29/12/52

ของประทานแห่งการให้อภัย

อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน ลูกา 6:37

ลองคิดดูสิว่ามีใครบ้างไหมที่ท่านจำเป็นต้องยกโทษให้

ท่าน ยังไม่ได้ยกโทษให้ใครบางคนหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นชีวิตของท่านจึงไม่มีความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยม ถ้าเช่นนั้น ทำไมไม่ให้พระเจ้าปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความทุกข์ยากนั้นเล่า ทูลขอให้พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่านสิ

การ ให้อภัยทรงอานุภาพ เมื่อท่านเลือกที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่าน อะไรๆ ที่ถ่วงท่านอยู่ก็ถูกปลดเปลื้อง ความโกรธแค้น ความขุ่นข้องหมองใจ และความกลัวก็จะถูกยกออกไปจากใจด้วยความรักของพระเจ้า

การ ให้อภัยคือการปลดปล่อย การปล่อยวาง เป็นการให้อิสรภาพและการได้รับพระพรจากพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกหรือแม้กระทั่งความเชื่อวางใจ การให้อภัยก็คือการตัดสินใจที่จะปล่อยวางความทุกข์ในใจและมุมมองเรื่องความ ยุติธรรมของเราเองเท่านั้น

ท่าน จะให้วันนี้ของท่านเป็นวันดีที่จะรักใครสักคนไหมล่ะ ความรักนั้นจะสำแดงออกโดยการตกลงปลงใจที่จะให้อภัยและยกโทษคนๆ นั้นโดยไม่หวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง สำนึกผิด กลับใจ สารภาพผิด หรือ กล่าวคำขอบคุณ นี่แหละเป็นความรักที่เราทั้งหลายเห็นประจักษ์แล้วบนกางเขน มันเป็นความรักในแบบของพระเจ้า ความรักของท่านเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

ความรักพูดว่า “ฉันให้อภัยเธอแล้ว ฉันยกโทษให้”


ความ รักสำแดงตัวมันเองด้วยการให้อภัยคนที่ทำผิดก่อนที่คนนั้นจะยอมรับว่าทำผิด บาปโดยไม่คาดหวังว่าคนๆ นั้นจะกลับใจ ยอห์นเข้าใจถ่องแท้ความรักแบบนี้เมื่อกล่าวว่า “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)

การให้อภัยหรือการยกโทษให้คนอื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ การ ให้อภัยหรือการยกโทษให้แก่กันเป็นการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก การปล้ำสู้ในใจ เมื่อทำได้จะเป็นอิสระจากอารมณ์ด้านมืดที่เป็นเชิงทำลาย หากไม่ให้อภัยกัน คนที่แบกความเกลียดชังไว้ก็ยังคงแหวกว่ายร่ำไปอยู่ในทะเลแห่งความขมขื่น ความปวดร้าวใจ ความโกรธ

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างให้ฟังสักหน่อยว่าหากท่านยังถือโทษโกรธพี่น้องที่ทำผิดต่อเรา ผลจะเป็นอย่างไร

ครู คนหนึ่งสอนเด็กนักเรียนของเธอให้รู้จักการให้อภัยด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทุกคนนำถุงมาใบหนึ่ง และให้นักเรียนแต่ละคนเขียนชื่อคนที่ทำผิดหรือคนที่เขาเกลียดบนมันฝรั่งแล้ว ใส่ไว้ในถุง แน่นอนที่แต่ละคนย่อมมีมันฝรั่งไม่เท่ากัน และครูให้ทุกคนหิ้วถุงมันฝรั่งใบนั้นไปทุกที่ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อไปห้อง น้ำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่นานก็เริ่มมีเสียงบ่นเพราะมันฝรั่งเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็น ยิ่งกว่านั้นสำหรับบางคนที่มีมันฝรั่งมากก็ต้องหิ้วถุงที่หนักกว่าของคนอื่น

เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ครูก็ถามเด็กนักเรียนทุกคนว่า “รู้สึกยังไงบ้างคะที่ต้องหิ้วถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและเหม็นไปไหนมาไหนตลอดเวลานานหนึ่งสัปดาห์”

ทุกคนก็โอดครวญว่ามันทั้งหนักและเหม็น เมื่อถึงตอนนี้ครูก็อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมครูจึงให้นักเรียนทำเช่นนี้ ครูพูดว่า “การหิ้วถุงมันฝรั่งก็เหมือนกับการเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ ความ เกลียดชังที่เก็บไว้ในใจจะทำให้ใจไม่บริสุทธิ์และมันจะเป็นน้ำหนักที่ถ่วง เราอยู่ตลอดเวลา ถ้านักเรียนทนกลิ่นเหม็นของมันฝรั่งไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว ก็ลองคิดดูสิว่าใจของเราจะเป็นมลทินมากเพียงใดที่มีทั้งสิ่งที่เน่าเหม็นน่า สะอิดสะเอียนเต็มไปหมดมาโดยตลอด”

สิ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็คือให้ปล่อยวางสิ่งที่ถ่วงเราอยู่ สิ่งที่เป็นตัวขวางกั้นพระพรจากพระเจ้า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้า เชื่อว่าท่านทำได้ การให้อภัยเป็นท่าที่ที่ถูกต้องที่ควรจะมี เรียนรู้ที่รักคนที่ไม่น่ารักหรือคนที่เราไม่ชอบ จะแบกถุงหนักๆ ไว้ทำไม วางมันลง มิดีกว่าหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/10/52

ปล่อยวางความแค้นเคืองใจ

ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเราอาจเกิดจากเรื่องเล็กน้อย เช่น คำพูดที่พูดออกไปโดยไม่คิด คำวิพากษ์วิจารณ์ การกล่าวหา ความเคืองใจ เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจที่นำไปสู่การแตกแยกแล้ว มันยากที่ประสานรอยร้าวให้กลับมาดีเหมือนเดิม

ทางแก้คือ การปล่อยวาง ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการฝึกปล่อยวางความแค้นเคืองใจเล็กๆ น้อยๆ แต่หากต้องการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวแล่วล่ะก็ การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ การไม่ยอมให้มีความขมขื่นเกิดขึ้นทำคุณให้อย่างมาก

แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย ทว่าก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ อธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้าสิ แล้วท่านจะพบว่ามันเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ความแค้นเคืองใจเกาะกุมจิตใจของเราจนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีไป แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ยังดีกว่าที่จะไม่พยายามเสียเลย

เรื่องราวต่อไปนี้คงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้แง่คิดแก่ท่านได้ อ่านแล้วลองย่อย จากนั้นลองสำรวจดูว่า
ท่านมีความแค้นเคืองใจกับใครบ้างไหม ท่านปล่อยให้มันทำลายความสัมพันธ์มานานแค่ไหนแล้ว ถึงเวลาปล่อยวางหรือยัง

มีเรื่องเล่าว่าพ่อค้าคนหนึ่งมีลูกชายฝาแฝด ลูกทั้งสองคนช่วยธุรกิจในห้างสรรพสินค้าที่พ่อเป็นเจ้าของ เมื่อพ่อตาย ร้านนั้นก็ตกเป็นของลูกชายทั้งสอง

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งธนบัตรใบหนึ่งหายไป เพราะหนึ่งในพี่น้องฝาแฝดคู่นี้วางเงินนั้นไว้ที่เครื่องคิดเงินและเดินออกไปนอกร้านกับลูกค้าคนหนึ่ง เมื่อเขากลับมา ธนบัตรใบนั้นก็หายไปเสียแล้ว

เขาจึงถามคู่แฝดของเขาว่าเห็นเงินที่วางไว้ตรงเครื่องคิดเงินหรือไม่ แต่คู่แฝดของเขาตอบว่าไม่เห็น

แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดซักถาม เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องผ่านไปแบบนี้ เขาพูดว่าเงินจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร และบอกว่าคู่แฝดของเขาต้องเห็นธนบัตรใบนั้นแน่นอน ในน้ำเสียงของเขาบอกเป็นนัยว่าคู่แฝดนั่นแหละเป็นคนเอาไป ตอนนี้ทั้งสองคนก็ตอบโต้กันด้วยอารมณ์ หลังจากนั้นก็เกิดความแค้นเคืองใจต่อกัน

ไม่นานนักความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ก็ร้าวฉานเกินเยียวยาและไม่พูดกัน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าคงทำงานร่วมกันไม่ได้แล้ว ดังนั้นร้านค้าแห่งนั้นจึงถูกแบ่งเป็นสองร้าน ความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นนานถึงยี่สิบปี ความขมขื่นก็มีมากขึ้นในใจของคนทั้งสองและมีผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชนในวงกว้าง

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งขับรถยนต์มาจากอีกรัฐหนึ่งมาแวะที่ร้าน เขาเดินเข้าไปในร้านและถามเสมียนประจำร้านว่าอยู่ร้านนี้มานานเท่าไรแล้ว และเมื่อได้รับคำตอบว่าเขาอยู่ที่ร้านนี้มาตลอดชีวิตของเขา เขาจึงเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเขานั่งรถไฟบรรทุกสัมภาระมาที่เมืองนี้ เขาไม่ได้รับประทานอาหารมาสามวันแล้ว และเข้ามาที่ร้านนี้ทางประตูหลังและเห็นธนบัตรใบหนึ่งวางอยู่ที่เครื่องคิดเงิน เขาจึงหยิบมันไป เขาพยายามลืมเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้ว่ามันเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขาต้องกลับมาเพื่อขอการอภัยสำหรับความผิดของเขา

แขกแปลกหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนที่เขาพูดด้วยมีน้ำตาเอ่อคลอตา และบอกว่าให้ไปเล่าเรื่องราวเดียวกันนี้กับชายในร้านที่อยู่ติดกัน เมื่อเขาทำตามคำขอ ความประหลาดใจของเขาก็เพิ่มทวีขึ้นเมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาคล้ายกันมากสองคนกอดกันและร้องไห้

ความร้าวฉานระหว่างพี่น้องคู่นี้ได้รับการแก้ไขเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบปี กำแพงที่แยกทั้งคู่ออกจากกันด้วยความแค้นเคืองใจถูกทำลายลงแล้ว


น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลานานถึงยี่สิบปีสำหรับการคืนดีกัน แต่ก็ยังดีกว่าที่จะแค้นเคืองกันจนตายจากกัน มิใช่หรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/8/52

รากเหง้าความขมขื่น

พระธรรมฮีบรูบอกให้ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ ท่านคงไม่คัดค้านถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่าความขมขื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถ่วงชีวิตของเราอยู่ ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นหลายคนทนทุกข์ทรมานอยู่กับความขมขื่นในอดีต ไม่น้อยที่ปฏิเสธความบาป แต่ยอมพ่ายแพ้ต่อความขมขื่น อยากจะบอกว่าความขมขื่นก็ทำลายชีวิตได้ไม่แพ้ความบาปทีเดียว อย่าปล่อยให้รากเหง้าแห่งความขมขื่นทำลายชีวิตซึ่งอาจนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อได้

ความขมขื่นเป็นเสมือนสถานีวิทยุกระจายเสียง มันจะส่งผลกระทบในวงกว้างถึงคนที่อยู่รอบข้าง อย่ายอมให้ตัวเองเป็นสื่อส่งต่อความขมขื่น อย่ายอมให้มันถ่วงชีวิตของเราให้ตกต่ำลง อย่าเปิดโอกาสให้มันย่องเข้ามาขโมยความชื่นชมยินดีไปจากชีวิตของเรา อย่าเปิดช่องให้มารเข้ามาควบคุมชีวิตของเรา

ความขมขื่นเป็นเหมือนพิษที่ทำร้ายจิตวิญญาณ ตัวทำลายความสมบูรณ์ของร่างกาย ตัวบีบคั้นจิตใจ ดังนั้น อย่าปล่อยให้มีรากขมขื่น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความขมขื่นหยั่งรากลงในใจแล้ว มันจะมีแรงถ่วงมหาศาล ความขมขื่นที่ถูกเพาะไว้จนเติบใหญ่และหยั่งรากลงแล้วก็เหมือนกับการพยายามว่ายน้ำโดยมีหินก้อนใหญ่หนักมหาศาลถ่วงตัวไว้ นอกจากจะว่ายไม่ได้แล้วยังอาจทำให้รู้สึกเจ็บด้วย เช่นเดียวกัน เมื่อมีความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกในใจแล้ว เราก็จะกลายเป็นนักโทษของมันทันที การดำเนินชีวิตต่อไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้และยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจอีกด้วย จากนั้นพระคุณของพระเจ้าก็จะไม่มีผลกับชีวิตของเราอีกต่อไปเพราะมองไม่เห็นพระคุณนั้น เราจะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้และตายฝ่ายวิญญาณ

