แต่จริงๆ
แล้วกางเขนมีความหมายมากกว่านั้นมากนัก
กางเขนเป็นเครื่องมือแห่งการไถ่ของพระเจ้า
อุปกรณ์แห่งการช่วยให้รอดของพระองค์
เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์
การแบกกางเขนจึงเป็นการแบกรับภาระของพระคริสต์เพื่อคนทั้งโลก
แม้ว่ากางเขนของเราจะคล้ายๆ
กัน แต่ไม่มีกางเขนใดเหมือนกับอีกอันหนึ่งทุกประการ
แต่ละอันมีเอกลักษณ์ของมันเอง
แต่ละคนมีกางเขนของตนที่ต้องแบก
นั่นเป็นการทรงเรียกของแต่ละคน
ขอให้ค้นให้พบงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้
ก็จะรู้ว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับความปรารถนาและความสามารถพิเศษและของประทานของคนนั้นๆ
ถ้าต้องการที่จะปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ
ให้พ้นทาง
ก็เพียงแค่ยอมรับการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นเอง
เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้
(1
โครินธ์
3:5)
งานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนคืออะไร
การทรงเรียก งานที่กำหนดไว้
และภารกิจของแต่ละคนคืออะไร
คำถามสามข้อต่อไปนี้อาจช่วยให้เราหาคำตอบได้
คือ
พระเจ้าทรงนำไปในทิศทางใด
ความจำเป็นอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้
ความสามารถอะไรที่พระเจ้าทรงประทานให้
ทิศทาง
ความจำเป็น ความสามารถ
เหล่านี้เป็นสารพันธุกรรมฝ่ายวิญญาณของเราแต่ละคน
เราไม่ได้ถูกเรียกให้แบกรับบาปของคนในโลกนี้เพราะพระเยซูทรงแบกรับบาปนั้นไปแล้ว
แต่เราทุกคนสามารถแบกรับภาระของคนในโลกได้
"ถ้าใครต้องการจะตามเรามา
ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง
รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา"
(มาระโก
8:34-35)
ข้อพระวจนะนี้อาจนับว่าเป็นคำบรรยายที่สำคัญที่สุดของความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด
กระนั้นก็ตามเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความหมายของมัน
เราเข้าใจภาพพจน์ของมัน
แต่เราไม่รู้ว่าจะทำตามได้อย่างไร
เราไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแบกกางเขนว่าคืออะไร
การแบกกางเขนพอสรุปได้ใจความใหญ่ๆ
สามเรื่องคือ
การปฏิเสธตัวเอง
คือการปฏิเสธสิ่งใดๆ
ที่เราอยากได้หรือแสวงหาที่จะได้ครอบครองซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหากเราอยากได้สิ่งใดแล้วเป็นเรื่องผิด
แต่หมายความว่าเราต้องไม่ให้ความอยากได้อยากมีของเราอยู่เหนือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา
แบกกางเขนและติดตามพระเยซู
หลายคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการแบกรับภาระและการทนทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นเรื่องแน่ที่ว่าบางครั้งย่อมหนีไม่พ้นความยากลำบาก
แต่ถ้าเราพิจารณาให้ลึกลงไปเพื่อดูว่ากางเขนมีไว้สำหรับสิ่งใด
เราก็จะพบว่ากางเขนไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นกางเขนยังเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับความตายและการถวายบูชา
พระเยซูตรัสว่าให้เราแบกกางเขนและติดตามพระองค์
แต่พระเยซูทรงไปที่แห่งใดเมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์เล่า
พระเยซูยังตรัสอีกว่าให้เรามีชีวิตเพื่อพระองค์
ดังนั้นการแบกกางเขนจึงเล็งถึงการมอบทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า
มอบชีวิตเพื่อพระเยซู
ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและแบกกางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซู
ในที่สุดบุคคลนั้นก็จะสูญเสียชีิวิตไปชั่วนิรันดร์
แต่ถ้าบุคคลใดยอมมอบชีิวิตเพื่อเห็นแก่พระเยซู
ยอมทำงานรับใช้ด้วยการยอมปฏิเสธตัวเองอย่างที่กล่าวข้างต้นล่ะก็
บุคคลนั้นก็จะรอดและได้ชีิวิตนิรันดร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น