24/12/56

จุดเริ่มต้นของคริสตสมภพ

เรื่องราวของคริสตสมภพเป็นข่าวดีล้ำเลิศแทบไม่น่าเชื่อที่พระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่กับเราทั้งหลายในองค์พระเยซูคริสต์ เรื่องราวนั้นเริ่มต้นเมื่อพระองค์ทรงสละความมั่งคั่งในสวรรค์ มาประสูติและสวมสภาพมนุษย์เพื่อไถ่บาปชาวโลก และนำไปถึงความรอดนิรันดร์ มนุษยชาติมิได้คิดเรื่องนี่้ขึ้นมาเอง เราทั้งหลายคงไม่เสาะแสวงหาพระเจ้าที่ทำเรื่องเช่นนี้ เราไม่สามารถหาพระเจ้าองค์นี้พบเหมือนที่เราไม่สามารถทำให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างได้ พระเจ้าเสด็จมาหาเราเอง การเสด็จเข้ามาในโลกของพระเจ้าเป็นเหมือนอรุณรุ่งที่สาดส่องเข้ามาในความมืดมิดของโลก เพื่อนำย่างเท้าของเราไปสู่หนทางแห่งสันติสุข เราอาจพลาดไม่เห็นแสงนั้น หากเราไม่ตื่นขึ้นมาดู



พระเจ้าเสด็จมาอยู่กับเราในองค์พระเยซูคริสต์ เราไม่สามารถทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรือควบคุมสิ่งนี้ได้ เราอาจพลาดเรื่องราวทั้งหมดนี้ถ้าเราขาดการฝึกวินัยฝ่ายวิญญาณ ได้แก่ การภาวนาอธิษฐาน การศึกษาพระคัมภีร์ และการนมัสการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถที่จะตื่นอยู่ที่จะมีประสบการณ์กับมันได้



คริสตสมภพที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไถ่บาปซึ่งนำมาถึงความรอดนั้นคือแสงสว่าง พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทั้งหลายจำเป็นต้องมีพระผู้ไถ่ ผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป ดังนั้นพระองค์ทรงสถาปนาแผนงานการไถ่บาปตั้งแต่แรกเริ่ม ความเยี่ยมยอดอยู่ที่ว่าพระผู้ไถ่ทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรู้ความอ่อนแอและความเข้มแข็งของเรา ความล้มเหลวและความสำเร็จของเรา พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดที่เรามี และพระองค์ทรงตระหนักถึงความสุขและความชื่นชมยินดีที่เราได้รับ พระคริสต์ พระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ ทรงประทับอยู่กับเรา พระเจ้าผู้เสด็จมาหาเราและทรงประทับอยู่ในเรานั้นทรงไถ่เราจากความบาป พระองค์ทรงไถ่เราให้เป็นไทแล้ว



เราเฉลิมฉลองการเสด็จมาในโลกของพระเจ้าพระผู้สร้างโลกในเทศกาลคริสต์มาส พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกทรงสวมสภาพมนุษย์ประสูติมาเป็นทารกน้อย เมื่อเป็นข่าวดีเช่นนี้ เราต้องแบ่งปันข่่าวนี้ให้แก่คนอื่นได้รับรู้ ให้เราเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่นำข่าวดีไปแจ้งแก่คนทั่วไป เมื่อเราถูกไถ่จากบาปแล้ว เมื่อเราได้รับการช่วยกู้แล้ว สิ่งที่เราทำได้คือประกาศข่าวดีแห่งความหวัง ความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่นี้กับคนอื่นๆ ให้เรานำข่าวดีออกไปสู่ชุมชนของเรา


พระธรรมในฟิลิปปี 2:5-11 เป็นข้อพระวจนะที่สำคัญมากที่บอกถึงการสมภพของพระคริสต์

ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่กลับได้ทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา”

ระยะทางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มนุษย์มองไม่เห็นและนึกไม่ออกว่าจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร พระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำให้เกิดการคืนดีกันได้ นั่นเองเป็นศูนย์กลางของพระคุณของพระเจ้า และพระเจ้าทรงทำให้เกิดการคืนดีกันระหว่างมนุษย์กับพระองค์ขึ้น

การที่มนุษย์จะยอมรับว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ เพราะความคิดนั้นขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์ที่วางพระเจ้าไว้ในตำแหน่งสูงส่ง มนุษย์มีอำนาจในการควบคุมสภาพแวดล้อมของตนอย่างจำกัด เราทั้งหลายต้องการให้พระเจ้าทรงมีอำนาจสูงส่งในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในตำแหน่งที่ถูกวางไว้นั้น ดังนั้นความคิดที่ว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลายจึงขัดกับสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างยิ่ง

พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสำแดงความใหญ่ยิ่งและเกรียงไกรของพระองค์ในการเสด็จลงมาและทรงสวมสภาพมนุษย์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทั้งหลายเฉลิมฉลองคริสต์มาสหรือคริสตสมภพกัน

สุขสันต์วันคริสต์มาส 2013




สิธยา คูหาเสน่ห์

12/9/56

มิตรภาพแบบคริสเตียน

มิตรภาพแบบคริสเตียนเป็นอย่างไร ซี. เอส. ลูอิส กล่าวไว้อย่างนี้ว่า “มิตรคือผู้ที่เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน มีแรงบันดาลใจและเป้าประสงค์ที่คล้ายกัน และเกื้อหนุนกันเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ มิตรมิใช่ผู้ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง มิใช่ผู้ที่อิจฉาริษยา (แม้ว่าบางครั้งก็เป็นเช่นนั้น) แต่มิตรคือผู้ที่ช่วยเราในการใช้ของประทานจากพระเจ้าด้วยการให้คำแนะนำที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี และช่วยนำเราให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง”

มิตรภาพแบบคริสเตียนมีการสอน การให้คำปรึกษา การให้คำชี้แนะ เป็นมิตรภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำพันธกิจที่คล้ายกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำต่อพวกสาวกของพระองค์

มิตรแท้มีการห่วงใยและอาทรกันและกัน และมีความปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนา ไม่ใช่การอิจฉาริษยา และการทำลายความฝันและความปรารถนาของบุคคลอื่น มิตรแท้ ทำ มิใช่ พูด มิตรแท้ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน หากจะติก็เพื่อก่อ และการยอมรับคำติก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

มิตรภาพแบบคริสเตียนแท้เกิดขึ้นกับผู้ที่เราเชื่อใจได้ ผู้ที่เราแน่ใจว่าจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของเราไปเผยแพร่ แต่น่าเศร้าใจที่คนมักชอบนินทา ดังนั้นให้แน่ใจว่าผู้ที่เราแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวด้วยเป็นผู้ที่เชื่อใจได้จริงๆ ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก หากความเชื่อใจนั้นถูกทำลายลงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มิตรภาพกลับมาดีดังเดิม ในพระธรรม 1 ซามูเอล บทที่ 20 พูดถึงมิตรภาพแบบนี้ระหว่างดาวิดกับโยนาธานเอาไว้

มิตรภาพแท้ยังเกี่ยวข้องกับเวลาในสองมิติ มิติที่หนึ่งคือการใช้เวลาในการสร้างมิตรภาพนั้นขึ้นมา เราคงยอมรับว่าความเชื่อใจมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงให้รากแห่งความเชื่อใจหยั่งลึกลงเพื่อให้มิตรภาพนั้นแข็งแรงสามารถต้านทานต่ออุปสรรคและพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตและเกื้อหนุนการดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อด้วยกัน มิติที่สองก็คือการให้เวลาแก่กันและกันในการหนุนน้ำใจกัน ฟังปัญหาของกันและกัน อธิษฐานและศึกษาพระคำด้วยกัน มิตรภาพจะเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ก็ด้วยการติดสนิทกันอย่างแท้จริง

สุดท้ายที่สำคัญที่สุดและเป็นเรื่องยากมากที่สุดก็คือมิตรภาพแท้ต้องมีการให้อภัยไม่ถือโทษกัน บางครั้งมิตรที่ดีที่สุดอาจสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่เรา และเราก็สงสัยว่ามิตรภาพเกิดขึ้นได้อย่างไรตั้งแต่แรก ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เราเรียกว่ามิตรแท้จะเป็นคนที่นำความเจ็บปวดมาให้เรามากที่สุด แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมต้องมีการให้อภัยกันอย่างแท้จริง เราต้องมองข้ามความผิดไปให้ได้ และไม่ต้องคาดหวังการตอบแทนเมื่อทำดี และนอกจากนั้นต้องพูดความจริง การโกหกหรือพูดความจริงไม่หมดย่อมทำลายมิตรภาพและความสัมพันธ์ (ทุกรูปแบบ) ลงได้

มิตรภาพแท้แบบคริสเตียนย่อมเสริมสร้างกันและกันด้านอารมณ์ ด้านจิตวิญญาณ และด้านกายภาพ เราจะได้รับพลังจากมิตภาพแท้ มิตรแท้ย่อมรักกันอย่างจริงใจ คุยกันด้วยความจริง และร้องไห้ด้วยกันยามทุกข์ หัวเราะด้วยกันยามสุข ฟังปัญหาของกันและกันอย่างใส่ใจและหาทางบรรเทาทุกข์ให้กัน บางครั้งมิตรแท้ต้องพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากได้ยินเพื่อเตือนสติ แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมมีหนทางให้คำพูดที่เตือนสติเป็นที่ยอมรับได้ อย่างที่ในพระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้ คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น” และให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อไปด้วยกันและเป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น

ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเป็นมิตรแท้ของกันและกันได้ แม้ยากแต่ก็ทำได้


สิธยา คูหาเสน่ห์




9/8/56

บทบาทของแม่

เมื่อพูดถึง “แม่” ทุกคนคงเข้าใจว่าหมายถึงใคร บทบาทของแม่นั้นมีมากมายหลายอย่าง บางบทบาทก็ถูกกำหนดโดยผู้เป็นลูกนั่นเอง แต่อีกหลายๆ บทบาทเป็นเรื่องราวที่ผู้เป็นแม่ผันตัวเองให้เป็นไปเอง (ตามสภาพความเป็นจริงและบางครั้งตามความตั้งใจดีของตนเอง)  ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกไม่เหมือนกับความสัมพันธ์แบบอื่นๆ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุดในโลก สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิในครรภ์ ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่รองจากความรักของพระเจ้า ความรักของแม่มีอยู่ตลอดกาลไม่เสื่อมคลาย ความรักของแม่ไม่เคยแห้งเหือด ความรักของแม่มีให้ลูกเสมอไม่ว่าลูกจะดีหรือเลว แม่พร้อมที่จะหยิบยื่นความรักให้ลูกเสมอในทุกโอกาส แม่แต่ละคนก็มีรูปแบบและเทคนิคในการเลี้ยงลูกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป หากผู้หญิงคนหนึ่งมีโอกาสเป็นแม่แล้วล่ะก็ อิทธิพลทางความคิดด้านบวกที่มีต่อลูกของตนย่อมทำให้เกิดแก่นสารที่มีค่ายิ่งแห่งความเป็นแม่และการเจริญเติบใหญ่ของลูก

ความเป็นแม่เป็นบทบาทที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดสรรไว้ให้แก่สตรีจำนวนมาก บทบาทสำคัญที่เป็นสากลคือบทบาทของการเป็นต้นแบบ เด็กๆ จะเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใหญ่อยู่แล้วและทำตามอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นบทบาทนี้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญมากต่อชีวิตของลูก เพราะจะมีผลต่อตัวตนของลูก แต่เราต้องตระหนักและยอมรับว่าไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ฉะนั้นทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญแบบอื่นๆ อีก ตัวอย่างเช่น

บทบาทของผู้สอน ผู้ฝึกวินัย ผู้ฝึกอบรม สำหรับแม่บทบาทนี้ไม่มีวันจบสิ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นบทบาทที่เหนื่อยทั้งกายและใจทีเดียว ระดับและวิธีของการสอนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา นอกจากนั้นยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับการไม่เชื่อฟังจากลูกเมื่อเกิดขึ้นอีกด้วย และก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะต้องหาวิธีรับมือกับสิ่งนั้นให้ได้ นับว่าเป็นบทบาทที่เล่นยากอีกบทบาทหนึ่ง

บทบาทของการเป็นนักโภชนาการ ในหลายๆ ครอบครัวแม่จะเป็นผู้ปรุงอาหารหลักสำหรับลูก (ข้าพเจ้าชอบบทบาทนี้ที่สุด) ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าซื้ออาหารนอกบ้านน้อยมากเมื่อลูกยังเล็ก นิสัยนี้ติดตัวมาจนขณะนี้ลูกๆ เติบใหญ่กันหมดแล้ว และจากอาหารที่แม่ปรุงนั่นแหละที่ลูกจะเรียนรู้ที่จะเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แม่ควรปรุงอาหารให้ถูกหลักโภชนาการด้วย

บทบาทของผู้พยาบาลเมื่อลูกเจ็บป่วย บทบาทนี้ก็เล่นไม่สนุกอีกเช่นกัน เป็นบทบาทที่เหน็ดเหนื่อยเอาการทีเดียว ไม่ว่าจะพยาบาลลูกตอนที่ยังเล็กหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม 

ที่กล่าวมานี้เป็นบทบาทใหญ่ๆ ที่ผู้เป็นแม่ต้องเล่นไปตามครรลองชีวิต แต่ในความเป็นจริงยังมีบทบาทย่อยๆ อีกมากมายตามที่ลูกเรียกร้องให้เป็น เช่น ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ ช่างซ่อมรองเท้า ช่างซ่อมกระเบื้องในห้องน้ำ นักกายภาพบำบัด เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้ามิได้ทรงมุ่งหมายให้สตรีทุกคนต้องเป็นแม่ แต่หากว่าใครที่ถูกเรียกให้เป็นแม่แล้วต้องทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด เพราะแม่มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตของลูก อย่าถือว่าความเป็นแม่เป็นงานหรือหน้าที่ แต่ให้นับว่าเป็นเอกสิทธิ์และพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า และลูกก็เป็นพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ดังนั้นแม่จึงต้องดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้