ถ้าอยากจะรู้ว่าความขมขื่นที่หยั่งรากลงในใจแล้วมีอำนาจทำลายมากเพียงใดก็ให้ดูต้นไม้ใหญ่สักต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่นั้นก็คือความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกแล้ว แทนที่เราจะมองดูที่พระเจ้า เรากลับสงสัยความประเสริฐของพระองค์ และปล่อยให้ขยะชีวิตค่อยๆ กลายเป็นความขมขื่นและทำให้ความเชื่อของเราแคะแกรนไม่เติบโต และนานวันเข้าความเชื่อของเราก็อาจหดหายตายจากไป เราสามารถเลือกวิธีที่จะตอบสนองสถานการณ์ที่เจ็บปวดได้ เราสามารถเลือกที่จะอยู่ภายใต้แรงถ่วงของความขมขื่น หรือเราจะกำจัดความขมขื่นให้หมดไปอย่างถอนรากถอนโคนด้วยความรักของพระเจ้า เมื่อความขมขื่นมีบทบาทอยู่ในชีวิตของเรานั้นเราก็จะไม่สามารถสัมผัสกับการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าได้

ความขมขื่นก็คือการไม่ยอมให้อภัยกัน และความขมขื่นที่เกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความตายฝ่ายวิญญาณและความเจ็บปวดรวดร้าว พระเจ้าทรงมีฤทธิ์เดชที่จะปลดปล่อยทุกคนให้หลุดพ้นจากผลร้ายอันเกิดจากความขมขื่นได้ พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงจัดเตรียมทางไว้ให้แก่เราแล้ว เพื่อให้เราทั้งหลายซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ได้รับปลดปล่อยจากรากเหง้าแห่งความขมขื่น ให้เราเข้าอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ที่จะนำพาเราไปในทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้โดยอย่าเพาะความขมขื่นให้เติบโตและหยั่งรากลงลึกเป็นอันขาด

ท่านล่ะ ลองสำรวจดูสิว่ามีความขมขื่นอะไรบ้างไหม แล้วท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกาะกินจิตใจของท่านอยู่

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/7/52

ยานพาหนะแห่งความเชื่อ

ถ้าท่านกำลังสงสัยว่าความเชื่อคืออะไรอยู่ล่ะก็ ท่านสามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้จากพระธรรมฮีบรู 11:1 ที่เขียนไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง”

คำตอบดังกล่าวเป็นนามธรรม สำหรับบางคนต้องการข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถจับต้องได้ ที่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่ในอีกด้านหนึ่งเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น (2 โครินธ์ 5:7) สำหรับคนที่ปล้ำสู้ที่จะเชื่อด้วยใจว่าสามารถได้สิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้น ขอให้ตัดสินใจยุติการปล้ำสู้นั้นและก้าวออกมาจากความสงสัยและเชื่อเถิด เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ (ฮีบรู 11:6)

ไม่ว่าท่านมีความจำเป็นในด้านใดบ้าง ขอให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยท่านในความจำเป็นด้านนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สุขภาพ ครอบครัว หรือด้านอื่นๆ ขอให้วางใจพระเจ้าที่ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ว่าจะนำสิ่งดียอดเยี่ยมมาให้แก่ท่าน

เมื่อท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งต่างๆ ขอให้แน่ใจในสิ่งที่ท่านขอ และให้ขออย่างเจาะจง ยิ่งท่านขออย่างเจาะจงและด้วยใจกล้ามากเท่าใด ท่านก็จะอธิษฐานอย่างเกิดผลมากเท่านั้น ขอให้แน่ใจว่าท่านไม่ได้ขอสิ่งที่ไร้สาระหรือไม่เหมาะสม แต่เป็นสิ่งที่ไม่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของท่าน

อย่าสงสัย แต่จงเชื่อ เมื่อท่านปักใจอธิษฐานขอความเชื่อมากขึ้นและเชื่อในสิ่งที่ตามองไม่เห็น พระเจ้าจะทรงทำการอัศจรรย์ในชีวิตของท่าน ผู้เชื่อทุกคนควรใช้ความเชื่อเพื่อเข้าถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้สำหรับเขา ขอให้ขับยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านและยอมให้มันพาไปสู่พระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้า

ยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของท่าน อย่าปล่อยให้ความสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้ามาเป็นอุปสรรคในการสร้างยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่าน และอย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความไม่ความแน่ใจมาเป็นเครื่องกีดขวางบนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ท่านดำเนินกับพระเจ้า พระเจ้าทรงสัจจะเสมอ ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว่ว่า …พระองค์…ทรงเป็นผู้สัตย์ธรรมในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์…(โรม 3:4)

ขอให้จำไว้ว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าไม่เคยนำท่านไปในที่ที่พระคุณของพระเจ้าจะไม่คุ้มครองท่านเป็นอันขาด ขอให้เชื่อมั่นเช่นนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์

29/6/52

ชายแก่ผมยุ่ง

เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งได้ประพันธ์ไว้เพื่อเตือนให้เรารู้ว่าพระเจ้าอาจเรียกใช้เราได้ทุกเมื่อ

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งรอขึ้นเครื่องบินอยู่ที่ทางออกในสนามบิน เธอนั่งรวมอยู่กับคนอื่นๆ ที่จะเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกัน เธอหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาและกำลังจะเปิดออกอ่าน ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกราวกับว่าผู้คนที่นั่งอยู่รอบตัวเธอหันมามองเธอ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกำลังมองไปทางด้าน หลังของเธอ

เธอจึงเหลียวหลังไปดูว่าพวกเขากำลังมองดูอะไร แล้วเธอก็เห็นพนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่งกำลังเข็นเก้าอี้รถเข็น ที่มีชายแก่ผมยุ่งหน้าตาหน้าเกลียดคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอคิดว่าคุณลุงคนนี้เป็นคนที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ผมสีขาวบนหัวของชายแก่คนนี้พันกันยุ่ง ใบหน้าเหี่ยวย่น และดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงสนใจชายแก่คนนี้และคิดตั้งแต่แรกที่เห็นว่าพระเจ้าทรง ต้องการให้เธอเป็นพยานกับเขา แต่ในใจของเธอก็มีเสียงพูดว่า “โอ พระเจ้า ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตรงนี้”

