าพเจ้าขนลุกอีกครั้งและรีบโทรศัพท์บอกทุกคนในครอบครัวยกเว้นลูกสาวคนเล็ก (ในเวลานั้นลูกนอนแล้วเพราะเวลาต่างจากประเทศไทย) 

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ และอยากหนุนใจพี่น้องที่กำลังอธิษฐานทูลขอการรักษาที่ยังมาไม่ถึงว่าอย่าท้อใจ อธิษฐานต่อไป ท่านจะได้รับคำตอบอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์หากพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะให้ท่านหายโรค เพราะมีความเจ็บป่วยบางอย่างที่ข้าพเจ้าทูลวิงวอนมานานแล้วแต่ก็ยังไม่หายสักที ข้าพเจ้าขอบพระคุณสำหรับเรื่องนั้นด้วยเพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่สามารถยอมรับน้ำพระทัยได้ 

ขอพระเกียรติเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว 

สิธยา คูหาเสน่ห์

23/9/51

ใครที่อาจนิ่งเสีย

“จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” (สดุดี 46:10)

ท่านเคยรู้สึกผิดบ้างไหมเมื่อได้ยินใครสักคนยกข้อพระวจนะนี้ขึ้นมากล่าว ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าสิ่งที่ท่านอยากทำมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดเมื่อได้ยิน “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” คือหาเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าตามลำพังอย่างแน่นอน บางทีท่านอาจต้องวางแผนที่จะทำเช่นนั้น (หากทำทันทีไม่ได้) สิ่งอัศจรรย์อาจเกิดขึ้นในยามที่ท่านปลีกตัวอยู่ตามลำพังต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ยามที่นิ่งสงบอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า แต่ในบางเวลา ในบางวัน “การนิ่งเสีย” ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และอาจไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ บางทีในประสบการณ์ชีวิตบางช่วงของเราทั้งหลายอาจไม่ได้เล่นบทบาทนี้เลยสักครั้งเดียว
 
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งเมื่อเราต้องเผชิญเส้นตาย ในขณะที่กำหนดเวลาที่ต้องส่งงานที่ได้รับมอบหมายใกล้เข้ามา สำหรับตัวข้าพเจ้าคือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องส่งต้นฉบับบทความ งานแปลที่ทางสำนักพิมพ์ (หรือหน่วยงาน) เร่งมา ยิ่งถ้าเราอาศัยในเมืองใหญ่ๆ เราก็ยิ่งเห็นค่าของช่วงเวลาสงบมากยิ่งขึ้น เพราะรอบข้างเรานั้นมีแต่เสียงอึกทึกครึกโครมจากทั่วสารทิศ เช่นนั้นแล้ว … เราจะค้นพระเจ้าพบได้หรือท่ามกลางความโกลาหล ความอึงอล ความวุ่นวาย ความเร่งรีบ … 
 
แต่…“เสียง” ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเสียงที่เราได้ยินอยู่รอบๆ ข้างก็แทรกตัวอยู่ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นด้วย เสียง ที่ความเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือการบาดเจ็บตะโกนใส่เรา เสียง ที่ความกดดันจากความพยายามหางานใหม่เร่งเร้าใส่เรา เสียง ร่ำไห้กับการจากไปของใครสักคนที่การพลัดพรากนั้นฉกเอาสันติสุขในจิตใจไปเสียสิ้น เสียง ที่ย้ำเตือนให้รวบรวมสติที่จะสู้ชีวิตต่อไปในยามท้อแท้ใจ… ความโศกเศร้า ความผิดหวัง และ การสูญเสีย ถาโถมเข้ามาในชีวิตเหมือนทะเลคลั่ง
 
แปลกแต่จริงที่บางคนจำเป็นที่จะต้องฝึกฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ความสับสนวุ่นวาย และความยุ่งเหยิงมากกว่าที่จะหัดอยู่นิ่งๆ และเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงที่พระเจ้าตรัส
 
“เขาถลาและโซเซไปอย่างคนเมาและสิ้นปัญญาลงแล้วในความยากลำบากของเขาเมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยนำเขาออกจากความทุกข์ใจของเขา พระองค์ทรงกระทำให้พายุสงบลงและคลื่นทะเลก็นิ่ง แล้วเขาก็ยินดีเพราะเขามีความเงียบ และพระองค์ทรงนำเขามายังท่าที่เขาปรารถนา ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (สดุดี 107:27-31)
 
ท่านคิดไหมว่าคนในยุคนี้เป็นพวกแรกที่รู้สึกแบบนี้
 
ท่านคิดจริงๆ หรือว่าคนในยุคนี้เป็นคนรุ่นแรกที่รู้สึกกดดันเรื่องเสียงรบกวน ความตึงเครียด และ ความไม่แน่นอน ไม่ใช่ ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน และบางทีประสบการณ์ของบางคนอาจเป็นเครื่องชี้ทางให้แก่เราในยุคแห่งความเครียดนี้ก็ได้ 
 
เราคิดว่าใครก็ตามที่ตกเป็นประเด็นตามที่กล่าวข้างต้นกำลังถลาและโซเซภายใต้ภาระหนักอึ้งของพวกเขาและหาเวลาที่จะนิ่งสงบต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ ตรงกันข้าม คนเหล่านี้ “สิ้นปัญญา” ลงแล้วต่างหาก ดังนั้น เมื่อเกิดอาการคลุ้มคลั่งและมีความคับแค้นใจจึง “ร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยนำเขาออกจากความทุกข์ใจของเขา” และพระเจ้าทรงสดับฟังเสียงร้องของพวกเขา (พระเจ้าผู้ทรงแสนดี)
 
หากท่านมีความวุ่นวายใจมากกว่าความสุขใจ ความยุ่งเหยิงมากกว่าความเงียบสงบ พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ท่านร้องทูลต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงสำแดงพระองค์เองต่อท่าน ท่ามกลางเสียงอึงอล ท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับท่าน
 
หากท่านตกอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงวุ่นวาย ท่านสามารถรวบรวมสติและสงบนิ่ง ร้องทูลต่อพระเจ้า นิ่งเสีย รอคอย ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า 

สิธยา คูหาเสน่ห์

เห็นคนเป็นคน

การเห็นคนเป็นคนเกี่ยวข้องกับสำนึกส่วนบุคคล มันเป็นการสื่อสารเกี่ยวกับคุณค่าของคน การทำให้ใครสักคนรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองแทนที่จะเป็นความเวทนาสงสาร การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่าเป็นบุคคล มิใช่วัตถุสิ่งของ แผนงาน หรือตัวประหลาด …
 
บางคนกล่าวไว้ว่าการเห็นคนเป็นคน (ตามนัยที่กล่าวไว้ข้างต้น) ทำได้ง่ายๆ เหมือนการสบตากัน ทำได้โดยตรงเหมือนการพูดคุยกัน เพียงแค่การถามคำถามเป็นครั้งเป็นคราวก็สามารถสื่อจากใจถึงใจได้แล้ว การทำให้ใครบางคนรู้สึกถึงคุณค่าความเป็นคนเป็นสิ่งที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่มันมีความหมายมากมายเหลือเกินสำหรับใครบางคน เพราะมันหมายถึงการเป็นที่ยอมรับในความเป็นคนของเขา  
 
เราคงจะไม่ใช่แม่ชีเทเรซาคนต่อไปหรือเป็นใครสักคนที่จะยอมสละบ้านที่อบอุ่นแล้วไปอาศัยคลุกคลีอยู่กับคนจรหมอนหมิ่นที่ข้างถนนเป็นแน่ แต่เราสามารถที่จะใส่ความรักลงไปในการให้และการเอาใจใส่ดูแลของเราได้ที่ทำให้ผู้รับรู้สึกได้ว่าคุณค่าแห่งความเป็นคนของเขาได้รับการยอมรับและเป็นที่ตระหนัก เราอาจออกไปหยิบยื่นน้ำใจด้วยตัวเอง เราอาจสละเวลาของเรา เราอาจสละเงินทองของเรา เราอาจแม้กระทั่งพูดคุยกับคนเหล่านั้นบ้าง เราอาจแสดงความเคารพในคุณค่าความเป็นคนของพวกเขา เราอาจทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ 
 
แจ็คเป็นคนหนึ่งที่คุณค่าของเขาเป็นที่ยอมรับก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปด้วยการเสพยาเกินขนาด คุณค่าความเป็นคนของเขาเป็นที่ยอมรับแม้กระทั่งในวันที่เขาตกอับ นั่นเอง ประเด็นของเรื่อง ตรงนี้เองที่เป็นบทเรียนสำหรับเราทั้งหลายที่จะเรียนรู้ เรารู้ว่าพระเยซูตรัสสอนให้เราเยี่ยมเยียนผู้ป่วย ให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหย และให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ที่เปลือยกายอยู่ และเราทั้งหลายก็ยังรู้อีกว่าลำพังความเชื่อถ้าไม่มีการปฏิบัติก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว (ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล…ยากอบ 2:17) เช่นนั้นเองที่ทำให้เราส่งการ์ดไปหนุนจิตชูใจผู้ป่วยหรือไม่ก็ไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล (หรืออธิษฐานเผื่ออยู่ที่บ้าน) เราสละเงินทองเพื่อช่วยเหลือ เราบริจาคเสื้อผ้าเก่า และ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการทำดีทั้งสิ้น แต่เราให้ด้วยท่าทีอย่างไร นั่นต่างหากที่สำคัญ 

แจ็คเคยเล่นดนตรี เป็นเจ้าของภัตตาคาร มีครอบครัว แต่หลังจากที่ติดยา ทั้งหมดที่เขามีและทั้งหลายที่เขาเป็นก็หมดไป กลายเป็นคนร่อนเร่และค่ำไหนนอนนั่นอยู่ที่รัฐหนึ่งในสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งจอชก็พบกับแจ็คในขณะที่กำลังรับอาหารจากสมาชิกคนหนึ่งของคริสตจักรซึ่งมีความเป็นห่วงเป็นใยผู้ขัดสน นั่นเป็นครั้งแรกที่จอชพบกับแจ็ค หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เรียนรู้ที่จะรู้จักกันให้มากขึ้น ต่อมาจอชขนานนามแจ็คว่า ‘ศาสตราจารย์แจ็ค’ เพราะจอชได้เรียนรู้มากมายจากแจ็คนั่นเอง 

