เพิ่งจะผ่านเทศกาลการมอบของขวัญมาหมาดๆ
แต่เราเคยคิดบ้างไหมว่าการมอบของขวัญให้ใครสักคนจำเป็นต้องรอให้ถึงเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งด้วยหรือ
ทำไมเราไม่ทำให้ทุกวันเป็นโอกาสแห่งการให้เพราะของขวัญบางอย่างไม่ต้องซื้อหาด้วยเงิน
มันเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นให้ง่ายๆ
สิ่งที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งมีมาก
สิ่งที่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ
สิ่งที่สามารถให้ได้ทุกวันไม่ต้องรอโอกาสหรือเทศกาลใดๆ
มาดูกันสักหน่อยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้มีอะไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น
1)
การฟัง
เมื่อมีใครสักคนพูดกับเรา
เราต้องตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ
อย่าคิดเพ้อฝัน อย่าวางแผนการตอบโต้
แค่ฟังเท่านั้น
แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับบางคน
ข้าพเจ้าพบเจอคนที่ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นบ่อยครั้ง
เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็พูดแทรก
และมักจะพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
เป็นเรื่องที่อยู่นอกประเด็นการสนทนา
กล่าวขึ้นมาโดยไม่มีการถาม
เท่าที่สังเกตเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องการจะป่าวประกาศให้คนรู้
ขอพี่น้องอย่าทำเช่นนี้เลย
มันไม่น่ารักเอาเสียเลย
ให้เราฟังอย่างตั้งใจสักหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครคนนั้นกำลังมีปัญหาต้องการคำปรึกษา
ของขวัญชิ้นนี้ไม่ต้องหาซื้อด้วยเงินทอง
เพียงแค่ใส่ใจฟังเท่านั้น
2)
ความรักใคร่ฉันมิตร
ที่แสดงออกด้วยท่าทีที่เหมาะสมในบริบททางสังคมวัฒนธรรม
เพราะการแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น
สร้างความอบอุ่นให้แก่กัน
เป็นของขวัญที่ยิ่งให้มากเท่าไรก็ยิ่งได้รับกลับมามากเท่านั้น
และอาจมากกว่าที่ให้ออกไปด้วยซ้ำไป
ข้าพเจ้าเป็นคนมีเพื่อนน้อย
แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามีความรักฉันมิตรเหลือเฟือที่จะแจกจ่ายออกไปอย่างแน่นอน
3)
เสียงหัวเราะ
ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเรื่องขำขัน
เรื่องเปิ่นๆ ที่ทำไป
ความโง่เขลาเบาปัญญาในบางเรื่อง
ให้เสียงหัวเราะของเราพูดว่า
“ให้เรามาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุขเถอะ”
มีคำพูดกล่าวไว้ว่า
เสียงหัวเราะคือยาวิเศษ
บางคนพูดว่าเสียงหัวเราะเหมือนเสียงสวรรค์
ให้เรามอบเสียงหัวเราะแก่กันเถอะ
4)
โน้ตสั้นๆ
ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อขอบคุณ
ถามไถ่ทุกข์สุข บอกคิดถึง
บอกรัก เป็นต้น
เพราะการเขียนด้วยลายมือทำให้ผู้รับรู้สึกอบอุ่นใจ
เป็นความรู้สึกดีๆ
ที่จะถูกจดจำไปชั่วชีวิต
ให้เราหาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ
เขียนโน้ตสั้นๆ
ให้แก่ใครสักคนในยุคแห่งเทคโนโลยีกันสักหน่อย
ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเขียนหนังสือด้วยลายมือมานานเกินสิบปี
เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าใช้คอมพิวเตอร์เสียเป็นส่วนใหญ่
ข้าพเจ้าต้องซ้อมทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องเซ็นชื่อ
ให้เราพยายามหาโอกาสเขียนอะไรๆ
ด้วยลายมือกันเถอะ
5)
คำชม
การกล่าวคำชมสั้นๆ
ด้วยความจริงใจสามารถนำความสุขมาให้แก่ผู้ฟังได้
(ข้าพเจ้าขอย้ำว่า
จริงใจ)
เพราะการกล่าวตามมารยาทไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง
ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้
ถ้าจะกล่าวโดยไม่มีความจริงใจก็เฉยๆ
เสียยังจะดีกว่า ข้าพเจ้าก็พบเห็นบ่อยๆ
ได้ยินคำชมที่ปราศจากความจริงใจอยู่เสมอ
ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ฟังและรับรู้ได้ว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ
ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพอยู่ดี
แต่ถ้าสามารถรับรู้ว่ากล่าวด้วยความจริงใจก็คงไม่ได้กล่าวอะไรมากกว่าไปคำขอบคุณ
แต่แน่ใจได้เลยว่าถ้าท่านได้ยินคำชมจากปากของข้าพเจ้า
คำชมนั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง
6)
ความช่วยเหลือเล็กๆ
น้อยๆ เท่าที่โอกาสอำนวย
ให้เราหาโอกาสที่จะทำความดีในแต่ละวันด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆ
น้อยๆ แก่คนรอบข้าง
แก่สังคมเท่าที่จะพอทำได้
ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสำหรับเราทุกคน
7)
ความสันโดษ
เราควรที่จะไวต่อความรู้สึกของคนอื่นสักนิดว่าในบางครั้งเขาอาจต้องการที่จะอยู่ตามลำพังบ้าง
ปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองเพื่อใช้ความคิดใคร่ครวญบางเรื่องได้อย่างอิสระ
อย่าคิดเอาเองว่าเขาต้องการความช่วยเหลือของเรา
เพราะความช่วยเหลือที่ให้โดยที่ไม่มีการร้องขอย่อมให้โทษมากกว่าคุณ
8)
คำพูดดีๆ
ไม่ใช่เรื่องยากเกินทำที่จะพูดกันด้วยคำพูดดีๆ
คำพูดไพเราะเสนาะหู
ทุกวันนี้เราได้ยินเสียงด่าทอ
การพูดเสียดสี การประชดประชัน
การให้ร้าย คำโกหก
เราคงอยากได้ยินคำพูดดีๆ
กันบ้าง
อย่าให้ปากที่เรากล่าวสรรเสริญพระเจ้ากล่าวคำด่าออกมาด้วย
ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ง่ายนักที่จะทำในโลกที่ดูเหมือนจะชั่วร้ายลงเรื่อยๆ
แต่เราเป็นชาวสวรรค์
อย่าให้เราปฏิบัติเหมือนอย่างคนในโลกนี้
ให้เรามาหัดพูดภาษาสวรรค์ก่อนเถอะ
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่ท่านสามารถทำได้ เป็นของขวัญจากใจที่สามารถมอบให้แก่ทุกคน ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้มอบสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นของขวัญจากใจแด่ทุกคน และเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ทุกคนแทนคำขอโทษที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ขอขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่
คงยังไม่สายเกินไปที่จะพูดว่า
“สวัสดีปีใหม่ 2557”
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น