มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันว่า
“ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแต่ละคนที่คุณพบนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเอง”
ท่่านผู้อ่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม
และเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร
เราแต่ละคนล้วนนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเองทั้งสิ้น
(ถ้าจะพูดไปแล้วล่ะก็)
ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่ากองน้ำตาของแต่ละคนนั้นมีขนาดมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ท่านกำลังอ่านข้อความที่ข้าพเจ้าแบ่งปันตรงนี้
ท่าน (อาจ)
กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของท่านเองก็ได้
ในทำนองเดียวกันขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อความนี้
ข้าพเจ้าก็ (อาจ)
กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของข้าพเจ้าเองเช่นกัน
มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากองน้ำตาของบางคนอาจมีขนาดใหญ่จนเป็นบ่อ
ของบางคนอาจขุ่นเป็นปลักโคลน
ความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของกองน้ำตานั้นก็แตกต่างกันไป
ของบางคนอาจเกิดจากการถูกกระทำจากคนอื่น
แต่ของบางคนตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น
กองน้ำตาที่เกิดขึ้นเป็นเครืื่องเตือนใจเราให้นึกถึงความทุกข์และความสูญเสียต่างๆ
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
ซึ่งอาจแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ
ได้แก่
น้ำตาแห่งความทุกข์ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ความเศร้าเสียใจนั้นทำให้เราถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว
หรืออาจเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่
ความวิตกกังวลที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน
บางคนไม่ถึงกับสูญเสียงานแต่เป็นการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งงานที่ทำมาเนิ่นนาน
ก็ยังเป็นความทุกข์สำหรับบางคนที่ชินกับงานที่ทำมาประจำอยู่ดี
ไม่อยากปรับตัวกับงานใหม่และบรรยากาศใหม่ๆ
การสูญเสียหรือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
จิตใจปวดร้าวเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวล
น้ำตาแห่งความขมขื่น
โลกไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว
เราคร่ำครวญหาวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็น
ยังจะต้องอยู่กับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่เสื่อมทรามลงอย่างน่าเศร้าใจ
ต้องปวดร้าวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพยำเกรงผู้มีอาวุโสกว่า
สำหรับบางคนดูเหมือนว่าโลกหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายในทุกด้าน
เราขมขื่นกับการเปลี่ยนแปลงในทางลบแบบนี้และเกิดความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
หรืออาจเป็นความขมขื่นจากการถูกปฏิเสธ
การไม่ได้รับการยอมรับทางสังคม
เกิดความสงสารตัวเองและขังตัวเองไว้ในคุกในใจไปตลอดกาล
ที่ยกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความทุกข์อันเป็นบ่อเกิดของกองน้ำตาของเรา
แต่มันไม่ได้จบลงด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอไป
ตรงกันข้ามอาจนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้
และทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นในความเชื่อเมื่อเราสามารถฝ่าฟันสิ่งร้ายๆ
เหล่านั้นจนมีชัยในที่สุด
และในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต
การฝ่าฟันสิ่งเลวร้ายหรือมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและควาปวดร้าวใจนั้น
เรายังสามารถมองเห็นความหวังและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
เราจะได้รับกำลังที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ
ด้วยความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า
ครอบครัว และมิตรสหาย
เราอาจบอกกับตัวเองว่า
“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ
ไปได้อย่างไร”
บางทีเราอาจกำลังปล้ำสู้กับความรู้สึกสิ้นหวัง
ความปวดร้าวใจ ความสับสน
ความกลัว และแม้กระทั่งความโกรธแค้น
ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการสนองตอบต่อความทุกข์ยากต่างๆ
ที่เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าท่ามกลางพายุร้ายและความปวดร้าวต่างๆ
เราไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง
พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ
พระองค์ทรงรักเราและทรงห่วงใยเราเสมอ
พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดของเรา
พระองค์ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเรา
ยิ่งไปกว่านั้น
พระองค์ทรงเข้าใจทุกเรื่องราว
ไม่ว่าเราจะทนทุกข์ยากอย่างไร
ความห่วงใยของพระองค์มีพร้อมอยู่เสมอ
ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด
และพระสัญญาของพระองค์แน่นอน
ไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรอยู่
หรือว่าทนทุกข์มานานเท่าไรแล้ว
พระเมตตาคุณของพระเจ้าสามารถมาถึงเราได้
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
(อพยพ
6:3)
และทรงอยู่ในทุกที่
(เยเรมีย์
23:23-24)
พระองค์ทรงสามารถปกป้อง
ส่งเสริม
และจัดเตรียมสำหรับเราเมื่อดูเหมือนว่าไ่ม่มีใครสามารถช่วยเราได้แล้ว
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น