แจ็คเริ่มเป็นพี่เลี้ยงของจอช เขาสอนจอชหลายสิ่งหลายอย่าง บทเรียนที่ได้เรียนรู้มานั้นมีมากมายจนสามารถรวบรวมได้เป็นเล่มหนังสือทีเดียว บทเรียนสำคัญเริ่มต้นตั้งแต่แรกของสัมพันธภาพที่ก่อตัวขึ้น แจ็คสอนเหมือนบรมครูนับจากโมเสสถึงโซกราตีส เขาเปิดรับการซักถาม ดังนั้นจอชจึงมีกล้าที่จะถามว่าผู้คนที่มีความตั้งใจดีที่มีใจเมตตาสามารถทำที่จะทำให้เกิดความแตกต่างอย่างแท้จริงสำหรับคนขัดสนและคนร่อนเร่ แจ็คตอบว่า “ทำให้พวกเรารู้สึกว่ามีตัวตน พวกเราต่างก็อยากที่จะรู้สึกว่าเราเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ รับรู้การมีอยู่ของพวกเรา พูดคุยกับพวกเรา ใช้เวลาอยู่กับพวกเรา ช่วยให้พวกเรารู้สึกว่าเรามีคุณค่าของความเป็นคน มันไม่ใช่แค่การหยิบยื่นอาหารหรือเสื้อผ้าให้เท่านั้น มันเป็นการมองเห็นคุณค่าของความเป็นคนของพวกเรา” 

[พระเยซูตรัสว่า] จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครได้ริบของของท่านไป อย่าทวงเอาคืน จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน แม้ว่าท่านทั้งหลายรักผู้ที่รักท่านจะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่านถึงแม้คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาเหมือนกัน ถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่านจะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่านเพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่ท่านหวังจะได้คืนจากเขาอีกจะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่านถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาเท่ากัน แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลายและทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุดเพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว ท่าน ทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา (ลูกา 6:30-36)

ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายคงจะปฏิบัติต่อผู้ขัดสนหรือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเราอย่างถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ทำให้การให้ของเราเป็นพรทั้งผู้รับและผู้ให้ (คือตัวเราเอง) ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ยากเกินทำ การให้ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง แม้สิ่งของที่ให้จะด้อยค่า แต่มากด้วยคุณค่า 

สิธยา คูหาเสน่ห์

เส้นทางสู่ความตาย…การเดินทางกลับบ้าน จุดจบ หรือ จุดเริ่มต้น

“ความตาย” คำนี้ฟังดูน่ากลัว ทำไมส่วนมากเรามักจะกลัวความตาย ถ้าจะให้อธิบายถึงสาเหตุ คำตอบคงมีหลากหลาย แต่ที่พอจะเข้าใจได้อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร ตอนที่กำลังเผชิญกับมันในช่วงสุดท้ายของชีวิตเป็นอย่างไร ตายแล้วจะไปไหน คำถามเหล่านี้เราหาคำตอบไม่ได้ เราจึงกลัว คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้และกลัวการเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหนึ่ง ที่แน่ๆ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ เราจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป นั่นแหละที่เรากลัว ตายแล้ว…ไปไหน
 
บางที บางทีนะ เรื่องของความตายอาจวนเวียนอยู่ในความนึกคิดของผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงและรู้ว่าการรักษาให้หายจากโรคนั้นเป็นไปได้ยาก หรือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความตายมันวนเวียนอยู่ตรงหน้า คนเหล่านั้นอาจสามารถได้กลิ่นอายของความตายด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าได้เห็นความตายเกิดขึ้นในครอบครัวหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็โตพอที่จะเข้าใจได้แล้วว่ามันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าจะถามว่า กลัวไหม ท่านคงไม่เชื่อถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่า ไม่ ถามตอนนั้นและถามตอนนี้ยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่ ตอนนั้นมันน่าเป็นความสับสนมากกว่าที่จะเป็นความกลัว ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ข้าพเจ้ารักและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตต้องจากไป มันเป็นอีกบทหนึ่งของชีวิตที่ไม่ได้เป็นสีชมพูสดใส ทว่าเป็นสีหม่นๆ เป็นบทบาทที่ข้าพเจ้าต้องเล่นเองโดยไม่มีใครเป็นกำลังใจให้อีกต่อไป มิได้เล่นคนเดียวก็จริงเพราะยังมีคนรอบข้างที่ต้องอยู่ในฉากนั้นด้วย แต่มันรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย เศร้าไหม มันไม่ใช่ความเศร้า แต่มันเป็นความรู้สึกอ้างว้าง ข้าพเจ้าเคยพูดอย่างนี้ว่า คนเราอาจรู้สึกอ้างว้างได้ท่ามกลางฝูงชน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีใครบ้างรู้สึกแบบเดียวกันนี้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อ้างว้าง ว่างเปล่า …
 
ข้าพเจ้ารักทะเล รักผืนน้ำกว้างใหญ่ที่พระเจ้าทรงสร้าง ข้าพเจ้ามองดูทะเลคราใด มันก็ให้ความรู้สึกอ้างว้างครานั้น แต่ลึกๆ ในใจมันเป็นความสุขสงบ น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปทะเลมากนัก ที่ข้าพเจ้าพูดว่ารู้สึกอ้างว้างท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะที่ชายทะเลมีคนมากมาย แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกอ้างว้าง ว่างเปล่า …
 
เมื่อผู้เชื่อคิดถึงเรื่องความตาย ยิ่งไม่ควรกลัว เพราะเราทั้งหลายรู้แน่อยู่แก่ใจว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วเราไปไหน เราจะไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานที่ที่ดีเลิศยอดเยี่ยมและงดงามกว่าโลกนี้มากมายนัก เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ สรรเสริญ นมัสการ รับใช้พระองค์ ที่นั่นจะไม่มีความตาย จะไม่มีการลาจาก 
 
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรากระทำกิจของพระองค์เมื่อทรงสร้างเรา และเมื่อเราทำกิจนั้นลุล่วงแล้ว พระองค์จะทรงเรียกเรากลับบ้านถาวรของเรา ก็แค่นั้นเอง บางทีเรื่องราวของเด็กชายอายุสิบสามคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความตายอาจให้แง่คิดเกี่ยวกับความตายได้บ้าง
 
จอห์น เด็กชายอายุสิบสามปีป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เด็กคนนี้รักการอ่านพระคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจ ถ้าเขาไม่อ่านเองก็ให้คนอ่านให้ฟัง คืนหนึ่งเขาเพลียเกินกว่าที่จะอ่านเองจึงขอให้คุณแม่อ่านเอเฟซัสบทที่สองให้ฟัง เมื่ออ่านไปได้ประมาณครึ่งบท คุณแม่ก็หยุดถามว่าเท่าที่ฟังมาทั้งหมดนี้มีอะไรจับใจบ้าง คุณแม่คาดว่าจอห์นคงจะพูดถึงข้อ 8 & 9 ซึ่งเป็นข้อที่เขาโปรดปราน (เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้…พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002) แต่จอห์นกลับเลือกข้อ 10 ซึ่งอ่านว่า เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002) คุณแม่แปลกใจจึงถามว่าทำไมจึงเลือกข้อ 10 
 
“เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในชีวิตของลูกฮะ”
 
“ลูกเห็นพระประสงค์นั้นในข้อพระวจนะนั้นได้อย่างไร”
 
“เพราะลูกยังอยู่นี่ไงฮะ แม่ ลูกยังอยู่ เมื่องานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำลุล่วงแล้ว เราควรจะมีความสุขที่ได้กลับบ้านที่อยู่บนสวรรค์” จอห์นตอบอย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด

 
ข้าพเจ้าหวังว่าการมองความตายของเด็กชายอายุสิบสามคนหนึ่งซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่อาจทำให้เขาต้องจากโลกนี้และกลับบ้านถาวร ต้องจากคุณแม่ที่เขารักและรักเขาไป และรอจนกว่าจะได้พบกันอีกในสวรรค์จะช่วยให้ท่านมองความตายด้วยมุมมองใหม่และมองเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของท่านอย่างที่เด็กชายคนนี้มองเห็น และข้าพเจ้าแน่ใจว่าสิ่งที่จอห์นเห็นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ (ข้าพเจ้าอยากขอพูดอย่างนี้ว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะอยู่ในขั้นตอนใดก็ตาม) ย่อมบอกให้รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์บางอย่างสำหรับเราที่ทรงมุ่งหวังให้ทำจนลุล่วง 
 
หากเราเป็นการสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ และส่วนหนึ่งของการทรงสร้างนั้นรวมถึงการกระทำดีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เราแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้น เราจะยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ไปไหน ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลับบ้าน มันยังมีเรื่องราวอีกมากให้ค้นหา มันยังมีสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วงอีกมากรออยู่ เราจะตายก็ต่อเมื่องานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราให้ทำนั้นเสร็จลุล่วงแล้วเท่านั้น เมื่อนั้นแหละเป็นเวลาที่เราจะกลับบ้าน ถูกต้อง เป็นเวลาที่เราจะถูกเรียกให้กลับบ้าน การเดินทางจากบ้านไปนานๆ แล้วได้กลับบ้าน มันเป็นความสุขที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เส้นทางนี้มันซับซ้อนเหลือเกิน ขอให้เราแต่ละคนจะสามารถมองเห็นได้เหมือนอย่างที่จอห์นเห็น ขอพระเจ้าทรงเมตตาด้วยเถิด พระเจ้าข้า
 
หากเรายังมีชีวิตอยู่ก็เพราะเรายังทำงานของเราไม่เสร็จ แม้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยสำหรับผู้เชื่อทุกคน มีห้าสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ
1. การค้นพบพระเจ้าในโลกนี้
2. การเติบโตขึ้นในพระคริสต์
3. การเรียนรู้ที่จะรับใช้ผู้ที่อยู่รอบข้างตัวเรา 
4. การติดต่อสัมพันธ์กับผู้เชื่อ
5. การติดต่อสัมพันธ์กับผู้ไม่เชื่อเพื่อแบ่งปันความหวังที่พระคริสต์ทรงมอบให้

เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ย่อมหมายความว่างานของเรายังไม่ลุล่วง และด้วยเหตุนี้แหละ จึงยังไม่ถึงเวลาที่จอห์นจะกลับบ้าน ขณะนี้เขาอายุ 25 ปี เขายังมีงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ เขายังทำไม่เสร็จลุล่วง เขาจะกลับบ้านเมื่องานของเขาลุล่วงแล้ว 

ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้เราทั้งหลายเดินบนเส้นทางนี้ด้วยความหวัง เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และข้าพเจ้าทูลขอสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าสำหรับท่านและสำหรับข้าพเจ้าที่จะทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายไว้จนลุล่วงตามพระประสงค์ และรอวันที่จะได้กลับบ้านด้วยความหวังเต็มเปี่ยม 

