25/9/51

ในเวลาของพระองค์

ข้าพเจ้าคิดว่าคริสเตียนทุกคนคงรู้จักเพลงนมัสการ ‘ในเวลา’ ซึ่งร้องว่า

ในเวลา ของพระคริสต์
ทรงลิขิตชีวิตของข้า ตามน้ำพระทัย
ขอโปรดให้ข้าเรียนรู้ว่า
ตราบที่ข้า เดินในมรรคา
ดวงชีวาอยู่ในเวลา ของพระองค์

ในเวลา ของพระเจ้า
ทรงเฝ้าดูชีวิตให้อยู่ในน้ำพระทัย
โอ้พระเจ้าข้าขอมอบใจ
มอบถวายชีวิตทั้งกาย
เพื่อจะได้อยู่ในเวลา ของพระองค์

ใช่แล้ว พระเจ้าทรงกระทำการในชีวิตของผู้เชื่อตามน้ำพระทัยในเวลาของพระองค์ เมื่อเราทูลวิงวอนต่อพระองค์ บางครั้งดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเงียบเฉยอยู่ ทำให้ไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเราหรือไม่ ทำไมรอแล้วรอเล่า คำตอบไม่มาสักที ท้อแทบหมดแรง สั่นคลอนในความเชื่อ และท้ายที่สุดอาจถึงกับต่อว่าพระเจ้า 

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าท่านเคยมีประสบการณ์เช่นนี้บ้างไหมในชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่ที่แน่ใจก็คือไม่ว่าปัญหาของท่านจะเป็นอะไร ใหญ่แค่ไหน ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีคำตอบสำหรับปัญหาของท่านเสมอ พระองค์จะไม่มีวันเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของท่านอย่างแน่นอน แต่…พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านในเวลาของพระองค์เท่านั้น กรอบเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้สำหรับแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่คำตอบจะมาถึงทุกคน

ข้าพเจ้าอยากขออนุญาตเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อยเกี่ยวกับการสัมผัสจากพระเจ้าในการรักษาโรค จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อหนุนใจพี่น้องที่เจ็บป่วยซึ่งคำอธิษฐานขอการรักษายังมาไม่ถึง อย่าอ่อนระอาหมดแรงไปเสียก่อน ขอให้อธิษฐานต่อไป พระองค์ทรงมีพระประสงค์สำหรับท่านอย่างแน่นอน 

ข้าพเจ้ารับทราบจากคุณหมอว่าข้าพเจ้ามีปัญหาเกี่ยวกับตาเมื่อไปรับการตรวจประจำทุกหกเดือน คุณหมอซึ่งรับรู้สภาพตาของข้าพเจ้ามาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีพังผืดที่จอประสาทตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เริ่มเอะใจเมื่อคุณหมอเริ่มถามอะไรๆ นอกเหนือไปจากที่เคยถามแล้ว แต่ก็ไม่ได้วิตกเกินกว่าเหตุ เพียงคิดว่าตาคงเสื่อมลงไปอีกเพราะคุณหมอเตือนแล้วว่าตาของข้าพเจ้าคงเสื่อมเร็วกว่าคนในวัยเดียวกันเนื่องจากงานของข้าพเจ้าที่จำเป็นต้องจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานวันละหลายๆ ชั่วโมง พยายามทำตามคำแนะนำของแพทย์ที่ให้พักสายตาบ่อยๆ แต่ดูเหมือนทำไม่ค่อยได้เอาเสียเลย แต่เมื่อตรวจเสร็จก็ได้รับการบอกว่ามีพังผืดที่จอประสาทตา มันเป็นคำใหม่ที่ไม่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่รู้ว่ามีโรคตาที่เรียกว่าพังผืดที่จอประสาทตาด้วย (ร้ายแรงกว่าโรคตาต้อมาก) ในขณะนั้นก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะถ้าตามีปัญหาแล้วข้าพเจ้าคงไม่สามารถรับใช้พระเจ้าได้อีกในงานที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ทำ แต่ในใจลึกๆ ก็ไม่ได้ปริวิตกเกินเหตุเพราะแน่ใจว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับทุกสิ่ง ข้าพเจ้าจึงซักถามคุณหมอเกี่ยวกับสาเหตุและวิธีการรักษา และทราบว่าสาเหตุนั้นบอกไม่ได้ แต่หากมีแผลเกิดขึ้นที่จอตาก็ทำให้มีพังผืดได้ แต่เท่าที่จำได้ตาของข้าพเจ้าไม่เคยบาดเจ็บถึงขั้นเป็นแผลเลย ส่วนวิธีการรักษาก็รับทราบเพียงว่าทำได้ด้วยการลอกพังผืดออก แต่การรักษาแบบนี้ (ซึ่งมีวิธีเดียว) ก็มีความเสี่ยงสูงและผลที่ตามมาก็ไม่พึงประสงค์ เช่น ทำให้เกิดต้อกระจกในภายหลัง จอตาหลุด คุณหมอบอกเท่านี้ แต่คำตอบเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าจุใจได้ ข้าพเจ้าจึงสำรวจเองทางอินเทอร์เน็ตและพบว่าผลร้ายมีมากกว่านั้น และนับว่าเป็นการรักษาที่อันตรายมากที่สุดของการรักษาเกี่ยวกับโรคตาทั้งหมด เมื่อทราบเช่นนี้ข้าพเจ้าก็อธิษฐานทูลพระเจ้าว่าข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์สำหรับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่ลอกพังผืดออกอย่างแน่นอน เมื่อถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุดก็แค่มองเห็นภาพบิดเบี้ยวและคงจะอ่านหนังสือไม่ได้เท่านั้นเอง แต่พระเจ้าทรงให้สติปัญญาและทรงใช้ข้าพเจ้าในการแปลหนังสือและเขียนบทความ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพเจ้าจะต้องพบกับภาวะเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่าโรคนี้คงรุนแรงมากจริงๆ เพราะคุณหมอนัดตรวจทุกสองเดือน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานขอการสัมผัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าทูลขอให้พระองค์ทรงลอกพังผืดออกไปด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งทรงเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกเช้าข้าพเจ้าจะอธิษฐานขอบพระคุณที่ยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในสภาพที่ข้าพเจ้าเคยเห็น แต่หากว่าข้าพเจ้ามอง Amsler Grid Eye Exam (ซึ่งเป็นตารางสำหรับทดสอบจอประสาทตา) ทั้งสองตาพร้อมกันก็ยังไม่เห็นภาพบิดเบี้ยว แต่หากมองทีละตาก็จะเห็นว่าตารางมันไม่เป็นเส้นตรงแล้ว ตาข้างขวาเป็นมากกว่าข้างซ้าย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้วิตกกังวล แต่อธิษฐานทูลขอการรักษาต่อไป ข้าพเจ้าจำได้ว่าภาพที่เห็นเหมือนเดิมสำหรับการทดสอบ 2-3 ครั้งต่อมา 

ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้าสงสัยในน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้างไหม ข้าพเจ้าขอตอบด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า ไม่เคยเลยสักนาทีเดียว แต่อย่างที่ข้าพเจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงกระทำการในเวลาของพระองค์ ในสถานที่ที่เราคาดไม่ถึง เรื่องราวของข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาดใหญ่เพื่อไปเป็นล่ามแปลในการสัมมนาของโครงการอวยพรหาดใหญ่ ขณะที่อยู่บนเครื่องบินข้าพเจ้าก็มองออกไปนอกหน้าต่าง (ข้าพเจ้าชอบมองดูก้อนเมฆ) ข้าพเจ้าตกใจเล็กน้อยเพราะมองเห็นสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามจังหวะการกรอกตาของข้าพเจ้า ภาพที่เห็นเหมือนเป็นรอยครูดยาวๆ มันทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของคุณหมอที่บอกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพังผืดคือเป็นแผลที่จอตา ข้าพเจ้าจึงหลับตาและพนมมืออธิษฐานตรงนั้นบนเครื่องบิน เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นทูลพระเจ้าว่าขอโปรดสัมผัสดวงตาของข้าพเจ้าและเอาพังผืดที่อยู่ในตาทั้งสองข้างออกไปด้วย ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็เห็นนิมิตเป็นเปลวไฟลุกโพลงในตาทั้งสองข้าง (ข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ว่านานแค่ไหน แต่คงประมาณ 1-2 นาที) ในวินาทีนั้นเองข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงสัมผัสตาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขนลุก (แม้ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ก็ขนลุกอีก) ไม่มีความเจ็บปวด ไม่รู้สึกร้อน เมื่ออธิษฐานเสร็จสิ้นลงก็ไม่ได้รู้สึกแปลบปลาบแต่อย่างใด แต่ในใจมีความสุขและความชื่นชมยินดี เมื่อข้าพเจ้ากลับมากรุงเทพฯ แล้วหลายวัน ข้าพเจ้าก็ทดสอบตาด้วย Amsler Grid Eye Exam (ที่จริงคุณหมอให้ทดสอบทุกวัน) ข้าพเจ้าตกใจมากกับภาพที่มองเห็นต่อหน้า (ตามขั้นตอนการทดสอบ) เมื่อมองด้วยตาซ้ายข้างเดียวข้าพเจ้าเห็นตารางไม่บิดเบี้ยวเลย (ก่อนหน้านี้บิดเบี้ยวบ้าง) ส่วนตาข้างขวาบิดเบี้ยวเฉพาะตรงกลางนิดเดียว (ก่อนหน้านี้บิดเบี้ยวค่อนข้างมากและมากกว่าตาข้างซ้าย) ข้าพเจ้าขนลุกอีกครั้งและรีบโทรศัพท์บอกทุกคนในครอบครัวยกเว้นลูกสาวคนเล็ก (ในเวลานั้นลูกนอนแล้วเพราะเวลาต่างจากประเทศไทย) 

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ และอยากหนุนใจพี่น้องที่กำลังอธิษฐานทูลขอการรักษาที่ยังมาไม่ถึงว่าอย่าท้อใจ อธิษฐานต่อไป ท่านจะได้รับคำตอบอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์หากพระองค์ทรงมีพระประสงค์จะให้ท่านหายโรค เพราะมีความเจ็บป่วยบางอย่างที่ข้าพเจ้าทูลวิงวอนมานานแล้วแต่ก็ยังไม่หายสักที ข้าพเจ้าขอบพระคุณสำหรับเรื่องนั้นด้วยเพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่สามารถยอมรับน้ำพระทัยได้ 

ขอพระเกียรติเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว 

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น