5/11/54

มีขีดจำกัดหรือไร้ขีดจำกัด

มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ทรงทำการผ่านสรรพสิ่งและทรงอยู่ในทุกคน แต่ว่าพระคุณนั้นประทานแก่เราแต่ละคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทาน (เอเฟซัส 4:5-7 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

องค์เจ้านายของเราใหญ่ยิ่ง และทรงฤทธานุภาพนัก ความเข้าใจของพระองค์นั้นสุดจะวัดได้ (สดุดี 147:5-6 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพท่ีทำกิจอยู่ภายในเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน (เอเฟซัส 3:20-21พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

ความหมายของคำว่า "ไร้ขีดจำกัด" อาจมีมากมาย ดูเหมือนว่ามนุษย์ไม่ค่อยชอบขีดจำกัดนัก และพยายามที่จะหนีให้ไกลจากการถูกจำกัดด้วยขีดจำกัด ในขณะเดียวกับที่เราอยากจะหนีให้ไกลจากขีดจำกัดต่างๆ เราก็วางขีดจำกัดของมนุษย์ไว้กับพระเจ้า บ่อยครั้งที่มนุษย์มองว่าพระเจ้าสามารถทำได้มากกว่ามนุษย์ บางครั้งในพื้นที่ที่ฝนไม่ตกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มนุษย์ก็จะตั้งกลุ่มอธิษฐานทูลขอฝนจากพระเจ้า และเมื่อฝนตกมนุษย์ก็รู้ว่านั่นเป็นการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า แต่เราอาจเคยได้ยินบางคนพูดว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานแบบนี้ หรือมองอีกแง่หนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพที่จะตอบคำอธิษฐานของพวกเขา

สำหรับประเทศไทยในตอนนี้ คำอธิษฐานของเราคงจะตรงกันข้าม เรามีน้ำมากเกินไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข่าวที่ได้ยิน สิ่งที่เห็นจากการรายงานข่าวทางทีวีเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย มันสลดหดหู่ใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าเพื่อนร่วมชาติจำนวนมากได้รับความเสียหายและความเดือดร้อน และยิ่งเศร้าใจมากขึ้นเมื่อได้ข่าวว่าผู้ที่อาสาไปให้ความช่วยเหลือหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องออกไปทำหน้าที่บรรเทาทุกข์นั้นได้รับอันตรายหรือเสียชีวิต มันเป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจตลอดเวลาขอพระเจ้าทรงเมตตาคนเหล่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเวลานี้

ไร้ขีดจำกัดก็บอกอยู่แล้วว่าไม่มีขีดจำกัดหรือไม่มีขอบเขต ซึ่งก็เป็นพูดถึงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียว พระเจ้าที่เรารู้จักทรงมีความสามารถที่ไม่จำกัด แต่ขีดความสามารถของเราที่จะเข้าถึงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์นั้นมีจำกัด ข้อพระวจนะในเอเฟซัส 3:20-21 บรรยายถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าที่มีมากยิ่งกว่าที่เราคิด นอกจากนั้นยังบรรยายถึงขีดจำกัดของฤทธานุภาพนั้นที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตของเรา เรายังได้รับการบอกกล่าวถึงฤทธานุภาพท่ีทำกิจอยู่ภายในเรามากยิ่งกว่าที่เราคิดอีกด้วย หากเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา พระเจ้าก็จะทรงไม่ตอบคำอธิษฐานนั้นเพราะเรามีฤทธานุภาพของพระองค์ในตัวเราน้อยกว่าคนที่เชื่อว่าพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐาน

ขีดจำกัดอีกอย่างหนึ่งของฤทธานุภาพของพระเจ้าในการตอบคำอธิษฐานของเราคือพระประสงค์ของพระองค์ ถ้าสิ่งที่เราขอเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า 1 ยอห์น 5:14-15 บอกเราว่า "และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์" (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

ถ้าเราเชื่อ ความเป็นไปได้ที่พระเจ้าทรงทำกิจในเราและผ่านชีวิตของเราก็ไร้ขีดจำกัด พระเยซูตรัสในมัทธิว 17:20 ว่า "...เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า 'จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น' มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย" ดังนั้น ให้เราเชื่อในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าและ "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา" (มัทธิว 7:7-8 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

แล้วท่านล่ะ เชื่อในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียวนั้นหรือไม่

สิธยา คูหาเสน่ห์

10/10/54

แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด


เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย' มัทธิว 25:45 (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)

ในหมู่คริสเตียนไม่มีข้อโต้เถียงเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้า แต่คริสเตียนบางคนดูเหมือนว่าไม่ค่อยเชื่อมั่นเรื่องการรับใช้ผู้ขัดสน แต่พระวจนะของพระเจ้ามีความชัดเจนในเรื่องนี้

รอบๆ ตัวเรามีผู้หิวโหยหรือผู้ด้อยโอกาสมากมาย ท่านเคยคิดถึงคนเหล่านี้บ้างไหมเมื่อเทียบกับความสมบูรณ์พูนสุขและความมั่งคั่งของตนเอง ในขณะที่ท่านมีอาหารรับประทานจนอิ่มทุกมื้อ มีคนอีกมากมายที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ต้องดื่มน้ำประทังความหิว ในขณะที่ท่านมีบ้านที่แสนสบายคุ้มหัว มีคนอีกหลายคนที่ไร้ที่อยู่อาศัย ในขณะที่ท่านมีเงินทองสำหรับจับจ่ายใช้สอย มีคนจำนวนไม่น้อยต้องขอทานเศษเงินจากคนอื่น เป็นต้น

ท่านทูลขอให้พระเจ้าทรงอวยพรมากๆ ทางหนึ่งที่ท่านจะได้รับพรนั้นก็คือ การให้ ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งได้รับมาก ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งมีมาก เมื่อท่านให้ด้วยความเต็มใจ ชีวิตของท่านก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์มาก สิ่งที่เราหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่นจะทำให้ชีวิตของเราเต็มบริบูรณ์ขึ้น

ท่านอยากได้รับพรจากพระเจ้ามากๆ ไหมล่ะ ลองคิดถึงการให้มากกว่าการได้รับดูสิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนใจที่จะให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด ใครก็ตามที่ปล่อยโอกาสที่จะรับใช้ผู้อื่นให้หลุดลอยไปพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีเลิศที่สุดในชีวิตไปทีเดียว

โอกาสที่ท่านจะรับใช้ผู้เล็กน้อยที่สุดเปิดไว้ให้ฉวยตลอดเวลา

จอห์น แกรนท์ เห็นชายแก่คนหนึ่งในร้านสรรพสินค้าเดินเลือกของอยู่ใกล้ๆ ชายแก่คนนี้หลังค่อม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่งตัวซอมซ่อม ชายคนนั้นมองดูสินค้าบนหิ้งเดียวกันกับเขา เมื่อจอห์นได้สินค้าที่ต้องการแล้วก็เดินออกไป เขาเห็นชายแก่คนนั้นหยิบสินค้าขึ้นมาหนึ่งห่อแล้วพินิจพิเคราะห์ดูข้อมูลข้างห่ออย่างขะมักเขม้น แล้วก็ถามเขาว่า "ขอโทษครับ ตรงนี้คือน้ำตาลใช่ไหมครับ" เมื่อจอห์นบอกว่าใช่ เขาก็กล่าวขอบคุณอย่างมากมาย