สิธยา คูหาเสน่ห์

เมื่อการทรงเรียกมาถึง … จะขานรับไหม

พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยสำหรับประชากรของพระองค์แต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าน้ำพระทัยนั้นจะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งดีล้ำเลิศสำหรับคนๆ นั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เส้นทางการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณของแต่ละคนก็ย่อมเป็นคนละแบบคนละอย่างกัน บางคนอยู่บนเส้นทางที่ราบเรียบดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่มีประสบการณ์สุขหรือทุกข์แบบสุดขั้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น บางคนก็อยู่บนเส้นทางที่แสนขรุขระ เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม พบเจอสิ่งกีดขวางที่ต้องก้าวข้ามเรียงรายอยู่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนบางคนอาจอยู่บนเส้นทางที่มีหลายอารมณ์และชิมหลากรสชาติ ทั้งสุขและทุกข์ปะปนคละเคล้ากันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแบบใดก็ตาม ผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางนั้นๆ อาจต้องกระทำพันธกิจบางอย่างที่มิใช่การอุทิศถวายตัวโดยความตั้งใจ แต่เป็นการทรงเรียกจากพระเจ้า เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เฉพาะตัว บางคนอาจได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าในการเรียกครั้งแรกเลย เสียงเรียกนั้นดังพอที่จะได้ยิน แต่สำหรับบางคนพระเจ้าอาจต้องเรียกซ้ำหลายๆ ครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเรียกของพระเจ้าไม่ดังพอที่จะได้ยิน บางทีอาจเป็นเพราะคนนั้นจงใจทำแชเชือน อาจเป็นเพราะได้ยินแล้วล่ะ แต่กำลังหาทางบิดพลิ้ว กำลังพยายามหาวิธีที่จะต่อรองกับพระเจ้าอยู่ก็เป็นได้ 
ท่านล่ะ เมื่อการทรงเรียกมาถึง … จะขานรับไหม 
ผู้อุทิศถวายตัวเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาคนหนึ่งถูกเรียกให้ไปทำงานในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง การฆ่ากันตายรายวันดูเหมือนเป็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นี้ การลอบวางระเบิดในพื้นที่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเจอะเจอ เขารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าการงานของเขาจะมีอุปสรรคที่ต้องเอาชนะเรียงรายอยู่บนถนนแห่งการรับใช้มากมาย ช่องทางการกระทำพันธกิจของเขาให้สำเร็จตามน้ำพระทัยก็ไม่ได้เปิดกว้างมากนัก แม้กระทั่งอาจถูกข่มเหงบ้างในบางโอกาส หลายคนจะไม่สนับสนุนการทำงานของเขา หลายคนจะไม่ชื่นชอบเขา การแผ่แผ่นดินของพระเจ้าให้กว้างและให้แผ่นดินนั้นมาตั้งอยู่จริงๆ ในพื้นที่ที่เขาทำงานอยู่ก็ดูเหมือนจะเป็นงานที่ยากลำบากเอาการอยู่ เขารู้ว่าพระเจ้าทรงมุ่งหมายให้เขาไปสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้นำคริสเตียนท้องถิ่นให้เห็นเป็นรูปธรรม ภาระที่รออยู่เบื้องหน้าคล้ายจะหนักเกินแบกรับได้ 
ถ้าคนนั้นเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร …
 อนุชนคนหนึ่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง บางทีเธออาจเป็นผู้เชื่อคนเดียวในสถานทำงานแห่งนั้น วันหนึ่งเธอก็รู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างใกล้ชิดกับเธอมีส่วนพัวพันกับการทรงเจ้าเข้าผีเพราะกำลังจะเข้าไปสู่การเป็นร่างทรง เธอต้องใช้ชีวิตประจำวันในที่ทำงานร่วมกับบุคคลนั้นซึ่งรวมถึงการไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันบ่อยๆ ในบางครั้งยังต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยกันและในบางโอกาสจำเป็นต้องใช้ห้องพักในโรงแรมห้องเดียวกันอีกด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธออยู่ในสนามรบฝ่ายวิญญาณ เท่าที่จำได้เป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกเป็นบริบทในที่ทำงานอีกแห่งหนึ่ง แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกภูติผีเป็นหัวหน้างานของเธอเอง โดยที่บุคคลนั้นเป็นร่างทรง ครั้งที่สองเกิดขึ้นในโรงแรงแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพมหานครนี้เอง แต่คนของพระเจ้าย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าเสมอ เมื่อเธอก้าวเข้าไปในห้องพักก็รู้สึกอึดอัดเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว สัมผัสได้ตลอดเวลาว่ามีคนจ้องมองเธออยู่ (ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าถ้าท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอให้เปลี่ยนห้องพักทันที และทุกครั้งที่ท่านพักแรมที่ใดก็ตาม เมื่อเข้าไปในห้องพักแล้วให้อธิษฐานทูลขอการคุ้มครองจากพระวิญญาณให้พ้นจากวิญญาณชั่วทั้งหลาย) แต่เมื่อเธอเข้านอนก็ถูกวิญญาณชั่วรบกวนจนเธอทนไม่ได้ต้องไปขออาศัยนอนกับเพื่อนในอีกห้องหนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอได้สู้รบกับวิญญาณชั่วมาหลายครั้ง (อย่างน้อยสามครั้ง) จนทำให้คิดว่าบางทีพระเจ้าอาจกำลังเรียกเธอให้ทำสงครามฝ่ายวิญญาณในแนวหน้าของสนาบรบก็ได้ ซึ่งหากจะอยู่ในแนวหน้าจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องออกมาเป็นผู้รับใช้เต็มตัวทำงานรับใช้เต็มเวลา เพราะผู้เชื่อทุกคนกำลังกระทำพันธกิจของพระเจ้าในหน้าที่การงานที่กำลังทำอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว 
  ถ้าคนนั้นเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร …
 
ข้าพเจ้ามีข้อหนุนใจมาฝากหลายข้อ ดังนี้
- สิ่งที่ท่านเป็นอยู่ในตอนนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า แต่สิ่งที่ท่านจะเป็นต่อไปเป็นของขวัญที่ท่านจะมอบให้กับพระเจ้า
- ท่านจะไม่มีวันอยู่ในที่ที่พระเจ้าทรงมิได้สถิตอยู่ที่นั่น และที่ใดที่พระองค์ทรงประทับอยู่ กิจการทุกอย่างจะสำเร็จลงด้วยดี
- ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน จงรู้เถิดว่าพระเจ้าทรงกำลังอ้าแขนรอท่านอยู่
- พระเจ้าทรงสัญญาว่าท่านจะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยแน่นอน แต่มิได้ตรัสว่าเส้นทางสู่จุดหมายนั้นจะเงียบสงบ
- น้ำพระทัยของพระเจ้าจะไม่มีวันนำท่านไปในที่ที่ไม่มีการคุ้มครองจากพระคุณของพระเจ้า
- การงานที่ท่านจะทำไม่ยากเกินฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังท่าน
- ท่านทำหน้าที่ของท่าน พระเจ้าจะทรงดูแลท่านเอง

ท้ายสุดข้าพเจ้าอยากขอกล่าวสรุปว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์และแผนการสำหรับแต่ละคนที่ไม่มีใครอื่นสามารถทำให้สำเร็จได้ เมื่อภาระที่รับผิดชอบหนักอึ้งจนแทบแบกไม่ไหว ขอให้มอบภาระนั้นไว้กับพระเจ้าเถิด เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินพระปัญญาของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดหนักเกินพระกำลังของพระองค์
เมื่อการทรงเรียกมาถึงตัวท่าน … ท่านจะขานรับไหม 

  สิธยา คูหาเสน่ห์

19/9/51

พลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์

ผู้เชื่อเป็นบุคคลสองสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นพลเมืองของประเทศที่อาศัยอยู่แล้ว ผู้เชื่อยังเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์อีกด้วย ข้อเท็จจริงนี้บอกไว้ชัดเจนในพระธรรมฟิลิปปี 3:20 “แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์” เมื่อเป็นเช่นนั้น เราในฐานะที่เป็นคริสเตียนคิดว่าจะจัดการกับการเป็นบุคคลสองสัญชาตินี้อย่างไร 

คริสเตียนแตกต่างจากคนที่ไม่เป็นคริสเตียนในฐานะที่เป็นเกลือและเป็นความสว่างแห่งโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ชาวสวรรค์จึงควรมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชาวโลก (อย่างเห็นได้ชัด) จนผู้คนที่พบเจอมองเห็นความแตกต่างนั้นได้ และอาจมีคนถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” คริสเตียนน่าจะถูกถามเช่นนั้นบ่อยๆ แต่น่าเสียดายที่บางคนอาจไม่เคยได้ยินใครถามคำถามนั้นเลยตลอดชั่วชีวิตในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อว่ามีหลายคนที่เคยถูกถามเช่นนั้น เมื่อคำตอบคือ “ใช่” ผู้ที่ถูกยกชูขึ้นมิใช่เรา หากคือองค์พระผู้เป็นเจ้า 

ข้าพเจ้าหวังว่าก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านถาวรนั้น ข้าพเจ้าจะถูกถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” ข้าพเจ้าและครอบครัวอยากถูกถามเช่นนี้มากกว่าที่จะมีคนถามว่า “คุณมาจากประเทศไทยใช่ไหม” ถึงแม้ว่าการเป็นพลเมืองทางโลกของเรามิใช่การเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์จะเป็นที่ตระหนักอันเนื่องจากวิถีชีวิตของเราที่แตกต่างจากพลเมืองของประเทศอื่นที่ผู้ถามไม่ค่อยประทับใจก็ตาม แต่เรา (ครอบครัวของข้าพเจ้า) ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก หากว่าคำถามนั้นเป็น “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” พวกเราคงจะปลาบปลื้มใจยิ่งกว่า แต่อย่างน้อยเพียงแค่แวบแรกของการพบเจอก็ยังสามารถบอกความแตกต่างได้ก็ดีมากพอแล้ว

โดยพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่อย่างพอเพียง ข้าพเจ้าและลูกทั้งสามคนได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวหลายประเทศในยุโรปช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ลูกสาวคนเล็กบินไปพบกับเราที่ลอนดอนแทนที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในปีนี้ การเดินทางครั้งนี้ต้องนับว่าสุดทรหดทีเดียวเพราะในช่วงสิบสี่วันที่ท่องเที่ยวอยู่นั้นย้ายประเทศสี่ครั้งไม่รวมเที่ยวบินไปและกลับอีกสองเที่ยว เรามีกระเป๋าหนักๆ เดินทางรวมกันทั้งหมดประมาณสิบใบไม่รวมเป้และกระเป๋าถือส่วนตัว การย้ายประเทศสี่ครั้งนั้นเป็นการเดินทางด้วยรถไฟสามครั้งและเครื่องบินหนึ่งครั้ง และเดินกันทั้งวันท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น (บางวันหนาวติดลบและหนึ่งวันหิมะตกด้วย) ที่กล่าวมานี้มิได้มีจุดมุ่งหมายอื่นใดนอกจากจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองและปกปักรักษาทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้รอดพ้นจากภยันตรายและความเสียหายทั้งมวล ทรัพย์สินทั้งหมดของเราไม่เสียหายหรือสูญหายเลยสักชิ้น และเป็นการใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณภาพและเป็นพระพรอย่างยิ่ง 

