อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน ลูกา 6:37
ลองคิดดูสิว่ามีใครบ้างไหมที่ท่านจำเป็นต้องยกโทษให้
ท่าน ยังไม่ได้ยกโทษให้ใครบางคนหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นชีวิตของท่านจึงไม่มีความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยม ถ้าเช่นนั้น ทำไมไม่ให้พระเจ้าปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความทุกข์ยากนั้นเล่า ทูลขอให้พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่านสิ
การ ให้อภัยทรงอานุภาพ เมื่อท่านเลือกที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่าน อะไรๆ ที่ถ่วงท่านอยู่ก็ถูกปลดเปลื้อง ความโกรธแค้น ความขุ่นข้องหมองใจ และความกลัวก็จะถูกยกออกไปจากใจด้วยความรักของพระเจ้า
การ ให้อภัยคือการปลดปล่อย การปล่อยวาง เป็นการให้อิสรภาพและการได้รับพระพรจากพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกหรือแม้กระทั่งความเชื่อวางใจ การให้อภัยก็คือการตัดสินใจที่จะปล่อยวางความทุกข์ในใจและมุมมองเรื่องความ ยุติธรรมของเราเองเท่านั้น
ท่าน จะให้วันนี้ของท่านเป็นวันดีที่จะรักใครสักคนไหมล่ะ ความรักนั้นจะสำแดงออกโดยการตกลงปลงใจที่จะให้อภัยและยกโทษคนๆ นั้นโดยไม่หวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง สำนึกผิด กลับใจ สารภาพผิด หรือ กล่าวคำขอบคุณ นี่แหละเป็นความรักที่เราทั้งหลายเห็นประจักษ์แล้วบนกางเขน มันเป็นความรักในแบบของพระเจ้า ความรักของท่านเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
ความรักพูดว่า “ฉันให้อภัยเธอแล้ว ฉันยกโทษให้”
ความ รักสำแดงตัวมันเองด้วยการให้อภัยคนที่ทำผิดก่อนที่คนนั้นจะยอมรับว่าทำผิด บาปโดยไม่คาดหวังว่าคนๆ นั้นจะกลับใจ ยอห์นเข้าใจถ่องแท้ความรักแบบนี้เมื่อกล่าวว่า “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)
การให้อภัยหรือการยกโทษให้คนอื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ การ ให้อภัยหรือการยกโทษให้แก่กันเป็นการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก การปล้ำสู้ในใจ เมื่อทำได้จะเป็นอิสระจากอารมณ์ด้านมืดที่เป็นเชิงทำลาย หากไม่ให้อภัยกัน คนที่แบกความเกลียดชังไว้ก็ยังคงแหวกว่ายร่ำไปอยู่ในทะเลแห่งความขมขื่น ความปวดร้าวใจ ความโกรธ
ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างให้ฟังสักหน่อยว่าหากท่านยังถือโทษโกรธพี่น้องที่ทำผิดต่อเรา ผลจะเป็นอย่างไร
ครู คนหนึ่งสอนเด็กนักเรียนของเธอให้รู้จักการให้อภัยด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทุกคนนำถุงมาใบหนึ่ง และให้นักเรียนแต่ละคนเขียนชื่อคนที่ทำผิดหรือคนที่เขาเกลียดบนมันฝรั่งแล้ว ใส่ไว้ในถุง แน่นอนที่แต่ละคนย่อมมีมันฝรั่งไม่เท่ากัน และครูให้ทุกคนหิ้วถุงมันฝรั่งใบนั้นไปทุกที่ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อไปห้อง น้ำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่นานก็เริ่มมีเสียงบ่นเพราะมันฝรั่งเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็น ยิ่งกว่านั้นสำหรับบางคนที่มีมันฝรั่งมากก็ต้องหิ้วถุงที่หนักกว่าของคนอื่น
เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ครูก็ถามเด็กนักเรียนทุกคนว่า “รู้สึกยังไงบ้างคะที่ต้องหิ้วถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและเหม็นไปไหนมาไหนตลอดเวลานานหนึ่งสัปดาห์”
ทุกคนก็โอดครวญว่ามันทั้งหนักและเหม็น เมื่อถึงตอนนี้ครูก็อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมครูจึงให้นักเรียนทำเช่นนี้ ครูพูดว่า “การหิ้วถุงมันฝรั่งก็เหมือนกับการเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ ความ เกลียดชังที่เก็บไว้ในใจจะทำให้ใจไม่บริสุทธิ์และมันจะเป็นน้ำหนักที่ถ่วง เราอยู่ตลอดเวลา ถ้านักเรียนทนกลิ่นเหม็นของมันฝรั่งไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว ก็ลองคิดดูสิว่าใจของเราจะเป็นมลทินมากเพียงใดที่มีทั้งสิ่งที่เน่าเหม็นน่า สะอิดสะเอียนเต็มไปหมดมาโดยตลอด”
สิ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็คือให้ปล่อยวางสิ่งที่ถ่วงเราอยู่ สิ่งที่เป็นตัวขวางกั้นพระพรจากพระเจ้า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ข้าพเจ้า เชื่อว่าท่านทำได้ การให้อภัยเป็นท่าที่ที่ถูกต้องที่ควรจะมี เรียนรู้ที่รักคนที่ไม่น่ารักหรือคนที่เราไม่ชอบ จะแบกถุงหนักๆ ไว้ทำไม วางมันลง มิดีกว่าหรือ
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น