ต่อมาเธอไม่สามารถสลัดชายแก่คนนี้ออกไปจากความคิดของเธอ และทันใดนั้นเองเธอก็รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ทำอะไรกับชายแก่คนนี้ เธอน่าจะช่วยหวีผมให้เขานั่นเอง เธอเดินเข้าไปหาชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงข้างหน้าเขาและพูดว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่ตอบว่า “หนูพูดว่าอะไรนะ” เธอคิดว่า “โอ หูตึงเสียด้วย” เธอจึงพูดดังขึ้นว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “ถ้าจะพูดกับลุง หนูต้องพูดดังๆ หน่อย หูของลุงไม่ดี แทบไม่ยินแล้ว”

ดังนั้น การพูดครั้งที่สามจึงเกือบเป็นเสียงตะโกนด้วยประโยคเดิมว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ทุกคนกำลังใจจดจ่อว่าชายแก่จะตอบว่าอะไร เขามองดูหญิงสาวอย่างงงๆ และพูดว่า “ก็ได้ ถ้าหนูอยากทำจริงๆ” หญิงสาวตอบว่า “แต่หนูไม่มีแปรงผมสักอันเลยค่ะ ถึงอย่างงั้นก็ยังอยากช่วยอยู่ดี” ชายแก่จึงบอกแก่หญิงสาวว่า “ดูในกระเป๋าที่แขวนอยู่สิ มีแปรงผมอยู่อันหนึ่งในนั้น”

เธอจึงหยิบแปรงผมออกจากกระเป๋าและเริ่มแปรงผมให้แก่เขา (เธอมีลูกสาวตัวน้อยไว้ผมยาวคนหนึ่ง เธอจึงมีประสบการณ์ในการแปรงผมที่พันกันยุ่งได้อย่างนุ่มนวล) เธอใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวในการแปรงผมของชายแก่คนนี้ที่พันกันยุ่งจนเรียบ ร้อย

เมื่อเธอแปรงผมเสร็จก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของชายแก่คนนั้น เธอจึงวางมือไว้บนเข่าทั้งสองข้างของชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงต่อหน้า เธอมองตาของเขาและพูดขึ้นว่า “คุณลุงคะ คุณลุงรู้จักพระเยซูไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “รู้จัก สิ เจ้าสาวของลุงบอกว่าถ้าลุงไม่รู้จักพระเยซูก็แต่งงานกับเธอไม่ได้ ลุงจึงเรียนรู้เรื่องราวของพระเยซูและต้อนรับพระองค์นานหลายปีก่อนจะแต่งงาน กับเธอเสียด้วยซ้ำไป”

เขาเล่าต่อว่า “หนูรู้มั้ย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาภรรยาของลุง ลุงมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเสียนาน ลุงต้องรับการผ่าตัดในเมืองนี้ซึ่งไกลจากบ้านของลุงมาก ภรรยาของลุงมากับลุงไม่ได้เพราะร่างกายของเธออ่อนแรงเต็มทีแล้ว ลุงกังวลมากว่าผมของลุงจะไม่เรียบร้อย ลุงไม่อยากให้ภรรยาของลุงเห็นว่าผมของลุงพันกันยุ่ง แต่ลุงจนปัญญาที่จะทำด้วยตัวเอง”

น้ำตาไหลอาบแก้มที่เหี่ยวย่นของชายแก่คนนั้นขณะที่กล่าวคำขอบคุณหญิงสาวที่ช่วย แปรงผมให้ เขาขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวคนนั้นร้องไห้ ผู้คนที่อยู่ตรงบริเวณนั้นก็ร้องไห้ด้วย เมื่อทุกคนกำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน พนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินที่เป็นคนเข็นชายแก่คนนั้นซึ่งก็ร้องไห้ด้วย ถามหญิงสาวว่า “ทำไมคุณทำอย่างนั้นคะ”

นั่นเองที่ประตูแห่งโอกาสสำหรับแบ่งปันความรักของพระเจ้าถูกเปิดออก

เราคงไม่เข้าใจทางของพระเจ้าทุกครั้งไปหรอก เป็นไปไม่ได้ด้วยสติปัญญามนุษย์ แต่ขอให้เตรียมพร้อม พระองค์อาจใช้เราเพื่อสนองตอบความจำเป็นของใครบางคนเมื่อใดก็ได้ ดังที่เห็นได้จากตัวอย่างนี้ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของชายแก่คนหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็สำแดงความรักของพระองค์ให้จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ยังหลง หายอยู่ได้ประจักษ์ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไวต่อเสียงเรียกของพระเจ้าและยอม เป็นเครื่องมือที่สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

ท่านล่ะ พร้อมไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

4/6/52

การเกิดผลฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้าปลูกต้นไม้ไว้หลากหลายพันธุ์ เช้าวันใหม่ของข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกไว้ ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลานั้นเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างของข้าพเจ้า เวลาที่ใช้ในการรดน้ำต้นไม้แต่ละครั้งนานประมาณครึ่งชั่วโมง จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความชื่นชมยินดี การขอบพระคุณ และการทูลขอ บางครั้งข้าพเจ้าก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเท่าที่จำเนื้อเพลงได้ บางคราวก็อธิษฐานทูลขอสำหรับต้นไม้บางต้นที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในการเจริญ เติบโต และหลายโอกาสก็พูดคุยกับต้นไม้ต่างๆ ที่ปลูกไว้ มันเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ให้ทั้งความอิ่มตาและความอิ่มใจ อิ่ม ตาที่ได้เห็นความงามในมวลดอกไม้ที่เป็นพระหัตถกิจชิ้นเอกของพระเจ้า อิ่มใจที่ได้ติดสนิทกับพระผู้สร้างและได้สัมผัสกับความรักที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์


ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นต้องจากบ้านจึงมีห่วงอยู่สองเรื่อง หนึ่ง ต้นไม้ สอง สุนัข แต่ตอนนี้หมดไปหนึ่งห่วงแล้วเพราะเจ้าสุนัขเพื่อนยากที่เป็นส่วนหนึ่งของ ครอบครัวมานานเกือบ 12 ปี ลาจากไปแล้วอย่างกระทันหัน มันป่วยและหัวใจวายไปเฉยๆ ต่อหน้าต่อตาในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล ก็เหลืออยู่ห่วงเดียวคือเหล่าต้นหมากรากไม้นานาพันธุ์นี่แหละ


อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าขณะที่รดน้ำต้นไม้ก็จะอธิษฐานสนทนากับพระเจ้าไปด้วย เหมือนกำลังคุยกับพ่อ ข้าพเจ้าแยกประสาทออกเป็นหลายส่วน ทั้งพูดคุย ทั้งชื่นชมความงามที่พระเจ้าทรงสร้างที่มองเห็นได้จากหลากสีสันของมวลไม้ดอก บางครั้งก็มีผีเสื้อสีสวยเป็นตัวประกอบเพิ่มสีสันให้ด้วย ทั้งขอบพระคุณสำหรับสิ่งทรงสร้างที่งดงามเหล่านี้ วันหนึ่งความแตกต่างของการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ปลูกลงดินกับที่ปลูกใน กระถางก็กระทบใจของข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ต้นไม้ลงดินซึ่งรากสามารถดูดธาตุอาหารในดินได้อย่างเต็มที่ย่อมเติบโตและผลิ ดอกออกผลมากกว่าต้นไม้ในกระถาง หรือต้นไม้ที่กินอาหารไม่อิ่มเพราะมีวัชพืชคอยแย่งอาหารของมัน นี่เองที่ทำให้เกิดมุมมองฝ่ายวิญญาณเรื่องการเติบโตฝ่ายวิญญาณและการเกิดผล ของพระวิญญาณ


การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณคือขบวนการที่ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น เมื่อเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเริ่มขบวนการที่จะทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่ง ขึ้น โดยทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์ (2 เปโตร 1:3-8 อธิบายการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณไว้เป็นอย่างดี ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า ด้วย เห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เราที่จะให้มีชีวิตและมีธรรม โดยรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ เพราะเหตุนี้เองท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยของประทานเหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูคริสต์ของเรา) พระเจ้าทรงต้องการให้เราเติบโตขึ้น ให้รู้ความจริงของพระองค์ทั้งหมด และเล่าความจริงนั้นด้วยใจรักในทุกเรื่อง พระบิดาในสวรรค์ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ ให้มีการแบ่งปันความรักและรับใช้อย่างถ่อมใจ การเติบโตฝ่ายวิญญาณมิได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ การที่เราจะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้นั้นต้องมีการให้คำมั่นสัญญาว่าต้องการที่จะเติบโต ตกลงใจที่จะโต และเพียรพยายามที่จะเจริญเติบโตขึ้น


ต้นไม้เติบโตและผลิดอกออกผลจากธาตุอาหารและน้ำในดินที่หล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะเติบโตได้ก็ต้องมีอาหารไปหล่อเลี้ยงเช่นกัน อาหารฝ่ายวิญญาณก็คือพระคำของพระเจ้า เราจะได้อาหารไปหล่อเลี้ยงก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารฝ่าย วิญญาณของเรา อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายกายฉันใด พระคำของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น การศึกษาพระคำต้องทุ่มเทอย่างหนัก อย่ายอมให้มีสิ่งใดมาทำให้เราได้อาหารฝ่ายวิญญาณไม่เต็มที่ ขุดลึกเข้าไปให้ถึงแก่นแท้แห่งพระคำของพระเจ้าเหมือนดั่งต้นไม้ที่ใช้รากชอนไชหาน้ำและอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เมื่อเรารู้พระคำอย่างแท้จริง เราก็จะได้ทั้งน้ำแห่งชีวิตและอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอนที่สุด หากเราให้อาหารแก่ชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างเต็มที่เต็มขนาด ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราย่อมเติบโตและเกิดผลอย่างแน่นอน


ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย 5: 22-23)


สิธยา คูหาเสน่ห์

6/5/52

โกหกตัวเอง

ท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าอะไรๆ ที่คนหนึ่งบอกว่าดี จริงๆ แล้วไม่ได้ดีจริงอย่างที่พูด อย่างเช่น “ฉันจริงใจจริงๆ นะ” “ฉันเป็นคนใจถ่อม” “ฉันเป็นคนซื่อตรง” “ฉันมีความสุขมากๆ” และอีกสารพัดสิ่งดีๆ
แท้จริงคงรู้ตัวว่าไม่เป็นจริงดังที่พูดจึงพยายามย้ำกับตัวเองและคนอื่นๆ (จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง…สุภาษิต 27:2)

มันน่าแปลกที่พบว่าการโกหกตัวเองและการไม่ยอมรับความจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่เป็นเพียงการหลีกหนีความจริงที่เจ็บปวดเท่านั้นเอง

เราอาจโกหกตัวเองด้วยจิตใต้สำนึกของเรา เพราะสภาพความเป็นจริงนั้นทำให้เรากลัว วิตก กังวล เครียด เจ็บปวด เราโกหกเพราะเราอยากได้ยินสิ่งที่อยากได้ยิน เป็นการปฏิเสธความจริงที่น่าเจ็บปวด การล่อลวงใจให้โกหกมันน่าลิ้มลองจนยากต่อการปฏิเสธ จนในที่สุดเราก็ตกลงในหลุมพรางของมันและนับวันจะยิ่งถลำลึกลงๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น เรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่การเลี่ยงการรับมือกับมันในภายหลังไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือหมดปัญหาไปเลย แต่กลับทำให้เลวร้ายมากขึ้นต่างหาก

ทุกครั้งที่เราโกหกตัวเองเท่ากับเรายอมให้ความกลัวเข้าครอบงำ ถ้าเราทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ การโกหกของเราก็จะกลายเป็นนิสัย และไม่ช้าไม่นานความซื่อสัตย์ของเราก็จะค่อยๆ ลดลงจนถึงกับหมดไปทั้งหมด นอกจากนั้นการไม่ยอมรับมือกับความเป็นจริงก็จะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ อย่างที่เรารู้กันผลก็คือเหตุการณ์จะเลวร้ายเกินเยียวยา

