21/3/56

กองน้ำตา



มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันว่า “ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแต่ละคนที่คุณพบนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเอง”

ท่่านผู้อ่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม และเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร

เราแต่ละคนล้วนนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเองทั้งสิ้น (ถ้าจะพูดไปแล้วล่ะก็) ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่ากองน้ำตาของแต่ละคนนั้นมีขนาดมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ท่านกำลังอ่านข้อความที่ข้าพเจ้าแบ่งปันตรงนี้ ท่าน (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของท่านเองก็ได้ ในทำนองเดียวกันขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อความนี้ ข้าพเจ้าก็ (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของข้าพเจ้าเองเช่นกัน มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากองน้ำตาของบางคนอาจมีขนาดใหญ่จนเป็นบ่อ ของบางคนอาจขุ่นเป็นปลักโคลน ความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของกองน้ำตานั้นก็แตกต่างกันไป ของบางคนอาจเกิดจากการถูกกระทำจากคนอื่น แต่ของบางคนตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น กองน้ำตาที่เกิดขึ้นเป็นเครืื่องเตือนใจเราให้นึกถึงความทุกข์และความสูญเสียต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งอาจแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่

น้ำตาแห่งความทุกข์ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความเศร้าเสียใจนั้นทำให้เราถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว หรืออาจเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ความวิตกกังวลที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน บางคนไม่ถึงกับสูญเสียงานแต่เป็นการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งงานที่ทำมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นความทุกข์สำหรับบางคนที่ชินกับงานที่ทำมาประจำอยู่ดี ไม่อยากปรับตัวกับงานใหม่และบรรยากาศใหม่ๆ การสูญเสียหรือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป จิตใจปวดร้าวเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวล

น้ำตาแห่งความขมขื่น โลกไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว เราคร่ำครวญหาวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็น ยังจะต้องอยู่กับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่เสื่อมทรามลงอย่างน่าเศร้าใจ ต้องปวดร้าวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพยำเกรงผู้มีอาวุโสกว่า สำหรับบางคนดูเหมือนว่าโลกหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายในทุกด้าน เราขมขื่นกับการเปลี่ยนแปลงในทางลบแบบนี้และเกิดความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรืออาจเป็นความขมขื่นจากการถูกปฏิเสธ การไม่ได้รับการยอมรับทางสังคม เกิดความสงสารตัวเองและขังตัวเองไว้ในคุกในใจไปตลอดกาล

ที่ยกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความทุกข์อันเป็นบ่อเกิดของกองน้ำตาของเรา แต่มันไม่ได้จบลงด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอไป ตรงกันข้ามอาจนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ และทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นในความเชื่อเมื่อเราสามารถฝ่าฟันสิ่งร้ายๆ เหล่านั้นจนมีชัยในที่สุด และในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต

การฝ่าฟันสิ่งเลวร้ายหรือมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและควาปวดร้าวใจนั้น เรายังสามารถมองเห็นความหวังและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เราจะได้รับกำลังที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า ครอบครัว และมิตรสหาย

เราอาจบอกกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ ไปได้อย่างไร” บางทีเราอาจกำลังปล้ำสู้กับความรู้สึกสิ้นหวัง ความปวดร้าวใจ ความสับสน ความกลัว และแม้กระทั่งความโกรธแค้น ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการสนองตอบต่อความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าท่ามกลางพายุร้ายและความปวดร้าวต่างๆ เราไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ พระองค์ทรงรักเราและทรงห่วงใยเราเสมอ พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดของเรา พระองค์ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเข้าใจทุกเรื่องราว

ไม่ว่าเราจะทนทุกข์ยากอย่างไร ความห่วงใยของพระองค์มีพร้อมอยู่เสมอ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด และพระสัญญาของพระองค์แน่นอน ไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรอยู่ หรือว่าทนทุกข์มานานเท่าไรแล้ว พระเมตตาคุณของพระเจ้าสามารถมาถึงเราได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ (อพยพ 6:3) และทรงอยู่ในทุกที่ (เยเรมีย์ 23:23-24) พระองค์ทรงสามารถปกป้อง ส่งเสริม และจัดเตรียมสำหรับเราเมื่อดูเหมือนว่าไ่ม่มีใครสามารถช่วยเราได้แล้ว

พระเจ้าทรงประทับอยู่แม้ในเวลาที่เราไม่สามารถสัมผัสการทรงสถิตอยู่ของพระองค์


สิธยา คูหาเสน่ห์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น