เมื่ออยู่ที่เวนิสเราได้เดินเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งขายสินค้าทำด้วยมือที่ทำจากระดาษ หนังสัตว์ และแก้ว เมื่อเราเดินเข้าไป เราก็ยิ้มและทักทายเจ้าของร้านซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำเป็นปกติอยู่แล้วเมื่อเราอยู่ในระหว่างการเดินทาง เมื่อเจ้าของร้านถามว่าจะให้ช่วยอะไรไหม เราก็ตอบอย่างสุภาพว่าเราขอเดินชมสินค้าในร้านด้วยตัวเอง สักครู่เจ้าของร้านก็ถามว่า “พวกคุณมาจากประเทศไทยใช่ไหมครับ” เขาบอกว่าเพราะพวกเราสุภาพและทักทายเขาอย่างสุภาพ (ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) ด้วยการปฏิสัมพันธ์ฉันมิตรจึงนำไปสู่การสนทนาระดับลึกที่เข้าใกล้เรื่องส่วนตัวมากขึ้น เราต่างก็ประทับใจในกันและกันเป็นอย่างมาก เจ้าของร้านใจดีมากและชื่นชอบพวกเราค่อนข้างมากเอาการ เขามอบของขวัญให้แก่เราทุกคนๆ ละ 2 ชิ้นโดยให้เลือกจากสินค้าในร้าน แม้ว่าราคาค่างวดของสิ่งที่เขามอบให้จะไม่มากมาย แต่น้ำใจที่มอบให้นั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ก่อนจะลาจากกันเราได้ถ่ายภาพด้วยกันและสัญญาว่าจะส่งภาพให้เขาเมื่อเรากลับเมืองไทยแล้ว 

แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ประกาศตนว่าเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์แก่เจ้าของร้านคนนี้ที่เวนิสก็ตาม แต่ผู้เชื่อก็มีสัญลักษณ์บางอย่างที่ประกาศความเชื่อของตนเสมอ เมื่อข้าพเจ้าส่งภาพที่ถ่ายร่วมกันไว้ให้แก่เพื่อนใหม่ของเราทางอีเมล์ เขาดีใจมากที่เราไม่ได้ดีแต่พูด แต่ทำอย่างที่ตกปากรับคำไว้ แต่สิ่งหนึ่งทำให้ข้าพเจ้าทั้งประหลาดใจและดีใจระคนกันก็คือในการแลกเปลี่ยนอีเมล์กันนั้น เขาเขียนข้อความมาถึงข้าพเจ้าว่า “ผมไม่ได้เป็นผู้เชื่อหรอกนะ แต่ผมยกย่องผู้เชื่อ” ตอนแรกข้าพเจ้าก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาพูดเช่นนั้นทำไม เพราะข้อความที่แลกเปลี่ยนกันนั้นไม่มีข้อความใดที่โยงถึงเรื่องการเป็นผู้เชื่อเลย แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็เข้าใจ เป็นเพราะข้อความที่อยู่ตอนท้ายหน้าที่ข้าพเจ้าเขียนว่า “Lord, help us each day to see the opportunities to share your love with others.” นี่เองที่ทำให้เขารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อ ข้อความนี้ที่อ่านว่า “พระองค์เจ้าข้า ในแต่ละวันขอพระองค์โปรดช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้เห็นโอกาสที่จะแบ่งปันความรักของพระองค์กับผู้อื่น” ข้อความนี้จะถูกส่งออกไปพร้อมกับข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนถึงใครก็ตาม ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าที่จะประกาศเรื่องความรักของพระองค์ผ่านตัวหนังสือแม้ว่าจะไม่ได้ด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตามที แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม การประกาศนั้นก็มีสิทธิอำนาจของพระองค์และสามารถแตะต้องใจผู้ที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วยเสมอ

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่อยากหนุนใจท่านทั้งหลายว่าอย่าละเลยแต่ให้ฉวยทุกโอกาสที่จะแสดงตนว่าเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ในทุกที่ที่เราไป 
 

สิธยา คูหาเสน่ห์

พระเจ้าจะรักษาฉันไหม

คำถามข้างต้นนี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ พูดอีกนัยหนึ่ง ไม่มีใครตอบได้จุใจคนถาม มันเป็นคำถามที่ตอบยากเท่าๆ กับคำถามที่ว่า ‘พระเจ้าอยู่ไหนยามเมื่อเราปวดร้าวใจ’
เมื่อเราอธิษฐานทูลขอการรักษาจากพระเจ้ายามเจ็บป่วย เรารอคอยคำตอบจากพระองค์ในแบบที่เราต้องการ มิใช่ในแบบที่พระองค์ทรงประสงค์ เรามองหาการหายโรคอย่างอัศจรรย์ เราอยากหายโรคทันที เราอยากหายเป็นปกติ เรารู้สึกเหมือนว่าเราทนทุกข์ทรมานมานานแสนนานแล้ว
เราร้องต่อพระเจ้าว่า “พระองค์จะทรงรักษาข้าพระองค์ไหม พระเจ้าข้า”
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าพระเจ้าทรงรักษา พระองค์ทรงรักษาอย่างแน่นอน ทว่าในวิธีที่เราอาจไม่เข้าใจ ถ้าคนเจ็บตาย จะบอกว่าพระเจ้าทรงรักษาได้ไหม ได้สิ แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม พระเจ้าก็ยังทรงรักษาอยู่ดี
การรักษาอาจไม่ใช่ทางกายภาพเสมอไป แม้กระทั่งเมื่อคนๆ หนึ่งกำลังเดินทางไปถึงบทสุดท้ายแห่งชีวิตบนโลกนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันคำพูดเดิมว่า “พระเจ้าทรงรักษา” แม้ว่าผลบั้นปลายมิใช่การหายจากโรคที่เป็นอยู่ แต่ป็นการหลับชั่วนิรันดร์ก็ตามที กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังขอพูดว่าพระเจ้าทรงรักษา
  ให้ยอมรับการวินิจฉัยโรคและการพยากรณ์โรคที่บอกว่าโรคที่เป็นอยู่รักษาไม่ได้และจะต้องตาย นั่นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ล่ะหรือ 
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามีพี่น้องในพระคริสต์สักกี่คนที่กำลังปล้ำสู้กับคำถามนี้อยู่ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าความทุกข์ทรมานในการรอคอยคำตอบของท่านจะสาหัสสากรรจ์สักปานใด แต่เท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นจากพี่น้องที่ป่วยหนักบางคนที่ปล้ำสู้หรือได้ผ่านมันมาแล้วก็คงพอจะรู้ว่ามันหนักเอาการทีเดียว บางคนสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้า บางคนต่อว่าพระเจ้า บางคนพึ่งพาคำพูดของคนมากกว่าที่จะพึ่งพิงพระเจ้า กรณีหลังนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพราะคำพูดที่คนเจ็บอยากได้ยินคือ ‘คุณจะหายแน่นอน พระเจ้าบอกกับฉันอย่างนั้น’ แต่ก็มีมากมายหลายกรณีที่ไม่หาย ในกรณีเหล่านี้คงเดาไม่ยากว่าความเชื่อของพวกเขาคงกระพร่องกระแพร่งไปบ้าง ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าอย่าให้คำพูดแบบนั้นออกจากปากมนุษย์เลย ให้พระเจ้าตรัสกับคนที่กำลังมองหาคำตอบเองดีกว่า พระเจ้าทรงมีวิธีของพระองค์ในการสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ให้ปรากฏ 
ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ตรงกับพี่น้องคนหนึ่งสำหรับในกรณีหลัง แรกเริ่มพี่น้องคนนี้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมและจำเป็นต้องตัดเต้านมทิ้ง หลังการผ่าตัดก็ต้องได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าว่าพี่น้องคนนี้ทูลขอการรักษาจากพระเจ้าให้หายจากโรคมะเร็ง เธอปล้ำสู้อยู่กับคำถามนี้แหละ “พระองค์จะทรงรักษาฉันไหม” แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งบอกกับเธอว่าพระเจ้าตรัสบอกกับเขาว่าเธอจะหายแน่นอน แต่มะเร็งร้ายก็ไม่ปรานี แทนที่จะบอกลาร่างกายนี้ไป กลับลุกลามไปยังอวัยวะภายในอื่นๆ อีกอย่างกว้างขวาง จนในที่สุดแพทย์ก็ให้คำพยากรณ์โรคว่าเธอจะมีชีวิตอีกไม่นาน ด้วยเหตุนี้เธอคงหนีไม่พ้นความสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้า เธอปล้ำสู้กับพระเจ้าอย่างหนัก ทุกข์ทรมานทั้งกายและจิตใจ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เธอยังรักษาความเชื่อไว้ได้อย่างมั่นคงแม้ว่ากำลังเผชิญความตายอยู่ตรงหน้า เธอยังไม่พร้อมที่จะตาย เธอยังอยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป เธอกลัว…กลัวความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในช่วงสุดท้าย ดังนั้น สงครามฝ่ายเนื้อหนังที่กำลังสู้รบอยู่นั้นน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อช่วงเวลาสุดท้ายคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ มันก็ยิ่งลำบากมากขึ้นที่จะเอาชนะความรู้สึกต่างๆ ที่ประดังเข้ามา แต่อย่างที่ข้าพเจ้าเกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่าพระเจ้าทรงมีวิธีที่จะสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ และมีคำตอบให้ต่อคำถามที่กำลังปล้ำสู้อยู่…ด้วยวิธีของพระองค์
เมื่อข้าพเจ้ารู้ว่าพี่น้องคนนี้กำลังเผชิญอะไรอยู่จึงแนะนำให้สมาชิกคนหนึ่งหาหนังสือชื่อ “พระเจ้าจะรักษาฉันไหม” ให้พี่น้องคนนี้อ่าน ข้าพเจ้าแปลหนังสือเล่มนี้เมื่อหลายปีมาแล้วและรู้ว่าเนื้อหาในนั้นน่าจะเป็นประโยชน์ในการแสวงหาน้ำพระทัยสำหรับพี่น้องคนนี้ และในที่สุดเธอก็ได้พบคำตอบที่ปล้ำสู้มาโดยตลอด ข้าพเจ้าได้รับการบอกกล่าวจากสมาชิกคนเดิมที่หาหนังสือเล่มนั้นให้แก่เธอในพิธีไว้อาลัยพี่น้องคนนี้ว่าเธออ่านหนังสือเล่มนี้มากกว่าหนึ่งเที่ยว (ข้าพเจ้าสรุปเอาเองว่าสองเที่ยวเพราะเธอไม่มีเวลาเหลือให้อ่านมากกว่านั้น) และได้รับรู้ว่าหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอสงบและไม่โอดครวญถึงความเจ็บปวดในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ถูกมะเร็งร้ายกัดกินร่างกายของเธอจนอวัยวะภายในบางส่วนหยุดทำงานแล้ว และที่น่าชื่นใจต่อผู้คนรอบข้างและผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนก็คือใบหน้าของพี่น้องคนนี้ยังอาบด้วยรอยยิ้ม ยิ่งกว่านั้นยังพูดเล่นได้ ยังมีเสียงหัวเราะให้ได้ยิน 
แม้ในวันสุดท้ายพี่น้องคนนี้ก็ยังรับประทานอาหารได้ พูดคุยอย่างสนุกสนาน และเธอก็เดินทางกลับบ้านในคืนนั้น เธอนอนหลับและไม่ได้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นตามปกติ ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ว่าเธอพบคำตอบแบบไหนในหนังสือเล่มนั้น แต่มั่นใจได้ว่าเป็นคำตอบจากพระเจ้าผ่านตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างแน่นอน 
พระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจจริงๆ 