ทำไมเราโกหกตัวเอง ทำไมเรายอมให้ตัวเองเป็นทั้งผู้หลอกลวงและเหยื่อของการหลอกลวง มันเป็นไปได้หรือที่เราจะหลอกแม้กระทั่งตัวเอง

เราอาจไม่รู้ว่าเราโกหกตัวเองไว้มากแค่ไหน การไม่ยอมรับความจริงนั้นทำได้ง่ายเพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเราโกหก เวลาโกหกตัวเอง เราไม่ได้พูดออกมาดังๆ และเราก็ไม่ต้องรายงานตัวต่อใครทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงทำได้ง่ายๆ (เราจึงโกหกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น)

เราโกหกตัวเองก็คือเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด โดยปกติเป็นการปกป้องการเคารพตนเอง มีความคิดบางอย่างที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเรา ด้วยเหตุนั้นเราจึงไม่คิดมันให้รกสมอง เราก็ได้แต่หวังว่าไม่นานนักความเป็นจริงก็จะเปลี่ยนไปและคำโกหกก็จะหมดความหมายไปเอง ตัวอย่างเช่น เราอาจไม่ยอมรับว่าเราหดหู่ใจ ปลอบใจตัวเองว่าแล้วมันก็จะหายไปเองน่ะแหละ เราบอกตัวเองอย่างนั้น เราให้เหตุผลว่าถ้ามันหายไปจริงๆ คำโกหกของเราก็จะไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป และเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะรับมือกับความจริงที่เจ็บปวดได้ อย่างไรก็ดี มันไม่เคยเป็นความคิดที่ดีเลยสักนิดที่จะยอมทิ้งความซื่อสัตย์ และก็ไม่เคยเป็นมุมมองที่ถูกต้องเช่นกันที่จะปฏิเสธความจริง การโกหกผู้อื่นทำให้พวกเขาสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเราอย่างไร การโกหกตัวเองก็ประนีประนอมความเชื่อถือของเราเองอย่างนั้น เราจะไม่สามารถเข้าใจตัวเองและไม่อาจแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง

การโกหกตัวเองยังเกี่ยวโยงกับความรู้สึกผิดและการปกปิดความผิดอีกด้วย เหตุผลง่ายๆ คือเราไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นคนผิด การโกหกทำให้เราหลุดพ้นจากการถูกมองแบบนั้น เรายังปลอบใจตัวเองอีกว่าเราไม่ได้โยนความผิดให้ใครนะ เราไม่ได้พูดว่าคนนี้คนโน้นผิด คนคิดกันไปเองต่างหาก ที่โกหกก็เพื่อปกป้องตัวเองจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่โดยมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่จริง

เมื่อเรากล้าพอที่จะหยุดโกหกตัวเองและยอมรับความผิด ความบาป และปัญหาต่างๆ เราก็จะเป็นอิสระจากคำลวงที่พันธนาการเราอยู่ และมิใช่เพื่อทำให้ตัวเองตกต่ำลง แต่เป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากกับดักของการไม่ยอมรับความจริงที่ขุดหลุมพรางไว้ล่อให้ตกลงไปต่างหาก และเติบโตขึ้นเสียทีในความรักและพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะพบว่าความจริงใจและการยอมรับความจริงจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นอย่างประหลาดทั้งกับพระเจ้าและกับคนอื่นๆ เมื่อเราโกหก เราซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากาก (ตัวตนที่เราสร้างขึ้นใหม่) แต่หน้ากากสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงของเราเท่านั้นที่ทำได้ และพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เราซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเองและกับพระองค์ มันเป็นทางเดียวที่จะมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์

ถึงเวลาที่เราจะถอดหน้ากากออกหรือยัง หยุดคิดสักนิดว่าอะไรคือสาเหตุของสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วหาทางรับมือกับมันทันที และหลีกเลี่ยงที่จะยอมให้มีการคาดเดา การปฏิเสธความจริง การหลอกลวง หรือการข่มควมรู้สึก เราคงทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเราเอง อย่าทิ้งพระเจ้าไว้ที่ไหนสักแห่ง ร้องทูลต่อพระองค์สิ ร้องขอให้พระองค์ทรงช่วยกู้เราจากวังวนแห่งคำลวง ร้องทูลสิว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา จากลิ้นที่หลอกลวง” (สดุดี 120:2) และระลึกถึงและเชื่อในสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์ในฟิลิปปี 4:13 ว่า ข้าพเจ้า (ฉัน) ผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์ในวันนี้ ขอทรงเสริมกำลังข้าพระองค์ให้ผจญทุกสิ่งได้ และขอทรงนำข้าพระองค์ให้เดินในทางที่ถูกและทำในสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ เอเมน


สิธยา คูหาเสน่ห์

2/4/52

‘คนนั้น’

ปัจจุบันชนชั้นที่ทำงานรับจ้างไม่ว่าจะในระดับใดก็ตามเผชิญความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ การเป็น ‘คนนั้น’

เช้าวันหนึ่งเมื่อไปถึงที่ทำงาน ชายคนหนึ่งก็ได้เป็น ‘คนนั้น’ เจ้าของกิจการบอกกับพนักงานทั้งหมดว่าเขาจำเป็นต้องปลดคนงานออกห้าคนเนื่องจากธุรกิจถดถอยซบเซาลงมาก ข่าวนี้ทำให้ชายคนนี้ (ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนที่ต้องถูกปลดจากงานนั่นแหละ) ถึงกับช๊อกทีเดียว เพราะเขากลายเป็นคนว่างงานไปอย่างกระทันหัน เขาคิดทันทีว่าต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อความอยู่รอด แต่ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เขาหวังไว้แทบจะเป็นไปไม่ได้