เมื่อถึงเดือนสิงหาคมเรามักจะพูดสดุดีถึง “แม่” เป็นวันที่ให้ทุกคนบอกรักแม่ในวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ลูกควรบอกรักแม่เฉพาะในวันแม่เท่านั้นหรือ วันแม่สำหรับลูกมีแค่วันเดียวในรอบหนึ่งปีหรือ เป็นคำถามที่ฝากไว้เอาไปขบคิดสำหรับคนที่ยังมีแม่ไว้ให้บอกรักแล้วกันนะ

สุขสันต์วันแม่ ขอปรบมือดังๆ ให้แม่ทุกคนในโลกนี้

สิธยา คูหาเสน่ห์






7/6/56

แบกกางเขน

ถ้าจะถามว่าวลี "แบกกางเขน" หมายถึงอะไร อาจจะได้ยินคำตอบแตกต่างกันไป เช่น "กางเขนของฉันน่ะหรือ ก็แม่ของสามีที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นไงล่ะ” หรือ "งานของผม” หรือ "ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะไปไม่รอดของฉัน” หรือ "เจ้านายอารมณ์ร้ายของผม” หรือ "นักเทศน์ที่เทศนาน่าเบื่อสุดๆ คนนั้น” เป็นต้น ที่คำตอบเป็นเช่นนี้เพราะเราคิดว่ากางเขนก็คืออะไรๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากหรือความวุ่นวายในชีวิตนั่นเอง ถ้าจะลองหาความหมายตามพจนานุกรมก็จะพบหมายความดังต่อไปนี้คือ ความข้องคับใจ การทดลอง อุปสรรค ความขัดข้อง และสิ่งกีดขวาง เป็นต้น

แต่จริงๆ แล้วกางเขนมีความหมายมากกว่านั้นมากนัก กางเขนเป็นเครื่องมือแห่งการไถ่ของพระเจ้า อุปกรณ์แห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ การแบกกางเขนจึงเป็นการแบกรับภาระของพระคริสต์เพื่อคนทั้งโลก แม้ว่ากางเขนของเราจะคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีกางเขนใดเหมือนกับอีกอันหนึ่งทุกประการ แต่ละอันมีเอกลักษณ์ของมันเอง แต่ละคนมีกางเขนของตนที่ต้องแบก นั่นเป็นการทรงเรียกของแต่ละคน ขอให้ค้นให้พบงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ก็จะรู้ว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับความปรารถนาและความสามารถพิเศษและของประทานของคนนั้นๆ ถ้าต้องการที่จะปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ให้พ้นทาง ก็เพียงแค่ยอมรับการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นเอง

เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ (1 โครินธ์ 3:5) งานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนคืออะไร การทรงเรียก งานที่กำหนดไว้ และภารกิจของแต่ละคนคืออะไร คำถามสามข้อต่อไปนี้อาจช่วยให้เราหาคำตอบได้ คือ

พระเจ้าทรงนำไปในทิศทางใด
ความจำเป็นอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้
ความสามารถอะไรที่พระเจ้าทรงประทานให้

ทิศทาง ความจำเป็น ความสามารถ เหล่านี้เป็นสารพันธุกรรมฝ่ายวิญญาณของเราแต่ละคน

เราไม่ได้ถูกเรียกให้แบกรับบาปของคนในโลกนี้เพราะพระเยซูทรงแบกรับบาปนั้นไปแล้ว แต่เราทุกคนสามารถแบกรับภาระของคนในโลกได้

"ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา" (มาระโก 8:34-35) ข้อพระวจนะนี้อาจนับว่าเป็นคำบรรยายที่สำคัญที่สุดของความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด กระนั้นก็ตามเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความหมายของมัน เราเข้าใจภาพพจน์ของมัน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำตามได้อย่างไร เราไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแบกกางเขนว่าคืออะไร

การแบกกางเขนพอสรุปได้ใจความใหญ่ๆ สามเรื่องคือ

การปฏิเสธตัวเอง คือการปฏิเสธสิ่งใดๆ ที่เราอยากได้หรือแสวงหาที่จะได้ครอบครองซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหากเราอยากได้สิ่งใดแล้วเป็นเรื่องผิด แต่หมายความว่าเราต้องไม่ให้ความอยากได้อยากมีของเราอยู่เหนือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