สิธยา คูหาเสน่ห์

ชีวิตหลังความตาย

ชีวิตหลังความตายมีจริงหรือ หลายคนกำลังถามคำถามเดียวกับที่โยบถามไว้เมื่อเกือบสี่พันปีมาแล้วซึ่งปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ที่ว่า “ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ” (โยบ 14:14) ท่านคิดว่ามีคำถามใดที่เป็นรากเหง้าเกี่ยวกับชีวิต (และความตาย) มากไปกว่าคำถามนี้อีกไหม คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเราจะไปไหนหลังความตาย ดังนั้นจึงกลัวความตายกันเพราะความที่ไม่รู้นั่นเอง แล้วหลักฐานยืนยันว่ามีชีวิตหลังตายจริงล่ะมีไหม… มีคนที่ตายไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟังกระนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ก็มีหลายคนมองหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ยืนยัน แต่ ความเชื่อคือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง (ฮีบรู 11:1) หากว่าชีวิตหลังความตายสามารถพิสูจน์ได้ ถ้าเช่นนั้น … ยังจำเป็นต้องมีความเชื่ออีกหรือ 
หากยืนกรานจะขอหลักฐานล่ะก็ ลองฟังข้อพระวจนะเหล่านี้ดูสักหน่อยว่าให้ความมั่นใจได้บ้างไหม
พระเยซู ตรัสกับเธอ (มารธา) ว่า เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้นถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก …ยอห์น 11:25 
เพราะว่า พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์…ยอห์น 3:16
ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์…1 ยอห์น 5:13
เป็นต้น
สำหรับผู้สงสัยในชีวิตหลังความตาย แนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับสวรรค์ก็เป็นเพียงผลิตผลของจินตนาการที่ก่อเกิดผลเท่านั้น และสำหรับอีกหลายคนแนวคิดเกี่ยวกับสวรรค์ตามแนวทางพระคัมภีร์เป็นการเพ้อฝันมากไป แต่คริสเตียนสามารถที่จะตั้งความหวังได้อย่างชัดเจน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้เราเชื่อมั่นใจได้ว่าพระเยซูมิเพียงทรงนำหน้าเราไปก่อนในความตาย ทว่าพระองค์ยังทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงเป็นผู้บุกเบิกทางไปสวรรค์ให้แก่เราไว้ด้วย 
 มีผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กฝาแฝดในครรภ์มารดาที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับชีวิตหลังกำเนิด ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ามีประเด็นน่าคิดและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายได้อย่างเหมาะเจาะ 
 เด็กชายฝาแฝดคู่หนึ่งเติบใหญ่อยู่ในครรภ์มารดาหลังการปฏิสนธิ เมื่อมีพัฒนาการมากขึ้นก็มีการรับรู้มากขึ้นตามไปด้วย ทารกน้อยทั้งสองหัวเราะกันอย่างมีความสุขที่คุณแม่ตั้งท้องพวกเขา เด็กทั้งสองคนท่องโลกแคบๆ ของพวกเขาในครรภ์นั่นเอง เมื่อพบสายที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตแก่พวกเขาก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก และพูดว่า “คุณแม่ช่างรักเรามากจริงๆ นะ รักมากจนกระทั่งใช้ชีวิตร่วมกับพวกเราเลยแหละ”
 เมื่อเวลาผ่านไปจากสัปดาห์เป็นเดือน ทารกแฝดก็สังเกตเห็นว่าร่างกายของตนเปลี่ยนแปลงไปมาก แฝดคนที่หนึ่งก็ถามว่า “มันหมายความว่ายังไงกันนี่” 
 “ก็หมายความว่าเวลาที่เราจะอยู่ในท้องแม่จวนจะหมดแล้วน่ะสิ” แฝดคนที่สองตอบ
 “แต่ฉันไปอยากจากที่นี่ไปเลย” แฝดคนที่หนึ่งตอบ “ฉันอยากอยู่ในนี้ตลอดไปเลยล่ะ”
 “เราไม่มีทางเลือกหรอกนะ แต่มันอาจมีชีวิตหลังจากที่เราออกไปจากท้องแม่ก็ได้นะ” แฝดคนที่สองตอบ
 “อ้าว จะเป็นไปได้ไงล่ะ” แฝดคนที่หนึ่งแย้ง “เราจะต้องแยกออกจากสายที่หล่อเลี่ยงให้ชีวิตแก่เรา แล้วจะมีชีวิตได้ไงล่ะ นอกจากนั้น เรายังได้เห็นหลักฐานที่คนอื่นๆ เคยอยู่ในนี้มาก่อน แต่ไม่มีใครกลับเข้ามาบอกเราว่ามีชีวิตหลังกำเนิดเลยนี่นะ ไม่หรอก นี่เป็นจุดจบของชีวิตแล้วล่ะ บางทีอาจไม่มีคุณแม่อย่างที่เราเข้าใจก็ได้นะ” 
  “ต้องมีสิ ถ้าไม่มี เรามาอยู่ในนี้ได้ยังไงล่ะ เรายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงล่ะ” อีกคนแย้งเสียงแข็ง
 “เคยเห็นแม่เหรอ” อีกคนเถียง “บางทีอาจเป็นแม่แค่ในความคิดก็ได้ เราอาจกุว่ามีแม่เพราะการคิดแบบนั้นทำให้เรารู้สึกดี”
 ดังนั้นช่วงสุดท้ายในครรภ์จึงเต็มไปด้วยคำถามและความกลัว ในที่สุดก็ถึงเวลาเกิดของฝาแฝดคู่นี้
 เมื่อทารกแฝดได้ออกมาจากท้องแม่สู่โลกแห่งความเป็นจริง ทั้งคู่ก็ลืมตาและร้องไห้จ้าด้วยความชื่นชมยินดี เพราะสิ่งที่เห็นมันดีเกินกว่าที่คิดไว้มากมายนัก 
 นั่นแหละคือประสบการณ์ของคริสเตียนที่ต้องผ่านเจอความตาย
 แม้ว่าที่ท่านได้อ่านมาข้างต้นจะเป็นเรื่องที่แต่งก็ตาม แต่ก็ให้แนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายเอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ที่เรากลัวความตายก็เหมือนกับที่ทารกแฝดกลัวการเกิดมาในโลก ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อขอให้เรามั่นใจว่ามีชีวิตหลังความตายแน่นอน และที่ที่เราจะไปจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรอเราอยู่
 แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่าที่ที่ข้าพเจ้าจะไปหลังความตายเป็นอย่างไร แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าต้องเป็นที่ที่ดีกว่าที่ที่ข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้อย่างแน่นอน 