มื่อจอห์นขับรถกลับบ้าน เขาก็อดคิดถึงชายแก่คนนั้นไม่ได้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่รู้ว่ามีบางคนอ่านหนังสือไม่ออก เขาคิดไปไกลกว่านั้นว่าชายคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านแบบไหนกันนัและเขาดำเนินชีวิตมาจนแก่ขนาดนี้อย่างไร

หลังจากนั้นเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงสร้างและทรงรักชายแก่คนนั้นแบบเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างและทรงรักเขา แต่ทำไมเขาจึงมีโอกาสได้รับการศึกษา ในขณะที่ชายแก่คนนั้นไม่มี

แม้ว่าจอห์นไม่ได้ช่วยเหลือชายแก่คนนั้นทางรูปธรรม แต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยให้ชายแก่คนนั้นซื้อของได้ถูกต้องตามที่ต้องการ

ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว แม้ว่าจะไม่ชัดเจนอย่างที่จอห์นช่วยชายแก่คนนั้น แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่าอย่างน้อยชายแก่อีกคนหนึ่งก็รูสึกดีๆ ที่มีคนถามเขาว่า "เหนื่อยหรือคะ"

วันหนึ่งขณะที่กำลังเดินกลับบ้านก็เห็นชายแก่คนหนึ่งใช้ไม้พยุงตัวเดินโขยกเขยกอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเดินด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามองดูสักพักก็เห็นเขานั่งแปะลงข้างทาง ข้าพเจ้าเดินอยู่อีกฝั่งก็หยุดเดินและถามว่า "เหนื่อยหรือคะ" เขาไม่ตอบ มองดูข้าพเจ้าแล้วยิ้ม เมื่อถึงบ้านก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นว่ามีคนหนึ่งดำรงชีวิตด้วยความยากลำบากเช่นนี้

อีกตัวอย่างหนึ่ง คราวนี้ได้ช่วยเหลือด้วยเงินทองไปเล็กๆ น้อยๆ ครั้งที่ครอบครัวของข้าพเจ้า (ขาดลูกชาย) ไปชมกำแพงเมืองจีนที่นครปักกิ่ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ศูนย์อาหารเสร็จก็ลุกขึ้น อาหารแต่ละจานของพวกเรายังมีอาหารเหลืออยู่บ้างเพราะอาหารไม่อร่อยเลยและมันมาก พวกเราจึงเลือกรับประทานบางส่วนเท่านั้น ทันทีที่เราลุกขึ้นก็มีชายคนหนึ่งนั่งลงรับประทานอาหารที่เหลือทันที พวกเราทุกคนตกใจมากที่เห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารเขามากจึงให้เงินไปเล็กน้อยและบอกเขาว่า "ไปซื้ออาหารกินนะ" เมื่อเดินจากมาก็รู้สึกเสียใจที่ให้เงินเขาน้อยไป น่าจะให้มากกว่านั้นสักหน่อย และคิดว่าทำไมพวกเรากินทิ้งกินขว้างในขณะที่อีกคนไม่มีเงินซื้ออาหารสำหรับประทังชีวิต

ข้าพเจ้าอยากจบข้อเขียนด้วยคำถามว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ท่านปล่อยให้โอกาสในการรับใช้ผู้อื่นหลุดลอยไปบ้างไหม แต่ข้าพเจ้ามีข่าวดีจะบอก พระเจ้าทรงเมตตาที่จะยกโทษให้แก่ท่านและทรงมอบโอกาสให้แก่ท่านที่จะรับใช้อีก" ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอีก

สิธยา คูหาเสน่ห์

3/9/54

รูปแบบของการอธิษฐาน


คราวที่แล้วพูดถึงแบบพื้นฐานของการอธิษฐานไปแล้ว ต่อไปใคร่อยากพูดถึงรูปแบบของการอธิษฐานบ้างซึ่งพอจะแบ่งคร่าวๆ ได้ 4 แบบ ที่ขึ้นกับบุคลิกลักษณะส่วนบุคคลเป็นสำคัญ

แบบที่ 1 แบบอุทิศถวาย หรือการอธิษฐานแบบอิงพระวจนะ หลายคนชอบอ่านพระวจนะที่เปิดทางให้มีโอกาสสนทนากับพระเจ้า คนพวกนี้มักเริ่มต้นอธิษฐานด้วยการอ่านบทเพลงสดุดี การอธิษฐานรูปแบบนี้เป็นการขะมักเขม้นในการอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ (ดู กจ. 1:14; 2:42 และ รม. 12:12)

แบบที่ 2 แบบเกิดขึ้นทันที คำอธิษฐานแบบนี้หลั่งไหลออกจากใจโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เป็นการอธิษฐานที่เกิดขึ้นในขณะนั้น โดยมากมักเป็นคำอธิษฐานขอบพระคุณ การอธิษฐานทูลขอสติปัญญาในการกระทำบางอย่าง การอธิษฐานทูลขอเพื่อความจำเป็นที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นต้น

แบบที่ 3 แบบสนทนา บางคนอธิษฐานยาวเหมือนกำลังสนทนากับพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เพราะมีความแน่ใจว่าพระองค์ทรงฟังสิ่งที่กำลังพูด ซึ่งการอธิษฐานแบบนี้ (สำหรับข้าพเจ้า) เหมือนกำลังสนทนากับพระเจ้า (เราสามารถทำได้เพราะพระองค์ทรงเป็นสหายของเรา) คำอธิษฐานแบบนี้เป็นการกล่าวออกมาจากใจในสิ่งที่เราอยากทูลพระเจ้า เป็นการมอบภาระทุกสิ่งไว้กับพระองค์ ไม่ต้องคำนึงว่าคำอธิษฐานของเราจะฟังสวยหรูแบบบางคนหรือไม่ ขอแค่เทใจสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น รูปแบบนี้จะทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะไม่สามารถเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกันและกันก่อน

แบบที่ 4 แบบการกระทำ บางคนอธิษฐานในขณะที่กำลังเดินหรือกำลังทำบางสิ่งบางอย่าง คนพวกนี้เห็นว่าการนั่งลงอธิษฐานเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา และคิดว่าอธิษฐานในขณะที่กำลังกระทำอะไรบางอย่างเป็นการดีกว่า สำหรับคนพวกนี้การกระทำบางสิ่งบางอย่างถือเป็นการอธิษฐานของพวกเขา

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นรูปแบบบางอย่างของการอธิษฐานเท่านั้น บางคนอาจมีรูปแบบที่ต่างออกไป สำหรับข้าพเจ้าถนัดอธิษฐานเงียบๆ ตามลำพัง ไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนตายตัวว่าเป็นช่วงใดของวัน ข้าพเจ้าไม่ใช่นักอธิษฐาน ดังนั้นคำอธิษฐานของข้าพเจ้ามักสั้นและเข้าเป้าเลย ข้าพเจ้าอธิษฐานหลายช่วงในแต่ละวัน ซึ่งถ้าจะพิจารณาแล้วก็มีทั้งสี่แบบที่กล่าวมาข้างต้นรวมกัน