แบกกางเขนและติดตามพระเยซู หลายคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการแบกรับภาระและการทนทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องแน่ที่ว่าบางครั้งย่อมหนีไม่พ้นความยากลำบาก แต่ถ้าเราพิจารณาให้ลึกลงไปเพื่อดูว่ากางเขนมีไว้สำหรับสิ่งใด เราก็จะพบว่ากางเขนไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกางเขนยังเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับความตายและการถวายบูชา พระเยซูตรัสว่าให้เราแบกกางเขนและติดตามพระองค์ แต่พระเยซูทรงไปที่แห่งใดเมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์เล่า พระเยซูยังตรัสอีกว่าให้เรามีชีวิตเพื่อพระองค์ ดังนั้นการแบกกางเขนจึงเล็งถึงการมอบทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า

มอบชีวิตเพื่อพระเยซู ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและแบกกางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซู ในที่สุดบุคคลนั้นก็จะสูญเสียชีิวิตไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าบุคคลใดยอมมอบชีิวิตเพื่อเห็นแก่พระเยซู ยอมทำงานรับใช้ด้วยการยอมปฏิเสธตัวเองอย่างที่กล่าวข้างต้นล่ะก็ บุคคลนั้นก็จะรอดและได้ชีิวิตนิรันดร์

นี่แหละคือความหมายของการแบกกางเขนและติดตามพระเยซู พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ยอมสู่ความตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก ดังนั้นผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ย่อมต้องทำในสิ่งเดียวกันซึ่งเป็นการยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

สิธยา คูหาเสน่ห์




เสียงใครที่ได้ยิน


อย่างน้อยเสียงที่ได้ยินมีอยู่ 3 เสียง ได้แก่
  1. พระสุรเสียงของพระเจ้า
  2. เสียงของซาตาน (เสียงแห่งโลก)
  3. เสียงของเราเอง


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เสียงของซาตาน หรือ เสียงของเราเอง ชีวิตของเราเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่เราไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้จากพระคัมภีร์ เราต่างก็มีแนวคิดเกี่ยวกับความจริง แต่เราจะรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าความคิดต่างๆ มาจากพระเจ้า บางครั้งการแยกแยะระหว่างความคิดของเราเองจากการทรงนำของพระเจ้าเป็นเรื่องยาก แล้วหากการยึดกุมความคิดนั้นมาจากมารและไม่ใช่มาจากพระเจ้าล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไร


พระเจ้าใช้หลายวิธีในการตรัสกับแต่ละบุคคล พระองค์ทรงมีวิธีที่จะเข้าถึงเรา สามวิธีที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้เชื่อ ได้แก่ การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบางครั้งพระองค์ทรงใช้ผู้เชื่อที่ดำเนินในทางของพระเจ้าเป็นผู้แนะนำ หากพระเจ้าทรงต้องการที่จะพูดกับเรา ไม่มีอะไรสามารถหยุดพระองค์ได้ พระองค์อาจใช้หนึ่งวิธีหรือช่องทางทั้งหมดเพื่อติดต่อกับเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เรามีหน้าที่ฟังและทำตาม


พระเจ้าทรงไม่อยากให้เราล้มเหลว ยิ่งเราฟังพระองค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้จักแยกแยะพระสุรเสียงของพระองค์จากเสียงอื่นๆ ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น พระเยซูซึ่งทรงเป็นสุดยอดผู้เลี้ยงแกะทรงสัญญาว่า “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ยอห์น 10:4 ฉบับมาตรฐาน)


เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์กับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเสียงใดเป็นเสียงของเราเองและเสียงใดมาจากพระเจ้าหรือซาตาน


เรารู้ได้เพราะ...


พระเจ้าตรัสอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเรา แต่ซาตานพูดอยู่ในจิตใจ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงประทับอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ฉะนั้น จะมีทั้งพระเจ้าและซาตานพร้อมกันไม่ได้ (แต่คนที่ผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตวิญญาณเดียวกับพระองค์ 1 โครินธ์ 6:17 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าอ่อนโยนและโน้มน้าวจิตใจ ไม่มีความกดดัน พระเจ้าตรัสสอนว่าควรทำอะไร ในขณะที่ซาตานตึึงตังและอึกทึกครึกโครม เรียกร้องให้ตอบสนองทันควันเสมอ ซาตานตะโกนใส่เราว่าต้องทำ


พระสุรเสียงของพระเจ้าทำให้เกิดสันติสุขและความรู้สึกอุ่นใจว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม เสียงของซาตานทำให้เกิดความสิ้นหวังและบอกว่าเราสูญสิ้นทุกอย่างไปแล้ว