  สิธยา คูหาเสน่ห์

ได้กลิ่นฝน

ฉบับนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งปันการอัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทรงช่วยทารกหญิงตัวน้อยๆ ซึ่งคลอดก่อนกำหนดและที่แพทย์ลงความเห็นว่าแทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตหรือหากกว่ารอดมาได้ก็จะมีความพิการซ้ำซ้อน แต่ในสถานการณ์ที่มนุษย์เห็นว่าเป็นไปไม่ได้อย่างนี้แหละ ที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ 
 เรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริง
 บ่ายวันที่ 10 มีนาคม 1991 ไดอานา เบรสซิง จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกน้อยในครรภ์ซึ่งมีอายุเพียง 24 สัปดาห์เท่านั้นออกมาเนื่องจากมีโรคแทรกซ้อน ทารกน้อยนี้เป็นเพศหญิงและเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัวเบรสซิงและมีชื่อว่า ดาเน ลู เบรสซิง ทารกน้อยนี้วัดความยาวได้ 12 นิ้ว และหนักเพียงหนึ่งปอนด์กับเก้าออนซ์ (ประมาณ 0.8 กิโลกรัม) เท่านั้น 
 แม้ว่าสองสามีภรรยาตระหนักอยู่แล้วว่าลูกสาวคนใหม่คลอดก่อนกำหนดและมีความเสี่ยงสูงที่อาจจะไม่รอดก็ตามที แต่เมื่อคุณหมอที่ทำคลอดเดินเข้ามาในห้องพักในโรงพยาบาลในช่วงค่ำ (ซึ่งดูมืดมิดสำหรับครอบครัวเบรสซิง) เดวิดผู้เป็นสามีก็กุมมือภรรยาของเขา (ซึ่งยังงัวเงียจากยาสลบ) ไว้แน่นเพื่อเตรียมใจรับฟังข่าวจากคุณหมอ แม้ว่าน้ำเสียงของคุณจะอ่อนโยนอยู่ในทีก็ตาม แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วมันรุนแรงเหมือนถูกระเบิดใส่ คุณหมอกล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าทารกน้อยจะผ่านคืนนี้ไปได้เพราะโอกาสรอดมีอยู่แค่ 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น และแม้ว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้ก็ตาม เธอคงมีชีวิตที่โหดร้ายในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
 เดวิดและไดอานาฟังคุณหมออธิบายถึงปัญหาต่างๆ ที่ดาเนจะต้องเผชิญอย่างสิ้นหวัง 
 ดาเนจะพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ บางทีตาอาจบอดด้วย และมีแนวโน้มที่อาจเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายเนื่องจากสมองบางส่วนถูกทำลายในขณะคลอดออกมาไปจนถึงเป็นเด็กปัญญาอ่อนโดยสิ้นเชิง เป็นต้น 
 “ไม่ ไม่” ไดอานาพร่ำพูดอยู่อย่างนั้น ตัวเธอพร้อมสามีและดัสตินลูกชายวัยห้าปีฝันถึงวันที่ครอบครัวนี้จะมีลูกสาวอีกหนึ่งคน แต่ตอนนี้ฝันนั้นกำลังสลายไปต่อหน้าต่อตา
 แต่ดาเนก็สามารถยื้อชีวิตไว้จนถึงเช้าวันใหม่ในขณะที่ไดอานาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนและตัดสินใจแน่วแน่ว่าลูกสาวของเธอจะต้องรอดและเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความสุข แต่เดวิดกลับนอนไม่หลับและได้รับรู้ข่าวร้ายเพิ่มเติมว่าโอกาสที่ลูกสาวของเขาจะออกจากโรงพยาบาลแบบมีชีวิตนั้นแทบไม่เหลือให้หวังแล้ว ไม่ต้องฝันเฟื่องไกลกว่านั้น เขารู้ว่าเขาต้องเป็นคนนำข่าวร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ไปบอกภรรยา
 เดวิดเดินเข้าไปหาไดอานาเพื่อคุยเกี่ยวกับงานศพ ไดอานาจำได้ว่ารู้สึกไม่พอใจเขามากเพราะเขากำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมีส่วนในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่เธอไม่อยากได้ยิน เธอไม่อยากฟัง จำได้ว่าบอกว่าเขาไปว่า “จะไม่มีงานศพอย่างแน่นอน ไม่มีวันเป็นอย่างนั้น ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคุณหมอพูดว่าอย่างไร ดาเนจะไม่ตาย! ลูกจะสบายดี และเธอจะกลับบ้านพร้อมกับเรา!” 
 ดาเนยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าโดยอาศัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและตราบเท่าที่ร่างกายขนาดจิ๋วของเธอสามารถทนทานได้อย่างน่าพิศวง ราวกับว่าที่อยู่ได้เพราะความตั้งใจแน่วแน่ของไดอานาผู้เป็นแม่ แต่เมื่อช่วงเวลาวิกฤตในวันแรกๆ ผ่านไป เดวิดและไดอานาก็มีความกลัดกลุ้มในเรื่องใหม่อีกเพราะระบบเส้นประสาทที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของดาเนนั้นบอบบางมากเป็นพิเศษ สัมผัสเพียงเบาๆ ก็ทำให้เจ็บปวดได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เดวิดและไดอานาอุ้มลูกน้อยไว้แนบออกเพื่อให้ไออุ่นแก่เธอไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่ทำได้คืออธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ๆ ลูกน้อยของพวกเขาในขณะที่เธอนอนอยู่ในตู้อบมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด 
 ไม่มีสักชั่วขณะหนึ่งที่ดาเนแข็งแรงขึ้นเลย แต่เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ เธอก็ค่อยๆ มีน้ำหนักมากขึ้นและแข็งแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ในที่สุดพ่อแม่ก็อุ้มดาเนได้เป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้สองเดือน และสองเดือนต่อมาดาเนก็กลับบ้านได้อย่างที่คุณแม่ของเธอคาดการณ์ไว้แม้ว่าคุณหมอยังคงเตือนว่าโอกาสที่ดาเนจะมีชีวิตรอดนั้นแทบไม่มี ไม่ต้องคิดไปไกลถึงการใช้ชีวิตแบบปกติเลย ห้าปีต่อมาดาเนก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นเด็กร่างเล็กจิ๋ว เธอมีตาสีเทาที่แววตาเป็นประกาย และเป็นเด็กสนุกสนานร่าเริง เธอไม่มีอาการของความพิการทางร่างกายและสมองปรากฏให้เห็นเลย 
 เธอก็เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่น่ารักเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่เรื่องราวยังไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขตรงนี้
 บ่ายวันหนึ่งที่ร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนปี 1996 ดาเนนั่งอยู่บนตักแม่บนอัฒจันทร์กลางแจ้งในสวนสาธารณะใกล้บ้านในรัฐเท็กซัสที่ดัสตินพี่ชายกำลังซ้อมเบสบอลอยู่ ดาเนก็คุยกับแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อยอย่างเคย ทันใดนั้นเองเธอก็หยุดกึกทันทีและเอามือกอดอก ดาเนถามว่า “แม่ได้กลิ่นมั้ยคะ” ไดอานาสูดดมอากาศและเห็นว่าฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลจึงตอบว่า “จ้ะ ได้กลิ่นฝน” ดาเนปิดตาและถามอีกครั้งว่า “แม่ได้กลิ่นมั้ยคะ” แม่ก็ตอบอีกครั้งว่า “จ้ะ แม่คิดว่าฝนกำลังจะตก เราจะเปียกฝนกันล่ะ” แต่ดาเนยังจำช่วงเวลานั้นได้จึงสั่นหัวและเอามือน้อยๆ ตบเบาๆ ที่หัวไหล่และพูดเสียงดังว่า “ไม่ใช่ เมื่อเอาหัวซุกอยู่ที่อกของพระเจ้า จะได้กลิ่นแบบนี้แหละ มันเป็นกลิ่นของพระองค์นี่เอง” น้ำตาเอ่อล้นตาของไดอานาในขณะที่ดาเนกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขกับเด็กคนอื่นๆ คำพูดของลูกสาวยืนยันสิ่งที่ไดอานาและสมาชิกในครอบครัวรู้แก่ใจมาโดยตลอดว่าในช่วงสองเดือนแรกที่ดาเนต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตรอดในขณะที่ระบบต่างๆ ในร่างกายของเธอยังพัฒนาไม่เต็มที่และร่างกายบอบบางจนรับการสัมผัสไม่ได้นั้น พระเจ้าทรงอุ้มเธอไว้ในอ้อมอกของพระองค์และกลิ่นหอมของพระองค์นั่นเองที่ดาเนจดจำไม่รู้ลืม
 เมื่อข้าพเจ้าอ่านเรื่องของดาเนเป็นครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าขนลุก (ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มีการพูดถึงความยิ่งใหญ่และพระเมตตาคุณของพระเจ้า) และก็เป็นอย่างนั้นอีกในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องนี้คงเป็นการยืนยันให้เราทั้งหลายมั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเราเสมอ และในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดนั่นเองที่จะเห็นพระองค์ชัดเจนที่สุดและสัมผัสพระองค์ได้จริงๆ
 แม้ว่าหลายคนอาจไม่มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับพระองค์อย่างดาเนก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าอย่างน้อยก็มีประสบการณ์อยู่บ้างตลอดเส้นทางจาริกของท่านบนโลกนี้

สิธยา คูหาเสน่ห์

18/9/51

ความสัตย์ซื่อของพระเจ้า…เหลือบรรยาย

เหตุฉะนี้พึงทราบเถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อ ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:9)
 
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าเราต่างก็รู้ว่าพระเจ้าของพวกเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ ความสัตย์ซื่อของพระองค์ที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ในในชีวิตของข้าพเจ้าในทุกด้านทุกวันนั้นเหลือบรรยายจริงๆ ถ้าจะให้พูดทั้งหมดที่นี่คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ข้าพเจ้าขอยกมาพูดสักเรื่องก็แล้วกัน 
 ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าไม่ใช่นักอธิษฐาน เวลาที่ถูกเรียกให้อธิษฐานในกลุ่มหรือในที่ประชุมแบบใดๆ ก็ตาม ข้าพเจ้าจะรู้สึกอึดอึดเล็กน้อย ข้าพเจ้ามักจะอธิษฐานสั้นและเข้าเรื่องตรงประเด็นเลย เมื่อเทียบกับคำอธิษฐานของผู้อื่นแล้ว ข้าพเจ้าลงความเห็นว่าข้าพเจ้าอธิษฐานได้ไม่ดี แต่มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “พวกนักเขียนก็มักอธิษฐานสั้นๆ แบบนี้แหละ” จึงช่วยให้รู้ว่าผู้ที่อยู่ในแวดวงขีดๆ เขียนๆ นั้นอธิษฐานกันสั้นๆ แบบที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าก็คงไม่เปลี่ยนไปอธิษฐานยาวๆ หรอก เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าการอธิษฐานคือการสนทนากับพระเจ้า ดังนั้น มันก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้าพูดกับพระบิดาของข้าพเจ้า คงไม่ต้องการพิธีรีตองอะไร มากนัก  
 เมื่ออยู่ตามลำพัง ข้าพเจ้าอธิษฐานหรือสนทนากับพระเจ้าเกือบตลอดเวลา เรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานวอนขอพระเจ้าทุกวันคือขอให้พระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าเป็นพรต่อคนอื่น ข้าพเจ้าทูลขอให้มีอย่างน้อยหนึ่งคนทุกวันที่จะได้รับการหนุนใจหรือแตะต้องใจผ่านตัวข้าพเจ้าหรือสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ ในเรื่องนี้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าได้รับคำตอบเสมอ 
 พระเจ้าทรงสำแดงความสัตย์ซื่อของพระองค์ในการตอบคำอธิษฐานสั้นๆ อย่างเจาะจงคำนี้เสมอมา (ความหมายของคำว่า ‘สัตย์ซื่อ’ หรือ ‘ความสัตย์ซื่อ’ ตามรากศัพท์ในภาษาเดิมหมายถึง ค้ำจุน สนับสนุน ดังนั้น เมื่อใช้คำนี้กับพระเจ้าจึงให้ความหมายว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่เราสามารถพึ่งพาได้และเป็นผู้ค้ำจุนอย่างแท้จริง)
 ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก (บทเพลงคร่ำครวญ 3:23 KJV)
 ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเช่นนั้นเพราะขณะนี้ข้าพเจ้ามีกลุ่มสามัคคีธรรมออนไลน์ที่ประกอบด้วยผู้เชื่อจากประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าจะโพสต์ข้อความเกี่ยวกับพระเจ้า แง่คิด และบทเฝ้าเดี่ยวในแต่ละวัน ทุกวันจะมีคนเข้ามาอ่านข้อความเหล่านี้ และส่วนมากจะมีการตอบสนองต่อข้อความดังกล่าว และบ่อยครั้งนำไปสู่การสนทนาต่อเนื่องระหว่างผู้อ่านคนนั้นกับข้าพเจ้าและขยายวงกว้างออกไปสู่ผู้เชื่อคนอื่นๆ เพื่อหนุนน้ำใจและเสริมสร้างกันและกัน ข้าพเจ้ามีความสุขที่ได้แบ่งปันพระเจ้าด้วยวิธีนี้ ดีใจที่ได้มีส่วนในการแก้ปัญหาสำหรับบางคน และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในการใช้ข้าพเจ้าเป็นพรอย่างน้อยสำหรับคนหนึ่งในแต่ละวัน 
 พระเจ้าผู้ทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในสามัคคีธรรมกับพระบุตรของพระองค์คือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงสัตย์ซื่อ (1 โครินธ์ 1:9 NIV)
 ข้าพเจ้าได้รับข้อความเป็นการตอบสนองจากผู้อ่านบางคนว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าแบ่งปันไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างมากในตอนนี้เพื่อการดำเนินอยู่ในความเชื่อต่อไป ข้อความนั้นเป็นการยืนยันจากพระเจ้าในสิ่งที่เขากำลังสงสัย เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่เขากำลังหิวกระหาย เป็นผลการสอบของบททดสอบบางอย่าง บ่อยครั้งที่ผู้อ่านบอกว่าข้อความเหล่านั้นเป็นเหมือนยาขนานเอกที่ช่วยเยียวยารักษาบาดแผลทางใจ บางคนบอกว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาทั้งคืนและเหมือนน้ำทิพย์ที่ช่วยประเล้าประโลมใจ 
 ในทางกลับกัน การตอบสนองจากผู้อ่านก็เป็นการหนุนน้ำใจข้าพเจ้าด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการยืนยันในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเราพร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ พระองค์ก็จะทรงใช้เรา แม้ว่าการเป็นพยานของข้าพเจ้าจะไม่ได้กล่าวออกจากปาก แต่มันก็ดังไปทั่วโลกได้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคไร้พรมแดนอย่างในยุคนี้ ข้าพเจ้าพร้อมที่ให้พระเจ้าใช้จนกว่าพระองค์จะทรงเรียกข้าพเจ้ากลับบ้านและไปรับใช้ต่อเบื้องพระพักตร์
 ท่านล่ะ พร้อมไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