ข้าพเจ้าเชื่อว่าการอธิษฐานก็คือการสนทนาแบบหนึ่ง เมื่อเป็นการสนทนาจึงต้องเป็นแบบสองทาง นั่นคือ ต้องมีผู้พูดและผู้ฟัง เมื่อเราอธิษฐาน นั่นคือ เราเป็นผู้พูด และพระเจ้าทรงเป็นผู้ฟัง ในการสนทนาโดยทั่วไปผู้พูดก็ต้องเป็นผู้ฟังด้วย นั่นหมายความว่าในขณะที่เราอธิษฐานนั้น เราต้องไวต่อพระสุรเสียงของพระเจ้าที่จะตรัสกับเราด้วย อย่าสวมบทบาทผู้พูดตลอดการสนทนา และจากประสบการณ์ส่วนตัวนั้นสิ่งที่พระองค์ตรัสกับเรามิได้เกิดขึ้นในช่วงการอธิษฐานเสมอไป บางครั้งพระองค์ตรัสผ่านคนอื่นในเวลาอื่น หรืออาจเป็นข้อพระวจนะที่เราจะอ่านพบในเวลาต่อมา หรืออาจเป็นข้อความในหนังสือบางเล่ม หรืออาจเป็นการกระตุ้นในใจของเรา หรือที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับตัวข้าพเจ้าคือ เป็นความคิดที่แวบเข้ามา เป็นความมั่นใจที่เกิดขึ้นในทันที ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าผู้เชื่อแต่ละคนย่อมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ พระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเรา และพระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเราเสมอ แต่อย่าลืมว่าคำตอบที่ยังมาไม่ถึงมิได้หมายความว่าพระองค์ทรงปฎิเสธ แต่หมายความว่ายังไม่ใช่เวลาที่เราจะได้ตามที่ขอ แต่ถ้าขอแล้วไม่ได้จริงๆ ก็หันมาดูว่าเราขอผิดหรือไม่ (ยากอบ 4:3 ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน) อย่าท้อใจเมื่อได้ได้คำตอบ ขอให้ขะมักเขม้นในการอธิษฐานต่อไป

สิธยา คูหาเสน่ห์

12/7/54

แบบพื้นฐานของการอธิษฐาน


การอธิษฐานเป็นการสื่อสารกับพระเจ้าและเป็นการสื่อสารสองทาง เราพูดและเราต้องฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย ที่เราอธิษฐานเพราะพระเจ้าทรงต้องการให้เราทูลพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดในใจ แม้ว่าพระองค์ทรงสัพพัญญู แต่พระองค์ยังทรงต้องการได้ยินจากเรา

การอธิษฐานมีแบบพื้นฐาน 5 แบบ

แบบที่หนึ่ง คือ การสรรเสริญ เราอธิษฐานสรรเสริญความมหัศจรรย์ของพระเจ้า การสรรเสริญของเราก็คือเมื่อเราเรียกพระองค์ว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า จอมเจ้านาย จอมกษัตริย์ พระนามเหล่านี้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระธรรมสดุดีหลายบทเป็นบทเพลงแห่งการสรรเสริญ

แบบที่สอง คิือ การขอบพระคุณ เป็นการ "ขอบพระคุณ" พระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา ขอบพระคุณสำหรับทุกเรื่องที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา พระองค์ทรงประทานชีวิต อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย และพระองค์ยังทรงจัดเตรียมทุกสิ่งสำหรับการดำรงและการดำเนินชีวิตของเรา

แบบที่สาม คือ การสารภาพ เป็นการทูลพระเจ้าว่าเราเสียใจกับสิ่งไม่ดีที่เรากระทำไป เราทูลพระเจ้าว่าเราเสียใจเมื่อเราทำให้คนอื่นเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ เราสารภาพกับพระองค์และทูลขอการอภัย

แบบที่สี่ คือ การวิงวอน เป็นการทูลของการช่วยเหลือจากพระเจ้า ในยามที่ตกอยู่ในอันตราย ทูลขอการปกปักรักษาและการคุ้มครอง ยามทุกข์ยาก ทูลขอความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหา ยามเจ็บป่วย ทูลขอการรักษา พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงอธิษฐานทูลขอเท่านั้น

แบบที่ห้า คืือ การอธิษฐานเผื่อ เป็นการอธิษฐานทูลขอสำหรับผู้อื่น พระองค์ทรงห่วงใยคนเหล่านั้นอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องทูลขอ แต่การอธิษฐานแบบนี้เป็นการเสริมสร้างชุมชนผู้เชื่อ คำอธิษฐานของเปาโลในเอเฟซัส 3:14-21 เป็นคำอธิษฐานที่งดงามมากสำหรับบุคคลแห่งความเชื่อ
เอเฟซัส 3:14-21 อ่านว่า "เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ขอพระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากย่ิงกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน"

จากแนวทางข้างต้นให้เราลองมาสำรวจชีวิตการอธิษฐานกันสักหน่อยว่าเราอธิษฐานตามนั้นหรือไม่ และข้าพเจ้าอยากขอเพิ่มเติมสักนิดว่าคำอธิษฐานที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นคำอธิษฐานที่ยืดยาว พระเจ้าทรงต้องการฟังจากเราเท่านั้น เพราะแต่ละคนย่อมอธิษฐานต่างกัน บางคนอาจอธิษฐานยาวที่มีรายละเอียดในทุกเรื่อง บางคนอาจอธิษฐานสั้นกระชับแบบ zip file รายละเอียดต่างๆ อยู่ภายใน ฟังดูสั้น แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นรายละเอียดมากมายในคำอธิษฐานนั้น สำหรับข้าพเจ้าเป็นแบบหลัง ไม่ว่าคำอธิษฐานจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงสดับฟัง

สิธยา คูหาเสน่ห์

20/6/54

รับมือกับความเครียด


เมื่อเกิดความเครียดเป็นความรู้สึกว่าต้องรับมือกับอะไรบางอย่างมากกว่าที่เคย เป็นภาวะของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ คับข้องใจ หรือถูกบีบคั้น กดดันจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน โกรธ หรือเสียใจ ความเครียดที่มีไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้นให้คนเราเกิดแรงมุมานะที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้ คนที่มีความรับผิดชอบสูงจึงมักหนีความเครียดไปไม่พ้น ความเครียดที่เป็นอันตราย คือ ความเครียดในระดับสูงที่คงอยู่เป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต พฤติกรรม ครอบครัว การทำงาน และสังคมได้ ความเครียดเกิดขึ้นเมื่อเราเหนื่อย เจ็บป่วย หรือเมื่อมีภาระรับผิดชอบมากเกินไป เมื่อเกินการควบคุมจึงเกิดความเครียด

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นมุมมองของโลก ส่วนมมุมมองของคริสเตียนเป็นอย่างไร

ในฐานะผู้เชื่อ ความเครียดก็มาในหลายรูปแบบ แต่กล่าวโดยทั่วไป สำหรับคริสเตียนส่วนใหญ่ก็คือ การขาดความวางใจในพระเจ้า

แม้ว่าเราไม่สามารถรวบรวมคริสเตียนทั้งหมดมาไว้ที่เดียวกัน แต่ส่วนใหญ่คิดแบบเดียวกันว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองสูงสุดและทรงควบคุมชีวิตของเราทุกคน เราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงลิขิตความเชื่อ เราเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่เราจำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อความเครียดเข้าควบคุมชีวิตของเรา จึงอาจพูดได้ว่านั่นเป็นเวลาที่เราขาดความวางใจในพระเจ้านั่นเอง

แม้ว่าที่กล่าวมาดูเหมือนจะง่าย แต่ไม่ได้จะบอกเป็นนัยว่าชีวิตในพระคริสต์ที่ไม่มีความเครียดเกิดขึ้นเลยนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

วางใจพระเจ้าให้มากขึ้นสิ แล้วจะไม่ต้องรับมือกับความเครียดอีกเลย มันง่ายอย่างนี้จริงหรือ