ข้าพเจ้าคิดว่าอาการผวาที่จะเป็น ‘คนนั้น’ คงจะหลอกหลอนความรู้สึกของคนทำงานไม่น้อย แต่สำหรับผู้เชื่อแล้ว เราต้องวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะตอบสนองความจำเป็นของเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์ แต่ถ้าใครจะบอกว่าไม่มีความกังวลเลยก็คงจะไม่ได้พูดความจริง เราต้องเชื่อวางใจพระเจ้า แต่ในยามอับจนหนทางก็อาจจะมองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ วิธีเพิ่มความเชื่อทางเดียวที่แน่ๆ คือการถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าสำหรับความจริงที่ว่า “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์…โรม 8:28” เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเรา และละความกระวนกระวายไว้กับพระองค์ (1 เปโตร 5:7)
นอกจากนั้นข้อพระวจนะในมัทธิว 6:33-34 ที่กล่าวว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” ยังพอเป็นแสงที่ส่องสว่างให้แก่เราได้ในวันที่ดูเหมือนมืดมิดและมีการปล้ำสู้เกิดขึ้น ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แล้วความกระวนกระวายใจก็จะหมดไป พระองค์ทรงรู้ความจำเป็นของเราทั้งหลายก่อนที่เราจะทูลขอจากพระองค์เสียอีก เมื่อเราวางใจพระเจ้า ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจของเราก็จะน้อยลง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็มีโอกาสรับรู้บรรยากาศที่ตึงเครียดดังกล่าวจากลูกทั้งสามคน ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีคนจากที่ทำงานของลูกต้องกลายเป็นคน ‘คนนั้น’ มันมีความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คืออธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะบอกลูกๆ ให้อธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปแล้วนั้นด้วย

สำหรับคนหนุ่มสาวที่จะต้องหางานทำใหม่ยังพอมีแสงเรืองรองอยู่บ้าง แต่สำหรับชายคนนั้นที่ต้องเล่นบทบาท ‘คนนั้น’ อย่างไม่เต็มใจดูเหมือนจะริบหรี่เต็มทน เขาอายุ 62 ปีแล้ว แต่เขาเป็นผู้เชื่อที่วางใจพระเจ้า ดังนั้น เขาจะไม่สิ้นหวังเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเขา และรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

เพื่อนร่วมงานหลายคนของลูกสาวคนเล็กที่ทำงานอยู่ในองค์กรหนึ่งในสหรัฐอเมริกาถูกยัดเยียดบทบาท ‘คนนั้น’ ให้อย่างตั้งตัวไม่ติด ระลอกแรกลูกสาวบอกข้าพเจ้าว่าอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สัมผัสมือกับคนที่ต้องเดินจากไปแบบงงๆ เศร้าลึกๆ แต่ไม่กลัว หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายระลอกตามมา การถูกปลดจากงานในประเทศนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจเจอะเจอได้เป็นเรื่องธรรมดา วันหนึ่งมีคนถามลูกสาวและเพื่อนอีกสองคนว่า “ทำงานแถวดาวน์ทาวน์กันเหรอ เอ๊ะ ยังมีงานทำกันอยู่เหรอนี่” มันไม่ใช่การแดกดัน แต่เป็นความประหลาดใจมากกว่า เพราะย่านนั้นมีการปลดคนงานออกจำนวนมาก

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกวันนี้หลายคนคงใช้เวลามากขึ้นในการคุกเข่าอธิษฐาน คำอธิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการทูลขอพระเจ้าว่าอย่าให้ต้องตกงานเลย นั่นเป็นการทูลของมนุษย์ (แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ …สุภาษิต 16:1ก) แต่พระเจ้าทรงมีคำตอบของพระองค์ (แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า … สุภาษิต 16:1ข) พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า … เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า (เยเรมีย์ 29:11, 13)

เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า “ฉันแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของฉันหรือยัง” ฉันเชื่ออย่างนี้หรือไม่ว่า “สิ่งสารพัดซึ่งฉันอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ฉันจะได้” (มัทธิว 21:22) “ฉันวางใจพระเจ้าแค่ไหน”
ให้เราอธิษฐานให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระทัยของพระองค์มิใช่ตามความปรารถนาของเรากันเถอะ
ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อ ‘คนนั้น’ ทุกคน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/3/52

เสียงหนึ่งที่ได้ยิน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่บอกว่าฉันเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เป็น ประกาศพระคำก็ไม่ได้ เมื่อมองดูพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีของประทานแล้ว ยิ่งเห็นว่าตัวเองใช้การไม่ได้จริงๆ

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตอกย้ำว่าฉันไม่ดีพอสำหรับพระเจ้าหรอก เสียงนั้นพูดซ้ำๆ ถึงความผิดต่างๆ ที่ฉันได้ทำ ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่จริง ความรู้สึกไร้ค่าติดตามฉันไปเมื่อฉันอธิษฐาน และทำให้ฉันแสงหาพระพักตร์ของพระเจ้ายากจริงๆ มันทำให้ฉันไม่สามารถสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตัดสินว่าฉันถูกลงโทษสำหรับทุกสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียนที่สมควรกับพระบุตรของพระเจ้า ฉันถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ฉันมองไม่เห็นแสงสว่างของพระเจ้าเพราะความรู้สึกที่ท่วมท้นเป็นเหมือนเมฆดำที่บดบังแสงนั้นจนมิด

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่เย้ยหยันว่าฉันจะพยายามต่อไปทำไมกันเล่า ก็พยายามมาอย่างหนักแล้วนี่นา มันก็ยังผิดอยู่ดี ไม่มีใครเข้าใจหรือซาบซึ้งกับสิ่งที่ฉันทำสักนิด แม้แต่คนที่เรียกกันว่า ‘คริสเตียน’ ยังไม่ยอมรับเลย

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่พูดกับฉันชัดๆ ว่า ‘ลูกเอ๋ย จงฟังเรา พระบุตรของเราได้แบกรับบาปทั้งหมดของเจ้าไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังยอมตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเจ้า บัดนี้ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเจ้าเป็นลูกของเราแล้ว เจ้าสวมความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า’

‘เสียงกระซิบที่ตอกย้ำความผิดนั้นมาจากซาตานซึ่งจะคอยช่วงชิงสันติสุขไปจากเจ้า แต่เจ้าอย่าฟัง เพราะโดยพระคุณของเรา เจ้าจะถูกปลดปล่อย คำโกหก คำลวง คำเย้ยหยันของซาตานเป็นลูกดอกเพลิงที่มันยิงออกมา’

‘แต่เมื่อเจ้าใช้ความเชื่อเป็นโล่ เปลวเพลิงก็จะมอดดับลง พระบุตรของเรามีชัยชนะเหนือซาตาน มันหมดสิทธิอำนาจแล้ว เพราะพระเยซูทรงบดขยี้หัวของมันจนแหลกเมื่อชีวิตของเจ้าถูกซื้อไว้แล้วสำหรับเรา’