เขาชื่อ “จิตวิญญาณ”

ชายคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าจิตวิญญาณกำลังเดินอยู่ในสวน เขาผิวปากเป็นเพลงที่ไพเราะเสนาะหูยิ่งนักเพราะมีความสุขที่ได้รับความรอดและมีความชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขายังเป็นคริสเตียนทารกอยู่ ขณะที่จิตวิญญาณกำลังเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินใจในสวนนั้นเองก็มีหญิงสาวนางหนึ่งงดงามน่าเย้ายวนใจซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ จิตวิญญาณสะดุ้งตกใจ เขาทักขึ้นว่า “สวัสดี ผมชื่อจิตวิญญาณ คุณชื่ออะไร”

หล่อนตอบว่า “ฉันชื่อการทดลอง ฉันมีสิ่งที่คุณต้องการ”
จิตวิญญาณถามว่า “อะไรหรือที่ผมต้องการ”
การทดลองจึงตอบว่า “คุณต้องการที่จะทำทุกเรื่องที่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง”
จิตวิญญาณจึงตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น ไปกันเถอะ”

ดังนั้น จิตวิญญาณและการทดลองจึงปล่อยตัวไปกับการสนองตัณหาฝ่ายเนื้อหนังของกันและกัน เมื่อจิตวิญญาณกลับมาที่สวน เขาก็พบกับชายคนหนึ่งชื่อการพิพากษาลงโทษ
การพิพากษาลงโทษกล่าวว่า “ผมเดาว่าคุณได้พบกับการทดลองเพื่อนของผมแล้วเป็นแน่” 
จิตวิญญาณจึงตอบว่า “ถูกต้อง ว่าแต่…คุณเป็นใคร”

“ผมคือการพิพากษาลงโทษ ผมมาหลังการทดลอง เราทำงานด้วยกัน” การพิพากษาลงโทษก็กระโดดเกาะหลังจิตวิญญาณและเริ่มทุบตีเขา การพิพากษาลงโทษชกหน้าและเตะซ้ำเมื่อจิตวิญญาณล้มลง เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายวัน 

ล่วงไปสามวัน ชายคนหนึ่งชื่อความเมตตาก็ปรากฏตัวขึ้นและพูดว่า “การพิพากษาลงโทษ ผมขอสั่งให้คุณหยุดทุบตีจิตวิญญาณได้แล้ว”
การพิพากษาลงโทษหัวเราะในใจและพูดว่า “ก็ทำให้ผมหยุดสิ”
ดังนั้น ความเมตตาจึงชักดาบออกมาและฟันการพิพากษาลงโทษขาดเป็นสองท่อน

จิตวิญญาณมองดูด้วยความประหลาดใจ ด้วยอำนาจของความเมตตาเขาก็หลุดพ้นจากการพิพากษาลงโทษ ความเมตตาเดินมาหาจิตวิญญาณและพูดว่า “ผมเคยรับมือกับการพิพาษาลงโทษมาแล้ว เขาคงไม่กล้ามารบกวนคุณอีก”  

จิตวิญญาณตอบว่า “ผมจะขอบคุณอย่างไรดีจึงจะสมกับความกรุณาของคุณ”
ความเมตตาจึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงใช้ผมมาและพระองค์ตรัสว่าให้ผมแนะนำคุณให้รู้จักกับเพื่อนรักของผม เขาชื่อการช่วยกู้”

การช่วยกู้เดินมาหาและพูดกับจิตวิญญาณว่า “สวัสดี จิตวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก”
จิตวิญญาณตอบว่า “ก่อนหน้าที่ความเมตตาจะมาล่ะก็ใช่ ผมดีใจที่ได้รู้จักกับคุณ การช่วยกู้”
การช่วยกู้กล่าวว่า “ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณ คุณพร้อมที่จะรับผมหรือยัง”
จิตวิญญาณไม่เข้าใจจึงถามว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร”

การช่วยกู้กล่าวอย่างนี้ว่า “เอาล่ะ เมื่อคุณยอมรับพระเยซูและตัดสินใจที่จะเดินไปกับพระองค์ก็เท่ากับว่าคุณยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เป็นของพระองค์และความรักของพระองค์ ผมเป็นส่วนหนึ่งในความรักของพระเยซู ผมช่วยให้คุณรู้สึกว่าได้รับการอภัยโทษบาป คุณจะไม่ถูกพิพากษาลงโทษอีกเลย การทดลองอาจมายั่วยวนคุณ แต่ผมอยากให้คุณรู้จักกับใครบางคนที่อาจช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ เขาชื่อพระคุณ” 

พระคุณเดินตรงมาที่จิตวิญญาณและพูดขึ้นว่า “สวัสดี จิตวิญญาณ ผมรอคุณอยู่ ที่จริงพวกเราทั้งสามคนกำลังรอที่จะพบกับคุณ

ผมจะหาวิธีช่วยคุณให้พ้นจากการทดลองที่พระเจ้าทรงให้เกิดขึ้นกับคุณ คนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณพบคือความเชื่อ”

ความเชื่อทักจิตวิญญาณว่า “ผมคือความเชื่อนะ และผมจะช่วยให้คุณเข้มแข็งและรักษาความเชื่อวางใจของคุณไว้ให้มั่นคง” 

จิตวิญญาณเริ่มร้องไห้ เมื่อเขาเริ่มร้องไห้นั้นการช่วยกู้ก็พูดกับเขาว่า “เรามาอยู่ตรงนี้ก็ด้วยเรื่องนี้แหละ พระเยซูทรงช่วยกู้คุณ ให้คุณรอดโดยพระคุณทางความเชื่อและทรงประทานความเมตตาของพระองค์ให้แก่คุณ พระเยซูทรงรักคุณนะ จิตวิญญาณ”

จิตวิญญาณพูดว่า “พระเยซูเจ้าข้า ข้าพระองค์รักพระองค์”

นักเขียนนิรนามคนหนึ่งผูกเรื่องราวนี้ไว้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามันเป็นวิธีการเผยแพร่ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดที่เข้าใจง่ายและกระชับดีจึงนำมาแบ่งปันกัน บางทีการผูกเป็นเรื่องราวที่น่าสนุกชวนติดตามจะช่วยให้การพูดคุยกับผู้สนใจสนุกไปกับการติดตามเรื่องราวและเข้าใจข้อความสำคัญนั้นได้ง่ายขึ้น  

สิธยา คูหาเสน่ห์

ทิ้งตัวเก่า สวมสภาพใหม่

การทิ้งตัวเก่าเพื่อสวมสภาพใหม่มิใช่ทางเลือกสำหรับคริสเตียน หากจะเป็นคริสเตียนที่เกิดผล การทิ้ง (หรือตายต่อ) ตัวเก่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเนื่องด้วยตัวเก่าก็คือวิถีชีวิตเดิมๆ ในความบาปของเรา (ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่านซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสียอันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง…เอเฟซัส 4:22) ที่ทำให้เราเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23) การตายต่อตัวเก่ากับพระคริสต์เพื่อการมีชีวิตใหม่ (ตัวใหม่) คือขบวนการที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราและรับการอภัยโทษบาปจากพระองค์
 ตัวเก่าคือตัวที่เต็มไปด้วยความบาปและตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ตัวที่มีแนวโน้มมาแต่กำเนิดที่จะทำชั่วทำบาป ตัวที่เป็นวิถีชีวิตเดิมๆ ที่เสื่อมทรามด้วยตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง ตัวเก่านี่เองที่เราต้องทิ้งเสียเหมือนการสลัดเสื้อผ้าเก่าๆ ชิ้นหนึ่ง การทิ้งตัวเก่า (ซึ่งน่าเกลียด) เกิดขึ้นเมื่อ ‘วิญญาณจิต’ เปลี่ยนใหม่ (เอเฟซัส 4:23) แล้วสวมสภาพใหม่ (ซึ่งงดงาม) ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง (เอเฟซัส 4:24) เพื่อกลายเป็นบุคคลคนใหม่ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ 
 เราจะสวมสภาพใหม่ไม่ได้หากไม่ทิ้ง (หรือตายต่อ) ตัวเก่าเสียก่อน ดังเมล็ดพืชที่หว่านลงนั้น “ถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้” (1 โครินธ์ 15:36) 
 บางทีท่านอาจมองภาพไม่ออก ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอนำเสนอเรื่องหนึ่งที่เป็นประสบการณ์น่าประทับใจของข้าพเจ้า และเรื่องราวนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ขึ้นมา 
 เช้าวันหนึ่งในขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้ ข้าพเจ้าก็เห็นหนอนผีเสื้อใหญ่มากตัวหนึ่งกำลังกินใบของต้นดอกพังพวยอย่างเอร็ดอร่อย ปกติเมื่อข้าพเจ้าเห็นหนอนก็มักจะทำลายเสีย แต่หนอนตัวใหญ่นี้สีสวยมากจนทำให้ข้าพเจ้าอยากฟูมฟักให้เป็นผีเสื้อตัวงาม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงจับหนอนตัวนั้นใส่กระด้งเลี้ยงไว้พร้อมกับจัดหาใบไม้ไว้ด้วยเพื่อเป็นอาหารของมัน วันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้ก็มองเห็นหนอนอีกตัวหนึ่งที่ใหญ่และสวยไม่แพ้ตัวเมื่อวานที่จับไว้ ข้าพเจ้าจึงจับใส่กระด้งไว้ให้เป็นเพื่อนกัน (เข้าใจว่าเป็นพี่น้องกัน) หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวัน หนอนผีเสื้อค่อยๆ เปลี่ยนโฉมจากตัวหนอนกลายเป็นดักแด้แล้วในที่สุดก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในรังอย่างมิดชิด รังเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำดูน่าเกลียดทีเดียว ในที่สุดเมื่อถึงเวลาผีเสื้อก็ออกจากรัง (ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่ได้เห็นช่วงเวลาสำคัญเมื่อผีเสื้อออกจากรังทั้งสองตัว ตัวแรกบินไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบเหลือไว้แต่รังเปล่า ส่วนตัวที่สองก็เฝ้าระวังอยู่แต่ก็พลาดจนได้ แต่ทันได้เห็นการเปลี่ยนสีทั้งที่ลำตัวและที่ปีก น่าอัศจรรย์มากที่สีค่อยๆ เข้มขึ้นจนดูงดงาม แม้ว่าจะเป็นผีเสื้อกลางคืนซึ่งไม่สวยเท่าผีเสื้อที่เราเห็นบินในตอนกลางวันก็ตามที แต่ผีเสื้อกลางคืนที่ข้าพเจ้าฟูมฟักไว้ก็ดูงดงามมากแม้ว่าหน้าตาจะดูน่ากลัวไปสักนิดก็ตาม) รวมเวลาทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดทุกวันจนกระทั่งกลายเป็นผีเสื้อนั้นมากกว่าสองอาทิตย์ ในช่วงแรกๆ เมื่อมันนอนสงบนิ่งอยู่ในรังนั้น ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าเพราะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย ข้าพเจ้าจึงเอาเศษไม้ชิ้นเล็กๆ ไปเขี่ยดูจึงเห็นว่ามันยังมีชีวิตอยู่เพราะมีการดิ้นเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็เขี่ยมันบ่อยเหมือนกันเพราะไม่เคยรู้ว่ามันจะนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนพร้อมที่จะออกมาจากรัง 
 ข้าพเจ้าได้เรียนรู้หลายเรื่องหลายประการจากประสบการณ์ในครั้งนี้ซึ่งมีคนบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตทีเดียว การที่หนอนผีเสื้อนอนนิ่งๆ อยู่ในรังเป็นบทเรียนที่ดีเยี่ยมสำหรับการเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจข้อพระวจนะที่พูดถึงการทิ้งตัวเก่า หนอนผีเสื้อจำเป็นที่จะต้องทิ้งตัวเก่าที่เป็นหนอนผีเสื้อเพื่อที่จะกลายเป็นดักแด้และเป็นผีเสื้อในที่สุด การเปลี่ยนสภาพของหนอนผีเสื้อไปจนเป็นผีเสื้อให้ภาพที่ชัดเจนของการทิ้งตัวเก่าของเราซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยวิถีชีวิตเดิมเพื่อการสวมสภาพใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างให้มีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ตามแบบอย่างของพระเจ้า ตัวเก่าของเราถูกห่อหุ้มด้วยความโสมมแห่งบาปซึ่งน่าขยะแขยงเฉกเดียวกับดักแด้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยรังซึ่งดูน่าเกลียด แต่รังนั้นก็ถูกฉีกออกในที่สุดเพื่อให้หนอนผีเสื้อที่กลายเป็นดักแด้สวมสภาพใหม่เป็นผีเสื้อตัวสวยออกมา เราจำเป็นที่จะต้องหลุดจากวิถีชีวิตเดิมๆ ในความบาปของเราในแบบเดียวกัน แรกๆ ที่เพิ่งสวมสภาพใหม่นั้นผีเสื้อยังไม่แข็งแรง ยังไม่พร้อมที่จะโผบิน มันจะเกาะอยู่นิ่งๆ ในขณะที่มันเกาะนิ่งอยู่นั้นเองสีของมันก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น สวยงามขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ (เป็นชั่วโมงๆ) มันก็พร้อมที่จะโผบินสู่โลกกว้างที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเมื่อเราทิ้งตัวเก่าที่โสโครกและเต็มไปด้วยความบาปนานัปการ เราก็จะสวมสภาพใหม่ที่งดงาม เราจะสวมความชอบธรรมและความบริสุทธิ์เป็นอาภรณ์ใหม่ที่งดงาม แรกๆ เราก็ยังไม่แข็งแรงและต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินในวิถีชีวิตใหม่ของเราเช่นกัน โลกที่เฝ้ามองดูอยู่ก็จะค่อยๆ มองเห็นสีของเราชัดเจนขึ้น สวยงามขึ้น
 ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายจะไม่ทำให้อาภรณ์ใหม่ที่พระเจ้าทรงสวมให้แก่เราแปดเปื้อนด้วยความโสโครกแห่งบาปอีก ข้าพเจ้าอยากให้เราช่วยกันรักษาอาภรณ์นี้ให้สะอาดสวยงามเหมือนอย่างเมื่อเราได้รับมาแต่ต้นไว้ตลอดไป ให้โลกสามารถแยกแยะเราออกจากส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้รับอาภรณ์ใหม่ และให้โลกสามารถบอกว่าเราเป็น “ลูกของพระเจ้า” เหมือนอย่างที่เราสามารถบอกว่าสิ่งมีชีวิตในสภาพใหม่ที่ออกมาจากรังนั้นเป็น “ผีเสื้อกลางคืน” สีและลวดลายซึ่งเป็นอาภรณ์ของมันสามารถบอกให้รู้ว่ามันเป็นผีเสื้อชนิดใด มีชื่อเรียกว่าอะไร เช่นกัน ให้อาภรณ์ของเราเป็นเครื่องหมายการค้าที่บอกให้โลกรู้ว่าเราเป็น “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่” เป็น “ประชากรของพระเจ้า” เป็น “ลูกของพระเจ้า พระบิดา”