ชีวิตของเรายุ่งยากวุ่นวายมากเหลือเกิน และเราก็เปราะบางเกินกว่าที่จะหนีพ้นการสู้รบปรบมือกับมันได้ แต่สำหรับคริสเตียน ความเครียดมีด้านบวกด้วย เราอาจใช้ความเครียดเป็นเครื่องเตือนใจเราว่าชีวิตของเราได้ออกห่างจากพระเจ้าไปเสียแล้ว มันอาจเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเราหยุดพึ่งพาพระองค์สำหรับกำลังที่จะสู้ชีวิตในแต่ละวัน บางทีเราอาจลืมพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์ไปกระมัง

ถ้าเช่นนั้น คริสเตียนรับมือกับความเครียดได้อย่างไรบ้าง

มีหลักการที่สามารถปฏิบัติได้ที่คริสเตียนควรนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด เช่น การพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสมดุลระหว่างงาน (พันธกิจสำหรับผู้รับใช้) กับครอบครัว อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากมุมมองฝ่ายวิญญาณ การผ่อนคลายความเครียดเริ่มต้นและจบลงด้วยหลักการพื้นฐาน 3 ประการ

1. อธิษฐาน
แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือความกระวนกระวายใจและความเครียด พระคัมภีร์แนะนำว่าให้มอบทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าโดยการอธิษฐาน
ฟิลิปปี 4:6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

2. ใคร่ครวญพระคำ
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยพระสัญญาจากพระเจ้า การใคร่ครวญพระคำที่เป็นพระสัญญาจากพระองค์
เหล่านี้สามารถขจัดความห่วงกังวล ความสงสัย ความกลัว และความเครียดไปจากจิตใจของเราได้ ลองใคร่ครวญข้อพระวจนะเหล่านี้ดูเมื่อเกิดความเครียด
2 เปโตร 1:3 ด้วยเห็นแล้วว่า ฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์
มัทธิว 11:28-30 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
ยอห์น 14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
สดุดี 4:8 ข้าพระองค์จะเอนกายลงนอนหลับในความสันติ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงกระทำให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย

3. สรรเสริญพระเจ้า
มีคนหนึ่งกล่าวไว้อย่างนี้ว้า "ผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสรรเสริญพระเจ้าและมีความเครียดในเวลาเดียวกัน เมื่อผมกำลังเครียดกับอะไรบางอย่าง ผมก็จะเริ่มต้นสรรเสริญพระเจ้าและความเครียดของผมก็หมดไป"
การสรรเสริญและการนมัสการพระจ้าจะทำให้เราไม่คิดถึงเรื่องไม่สบายใจของเรา ปัญหาหนักที่กำลังรุมเร้าอยู่ และมุ่งความสนใจที่พระเจ้า เมื่อเราเริ่มสรรเสริญและนมัสกรพระเจ้า ปัญหาต่างๆ ของก็เริ่มเล็กลงทันทีเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ดนตรีก็สามารถทำให้จิตใจได้รับการประเล้าประโลมเช่นกัน

ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะนำวิธีดังกล่าวข้างต้นไปลองปฏิบัติิดูเมื่อเกิดความเครียด

สิธยา คูหาเสน่ห์

14/5/54

เดินทางผิด


สดุดี
125:1-3 บรรดาผู้ที่วางใจในพระเจ้าก็เหมือนภูเขาศิโยน ซึ่งไม่หวั่นไหว แต่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระเจ้าทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่เวลานี้สืบต่อไปเป็นนิตย์ฉันนั้น เพราะคทาของความอธรรม จะไม่พักอยู่เหนือแผ่นดินที่ตกเป็นส่วนของคนชอบธรรม เกรงว่าคนชอบธรรม จะยื่นมือออกกระทำความผิด

ท่ามกลางพวกเรามีสักกี่คนที่วางแผนการเดินทางไว้แล้วในที่สุดกลับไม่เป็นไปตามแผนที่คิดไว้ การดำเนินชีวิตของคริสเตียนก็เป็นแบบนั้นแหละ นาทีที่เราตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินชีวิตอย่างดีบนเส้นทางจาริกของเรา และเมื่อไปถึงองค์พระผู้ช่วยให้รอดจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ" แต่สำหรับหลายคนอาจเดินผิดพลัดพลงเข้าไปในเส้นทางอื่นที่อาจมองว่าเป็นทางลัดที่อยู่นอกเส้นทางที่วางแผนไว้ครั้งแรก ซึ่งการเดินไปบนเส้นทางใหม่นี้เป็นการเดินทางผิด และทำให้ห่างจุดหมายปลายทางออกไปทุกทีๆ

บางทีอาจเป็นเพราะเราเดินทางมาไกลโขแล้ว อาจเป็นเพราะมีผู้คนมากมายแซ่ซ้องชื่นชมความสำเร็จในชีวิตของเรา แต่ระยะทางและความสำเร็จสำคัญต่อแผนงานฝ่ายวิญญาณหรือไม่หากว่ามันเป็นการเดินทางผิดและความสำเร็จนั้นก็เป็นการทำในสิ่งที่ผิด

ท่านล่ะ หากรู้ตัวว่าเดินทางผิดและห่างจากเส้นทางที่ควรจะเดิน ท่านจะทำอย่างไร ท่านจะหันหลังกลับและเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่

ท่านมีอำนาจที่จะตัดสินใจ เลือกทำในสิ่งที่ถูก ถ้าในอดีตท่านเลือกผิดหรือเดินทางผิดไป ก็ปล่อยอดีตที่เลวร้ายนั้นไว้ข้างหลัง และเดินหน้าต่อไปด้วยย่างเท้าที่นำไปในทางที่ถูกต้อง และเป็นบุคคลอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็น ข้าพเจ้าใคร่ขอหนุนใจท่านด้วยข้อพระวจะในฟิลิปปี 3:12-14 ที่เปาโลบอกว่า "มิใช่ข้าพเจ้าได้แล้วหรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยเอาไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน" การตัดสินใจที่จะลืมอดีตและทิ้งมันไว้ข้างหลังอาจเป็นการหันหลังกลับที่ชาญฉลาดที่จะนำท่านกลับมาสู่ทางหลวงแห่งชีวิตของท่าน ขอให้หยุดที่จะหมกมุ่นอยู่กับประเด็นเก่าๆ ที่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนมันได้เสียที และมุ่งหน้าเดินไปบนทางหลวงแห่งชีวิตของท่านจนถึงหลักชัย และไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและจะได้ยินเสียงตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ"


สดุดี 25:4-5 "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคาของพระองค์ ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ”

สดุดี 25:8-10 “พระเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐและเที่ยงธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสั่งสอนพระมรรคานั้นแก่คนบาป พระองค์ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูกและทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม พระมรรคาทั้งสิ้นของพระเจ้าเป็นความรักมั่นคงและความสัตย์จริงแก่บรรดาผู้ที่รักษาพันธสัญญาและบรรดาพระโอวาทของพระองค์”

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/4/54

ของขวัญแห่งความชื่นชมยินดี


เมื่อเข้าใกล้วันอีสเตอร์ ท่านคิดถึงอะไร ใจของท่านมุ่งไปที่การวายพระชนม์และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์หรือไม่ การเสด็จเข้ามาในโลกของพระองค์ก็เพื่อมาไถ่บาปของมนุษยชาติ พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์ (2 โครินธ์ 5:21 ฉบับมาตรฐาน 2002) พระเยซูทรงแน่พระทัยสำหรับจุดมุ่งหมายแห่งการเสด็จมาช่วยคนบาปให้รอดจนกระทั่งทรงคาดการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว (มัทธิว 26:2 ฉบับมาตรฐาน 2002)