พระสุรเสียงของพระเจ้าชัดเจนและเด่นชัดเสมอ บอกชัดว่าเราควรเดินไปในทิศทางใด
เสียงของซาตานทำให้เกิดความสับสนและความไม่แน่ใจ ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ในที่สุดก็หลงทาง (เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย ...1 โครินธ์ 14:33 ฉบับมาตรฐาน)
ความวุ่นวายแปลตามตัวอักษรได้ว่า ความไม่สงบสุข ความสับสนอลหม่าน ความไม่มั่นคง เป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่เรายังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป จงรอคอยการทรงนำของพระเจ้าด้วยการวิงวอนอธิษฐาน


พระเจ้าตรัสเมื่อเราแสวงหาและพร้อมที่จะฟังพระองค์ ซาตานจู่โจมเข้าใส่ความคิดของเราโดยไม่ได้ร้องขอ (แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า เยเรมีย์ 29:12-13 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าให้ความแน่ใจแก่เรา เสียงของซาตานทำให้เกิดความกระวนกระวายใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นคำตอบของสิ่งที่เป็นปัญหาของเรา เสียงของซาตานทำให้เรามืดมนหาคำตอบไม่เจอ


พระสุรเสียงของพระเจ้าหนุนน้ำใจ เสียงของซาตานทำให้หมดกำลังใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าบอกว่า “ควรทำ” เสียงของซาตานชี้นำว่า “ต้องการทำ”


พระสุรเสียงของพระเจ้าดังกังวานอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เสียงของซาตานจางหายไปถ้าเราไม่ฟัง


ดังนั้น หากเราจะรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า เราต้องรู้จักพระองค์ก่อน และสร้างสัมพันธภาพกับพระองค์ มีประสบการณ์กับพระองค์ เมื่อนั้นเราจะได้ยินเสียงที่ถูกต้องที่จะนำเราไปสู่นิรันดร์กาล ไม่ใช่ขุมนรก


สิธยา คูหาเสน่ห์


21/3/56

กองน้ำตา



มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันว่า “ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแต่ละคนที่คุณพบนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเอง”

ท่่านผู้อ่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม และเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร

เราแต่ละคนล้วนนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเองทั้งสิ้น (ถ้าจะพูดไปแล้วล่ะก็) ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่ากองน้ำตาของแต่ละคนนั้นมีขนาดมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ท่านกำลังอ่านข้อความที่ข้าพเจ้าแบ่งปันตรงนี้ ท่าน (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของท่านเองก็ได้ ในทำนองเดียวกันขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อความนี้ ข้าพเจ้าก็ (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของข้าพเจ้าเองเช่นกัน มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากองน้ำตาของบางคนอาจมีขนาดใหญ่จนเป็นบ่อ ของบางคนอาจขุ่นเป็นปลักโคลน ความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของกองน้ำตานั้นก็แตกต่างกันไป ของบางคนอาจเกิดจากการถูกกระทำจากคนอื่น แต่ของบางคนตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น กองน้ำตาที่เกิดขึ้นเป็นเครืื่องเตือนใจเราให้นึกถึงความทุกข์และความสูญเสียต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งอาจแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่

น้ำตาแห่งความทุกข์ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความเศร้าเสียใจนั้นทำให้เราถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว หรืออาจเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ความวิตกกังวลที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน บางคนไม่ถึงกับสูญเสียงานแต่เป็นการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งงานที่ทำมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นความทุกข์สำหรับบางคนที่ชินกับงานที่ทำมาประจำอยู่ดี ไม่อยากปรับตัวกับงานใหม่และบรรยากาศใหม่ๆ การสูญเสียหรือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป จิตใจปวดร้าวเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวล

น้ำตาแห่งความขมขื่น โลกไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว เราคร่ำครวญหาวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็น ยังจะต้องอยู่กับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่เสื่อมทรามลงอย่างน่าเศร้าใจ ต้องปวดร้าวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพยำเกรงผู้มีอาวุโสกว่า สำหรับบางคนดูเหมือนว่าโลกหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายในทุกด้าน เราขมขื่นกับการเปลี่ยนแปลงในทางลบแบบนี้และเกิดความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรืออาจเป็นความขมขื่นจากการถูกปฏิเสธ การไม่ได้รับการยอมรับทางสังคม เกิดความสงสารตัวเองและขังตัวเองไว้ในคุกในใจไปตลอดกาล

ที่ยกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความทุกข์อันเป็นบ่อเกิดของกองน้ำตาของเรา แต่มันไม่ได้จบลงด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอไป ตรงกันข้ามอาจนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ และทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นในความเชื่อเมื่อเราสามารถฝ่าฟันสิ่งร้ายๆ เหล่านั้นจนมีชัยในที่สุด และในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต

การฝ่าฟันสิ่งเลวร้ายหรือมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและควาปวดร้าวใจนั้น เรายังสามารถมองเห็นความหวังและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เราจะได้รับกำลังที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า ครอบครัว และมิตรสหาย

เราอาจบอกกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ ไปได้อย่างไร” บางทีเราอาจกำลังปล้ำสู้กับความรู้สึกสิ้นหวัง ความปวดร้าวใจ ความสับสน ความกลัว และแม้กระทั่งความโกรธแค้น ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการสนองตอบต่อความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าท่ามกลางพายุร้ายและความปวดร้าวต่างๆ เราไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ พระองค์ทรงรักเราและทรงห่วงใยเราเสมอ พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดของเรา พระองค์ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเข้าใจทุกเรื่องราว

ไม่ว่าเราจะทนทุกข์ยากอย่างไร ความห่วงใยของพระองค์มีพร้อมอยู่เสมอ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด และพระสัญญาของพระองค์แน่นอน ไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรอยู่ หรือว่าทนทุกข์มานานเท่าไรแล้ว พระเมตตาคุณของพระเจ้าสามารถมาถึงเราได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ (อพยพ 6:3) และทรงอยู่ในทุกที่ (เยเรมีย์ 23:23-24) พระองค์ทรงสามารถปกป้อง ส่งเสริม และจัดเตรียมสำหรับเราเมื่อดูเหมือนว่าไ่ม่มีใครสามารถช่วยเราได้แล้ว

พระเจ้าทรงประทับอยู่แม้ในเวลาที่เราไม่สามารถสัมผัสการทรงสถิตอยู่ของพระองค์


สิธยา คูหาเสน่ห์


18/2/56

ขอพูดเรื่อง “ความรัก” อีกสักครา

“ความรัก” ที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงนี้เป็นความรักของแม่มีต่อลูก ความรักแบบนี้ยิ่งใหญ่และไร้เงื่อนไข ความรักแบบนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนและมีขอบเขตสิ้นสุดที่ใด

ความรักของแม่เป็นความรัก
  • ที่ทรงพลัง
  • ที่มีการอุทิศตัวและการเสียสละ
  • ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
  • ที่อดทนได้ทุกกรณี
  • ที่อมตะ (ไม่มีวันตาย)
  • ที่มีการให้อภัยเสมอ
  • ที่ไม่มีวันจืดจาง

แม่เป็นผู้ที่มีความรักให้ลูกเสมอ แม้ว่าใจจะเจ็บปวดสักปานใดก็ไม่มีวันทอดทิ้งลูกอย่างเด็ดขาด แม่เชื่อในตัวลูกเสมอแม้ว่าทั้งโลกจะกร่นด่าก็ตาม

ความรักแบบนี้ลึกล้ำเกินคำอธิบาย ยากต่อการเข้าใจ และเป็นการแสดงถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าอีกทางหนึ่ง หากท่านอยากเข้าใจว่าความรักของพระเจ้าเป็นอย่างไร ก็ขอให้รับการสัมผัสความรักของแม่ นั่นเป็นความรักที่ใกล้เคียงความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาลูกๆ ของพระองค์

ตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้ามีความยากลำบากอยู่ไม่น้อยกับการที่ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งสามคนพร้อมหน้ากัน ลูกสาวคนเล็กอยู่ที่อเมริกา จึงมีลูกอยู่กับข้าพเจ้าสองคนเท่านั้นในประเทศไทย ต่อมาลูกสาวคนโตก็ไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ จึงเหลือลูกชายอยู่กับข้าพเจ้าเพียงคนเดียว มันเป็นเรื่องยากที่มีลูกอยู่กันคนละประเทศและข้าพเจ้าก็สามารถอยู่กับลูกได้ทีละคนเท่านั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปเยี่ยมทุกปีแต่ก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ลูกสาวคนโตกลับมาแล้วก็ยังคงต้องเป็นห่วงและคิดถึงลูกสาวคนเล็กต่อไปเหมือนเดิม หลายๆ คนพูดกับข้าพเจ้าว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ต้องอยู่ห่างลูกเป็นอย่างไร ความเป็นห่วงที่มีต่อลูกจะมากมายแค่ไหน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ลูกเจ็บป่วย) ข้าพเจ้าก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้พวกเขาเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไร

ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องความรักของแม่มาพูดเพราะได้เจอะเจอเหตุการณ์กับความรักแบบนี้มาสดๆ ร้อนๆ ที่อเมริกา ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในขณะที่แม่สองคนกำลังสูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตานั้นความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ใจจะแตกสลายสักแค่ไหน มันเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้เป็นแม่ที่ต้องเจอะเจอเหตุการณ์แบบนั้น

