25/9/51

ประสบการณ์ใหม่

ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยพระพรหลากหลายรูปแบบ ทุกคนได้รับการอวยพรที่แตกต่างกันไป แต่เป็นพรที่มีความพิเศษเฉพาะตัวบุคคลเพราะพระเจ้าทรงรู้จักลูกทุกคนของพระองค์อย่างถ่องแท้ แต่บางครั้งเราไม่ได้สำนึกถึงพระคุณนั้น เราอาจลืมไปว่าทุกเรื่องราวในชีวิตไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า บางคราวเราไม่ไวพอที่จะเห็นว่าเป็นการอวยพรจากพระเจ้า เพราะคิดเหมาเอาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสมควรที่เราจะได้อยู่แล้ว 

แต่มีประสบการณ์ใหม่ๆ เรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางชีวิตของเรา เมื่อเรื่องราวหนึ่งจบลง เรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น สิ่งนี้แหละคือสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตที่เราจำเป็นจะต้องสังเกตและเฝ้าดู บางเรื่องเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอ บางเรื่องเป็นประสบการณ์เรียนรู้ผ่านสิ่งต่างๆ 

ทว่า…หลายคนไม่อยากมีประสบการณ์ใหม่ในชีวิต หลายคนพอใจกับ “สิ่งคุ้นเคย” ไม่อยากเจอสิ่งใหม่ๆ ไม่อยากพบความแปลกใจ ไม่อยากมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น มิใช่หรือ ทารกในครรภ์มารดาคงอยากอยู่มืดๆ ในครรภ์ที่อบอุ่นนั้นตลอดไป แต่มันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ เมื่อถึงกำหนดทารกนั้นก็ต้องออกมาใช้ชีวิตนอกครรภ์มารดา ทารกนั้นไม่สามารถเลือกที่จะอยู่ในครรภ์มารดาตลอดไป แม้เมื่อออกมาใช้ชีวิตในโลกในช่วงหลายขวบปีแรกก็ตาม ทารกที่ค่อยๆ เติบใหญ่ก็ยังไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ในที่สุดสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตก็ค่อยๆ มีมากขึ้น นั่นเป็นความจริงพื้นฐานของชีวิตที่เราต้องยอมรับ แต่ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าหลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของปรากฏการณ์ ‘ดักแด้’ ซึ่งมีอยู่ทุกสังคม แต่เห็นได้ชัดเจนกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา มันเป็นสภาวะที่เราถอยตัวเองเข้าไปในที่ที่ซึ่งมีความอบอุ่น ความสบาย ความปลอดภัยจากสภาวะภายนอกที่หดหู่ อันตราย มันเป็นการป้องกันตัวเองจากสิ่งและบุคคลต่างๆ ที่อาจทำให้เรารู้สึกไม่อบอุ่นใจ (เหมือนหนอนผีเสื้อในรัง) 

หลักการนี้ใช้ได้กับชีวิตฝ่ายวิญญาณ

การปฏิบัติดังกล่าวอาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามในโลกนี้ แต่มันก็ทำให้ประสบการณ์ชีวิตในหลายๆ ด้านขาดหายไปจากชีวิตของเราด้วย และยังทำให้เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกด้วย เมื่อเราเป็นคริสเตียน พระเจ้าทรงคาดหวังให้เรา “ออกจากครรภ์” แล้วเติบโต ได้รับประสบการณ์ชีวิต และหากว่าเราไม่เติบโตขึ้นเลย นั่นหมายความว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามีปัญหาเสียแล้ว!

ท่านอาจคุ้นเคยกับสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับเราว่า


ท่านเป็นคริสเตียนมานานแล้ว และเมื่อถึงตอนนี้แทนที่ท่านจะสอนคนอื่น ท่านกลับต้องมีคนสอนเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับความเชื่อเหมือนผู้เชื่อใหม่เสียเอง ท่านต้องเรียนรู้พระคำใหม่อีกครั้ง ท่านเหมือนทารกที่ดื่มได้แต่น้ำนมเท่านั้นและรับประทานอาหารแข็งไม่ได้เลย และบุคคลที่ดื่มนมได้อย่างเดียวคงไม่สามารถเติบโตฝ่ายวิญญาณได้มากสักเท่าไร และคงมีความรู้ไม่มากพอที่จะรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง บุคคลที่รับประทานอาหารแข็งได้คือคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ คนที่ฝึกฝนตัวเองให้รู้จักแยกแยะถูกผิดและเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง 

ดังนั้นให้เราเติบโตขึ้นและไม่ต้องกลับไปเรียนพื้นฐานความเชื่อกันใหม่ ให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจ แน่ล่ะ เราคงไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการเรียนรู้ว่าต้องหันกลับจากการกระทำชั่วและเชื่อวางใจพระเจ้า เราคงไม่ต้องให้ใครมาสอนเรื่องศีลบัพติศมา เรื่องการวางมืออธิษฐาน เรื่องการฟื้นจากความตาย และการพิพากษาในวันสุดท้าย และถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น 

เราทุกคนได้รับการอวยพรอย่างเต็มเปี่ยมในชีวิตบนโลกนี้ และหากเราสร้าง ‘เปลือกหุ้ม’ ไว้รอบๆ ตัวเรา ทำไมไม่ฉีกมันทิ้งเสียล่ะ แล้วก็เติบโตเป็นคริสเตียนผู้ใหญ่ เป็นคริสเตียนที่สามารถรับใช้พระเจ้าและเป็นบุคคลที่มีค่าต่อผู้อื่นที่อยู่รอบตัวตามที่พระผู้สร้างทรงมุ่งหมายให้เป็นเสียทีเล่า

ข้าพเจ้าหวังว่าเราทุกคนคงอยากลิ้มรสอาหารอื่นๆ บ้างนอกเหนือจากน้ำนมที่คงไม่ได้มีรสชาติให้เลือกมากนัก และเมื่อท่าน “นับพระพรของท่านดูทีละอัน นับพระพรซึ่งพระเยซูประทาน นับพระพรนั้น นับดูทีละอัน นับพระพรของท่านซึ่งพระเยซูประทาน” ท่านจะพบว่าพระพรของท่านนั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แล้วสักวันหนึ่งเราคงได้มีโอกาสแบ่งปันพระพรกัน 


สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น