สิธยา คูหาเสน่ห์

ความกังวล

ท่านยอมให้ความกังวล (ความกระวนกระวาย) มีบทบาทในชีวิตของท่านมากน้อยแค่ไหน บางคนมีความกังวลตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยวาง ท่านล่ะ เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะเลิกกังวลในเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือจะใช้เวลาอย่างเฉลียวฉลาดและเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น ข้าพเจ้าขอยกเหตุผลตามแนวทางของพระคัมภีร์สัก 4 ข้อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมเราจึงไม่ควรกังวลหรือกระวนกระวาย
 1. ความกังวลไม่ทำให้เกิดการบรรลุผลใดๆ 
ข้าพเจ้าไม่ทราบเกี่ยวกับตัวท่าน แต่สำหรับข้าพเจ้าเองแล้วไม่ได้กังวลสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าตระหนักว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย เป็นการเสียทั้งเวลาและพลังงาน กังวลไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงเลิกกังวล แต่เชื่อและวางใจพระเจ้าในทุกเรื่อง 
 มัทธิว 6:27-29 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ “และเหตุไฉนท่านจึงกังวลด้วยเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ลงแรงหรือปั่นด้ายกระนั้นเราบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง (NIV)
 2. ความกังวลไม่ดีต่อตัวท่าน
ความกังวลทำลายเราในหลายๆ ทางด้วยกัน มันจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งซึ่งผุดขึ้นในใจของเราที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยทางร่างกายได้
 สุภาษิต 12:25 ความกระวนกระวายของคนถ่วงเขาลง แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม
 3. ความกังวลแตกต่างจากการวางใจพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
พลังงานที่เราใช้ไปกับความกังวลน่าจะเอามาใช้กับการอธิษฐานมากกว่า ข้าพเจ้าอยากให้สูตรสำเร็จง่ายๆ แก่ท่านคือ ความกังวลที่ถูกแทนที่ด้วยการอธิษฐานคือความวางใจ
 มัทธิว 6:30 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ
 ฟิลิปปี 4:6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
 4. ความกังวลผนวกกับการมุ่งไปในทิศทางที่ผิด
เมื่อเราเพ่งความสนใจของเราไปในทิศทางที่ผิด ชีวิตของเราก็จะผิดพลาด แต่หากเราเพ่งไปที่พระเจ้า เราก็จดจำความรักของพระองค์ที่มีให้เราได้ และเราก็ตระหนักว่าเราไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ เลยจริงๆ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับชีวิตของเราที่วิเศษสุดยอด แม้กระทั่งในเวลาที่เรามีปัญหา เมื่อมันดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงไม่สนพระทัย เราก็ยังสามารถวางใจองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้และเพ่งความสนใจไปที่แผ่นดินของพระองค์ พระเจ้าจะทรงดูแลเราในทุกเรื่องทุกด้าน 
 มัทธิว 6:25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนการวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
 1 เปโตร 5:7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย  
 ฉะนั้น อย่ากังวลหรือกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย แต่ขอให้มีความเชื่อและวางใจพระเจ้า เมื่อเราวางใจให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือเราในการเรียนรู้จากอดีตและทรงจัดเตรียมสำหรับอนาคต เราก็จะพอใจกับชีวิตในวันนี้ได้ 
 ท่านคงจะเห็นอย่างเดียวกับข้าพเจ้าว่าการที่เรากระวนกระวายหรือกังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าไม่เข้าใจในการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ เราไม่ยอมที่จะละความกระวนกระวายของเราไว้กับพระเจ้าจึงทำให้เกิดความทุกข์ทรมานฝ่ายจิตวิญญาณและทำให้เกิดความว้าวุ่นใจโดยไม่จำเป็น
 คนขี้กังวลมักจะคาดหวังสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงหวาดหวั่นหรือคาดหวังว่าจะเกิดอันตราย ความยากเข็ญ ความลำบาก หรือความไม่แน่นอน
 ความกังวลเป็นตัวทำลายจิตวิญญาณ ถ้าไม่ควบคุมให้ดีจะนำไปสู่ภาวะทุกข์ใจใหญ่ยิ่งและในบางรายถึงกับป่วยเป็นโรคจิต แต่ก่อนที่จะถึงจุดนั้นร่างกายมักจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
 ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างเรื่องการละความกระวนกระวายและวางใจให้ฟังสักเรื่องซึ่งคงจะทำให้ท่านมองเห็นภาพของการวางใจพระเจ้าได้ชัดเจน

 ศิษยาภิบาลคนหนึ่งต้องเดินทางบ่อยๆ โดยเครื่องบิน ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินก็เห็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติของบรรยากาศและคาดว่าเครื่องบินต้องตกหลุมอากาศอย่างแน่นอน นักบินจึงเตือนผู้โดยสารทุกคนให้รัดเข็มขัดและนั่งประจำที่ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดพายุและฟ้าคะนองรุนแรง เครื่องบินสั่นรุนแรงเนื่องจากแรงพายุ ศิษยาภิบาลคนนั้นยอมรับว่าเขากลัวมากซึ่งไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้น ทันใดนั้นเอง เขาก็มองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งนั่งอยู่คนเดียวไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เธอเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือ เธอไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว บางครั้งก็ปิดตาสักครู่แล้วก็อ่านต่อคล้ายกับเป็นการพักสายตา บางครั้งก็ยืดขา ในขณะที่ผู้ใหญ่รอบๆ ตัวกำลังประหวั่นพรั่นพรึงและไม่รู้ชะตากรรมตัวเองอยู่นั้น เด็กน้อยคนนี้กลับนิ่งเฉยและไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ผู้รับใช้คนนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดอย่างปลอดภัย ศิษยาภิบาลคนนั้นจึงเข้าไปถามเด็กหญิงคนนั้นซึ่งเขาเฝ้ามองอยู่เป็นเวลานานบนเครื่องบินในช่วงที่ชีวิตของทุกคนบนเที่ยวบินนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายว่า “หนูจ๋า หนูไม่กลัวเลยเหรอจ๊ะเมื่อเครื่องบินตกหลุมอากาศ มันน่ากลัวมากนะ”

 เธอตอบว่า “หนูไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของหนูเป็นคนขับเครื่องบินลำนั้น และคุณพ่อจะพาหนูกลับบ้าน”

 ท่านล่ะ ในเวลาที่พายุชีวิตโหมกระหน่ำใส่ท่านจนตั้งตัวไม่ติด ท่านกลัวไหม 
 แต่ขอให้จดจำไว้ว่า พระบิดาของเราทรงเป็นนักบินของเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ และพระองค์กำลังทรงนำเรากลับบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขอเพียงวางใจพระองค์เท่านั้น

สิธยา คูหาเสน่ห์