ผู้เชื่อเป็นบุคคลสองสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นพลเมืองของประเทศที่อาศัยอยู่แล้ว ผู้เชื่อยังเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์อีกด้วย ข้อเท็จจริงนี้บอกไว้ชัดเจนในพระธรรมฟิลิปปี 3:20 “แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์” เมื่อเป็นเช่นนั้น เราในฐานะที่เป็นคริสเตียนคิดว่าจะจัดการกับการเป็นบุคคลสองสัญชาตินี้อย่างไร
คริสเตียนแตกต่างจากคนที่ไม่เป็นคริสเตียนในฐานะที่เป็นเกลือและเป็นความสว่างแห่งโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ชาวสวรรค์จึงควรมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชาวโลก (อย่างเห็นได้ชัด) จนผู้คนที่พบเจอมองเห็นความแตกต่างนั้นได้ และอาจมีคนถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” คริสเตียนน่าจะถูกถามเช่นนั้นบ่อยๆ แต่น่าเสียดายที่บางคนอาจไม่เคยได้ยินใครถามคำถามนั้นเลยตลอดชั่วชีวิตในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อว่ามีหลายคนที่เคยถูกถามเช่นนั้น เมื่อคำตอบคือ “ใช่” ผู้ที่ถูกยกชูขึ้นมิใช่เรา หากคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าหวังว่าก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านถาวรนั้น ข้าพเจ้าจะถูกถามว่า “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” ข้าพเจ้าและครอบครัวอยากถูกถามเช่นนี้มากกว่าที่จะมีคนถามว่า “คุณมาจากประเทศไทยใช่ไหม” ถึงแม้ว่าการเป็นพลเมืองทางโลกของเรามิใช่การเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์จะเป็นที่ตระหนักอันเนื่องจากวิถีชีวิตของเราที่แตกต่างจากพลเมืองของประเทศอื่นที่ผู้ถามไม่ค่อยประทับใจก็ตาม แต่เรา (ครอบครัวของข้าพเจ้า) ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก หากว่าคำถามนั้นเป็น “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม” พวกเราคงจะปลาบปลื้มใจยิ่งกว่า แต่อย่างน้อยเพียงแค่แวบแรกของการพบเจอก็ยังสามารถบอกความแตกต่างได้ก็ดีมากพอแล้ว
โดยพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่อย่างพอเพียง ข้าพเจ้าและลูกทั้งสามคนได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวหลายประเทศในยุโรปช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ลูกสาวคนเล็กบินไปพบกับเราที่ลอนดอนแทนที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในปีนี้ การเดินทางครั้งนี้ต้องนับว่าสุดทรหดทีเดียวเพราะในช่วงสิบสี่วันที่ท่องเที่ยวอยู่นั้นย้ายประเทศสี่ครั้งไม่รวมเที่ยวบินไปและกลับอีกสองเที่ยว เรามีกระเป๋าหนักๆ เดินทางรวมกันทั้งหมดประมาณสิบใบไม่รวมเป้และกระเป๋าถือส่วนตัว การย้ายประเทศสี่ครั้งนั้นเป็นการเดินทางด้วยรถไฟสามครั้งและเครื่องบินหนึ่งครั้ง และเดินกันทั้งวันท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น (บางวันหนาวติดลบและหนึ่งวันหิมะตกด้วย) ที่กล่าวมานี้มิได้มีจุดมุ่งหมายอื่นใดนอกจากจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองและปกปักรักษาทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้รอดพ้นจากภยันตรายและความเสียหายทั้งมวล ทรัพย์สินทั้งหมดของเราไม่เสียหายหรือสูญหายเลยสักชิ้น และเป็นการใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณภาพและเป็นพระพรอย่างยิ่ง
เมื่ออยู่ที่เวนิสเราได้เดินเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งขายสินค้าทำด้วยมือที่ทำจากระดาษ หนังสัตว์ และแก้ว เมื่อเราเดินเข้าไป เราก็ยิ้มและทักทายเจ้าของร้านซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำเป็นปกติอยู่แล้วเมื่อเราอยู่ในระหว่างการเดินทาง เมื่อเจ้าของร้านถามว่าจะให้ช่วยอะไรไหม เราก็ตอบอย่างสุภาพว่าเราขอเดินชมสินค้าในร้านด้วยตัวเอง สักครู่เจ้าของร้านก็ถามว่า “พวกคุณมาจากประเทศไทยใช่ไหมครับ” เขาบอกว่าเพราะพวกเราสุภาพและทักทายเขาอย่างสุภาพ (ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) ด้วยการปฏิสัมพันธ์ฉันมิตรจึงนำไปสู่การสนทนาระดับลึกที่เข้าใกล้เรื่องส่วนตัวมากขึ้น เราต่างก็ประทับใจในกันและกันเป็นอย่างมาก เจ้าของร้านใจดีมากและชื่นชอบพวกเราค่อนข้างมากเอาการ เขามอบของขวัญให้แก่เราทุกคนๆ ละ 2 ชิ้นโดยให้เลือกจากสินค้าในร้าน แม้ว่าราคาค่างวดของสิ่งที่เขามอบให้จะไม่มากมาย แต่น้ำใจที่มอบให้นั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ก่อนจะลาจากกันเราได้ถ่ายภาพด้วยกันและสัญญาว่าจะส่งภาพให้เขาเมื่อเรากลับเมืองไทยแล้ว
แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ประกาศตนว่าเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์แก่เจ้าของร้านคนนี้ที่เวนิสก็ตาม แต่ผู้เชื่อก็มีสัญลักษณ์บางอย่างที่ประกาศความเชื่อของตนเสมอ เมื่อข้าพเจ้าส่งภาพที่ถ่ายร่วมกันไว้ให้แก่เพื่อนใหม่ของเราทางอีเมล์ เขาดีใจมากที่เราไม่ได้ดีแต่พูด แต่ทำอย่างที่ตกปากรับคำไว้ แต่สิ่งหนึ่งทำให้ข้าพเจ้าทั้งประหลาดใจและดีใจระคนกันก็คือในการแลกเปลี่ยนอีเมล์กันนั้น เขาเขียนข้อความมาถึงข้าพเจ้าว่า “ผมไม่ได้เป็นผู้เชื่อหรอกนะ แต่ผมยกย่องผู้เชื่อ” ตอนแรกข้าพเจ้าก็จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเขาพูดเช่นนั้นทำไม เพราะข้อความที่แลกเปลี่ยนกันนั้นไม่มีข้อความใดที่โยงถึงเรื่องการเป็นผู้เชื่อเลย แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็เข้าใจ เป็นเพราะข้อความที่อยู่ตอนท้ายหน้าที่ข้าพเจ้าเขียนว่า “Lord, help us each day to see the opportunities to share your love with others.” นี่เองที่ทำให้เขารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อ ข้อความนี้ที่อ่านว่า “พระองค์เจ้าข้า ในแต่ละวันขอพระองค์โปรดช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้เห็นโอกาสที่จะแบ่งปันความรักของพระองค์กับผู้อื่น” ข้อความนี้จะถูกส่งออกไปพร้อมกับข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนถึงใครก็ตาม ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าที่จะประกาศเรื่องความรักของพระองค์ผ่านตัวหนังสือแม้ว่าจะไม่ได้ด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตามที แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม การประกาศนั้นก็มีสิทธิอำนาจของพระองค์และสามารถแตะต้องใจผู้ที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วยเสมอ
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่อยากหนุนใจท่านทั้งหลายว่าอย่าละเลยแต่ให้ฉวยทุกโอกาสที่จะแสดงตนว่าเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ในทุกที่ที่เราไป
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น