ท่านคิดว่าจุดมุ่งหมายของท่านในฐานะที่เป็นสาวกของพระเยซูคืออะไร

บางคนอาจตอบว่าคือการรักพระองค์ คนอื่นๆ อาจบอกเป็นอย่างอื่นว่าคือการรับใช้พระองค์ แต่จริงๆ แล้วจุดมุ่งหมายของมนุษย์คือการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า มิใช่หรือ ให้เราอ่านข้อพระวจนะในฮีบรู 12:2 กันสักหน่อย "โดยจับตามองที่พระเยซูผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อไม้กางเขนเพื่อความยินดีที่มีอยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า" (ฉบับมาตรฐาน 2002)

พระเยซูทรงทอดพระเนตรนอกเหนือการทนทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ที่พระองค์ทรงรู้ว่าจะเกิดขึ้นและทรงเพ่งมองที่ความชิื่นชมยินดีที่จะเกิดขึ้นตามมา

ท่านคิดว่าความชื่นชมยินดีแบบใดหรือที่เป็นแรงจูงใจให้พระองค์ทรงยอมพลีพระชนม์เพื่อคนบาป

พระคัมภีร์บอกเราว่าจะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ (ลูกา 1:510 ฉบับมาตรฐาน 2002) ในทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้บำเหน็จแก่การดีที่เราทำและมีความชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์ตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์" ฉะนั้น พระเยซูทรงมุ่งหวังความชื่นชมยินดีที่จะเกิดขึ้นเมื่อแต่ละบุคคลกลับใจและได้รับความรอด พระองค์ยังทรงรอคอยความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการดีที่ผู้เชื่อทำเพราะเชื่อฟังพระองค์และได้รับการจูงใจจากความรัก

เรารู้จากพระคัมภีร์อีกว่าเรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน (1 ยอห์น 4:19 ฉบับมาตรฐาน 2002) เอเฟซัส 2:1-10 บอกเราว่าโดยวิสัยแล้วเราทั้งหลายกบฎต่อพระเจ้าและตายฝ่ายวิญญาณ แต่โดยความรักและพระคุณนั่นเองที่นำเรามาถึงความเชื่อในพระองค์และการคืนดีกันกับพระองค์ พระองค์ยังทรงจัดเตรียมแผนการทำดีของเราไว้ด้วย (เอเฟซัส 2:10 ฉบับมาตรฐาน 2002)

แล้วจุดมุ่งหมายของเราล่ะ

เราสามารถทำให้พระองค์ทรงมีความชื่นชมยินดีได้ เรามีพระเจ้าที่มหัศจรรย์เหลือหลาย พระเจ้าที่ทรงช่วยคนบาปให้รอด พระเจ้าที่ทรงทำให้เราสามารถทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย พระองค์ทรงชื่นชมยินดีเมื่อเราตอบสนองพระองค์ด้วยการกลับใจ ความรัก และการทำดี นั่นแหละ สิ่งเหล่านี้สามารถนำความชื่นชมยินดีมาให้พระองค์

พระองค์ทรงกำลังรอความชื่นชมยินดีจากเราทั้งหลายอยู่ อย่าชักช้าที่จะทำให้พระองค์ทรงชื่นชมยินดีกันอยู่เลย ไม่นานพระองค์ก็จะทรงเสด็จมาแล้ว เรากำลังอยู่ในยุคสุดท้ายแล้ว จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนั้นคงมากพอที่จะเป็นหมายสำคัญของการใกล้เสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว รีบฉวยโอกาสที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วทำการดีกันเถอะ ประกาศข่าวประเสริฐเพื่อช่วยวิญญาณ เตรียมพร้อมรับเสด็จองค์พระเมสสิยาห์

สุดท้ายนี้ขอให้เราซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทั้งๆ ที่เป็นคนบาป ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา รักกันให้มากๆ ระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่หาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์ และพยายามรักกันให้ได้แบบที่พระเจ้าทรงรักเรา เอื้ออาทรต่อกันให้มาก ห่วงใยกันให้มาก

ข้าพเจ้าเศร้าใจอย่างยิ่งที่เห็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับชาวญี่ปุ่น ใจปฏิเสธว่าไม่ใช่ความจริง ร้องไห้ทุกครั้งที่ดูหรืออ่านข่าว ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่าความหายนะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วความหายนะฝ่ายวิญญาณล่ะมันจะน่ากลัวกว่านี้สักกี่เท่า มันคงเป็นระดับที่เกินความเข้าใจของเราอย่างแน่นอน

สิธยา คูหาเสน่ห์

3/3/54

ติดพันกับพระเจ้า


อะไรที่เรียกว่า "ติดพันกับพระเจ้า" ข้าพเจ้าขอนำเสนอความคิดสัก 2-3 ข้อ เพื่อให้มองเห็นภาพว่าการติดพันกับพระเจ้าเป็นอย่างไร

1. ท่านจะติดพันกับพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อท่านอ้าแขนออก ถ้าท่านไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถติดพันกับพระเจ้าได้ พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อโอบอุ้มเรา แต่ท่านต้องเชื่อวางใจพระเจ้าและมีความอดทนและอดกลั้นและรอคอยการช่วยเหลือจากพระองค์
2. เมื่อท่านติดพันกับพระองค์ ท่านจะไปในที่ที่พระองค์เสด็จไปและเดินในเส้นทางของพระองค์
3. การติดพันกับพระเจ้าเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะทำ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราทั้งหลายติดพันกับพระองค์อยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีกำลังและพลังอำนาจมากกว่า เราทั้งหลายเป็นผู้เลือกที่จะติดพันกับพระองค์หรือจะดำเนินชีวิตของเราเองโดยปราศจากพระองค์

ท่านล่ะ ติิดพันกับพระเจ้าหรือเปล่า หรือว่าท่านอยู่โดยปราศจากพระองค์ การดำเนินชีวิตตามลำพังนั้นโดดเดี่ยวและอ่อนล้ากำลัง พระองค์ทรงเป็นพลัง ทำไมไม่พึ่งพาพระองค์ล่ะ

เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง … เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" ยอห์น 15:5

การดำเนินชีวิตของคริสเตียนเป็นวิถีที่ต้องพึี่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่น เหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลอย่างอุดมสมบูรณ์เพราะมีแหล่งน้ำดีที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต คริสเตียนก็ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำแห่งชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งเช่นกัน

เถาองุ่นก็ทำหน้าที่ของเถาองุ่น แขนงเพียงแค่พึ่งพาและรับสิ่งที่เถาองุ่นมอบให้ นั่นแหละ พระเยซูทรงต้องการให้ผู้เชื่อทั้งหลายเข้าใจเช่นนั้น พระคริสต์ทรงปรารถนาให้เราทั้งหลายยอมรับว่ารากฐานของการงานทั้งหมดของเรานั้นอยู่ที่พระองค์ พระองค์จะทรงดูแลกิจการงานทั้งหมดของเรา

เมื่อเราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของเราโดยการส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาช่วยเหลือเราทั้งหลาย พระเยซูทรงต้องการให้เราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ในขณะที่เราทำงานรับใช้พระองค์ ขอเพียงติดสนิทหรือติดพันกับพระองค์ทุกเวลา ดำเนินชีวิตโดยการพึ่งพาพระองค์และรู้ว่าเมื่อแยกจากพระองค์แล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลย

การพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของการงานทั้งหมด เราทั้งหลายไม่มีอำนาจหรือพลังอะไรที่จะทำให้เกิดความสำเร็จได้นอกจากได้รับจากพระองค์เท่านั้น

การพึ่งพาพระเจ้าต้องเป็นการพึ่งพาอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติบาปของมนุษย์ทำให้เกิดความโน้มเอียงที่จะพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราทั้งหลายพ่ายแพ้ต่อการทดลองก็คือการสอนให้รู้ถึงการพึ่งพาพระองค์อย่างสิ้นเชิงเพื่อให้เราสามารถเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์

นอกจากนั้นการล้มลงในความบาปของเราต่อการทดลองยังเป็นการสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาวินัยในการอธิษฐาน ยังเป็นการบังคับเราให้ยอมรับการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยวิธีที่จับต้องได้ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะมันเป็นการยอมรับว่าถ้าปราศจากพระเจ้า เราจะทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองและต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง


แต่ทว่าการยอมรับเช่นนั้นเป็นการค้านธรรมชาติบาปของเราเป็นอย่างมาก ท่านเห็นด้วยหรือไม่
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายจะเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นๆ


สิธยา คูหาเสน่ห์

31/1/54

น่าคิด!


ในช่วงไม่ถึงสองเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับทราบข่าวการจากไปของหลายคน เริ่มต้นด้วยแม่สามีซึ่งหลับไปในขณะดูทีวีรายการสดุดีพระเจ้าอยู่หัว ตามมาด้วยแม่ของเพื่อนที่รู้จักกันออนไลน์ผ่านการสามัคคีธรรมแบบคริสเตียน ท่านจากไปในอ้อมกอดของเพื่อนคนนี้ก่อนวันคริสตมาสเพียงไม่กี่วัน (เพื่อนไม่ได้บอกสาเหตุ เพียงแต่เล่าว่าท่านบ่นว่าเหนื่อย) แลัวก็เป็นการจากไปของเพื่อนสนิทมากที่สุดคนหนึ่ง (กมล พฤกษฑลกุล) เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่แตก เขาจากไปตามลำพังที่บ้านพักของเขาในแอลเอ (แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าทูตสวรรค์นำทางเขากลับบ้านถาวรของเขาอย่างแน่นอน) และสุดท้าย (หวังว่าคงเป็นข่าวสุดท้ายสำหรับในช่วงนี้) พ่อของเพื่อนร่วมงานของลูกสาวคนเล็ก จริงๆ ท่านป่วยมานานด้วยโรคไต และเสียชีวิตลงเป็นการปิดฉากช่วงชีวิตที่ทุกข์ทรมานมานานโดยมีภรรยาและลูกอีกคนอยู่เคียงข้างในเกาหลี

ข่าวเหล่านี้น่าจะบอกอะไรเราได้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการเตือนให้เตรียมตัวให้พร้อมเพราะไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกให้กลับบ้านเมื่อไร เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนในการสามัคคีธรรมช่วงพักดื่มกาแฟที่คริสตจักร มีคนถามข้าพเจ้าว่า "พี่ พร้อมไหมถ้าพระเจ้าจะเรียกพี่กลับบ้านตอนนี้" น่าคิด!

ถ้าเช่นนั้นเราน่าจะรักกันให้มาก จริงๆ แล้วคริสเตียนพูดถึงเรื่องความรักตลอดเวลา แต่พูดอย่างเดียวพอไหม พระคัมภีร์บอกว่า “...อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง" (1 ยอห์น 3:18) ท่านคิดว่าเราทั้งหลายทำตามสิ่งที่พระเจ้าตรัสให้เราทำหรือยัง รักกันด้วยคำพูดคงทำไม่ยาก เพียงพูดคำว่า "รัก" พูดอย่างเดียวหรือว่าหมายความอย่างนั้นจริงๆ เวลาที่พูดว่า "รัก" อีกฝ่ายรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไหม น่าคิด!

ถ้าเช่นนั้นอย่าปล่อยให้ "น่าคิด" อยู่เลย ทำให้มันเป็นรูปธรรมกันดีไหม อย่าได้แต่คิดจะทำ เมื่อคิดแล้วก็ทำเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นท่านจะหมดโอกาสทำเพื่อเป็นการแสดงความรักด้วยการกระทำกับคนที่ท่านรัก บางทีอาจสายไปเพราะเขาเหล่านั้นไม่อยู่กับเราแล้ว การกระทำนั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เพียงสิ่งเล็กๆ ก็อาจมีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับคนๆ นั้นก็ได้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อย อย่างเช่น การโทรศัพท์ไปเยี่ยมเยียนใครสักคน ท่านอาจเดาไม่ออกว่าการโทรศัพท์ของท่านอาจช่วยกู้ใครสักคนให้พ้นจากวิกฤตชีิวิตที่กำลังเผชิญอยู่ก็ได้ ส่วนข้าพเจ้าก็มีสามัคคีธรรมออนไลน์กับคนจำนวนหนึ่ง บางครั้งเมื่อกดส่งก็จะได้รับข้อความกลับมาทันทีเพื่อขอบคุณสำหรับการหนุนใจที่กำลังห่อเหี่ยวท้อแท้ ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แม้มันจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำทุกวัน และข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไร แม้เล็กน้อยทว่ายิ่งใหญ่สำหรับบางคน อีกครั้งที่ น่าคิด! เพราะสิ่งเล็กน้อยที่เราทั้งหลายทำนั้น พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นทุกเรื่อง อย่าลังเลที่จะทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อผู้อื่น อย่าท้อใจเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ตรงที่การเริ่มต้นทำต่างหาก ทำสิ่งเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย และสิ่งเล็กน้อยนั้นถ้าทำอย่างดีย่อมนำไปสู่โอกาสที่ใหญ่กว่า น่าคิด!

บางครั้งเราอาจคิดว่าตัวเราช่างเล็กน้อยไร้ค่าเสียเหลือเกิน จะทำอะไรเพื่อพระเจ้าได้บ้าง พระองค์จะทรงต้องการเราล่ะหรือ และถ้าหากเราคิดเช่นนั้นก็เป็นการผิดมาก

ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงต้องการเลี้ยงอาหารคนเป็นจำนวนมากที่มาฟังคำเทศนาของพระองค์ พวกเขาหิวแล้วและสถานที่นั้นก็อยู่ห่างจากแหล่งอาหารไกลโขทีเดียว สาวกคนหนึ่ง (เปโตร) ทูลพระองค์ว่า "ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว" จากสิ่งเล็กน้อยที่เด็กชายคนนั้นมีพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในการเลี้ยงคนห้าพันคนจนอิ่ม ขอให้จำไว้ว่าไม่ว่าท่านจะเป็นใคร พระเจ้าทรงเห็นว่าท่านเป็นคนสำคัญและสามารถทำการใหญ่จากตัวท่านหรือสิ่งที่ท่านมี จริงที่ว่าเราอยู่ในยุคที่ยกย่องความยิ่งใหญ่ แต่สิ่งใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเล็กน้อย และแผนการของพระเจ้าก็ขึ้นอยู่กับการกระทำ ความคิด และการปฏิบัติหน้าที่เล็กน้อยในแต่ละวันของเรา อย่าคิดว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะจากสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งใหญ่ได้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อยเพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นในชีวิตของท่าน และพระราชกิจของพระองค์จะสำเร็จได้จากสิ่งเล็กน้อยที่ท่านมีและที่ท่านเป็น น่าคิด!