‘ซาตานอาจกล่าวโทษเจ้า แต่เราจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะแม้ขณะที่เราทำให้เจ้ารู้สำนึกความผิดบาป เราก็ยังรักเจ้าเช่นเดิม ซาตานจะทำให้เจ้าขาดความมั่นใจ หมดความชื่นบาน และไม่มีสันติสุขในเรา แต่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้ายอมให้มันมีอำนาจเหนือเจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะ ลูกเอ๋ย ฤทธิ์อำนาจและสิทธิอำนาจของพระบุตรอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ขอให้จดจำคำสัญญาต่างๆ ของเราให้ดี และยืนหยัดมั่นคงเพื่อเรา และโดยฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตที่หลั่งบนกางเขน เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะ แต่เจ้าต้องปิดหูไม่ฟังเสียงของซาตาน แต่ฟังเสียงของเรา’


ท่านล่ะ …

ท่านเป็นคนหนึ่งที่เปิดหูได้ยินเสียงที่ตอกย้ำนั่นหรือเปล่า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าตลอดชีวิตการเป็นคริสเตียนที่ดำเนินกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคงเคยได้ยินเสียงกระซิบนั่นเป็นบางครั้งบางคราว ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อเสียงนั้นแว่วเข้าหูและดังก้องในใจ เราเชื่อตามนั้นหรือเปล่า

ท่านได้ยินเสียงกระซิบที่ตอกย้ำ กล่าวโทษ เย้ยหยันเสียงเดียวเท่านั้นหรือ แล้วอีกเสียงที่พูดชัดๆ ล่ะ เคยได้ยินบ้างไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/2/52

ความงามที่สัมผัสได้

มีคำกล่าวว่าความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง แต่ละคนย่อมเห็นแตกต่างกันไป สิ่งที่คนหนึ่งเห็นว่างาม อีกคนหนึ่งอาจเห็นว่าไม่ใช่ ที่พูดถึงนี้คือความงามที่มองเห็นเป็นรูปธรรมด้วยตา แต่ความงามมิได้เห็นได้ด้วยตาอย่างเดียว ความงามยังมีอีกมิติหนึ่งที่สัมผัสได้ด้วย

หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งผิดหวังกับชีวิตที่ไม่ได้ดำเนินไปตามที่คาดหวังไว้นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เธออยากอยู่ตามลำพังเพราะไม่พร้อมที่จะพบปะผู้คน แต่ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่เธอด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเล่นสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนั้นยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนั้นและพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ดูสิครับว่าผมพบอะไร”

ในมือของเด็กน้อยมีดอกไม้เหี่ยวดอกหนึ่ง หญิงสาวอยากให้เด็กชายคนั้นไปเสีย แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป แทนที่เด็กชายคนนั้นจะเดินจากไปกลับนั่งลงข้างๆ เธอและยกดอกไม้ขึ้นดมและพูดว่า “หอมจังครับ และสวยด้วย ผมจึงเก็บมันมาไงครับ และผมขอมอบให้คุณครับ”

แต่ดอกไม้ที่เห็นตรงหน้าไม่สวยงามอย่างที่ว่า มันเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา ไร้สีสรร แต่เธอรู้ว่าต้องรับมันไว้ หาไม่แล้วเด็กชายคนนั้นจะไม่ยอมจากไปแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงยื่นมือเพื่อรับดอกไม้และพูดว่า “ฉันกำลังอยากได้อยู่พอดี” แต่แทนที่เด็กชายจะวางดอกไม้ไว้บนมือของเธอ เขากลับชูมันขึ้นกลางอากาศ นั่นเองที่ทำให้เธอรู้ว่าเด็กชายคนนั้นตาบอด เธอได้ยินเสียงตัวเองพูดกับเด็กน้อยอย่างสั่นเครือและน้ำตาไหลอาบแก้มว่า “ขอบใจมากจ้ะสำหรับดอกไม้ที่สวยที่สุดดอกนี้” เด็กชายยิ้มและพูดว่า “ยินดีครับ” แล้วก็วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนี้ได้สร้างผลกระทบค่อนข้างมากไว้กับหญิงสาวคนนั้น

หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ที่นั่นต่อและสงสัยว่าเด็กชายตาบอดคนนั้นเห็นได้อย่างไรว่ามีหญิงสาวใจห่อเหี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นและต้องการให้ใครสักคนมาปลอบใจ บางทีเขาอาจมองเห็นด้วยใจ ในที่สุดเธอก็มองเห็นปัญหาของเธอผ่านเด็กชายตาบอดคนหนึ่งว่าเธอเองนั่นเองที่เป็นตัวปัญหา และตลอดเวลาที่ผ่านมาตาของเธอก็มืดบอดสนิท จนกระทั่งเวลานี้ที่เธอได้สติและตั้งใจว่าต่อไปจะมองความงามที่อยู่รอบตัวและเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่ผ่านไป เธอยกดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นขึ้นดมและสูดกลิ่นหอมของมัน ในความนึกคิดของเธอได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบงาม และยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายคนนั้นกำลังจะทำให้ชีวิตของชายแก่คนหนึ่งเปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่เธอได้รับ

ความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง ท่านคงเห็นด้วยและเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ กี่ครั้งที่เรามองไม่เห็นความงามของสิ่งทรงสร้างที่อยู่รอบตัวเราทั้งๆ ที่ตามองเห็น กี่หนที่เราปล่อยให้ความทุกข์ขโมยความชื่นชมยินดีของเราไป

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายมองให้เห็นพระพรในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน อยากให้ท่านเห็นความงามของสิ่งทรงสร้างด้วยประสาทสัมผัสเหมือนอย่างที่เด็กชายตาบอดตัวน้อยนั้น แม้ว่าตาของเขาจะบอดมองไม่เห็น แต่เขาสามารถเห็นความงามด้วยมิติที่ลึกเกินว่าที่คนตาดีจะเข้าใจได้ เมื่อมีปัญหารุมเร้า อย่ามัวไปครุ่นคิดถึงแต่ตัวปัญหา แต่ให้หันมามองตัวเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วคงจะย้อนเวลากลับไปแก้มันไม่ได้ แต่ที่อาจทำได้คือแก้ไขตัวเอง เชื่อพึ่งพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ แล้วท่านจะเห็นทางออก

สิธยา คูหาเสน่ห์