ชีวิตหลังความตายมีจริงหรือ หลายคนกำลังถามคำถามเดียวกับที่โยบถามไว้เมื่อเกือบสี่พันปีมาแล้วซึ่งปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ที่ว่า “ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ” (โยบ 14:14) ท่านคิดว่ามีคำถามใดที่เป็นรากเหง้าเกี่ยวกับชีวิต (และความตาย) มากไปกว่าคำถามนี้อีกไหม คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเราจะไปไหนหลังความตาย ดังนั้นจึงกลัวความตายกันเพราะความที่ไม่รู้นั่นเอง แล้วหลักฐานยืนยันว่ามีชีวิตหลังตายจริงล่ะมีไหม… มีคนที่ตายไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟังกระนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ก็มีหลายคนมองหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ยืนยัน แต่ ความเชื่อคือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง (ฮีบรู 11:1) หากว่าชีวิตหลังความตายสามารถพิสูจน์ได้ ถ้าเช่นนั้น … ยังจำเป็นต้องมีความเชื่ออีกหรือ
หากยืนกรานจะขอหลักฐานล่ะก็ ลองฟังข้อพระวจนะเหล่านี้ดูสักหน่อยว่าให้ความมั่นใจได้บ้างไหม
พระเยซู ตรัสกับเธอ (มารธา) ว่า เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้นถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก …ยอห์น 11:25
เพราะว่า พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์…ยอห์น 3:16
ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์…1 ยอห์น 5:13
เป็นต้น
สำหรับผู้สงสัยในชีวิตหลังความตาย แนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับสวรรค์ก็เป็นเพียงผลิตผลของจินตนาการที่ก่อเกิดผลเท่านั้น และสำหรับอีกหลายคนแนวคิดเกี่ยวกับสวรรค์ตามแนวทางพระคัมภีร์เป็นการเพ้อฝันมากไป แต่คริสเตียนสามารถที่จะตั้งความหวังได้อย่างชัดเจน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้เราเชื่อมั่นใจได้ว่าพระเยซูมิเพียงทรงนำหน้าเราไปก่อนในความตาย ทว่าพระองค์ยังทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงเป็นผู้บุกเบิกทางไปสวรรค์ให้แก่เราไว้ด้วย
มีผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กฝาแฝดในครรภ์มารดาที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับชีวิตหลังกำเนิด ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ามีประเด็นน่าคิดและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายได้อย่างเหมาะเจาะ
เด็กชายฝาแฝดคู่หนึ่งเติบใหญ่อยู่ในครรภ์มารดาหลังการปฏิสนธิ เมื่อมีพัฒนาการมากขึ้นก็มีการรับรู้มากขึ้นตามไปด้วย ทารกน้อยทั้งสองหัวเราะกันอย่างมีความสุขที่คุณแม่ตั้งท้องพวกเขา เด็กทั้งสองคนท่องโลกแคบๆ ของพวกเขาในครรภ์นั่นเอง เมื่อพบสายที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตแก่พวกเขาก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก และพูดว่า “คุณแม่ช่างรักเรามากจริงๆ นะ รักมากจนกระทั่งใช้ชีวิตร่วมกับพวกเราเลยแหละ”
เมื่อเวลาผ่านไปจากสัปดาห์เป็นเดือน ทารกแฝดก็สังเกตเห็นว่าร่างกายของตนเปลี่ยนแปลงไปมาก แฝดคนที่หนึ่งก็ถามว่า “มันหมายความว่ายังไงกันนี่”
“ก็หมายความว่าเวลาที่เราจะอยู่ในท้องแม่จวนจะหมดแล้วน่ะสิ” แฝดคนที่สองตอบ
“แต่ฉันไปอยากจากที่นี่ไปเลย” แฝดคนที่หนึ่งตอบ “ฉันอยากอยู่ในนี้ตลอดไปเลยล่ะ”
“เราไม่มีทางเลือกหรอกนะ แต่มันอาจมีชีวิตหลังจากที่เราออกไปจากท้องแม่ก็ได้นะ” แฝดคนที่สองตอบ
“อ้าว จะเป็นไปได้ไงล่ะ” แฝดคนที่หนึ่งแย้ง “เราจะต้องแยกออกจากสายที่หล่อเลี่ยงให้ชีวิตแก่เรา แล้วจะมีชีวิตได้ไงล่ะ นอกจากนั้น เรายังได้เห็นหลักฐานที่คนอื่นๆ เคยอยู่ในนี้มาก่อน แต่ไม่มีใครกลับเข้ามาบอกเราว่ามีชีวิตหลังกำเนิดเลยนี่นะ ไม่หรอก นี่เป็นจุดจบของชีวิตแล้วล่ะ บางทีอาจไม่มีคุณแม่อย่างที่เราเข้าใจก็ได้นะ”
“ต้องมีสิ ถ้าไม่มี เรามาอยู่ในนี้ได้ยังไงล่ะ เรายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงล่ะ” อีกคนแย้งเสียงแข็ง
“เคยเห็นแม่เหรอ” อีกคนเถียง “บางทีอาจเป็นแม่แค่ในความคิดก็ได้ เราอาจกุว่ามีแม่เพราะการคิดแบบนั้นทำให้เรารู้สึกดี”
ดังนั้นช่วงสุดท้ายในครรภ์จึงเต็มไปด้วยคำถามและความกลัว ในที่สุดก็ถึงเวลาเกิดของฝาแฝดคู่นี้
เมื่อทารกแฝดได้ออกมาจากท้องแม่สู่โลกแห่งความเป็นจริง ทั้งคู่ก็ลืมตาและร้องไห้จ้าด้วยความชื่นชมยินดี เพราะสิ่งที่เห็นมันดีเกินกว่าที่คิดไว้มากมายนัก
นั่นแหละคือประสบการณ์ของคริสเตียนที่ต้องผ่านเจอความตาย
แม้ว่าที่ท่านได้อ่านมาข้างต้นจะเป็นเรื่องที่แต่งก็ตาม แต่ก็ให้แนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายเอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ที่เรากลัวความตายก็เหมือนกับที่ทารกแฝดกลัวการเกิดมาในโลก ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อขอให้เรามั่นใจว่ามีชีวิตหลังความตายแน่นอน และที่ที่เราจะไปจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรอเราอยู่
แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่าที่ที่ข้าพเจ้าจะไปหลังความตายเป็นอย่างไร แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าต้องเป็นที่ที่ดีกว่าที่ที่ข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้อย่างแน่นอน
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น