ให้สิ่งเล็กน้อยที่ท่านทำเพื่อมนุษย์และเพื่อพระเจ้าเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าองค์ผู้สูงสุด เอเมน

สิธยา คูหาเสน่ห์

21/1/54

ลาก่อน... เพื่อนรัก (บทความพิเศษ)


ลาก่อน... เพื่อนรัก
(เพื่อระลึกถึงคุณกมล พฤกษฑลกุล)

การบอกลากันเป็นเรื่องยาก การบอกลาสำหรับข้าพเจ้ามีสามแบบ หนึ่ง การบอกลาเมื่อพบหน้ากันแล้วและต้องแยกย้ายกันไป สอง การบอกลาเมื่อไปเยี่ยมใครบางคนและต้องเดินทางกลับ (กรณีอยู่กันคนละที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนละประเทศ) และ สาม การบอกลาชั่วนิรันดร์เมื่ออีกคนเดินทางกลับบ้านถาวรของเขา

สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันเป็นเพียงความทรงจำช่วงหนึ่งในชีวิตกับเพื่อนรักที่มีชื่อว่า กมล พฤกษฑลกุล แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเรียกชื่อจริงของเขาเลย เขาคือ "โจ" สำหรับข้าพเจ้าและเพื่อนสนิทบางคนที่มีความทรงจำในวัยเด็กร่วมกัน โจและข้าพเจ้าไปนมัสการที่คริสตจักรเดียวกันเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งเขาย้ายมาปักหลักลงฐานที่สหรัฐอเมริกา เราสนิทกันมาก เป็นเพื่อนบ้านกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง เข้าค่ายโบสถ์ด้วยกัน ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันหลังเลิกเรียน โจเรียกตัวเองว่า "ไอ" และเรียกข้าพเจ้าว่า "ยู" และข้าพเจ้าก็ทำในทำนองเดียวกัน

เนื่องจากโจไม่ใช่คนเทคโนโลยี เราก็เลยไม่ได้ติดต่อกันด้วยอีเมล์ หลังจากที่โจเดินทางมาอยู่ที่แอลเอแล้ว ก็มีโอกาสพบกันเมื่อเขาเดินทางไปประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งการพบแต่ละครั้งก็สั้นๆ เพราะเขามีธุระมาก ทุกครั้งที่พบกันความเป็นเพื่อนก็เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกห่างเหินจากการไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน เขาเป็นคนสม่ำเสมอมาก ในด้านหนึ่งที่บอกได้คือเขาส่งการ์ดอวยพรวันคริสตมาสให้ข้าพเจ้าทุกปี และข้าพเจ้าก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีโดยการไม่ส่งตอบกลับไป (ตอนนี้ก็หมดโอกาสแล้วแม้ว่าจะกลับตัวกลับใจที่จะส่งตอบกลับไปบ้าง) แต่ปีที่ผ่านมา (คริสตมาส 2010) แปลก ไม่ได้รับการ์ดจากโจเลย ได้แต่ของหลานซึ่งเขาไม่รู้ที่อยู่และส่งมาเพื่อให้ข้าพเจ้าส่งต่อเท่านั้น ก็ยังคิดขำๆ ว่าโจคงเบื่อที่จะส่งให้แล้ว เพราะไม่เคยส่งตอบกลับไปเลย (ขอโทษนะ โจ) ต่อไปก็ไม่มีการ์ดจากโจอีกแล้ว

ข้าพเจ้าทราบข่าวการจากไปของโจจากหลานซึ่งได้รับข่าวมาอีกทอดหนึ่ง พวกเราที่ประเทศไทยยังไม่ปักใจเชื่อและสงสัยว่าเป็นการเล่นตลกของใครบางคนหรือเปล่า แต่ข่าวแบบนี้ไม่น่าจะมีใครแผลงเล่นตลก ใจหนึ่งก็เชื่อแล้ว แต่ก็ยังต้องการการยืนยัน ข้าพเจ้าก็พยายามติดต่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่อเมริกาและสนิทกับโจเหมือนกัน เขาก็ไม่รู้เรื่อง และบอกว่ายังคุยโทรศัพท์กับโจเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่เลย แต่หลังจากนั้นก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนที่แอลเอว่าโจจากไปแล้วจริงๆ เราต่างก็พูดไม่ออกกับการจากไปอย่างกระทันหันของเพื่อนรักคนนี้

ข่าวบอกว่าหัวใจวาย แต่ข้าพเจ้าก็ยังได้ข่าวมาอีกหลายกระแสเกี่ยวกับสาเหตุของการจากไปของเขา เพื่อให้แน่ใจข้าพเจ้าจึงพยายามหาทางติดต่อกับพี่ชายของเขา และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็สามารถติดต่อกับพี่ชายคนที่สองของเขา และก็ได้ทราบว่าผลจากการชันสูตรศพบอกว่าเนื่องจาก ruptured aorta เมื่อโจไม่ได้ไปเล่นเปียโนที่โบสถ์ในเช้าวันที่ 2 มกราคม พี่ชายก็ตามไปดูที่บ้านและพบว่าโจเสียชีวิตแล้วและไม่ทราบว่าเสียชีวิตนานแค่ไหนแล้ว แม้ว่าโจจะจากไปตามลำพัง แต่ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเขาไม่ได้เดินทางกลับบ้านคนเดียวอย่างแน่นอน ทูตสวรรค์ได้นำทางเขากลับไปเพื่อเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และไปพบคุณพ่อคุณแม่ของเขาซึ่งเดินทางล่วงหน้าไปคอยอยู่แล้ว

สำหรับเราซึ่งยังคงจาริกอยู่ในโลกนี้ก็คงจะรู้สึกอาลัยกับการจากไปของโจ แต่มันเป็นการจากไปที่แฝงด้วยความชื่นชมยินดี เพราะที่ที่โจไปอยู่ย่อมดีกว่าที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน สักวันหนึ่งเราก็จะได้พบหน้ากันอีก แล้วพบกันนะเพื่อนรัก

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าการบอกลาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว (2010) จะเป็นการบอกลาแบบที่สองและสามสำหรับโจและข้าพเจ้า ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับโจเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เขาพาพวกเราไปเลี้ยงอาหารและหลังอาหารเขาก็พาสามีและข้าพเจ้าไปที่บ้าน เขาชงชาให้เรา (ซึ่งข้าพเจ้ายังหยอกเล่นว่าทำเป็นด้วยหรือ) เราคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นเวลาที่น่าจดจำอีกช่วงหนึ่งในชีวิต หลังจากนั้นเขาก็ขับรถไปส่งเราที่โรงแรม ข้าพเจ้าเป็นห่วงเพราะเขาขับรถเร็ว ยังเตือนเขาให้ระวังตัวด้วย ข้าพเจ้าบอกเขาว่าจะเดินทางต่อไปนิวยอร์กและจะอยู่ที่นั่นกับลูกสาวคนเล็กสองเดือน ระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ที่นิวยอร์กก็ได้มีโอกาสคุยกับโจหลายครั้งด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้โทรศัพท์ไปบอกเมื่อถึงกำหนดต้องเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อข้าพเจ้าเดินทางกลับมาแล้ว โจก็โทรศัพท์มาที่บ้านเพื่อถามว่าข้าพเจ้าเดินทางกลับมาหรือยัง นี่ก็เป็นความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของเพื่อนรักคนนี้ มีความห่วงใยอยู่เสมอ

