8/2/57

การยึดติด-การปล่อยวาง

ข้าพเจ้าคิดว่าการปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดติดมานานแล้วสำหรับบางคนเป็นเรื่องยากมาก การปล่อยวางเป็นกระบวนการของการเรียนรู้อย่างหนึ่งซึ่งต้องอาศัยทั้งความตั้งใจและความตระหนักรู้ เราต้องเรียนรู้ที่จะถอยหลังมาและมองดูสิ่งที่เรายึดติดหรือกุมไว้ไม่ยอมปล่อย การถอยหลังออกมาจากสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรามองอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ถ้าเรายอมที่จะปล่อยวางสิ่งที่นำความเจ็บปวดมาให้จะช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น แต่แทนที่เราจะปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เราเครียด เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน เรากลับยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เรากอดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มีคนกล่าวไว้อย่างนี้ว่า “ถ้าเราปล่อยวางเพียงเล็กน้อย เราก็จะมีสันติสุขเพียงเล็กน้อย หากเราปล่อยวางมาก เราจะมีสันติสุขมาก” ข้าพเจ้าเห็นอย่างยิ่งด้วยกับคำกล่าวนี้
ท่านล่ะ เห็นด้วยหรือไม่
ท่านล่ะ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พร้อมที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่กุมไว้หรือยัง

บางทีที่เราไม่ยอมปล่อยวางเพราะการยึดติดให้ความรู้สึกแห่งอัตลักษณ์ เราหวนนึกถึงความผิดพลาดในอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความอับอายและความทุกข์ระทมใจและยอมให้ความรู้สึกนั้นเป็นตัวกำหนดการกระทำของเราในปัจจุบัน หรือพูดง่ายๆ ว่า ยอมให้อดีตกำหนดปัจจุบัน เราปล่อยให้ตัวเองกังวลเกี่ยวกับอนาคต เราทำให้ตัวเองเครียดและในที่สุดก็นำไปสู่ปัญหามากมายหลายด้าน

เรามักจะยึดสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตติดตัวอยู่ตลอดเวลา ให้สิ่งเหล่านั้นมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา เรายอมให้มันโลดแล่นอยู่ในหัวของเราเหมือนเปิดเทปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจดจำสิ่งต่างๆ ในอดีตทั้งที่ดีและไม่ดี ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน การยึดติดกับอดีตทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ยอมรับการท้าทายใหม่ๆ แม้ว่าการยอมรับสิ่งใหม่จะนำเราไปสู่ชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้าก็ตาม ในที่สุดเราก็ยอมที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล

ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง บางทีท่านอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ฟังอีกสักครั้งคงไม่เป็นไร

เรื่องเล่าว่าในอินเดียมีชายคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อมาจับลิงเอาไปขายให้แก่สวนสัตว์ แต่ลิงฉลาดเกินกว่าที่จะตกเป็นเหยื่อ มีเด็กชายคนหนึ่งยิ้มเยาะในความพยายามที่ล้มเหลวของชายคนนี้

ชายคนนั้นพูดกับเด็กคนนั้นว่า “ถ้าเจ้าสามารถจับลิงให้สักตัว ฉันจะให้เงินเจ้า” (เงินที่เสนอให้ค่อนข้างสูงทีเดียว)

เด็กชายกลับบ้านและเอาหม้อดินคอคอดมาใบหนึ่ง แล้วเอาถั่วใส่ลงไป 2-3 เม็ด เอาหม้อผูกไว้กับต้นไม้และบอกชายคนนั้นว่า “เราน่าจะจับลิงได้สักตัวในไม่ช้า ให้เราไปรอในหมู่บ้านกันเถอะ ลิงจะส่งเสียงบอกเราเองเมื่อมันติดกับที่เราวางไว้”

สักพักฝูงลิงก็พบหม้อดินที่มีถั่วอยู่ข้างใน ลิงตัวหนึ่งล้วงมือลงไปหยิบถั่ว แต่มันชักมือออกมาไม่ได้เพราะกำถั่วไว้ ลิงตกใจกลัวลนลานและเริ่มส่งเสียงร้องดังลั่น ลิงตัวอื่นกรูกันเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่อาจช่วยได้

เด็กชายและชายคนนั้นได้ยินเสียงลิงร้องจึงหยิบกระสอบมาเพื่อจับลิง เมื่อเข้าใกล้ฝูงลิงก็วิ่งหนีกระเจิงไปทิ้งตัวที่ติดอยู่ไว้ตามลำพัง เด็กชายก็เข้าไปจับลิงได้โดยง่ายดาย ชายคนนั้นจึงถามเคล็ดลับจากเด็กชายว่า “ทำไมลิงล้วงมือลงไปในหม้อได้อย่างง่ายดายแต่ดึงมือออกมาไม่ได้”

เด็กชายหัวเราะและบอกว่า “ลิงดึงมือออกมาได้ไม่ยากหรอกถ้ามันยอมปล่อยถั่วที่กำไว้ แต่มันเสียดายถั่ว ไม่ยอมปล่อย มันจึงดึงมือออกมาไม่ได้”

เราได้บทเรียนจากเรื่องเล่านี้ คนเรายอมตกเป็นเหยื่อด้วยการยึดติดกับสิ่งต่างๆ ที่จริงๆ แล้วน่าจะปล่อยวางเสีย อันที่จริงเรื่องนี้มุ่งเน้นสอนเรื่องความโลภ แต่ยังมีมิติอื่นที่เรื่องนี้สอนเกี่ยวกับสิ่งที่เรากุมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกด้วย เช่น ความโกรธ ความเสียใจ ความเคียดแค้น ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่พันธนาการเราไว้ ที่เป็นเสมือนคุกในใจที่คุมขังเราไว้ เรายอมให้อดีตอยู่ต่อหน้าเรา ไม่ยอมทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า “...ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

การปล่อยวางจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็นเรื่องง่าย แต่ทำยาก แต่สำหรับเราซึ่งเป็นผู้เชื่อไม่ใช่แค่ปล่อยวางเท่านั้น แต่เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราด้วย

สิธยา คูหาเสน่ห์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น