7/6/56

แบกกางเขน

ถ้าจะถามว่าวลี "แบกกางเขน" หมายถึงอะไร อาจจะได้ยินคำตอบแตกต่างกันไป เช่น "กางเขนของฉันน่ะหรือ ก็แม่ของสามีที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นไงล่ะ” หรือ "งานของผม” หรือ "ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะไปไม่รอดของฉัน” หรือ "เจ้านายอารมณ์ร้ายของผม” หรือ "นักเทศน์ที่เทศนาน่าเบื่อสุดๆ คนนั้น” เป็นต้น ที่คำตอบเป็นเช่นนี้เพราะเราคิดว่ากางเขนก็คืออะไรๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากหรือความวุ่นวายในชีวิตนั่นเอง ถ้าจะลองหาความหมายตามพจนานุกรมก็จะพบหมายความดังต่อไปนี้คือ ความข้องคับใจ การทดลอง อุปสรรค ความขัดข้อง และสิ่งกีดขวาง เป็นต้น

แต่จริงๆ แล้วกางเขนมีความหมายมากกว่านั้นมากนัก กางเขนเป็นเครื่องมือแห่งการไถ่ของพระเจ้า อุปกรณ์แห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ การแบกกางเขนจึงเป็นการแบกรับภาระของพระคริสต์เพื่อคนทั้งโลก แม้ว่ากางเขนของเราจะคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีกางเขนใดเหมือนกับอีกอันหนึ่งทุกประการ แต่ละอันมีเอกลักษณ์ของมันเอง แต่ละคนมีกางเขนของตนที่ต้องแบก นั่นเป็นการทรงเรียกของแต่ละคน ขอให้ค้นให้พบงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ก็จะรู้ว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับความปรารถนาและความสามารถพิเศษและของประทานของคนนั้นๆ ถ้าต้องการที่จะปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ให้พ้นทาง ก็เพียงแค่ยอมรับการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นเอง

เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ (1 โครินธ์ 3:5) งานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนคืออะไร การทรงเรียก งานที่กำหนดไว้ และภารกิจของแต่ละคนคืออะไร คำถามสามข้อต่อไปนี้อาจช่วยให้เราหาคำตอบได้ คือ

พระเจ้าทรงนำไปในทิศทางใด
ความจำเป็นอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้
ความสามารถอะไรที่พระเจ้าทรงประทานให้

ทิศทาง ความจำเป็น ความสามารถ เหล่านี้เป็นสารพันธุกรรมฝ่ายวิญญาณของเราแต่ละคน

เราไม่ได้ถูกเรียกให้แบกรับบาปของคนในโลกนี้เพราะพระเยซูทรงแบกรับบาปนั้นไปแล้ว แต่เราทุกคนสามารถแบกรับภาระของคนในโลกได้

"ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา" (มาระโก 8:34-35) ข้อพระวจนะนี้อาจนับว่าเป็นคำบรรยายที่สำคัญที่สุดของความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด กระนั้นก็ตามเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความหมายของมัน เราเข้าใจภาพพจน์ของมัน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำตามได้อย่างไร เราไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแบกกางเขนว่าคืออะไร

การแบกกางเขนพอสรุปได้ใจความใหญ่ๆ สามเรื่องคือ

การปฏิเสธตัวเอง คือการปฏิเสธสิ่งใดๆ ที่เราอยากได้หรือแสวงหาที่จะได้ครอบครองซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหากเราอยากได้สิ่งใดแล้วเป็นเรื่องผิด แต่หมายความว่าเราต้องไม่ให้ความอยากได้อยากมีของเราอยู่เหนือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

แบกกางเขนและติดตามพระเยซู หลายคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการแบกรับภาระและการทนทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องแน่ที่ว่าบางครั้งย่อมหนีไม่พ้นความยากลำบาก แต่ถ้าเราพิจารณาให้ลึกลงไปเพื่อดูว่ากางเขนมีไว้สำหรับสิ่งใด เราก็จะพบว่ากางเขนไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกางเขนยังเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับความตายและการถวายบูชา พระเยซูตรัสว่าให้เราแบกกางเขนและติดตามพระองค์ แต่พระเยซูทรงไปที่แห่งใดเมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์เล่า พระเยซูยังตรัสอีกว่าให้เรามีชีวิตเพื่อพระองค์ ดังนั้นการแบกกางเขนจึงเล็งถึงการมอบทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า

มอบชีวิตเพื่อพระเยซู ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและแบกกางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซู ในที่สุดบุคคลนั้นก็จะสูญเสียชีิวิตไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าบุคคลใดยอมมอบชีิวิตเพื่อเห็นแก่พระเยซู ยอมทำงานรับใช้ด้วยการยอมปฏิเสธตัวเองอย่างที่กล่าวข้างต้นล่ะก็ บุคคลนั้นก็จะรอดและได้ชีิวิตนิรันดร์

นี่แหละคือความหมายของการแบกกางเขนและติดตามพระเยซู พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ยอมสู่ความตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก ดังนั้นผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ย่อมต้องทำในสิ่งเดียวกันซึ่งเป็นการยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

สิธยา คูหาเสน่ห์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น