ตอนนี้ไม่มีโจแล้ว รู้สึกใจหายที่คนอันเป็นที่รักจากไปอีกคน เราไม่รู้จริงๆ ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเรากลับบ้านเมื่อไหร่ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม พร้อมทั้งด้านกายภาพและด้านจิตวิญญาณ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของโจกับการสูญเสียครั้งนี้ด้วย และก็ร่วมอาลัยกับการจากไปของโจกับเพื่อนๆ และทุกคนที่รู้จักกับเพื่อนรักคนนี้ของข้าพเจ้า มันอาจจะกระทันหันไปนิด แต่เราต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ ให้เราหนุนน้ำใจกันและกัน และให้ความทรงจำของเราแต่ละคนซึ่งต่างกันไปยังคงอยู่ในคลังความคิดของเราตลอดไป

ลาก่อน...เพื่อนรัก จนกว่าจะพบกันอีก

แต่ก่อนที่จบ ข้าพเจ้าคิดว่าโจเพื่อนรักของข้าพเจ้า ครูกมลของนักเรียนทั้งหลาย คุณกมลของเพื่อนๆ น้องกมลของพี่ชายทั้งสอง คงอยากบอกลาเราทุกคน ข้าพเจ้าจึงใช้ความรู้ความสามารถอันน้อยนิดเรียงร้อยถ้อยคำออกมา คิดว่าเขาผู้จากไปคงอยากจะบอกพวกเราว่า


I look down from here and see the people I hold so dear
I wish you'd accept my departure and wipe away the tear
I can see the pain inside your heart that I'm no more awaken
I'm sorry I had to depart , I am sorry it's all too sudden
For now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.


I know how much you miss me, I know you hold me dear in your heart
But I am not so far away and we really aren't apart
Just remember me the way I was, love me still the way you do
Please, my dear ones, know that I do want to be with you
But now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.

I have no words to tell you, how much joy heaven can bring
For it is beyond description, to hear the angels sing
I sent you each a special gift, from my heavenly home above
I sent you each a memory of my friendly love
Please love and keep each other, as you always do
I will count the blessings God gives each one of you
So be happy for me, my dear ones
For now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.



สิธยา คูหาเสน่ห์

หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความพิเศษที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นการบอกลาเพื่อนรักของข้าพเจ้าที่พระเจ้าทรงรับกลับบ้านถาวรของเขา และไม่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือข่าวคริสตจักร แต่เขียนเป็นพิเศษให้กับ Peter Dreamland
และได้รับเกียรติลงในหนังสือพิมพ์เสรีชัยซึ่งวางขายทั่วสหรัฐอเมริกาโดยความกรุณาของ คุณปีเตอร์ ปัญญาชน ที่ส่งต้นฉบับไป

6/1/54

ท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน


ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงคุ้นกับคำว่า "หลอดเลือดอุดตัน" สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันก็คือไขมัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ข่าวว่าหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักต้องได้รับการแก้ไขภาวะหลอดเลือดอุดตันด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน ด้วยพระคุณอันล้นเหลือของพระเจ้า ทุกคนปลอดภัยและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ข้าพเจ้าเกิดความคิดเชิงเปรียบเทียบขึ้นมาอย่างนี้ว่า คริสเตียนอาจต้องเผชิญกับอีกภาวะหนึ่งซึ่งคล้ายกับภาวะ "หลอดเลือดอุดตัน" คือ "ท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน" สิ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันขึ้นก็คือขยะชีิวิตซึ่งข้าพเจ้าเปรียบเสมือนไขมันที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันนั่นเอง ขยะที่ว่านี้มีมากมายหลากหลายรูปแบบ เมื่อหลอดเลือดอุดตันเป็นอันตรายต่อชีวิตทางกายภาพฉันใด เมื่อท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตันก็เป็นอันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น เมื่อหลอดเลือดอุดตันเลือดซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตก็ไม่สามารถไหลเวียนอย่างอิสระในหลอดเลือด เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวกย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างแน่นอน ท่านคงมองเห็นแล้วนะว่าเมื่อท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็จะเป็นอันตรายเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตในทำนองเดียวกัน บางครั้งเมื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราไม่เติบโตหรือเจ็บป่วย เรามักจะไม่คิดว่าเกิดการอุดตันขึ้นในท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของเราและทำให้ขาดน้ำหล่อเลี้ยง บ่อยครั้งกลับคิดว่าแหล่งน้ำแห่งชีวิตซึ่งก็คือพระเจ้าแห้งขอดไปเสียแล้ว เมื่อน้ำไม่ไหลจากท่อส่งน้ำไม่ได้หมายความว่าท่อส่งน้ำมีปัญหาหรือแหล่งน้ำแห้งขอด บางครั้งปัญหาอยู่ที่ปลายท่อนั่นเอง สิ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันอาจเป็นตะกรัน ขี้สนิมที่จับกันเป็นก้อน หรือสิ่งปนเปื้อนอย่างอื่น ดังนั้นเมื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแคระแกร็น ลองสำรวจดูสิว่ามีอะไรที่ทำให้น้ำเลี้ยงชีวิตไหลไม่สะดวกบ้าง เมื่อพบแล้วก็กำจัดทิ้งเสีย แต่หากว่าหาด้วยตัวเองไม่ได้ หาเท่าไรก็ไม่พบ ลองขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี ที่สำคัญที่สุดต้องไม่ลืมที่จะทูลขอการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วย

ข้าพเจ้าอยากจะขอพูดถึงขยะต่างๆ ในชีวิตที่อาจทำให้เกิดการอุดตันขึ้นสัก 2-3 อย่าง

หนึ่ง ใจที่สงสัยในพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าความสงสัยนี่แหละเป็นศัตรูตัวฉกาจในการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ ความสงสัยจะนำไปสู่ความพินาศในการดำเนินไปกับพระเจ้าด้วยความเชื่อ สงสัยกระนั้นหรือ สงสัยอะไร ไม่แน่ใจอะไร ข้าพเจ้าขอเน้นว่าพระเจ้าทรงใหญ่ยิ่งและมากล้นด้วยพระคุณ พระองค์ทรงทราบความจำเป็นในทุกๆ ด้าน และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับความจำเป็นนั้นๆ

สอง ชีวิตนอกน้ำพระทัย เราจะเสื่อมทรามลงทันทีหากยอมให้ความบาปย่างเข้ามาในชีวิตของเรา ชีวิตเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน ก่อนที่เราจะรู้ตัวความบาปก็เข้าครอบงำชีวิตของเราแล้ว การหลงหายไปจากทางของพระเจ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกิดขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว

สาม การไม่เข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นประจำ ผู้เชื่อสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ตลอดเวลา ในทุกที่ การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็คือการอ่านพระวจนะ การอธิษฐาน ถ้าผู้เชื่อไม่ทำทั้งสองอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะเติบโตไม่ได้

แหล่งน้ำแห่งชีวิตพร้อมที่จะส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ท่อสำหรับส่งน้ำกลับอุดตัน ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างบางประการเท่านั้น ท่านลองสำรวจดูสิว่าท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของท่านมีอะไรอุดตันที่ทำให้น้ำแห่งชีวิตไหลไม่สะดวกบ้างหรือไม่

ถ้ามี ท่านจะกำจัดมันอย่างไร

ถ้าไม่มี ก็เป็นสิ่งประเสริฐล้ำเลิศ

ข้าพเจ้าหวังว่าผู้เชื่อทั้งหลายจะหมั่นทำความสะอาดท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของท่านให้สะอาด เพื่อจะได้รับน้ำแห่งชีิวิตอย่างเต็มที่เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่าน ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรทุกท่าน

สิธยา คูหาเสน่ห์