คนหนึ่งเป็นเพื่อนของลูกสาว เธอพาลูกชายสองคนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงพอมองเห็นภาพการขึ้นรถไฟใต้ดินได้ เมื่อรถไฟจอดผู้โดยสารที่จะขึ้นต้องรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงออกมาก่อนจึงจะเข้าไปได้ และประตูรถก็เปิดอยู่ไม่นาน ในเวลาที่มีผู้โดยสารมากๆ ก็ต้องรีบกันเลยทีเดียว เพื่อนคนนี้จูงลูกสองคนขึ้นรถไฟ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดลูกชายคนโตขึ้นรถไฟไปแล้วในขณะที่เธอและลูกชายคนเล็กยังอยู่ที่ชานชาลา อาจจะถูกเบียดจนต้องปล่อยมือจากลูกคนโตก็เป็นได้ เมื่อประตูปิดเธอและลูกชายคนเล็กจึงยังไม่สามารถขึ้นไปได้ เธอวิ่งไปยังหัวรถที่มีเจ้าหน้าที่อยู่และบอกให้ช่วยหยุดรถไฟเป็นกรณีฉุกเฉิน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือทั้งๆ ที่สามารถทำได้ ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในนาทีนั้นผู้เป็นแม่และลูกน้อยที่อยู่บนรถไฟคนเดียวจะตกใจขนาดไหน แต่เธอสอนลูกไว้ว่าในกรณีแบบนี้ให้พยายามเดินหาผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิงที่มีลูกมาด้วยเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็มีผู้ใจดีพาเด็กไปมอบให้ตำรวจและได้พบกับแม่ในที่สุด เป็นการพลัดพรากเพียงชั่วขณะ

อีกกรณีหนึ่งแม่พาลูกน้อยสองคนขับรถหนีพายุแซนดี แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากมาเร็วเหลือเกินจนขับรถต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจสละรถ เธอหนีบลูกน้อยไว้ใต้แขนข้างละคนฝ่าพายุและกระแสน้ำไปขอความช่วยเหลือ เธอตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น ข้าพเจ้าไม่แน่ชัดว่าไปเคาะกี่บ้าน แต่มีบ้านหนึ่งเปิดประตูมาและบอกให้ไปขอความช่วยเหลือที่อื่นเถอะ (ที่จริงเธอแค่ขอพักหลบพายุเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ช่วย) เมื่อไม่มีใครยินดีต้อนรับให้ความช่วยเหลือก็จำใจต้องเดินหน้าต่อไป แต่กระแสน้ำแรงมากจนต้านไม่อยู่ ลูกน้อยทั้งสองคนก็ถูกน้ำพัดหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เป็นการจากกันชั่วนิรันดร์

กรณีแรกได้ลูกกลับคืนมา แต่กรณีหลังเสียลูกไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมาในคราวเดียวถึงสองคน ท่านลองคิดดูเถอะว่าหัวใจของผู้เป็นแม่จะแตกสลายสักเพียงใด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมคนในยุคนี้จึงใจจืดใจดำเช่นนี้ ทั้งสองกรณีเป็นข่าวใหญ่โตหลายสื่อทีเดียว ข้าพเจ้าใคร่อยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่รถไฟและเจ้าของบ้านคนนั้นเมื่อได้ยินการนำเสนอข่าวแล้วจะรู้สึกผิดบ้างไหม นึกอยากย้อนเวลากลับไปแล้วแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกไหม ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ทั้งสองกรณี

รึว่าคนในยุคสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้ เห็นแก่ตัว ไร้ศีลธรรม ไร้ความรู้สึก ความรักโบยบินไปไหนเสียแล้ว

เศร้าจริงๆ เช่นนั้น เราในฐานะลูกของพระเจ้าอย่าทำตามอย่างคนในโลกนี้เลย เราได้รับความรักจากพระเจ้าพระบิดามาอย่างเต็มเปี่ยม ให้เราแบ่งปันความรักนั้นออกไป เพราะการแบ่งปันความรักจะทำให้เราได้รับความรักเพิ่มขึ้น ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับคงเป็นคำพูดที่เป็นจริง อย่าให้เราแสดงความรักกันปีละคนเท่านั้น เราควรแบ่งปันความรักเสมอทุกเวลา พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงสร้างเราทั้งหลายตามพระฉายาของพระองค์ ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พร้อมไหมที่จะให้คนทั้งโลกเห็นว่าเราในฐานะผู้ติดตามพระเจ้าที่ทรงเป็นความรักเป็นความรัก

ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้าขอส่งความรักผ่านข้อความนี้ไปยังท่านผู้อ่านทุกท่าน

สิธยา คูหาเสน่ห์