19/9/51

ได้กลิ่นฝน

ฉบับนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งปันการอัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทรงช่วยทารกหญิงตัวน้อยๆ ซึ่งคลอดก่อนกำหนดและที่แพทย์ลงความเห็นว่าแทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตหรือหากกว่ารอดมาได้ก็จะมีความพิการซ้ำซ้อน แต่ในสถานการณ์ที่มนุษย์เห็นว่าเป็นไปไม่ได้อย่างนี้แหละ ที่พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ 
 เรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริง
 บ่ายวันที่ 10 มีนาคม 1991 ไดอานา เบรสซิง จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกน้อยในครรภ์ซึ่งมีอายุเพียง 24 สัปดาห์เท่านั้นออกมาเนื่องจากมีโรคแทรกซ้อน ทารกน้อยนี้เป็นเพศหญิงและเป็นบุตรคนที่สองของครอบครัวเบรสซิงและมีชื่อว่า ดาเน ลู เบรสซิง ทารกน้อยนี้วัดความยาวได้ 12 นิ้ว และหนักเพียงหนึ่งปอนด์กับเก้าออนซ์ (ประมาณ 0.8 กิโลกรัม) เท่านั้น 
 แม้ว่าสองสามีภรรยาตระหนักอยู่แล้วว่าลูกสาวคนใหม่คลอดก่อนกำหนดและมีความเสี่ยงสูงที่อาจจะไม่รอดก็ตามที แต่เมื่อคุณหมอที่ทำคลอดเดินเข้ามาในห้องพักในโรงพยาบาลในช่วงค่ำ (ซึ่งดูมืดมิดสำหรับครอบครัวเบรสซิง) เดวิดผู้เป็นสามีก็กุมมือภรรยาของเขา (ซึ่งยังงัวเงียจากยาสลบ) ไว้แน่นเพื่อเตรียมใจรับฟังข่าวจากคุณหมอ แม้ว่าน้ำเสียงของคุณจะอ่อนโยนอยู่ในทีก็ตาม แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วมันรุนแรงเหมือนถูกระเบิดใส่ คุณหมอกล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าทารกน้อยจะผ่านคืนนี้ไปได้เพราะโอกาสรอดมีอยู่แค่ 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น และแม้ว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้ก็ตาม เธอคงมีชีวิตที่โหดร้ายในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
 เดวิดและไดอานาฟังคุณหมออธิบายถึงปัญหาต่างๆ ที่ดาเนจะต้องเผชิญอย่างสิ้นหวัง 
 ดาเนจะพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ บางทีตาอาจบอดด้วย และมีแนวโน้มที่อาจเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายเนื่องจากสมองบางส่วนถูกทำลายในขณะคลอดออกมาไปจนถึงเป็นเด็กปัญญาอ่อนโดยสิ้นเชิง เป็นต้น 
 “ไม่ ไม่” ไดอานาพร่ำพูดอยู่อย่างนั้น ตัวเธอพร้อมสามีและดัสตินลูกชายวัยห้าปีฝันถึงวันที่ครอบครัวนี้จะมีลูกสาวอีกหนึ่งคน แต่ตอนนี้ฝันนั้นกำลังสลายไปต่อหน้าต่อตา
 แต่ดาเนก็สามารถยื้อชีวิตไว้จนถึงเช้าวันใหม่ในขณะที่ไดอานาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนและตัดสินใจแน่วแน่ว่าลูกสาวของเธอจะต้องรอดและเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความสุข แต่เดวิดกลับนอนไม่หลับและได้รับรู้ข่าวร้ายเพิ่มเติมว่าโอกาสที่ลูกสาวของเขาจะออกจากโรงพยาบาลแบบมีชีวิตนั้นแทบไม่เหลือให้หวังแล้ว ไม่ต้องฝันเฟื่องไกลกว่านั้น เขารู้ว่าเขาต้องเป็นคนนำข่าวร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ไปบอกภรรยา
 เดวิดเดินเข้าไปหาไดอานาเพื่อคุยเกี่ยวกับงานศพ ไดอานาจำได้ว่ารู้สึกไม่พอใจเขามากเพราะเขากำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมีส่วนในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่เธอไม่อยากได้ยิน เธอไม่อยากฟัง จำได้ว่าบอกว่าเขาไปว่า “จะไม่มีงานศพอย่างแน่นอน ไม่มีวันเป็นอย่างนั้น ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคุณหมอพูดว่าอย่างไร ดาเนจะไม่ตาย! ลูกจะสบายดี และเธอจะกลับบ้านพร้อมกับเรา!” 
 ดาเนยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าโดยอาศัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและตราบเท่าที่ร่างกายขนาดจิ๋วของเธอสามารถทนทานได้อย่างน่าพิศวง ราวกับว่าที่อยู่ได้เพราะความตั้งใจแน่วแน่ของไดอานาผู้เป็นแม่ แต่เมื่อช่วงเวลาวิกฤตในวันแรกๆ ผ่านไป เดวิดและไดอานาก็มีความกลัดกลุ้มในเรื่องใหม่อีกเพราะระบบเส้นประสาทที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของดาเนนั้นบอบบางมากเป็นพิเศษ สัมผัสเพียงเบาๆ ก็ทำให้เจ็บปวดได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เดวิดและไดอานาอุ้มลูกน้อยไว้แนบออกเพื่อให้ไออุ่นแก่เธอไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่ทำได้คืออธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ๆ ลูกน้อยของพวกเขาในขณะที่เธอนอนอยู่ในตู้อบมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด 
 ไม่มีสักชั่วขณะหนึ่งที่ดาเนแข็งแรงขึ้นเลย แต่เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ เธอก็ค่อยๆ มีน้ำหนักมากขึ้นและแข็งแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ในที่สุดพ่อแม่ก็อุ้มดาเนได้เป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้สองเดือน และสองเดือนต่อมาดาเนก็กลับบ้านได้อย่างที่คุณแม่ของเธอคาดการณ์ไว้แม้ว่าคุณหมอยังคงเตือนว่าโอกาสที่ดาเนจะมีชีวิตรอดนั้นแทบไม่มี ไม่ต้องคิดไปไกลถึงการใช้ชีวิตแบบปกติเลย ห้าปีต่อมาดาเนก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นเด็กร่างเล็กจิ๋ว เธอมีตาสีเทาที่แววตาเป็นประกาย และเป็นเด็กสนุกสนานร่าเริง เธอไม่มีอาการของความพิการทางร่างกายและสมองปรากฏให้เห็นเลย 
 เธอก็เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่น่ารักเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่เรื่องราวยังไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขตรงนี้
 บ่ายวันหนึ่งที่ร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนปี 1996 ดาเนนั่งอยู่บนตักแม่บนอัฒจันทร์กลางแจ้งในสวนสาธารณะใกล้บ้านในรัฐเท็กซัสที่ดัสตินพี่ชายกำลังซ้อมเบสบอลอยู่ ดาเนก็คุยกับแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อยอย่างเคย ทันใดนั้นเองเธอก็หยุดกึกทันทีและเอามือกอดอก ดาเนถามว่า “แม่ได้กลิ่นมั้ยคะ” ไดอานาสูดดมอากาศและเห็นว่าฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลจึงตอบว่า “จ้ะ ได้กลิ่นฝน” ดาเนปิดตาและถามอีกครั้งว่า “แม่ได้กลิ่นมั้ยคะ” แม่ก็ตอบอีกครั้งว่า “จ้ะ แม่คิดว่าฝนกำลังจะตก เราจะเปียกฝนกันล่ะ” แต่ดาเนยังจำช่วงเวลานั้นได้จึงสั่นหัวและเอามือน้อยๆ ตบเบาๆ ที่หัวไหล่และพูดเสียงดังว่า “ไม่ใช่ เมื่อเอาหัวซุกอยู่ที่อกของพระเจ้า จะได้กลิ่นแบบนี้แหละ มันเป็นกลิ่นของพระองค์นี่เอง” น้ำตาเอ่อล้นตาของไดอานาในขณะที่ดาเนกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขกับเด็กคนอื่นๆ คำพูดของลูกสาวยืนยันสิ่งที่ไดอานาและสมาชิกในครอบครัวรู้แก่ใจมาโดยตลอดว่าในช่วงสองเดือนแรกที่ดาเนต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตรอดในขณะที่ระบบต่างๆ ในร่างกายของเธอยังพัฒนาไม่เต็มที่และร่างกายบอบบางจนรับการสัมผัสไม่ได้นั้น พระเจ้าทรงอุ้มเธอไว้ในอ้อมอกของพระองค์และกลิ่นหอมของพระองค์นั่นเองที่ดาเนจดจำไม่รู้ลืม
 เมื่อข้าพเจ้าอ่านเรื่องของดาเนเป็นครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าขนลุก (ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มีการพูดถึงความยิ่งใหญ่และพระเมตตาคุณของพระเจ้า) และก็เป็นอย่างนั้นอีกในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องนี้คงเป็นการยืนยันให้เราทั้งหลายมั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเราเสมอ และในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดนั่นเองที่จะเห็นพระองค์ชัดเจนที่สุดและสัมผัสพระองค์ได้จริงๆ
 แม้ว่าหลายคนอาจไม่มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับพระองค์อย่างดาเนก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าอย่างน้อยก็มีประสบการณ์อยู่บ้างตลอดเส้นทางจาริกของท่านบนโลกนี้

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น