25/9/51

พระเจ้าทรงได้ยิน … แม้เสียงรำพึงในใจ

เสียงรำพึงหมายถึงการคิดคำนึงในใจ เหมือนเป็นการพูดกับตัวเอง บ่อยครั้งที่เราทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น สำหรับตัวข้าพเจ้าเองและอีกหลายๆ คนนั้น (ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น) เสียงรำพึงในใจของเราคงไม่ใช่ความคิดที่เป็นระบบสักเท่าไร เพราะเราคงคิดสับสนวุ่นวายไปหมด เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในมโนจิตที่ยังไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองและการใคร่ครวญว่าควรจะนำเรื่องราวนั้นๆ ทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ ยังไม่ทันไตร่ตรองดูว่าสิ่งที่เรากำลังจะทูลขอนั้นเป็นไปตามน้ำพระทัยหรือไม่ ทว่า … เสียงเล็กๆ ในใจแบบนี้ของเรา พระเจ้าทรงได้ยิน แม้กระทั่งบางเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อยและไม่สมควรที่จะทูลต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงสนพระทัยและทรงนับว่าทุกเรื่องทุกราวในชีวิตของเราล้วนสำคัญต่อพระองค์ทั้งสิ้น ตลอดเส้นทางการจาริกฝ่ายวิญญาณของเรา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าทุกคนคงมีประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้ว ความชื่นชมยินดีมีมากเหลือล้นเกินบรรยาย ความรู้สึกปลาบปลื้มใจท่วมท้น และการเสริมกำลังที่ได้รับไหลล้นปรี่ ชีวิตที่อ่อนระโหยโรงแรงเจียนล้มพลันก็ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ พร้อมที่จะสู้ชีวิตต่อไป พร้อมที่จะดำเนินอย่างมั่นคงกับพระองค์บนทางแคบอย่างไม่หวั่นเกรงต่อไป พร้อมที่จะยิ้มให้กับทุกๆ สถานการณ์ที่จะเข้ามาในเส้นทางชีวิตต่อไป พร้อมที่จะรับใช้อย่างเข้มแข็งต่อไป พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐเพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้าต่อไป เราจะมีแต่คำว่า ‘ต่อไป’ และจะไม่หวนกลับไปมองอดีตที่เจ็บปวดอีก กำลังที่ได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพลัง ทูลขอสิ!  

ข้าพเจ้าขออนุญาตเป็นพยานถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่พระองค์ทรงมอบให้กับลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าสักหน่อยเพื่อเป็นการยืนยันว่าพระเจ้าทรงได้ยินจริงๆ แม้เสียงรำพึงในใจ ขอพระเกียรติจงเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว 
 
ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้า (ซึ่งผู้อ่านคงจะได้รู้เรื่องราวมาบ้างแล้วจากบทความครั้งก่อนๆ) เดินทางจากนิวยอร์กกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมาสามปีแล้ว ลูกสาวคนนี้เรียนจบตามที่ได้ตั้งใจเพราะพระเจ้าทรงพระคุณล้ำเลิศ และพระองค์ทรงเปิดทางให้ทำงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ครอบครัวของเราไม่สามารถจะขอบพระคุณพระเจ้าได้เพียงพอสำหรับเรื่องนี้ เพราะการหางานที่ดีในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย เราเชื่ออย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าเป็นงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ การเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านคราวนี้เป็นการกลับบ้านจริงๆ เพราะเวลาทั้งสามสัปดาห์ที่ลางานมาเป็นการใช้เวลาอยู่ที่บ้านเกือบทั้งหมด มีเพียง 1-2 วันเท่านั้นที่ออกไปหาเพื่อน แต่น่าเสียดายที่พี่ทั้งสอง (พี่สาวและพี่ชาย) ไม่ค่อยได้อยู่กับน้องเพราะงานดึงเวลาของทั้งสองคนไปเสียหลายวัน (การอบรมของบริษัทส่วนใหญ่จัดที่ต่างจังหวัดหรือไม่ก็ต่างประเทศ) ดังนั้นจึงเป็นการใช้เวลาที่มีอยู่ทั้งหมดกับข้าพเจ้า (คุณพ่อรับใช้เป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่หาดใหญ่) แต่พระเจ้าทรงแสนดีและแสนน่ารักเพราะเมื่อถึงวันที่จะเดินทางกลับ วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ หลังเลิกจากการนมัสการที่คริสตจักร เราทั้งหมด (ยกเว้นคุณพ่อ) ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านโปรดของลูกสาวคนเล็ก (แม้ว่าเราจะไม่ค่อยปลื้มกับร้านนี้แต่เราก็ยินดี) หลังจากนั้นก็ไปซื้อของและไปจบลงที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ที่พาไปร้านนี้เพราะอยากให้ไปชิมขนมรสเลิศและกาแฟรสเยี่ยม จำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมากและทำให้เกิดฟ้าคะนองดูน่ากลัว หลังจากที่พาคนไกลบ้านเที่ยวตระเวนจนเย็นก็ถึงเวลากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปสนามบิน แต่ละคนมีความตั้งใจคนละแบบ ข้าพเจ้าจะเข้าครัวเตรียมอาหารจานโปรดของลูกสาวคนเล็ก ลูกสาวคนโตจะของีบสักหน่อยเพราะต้องขับรถไปส่งน้องที่สนามบิน (เที่ยวบินดึกมาก) ลูกชายจะทำงานที่ทำค้างจากที่ทำงาน ลูกสาวคนเล็กจะตรวจความเรียบร้อยของกระเป๋าเดินทาง แต่เนื่องจากฝนตกฟ้าคะนองจึงทำให้ไฟฟ้าดับอยู่นานพอสมควร เมื่อไม่มีไฟฟ้าต่างคนก็ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ ครั้งแรกเราก็หงุดหงิดเพราะมันร้อนอบอ้าวและที่สำคัญไม่ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทุกคนมานั่งรวมกันและคุยกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องราวในวัยเด็กและช่วงเวลาในอดีตที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว (ในแสงเทียน) ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนไฟดับนั้นเองเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเต็มล้นด้วยความสุขในใจ มันเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราอย่างแท้จริง แต่วิธีการของพระเจ้าเกินความเข้าใจของเรา ไม่มีความบังเอิญในสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขอให้มั่นใจอย่างนั้น
 
สำหรับข้าพเจ้าวันรุ่งขึ้นดูว่างเปล่า ไม่ต้องไปปลุกลูกสาวคนเล็กให้ลุกขึ้นอีกแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องเติมอาหารฝ่ายร่างกายดูเหมือนไม่รู้ว่าจะรับประทานอะไรดี ดูโหวงๆ งงๆ ทำไมวันนี้บ้านดูเงียบเหงา ดูโล่งตา ดูเศร้าๆ สำหรับลูกสาวคนเล็กยังอยู่ในระหว่างเดินทางกลับไปนิวยอร์ก เมื่อยตัว (บินนาน 17 ชั่วโมง) คิดถึงบ้าน เศร้า! ลูกสาวคนนี้เศร้าและคิดถึงบ้าน (ทุกคนที่บ้าน) ไปอีกหลายวันหลังจากที่เดินทางกลับถึงบ้านที่นิวยอร์กแล้ว ลูกเล่าว่ารู้สึกงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำไมเมื่อเวลาเดินหน้าไปอีกเพียง 17 ชั่วโมงจึงทำให้รู้สึกแตกต่างได้มากมายถึงเพียงนี้ ทำไมจู่ๆ ก็ต้องมานั่งอยู่ในห้องนอนคนเดียว แม่ พี่สาว พี่ชาย ไปไหนกันหมด รู้สึกว่าภาระที่แบกอยู่นั้นมันหนักแทบจะรับไม่ไหว เมื่อกลับจากที่ทำงานก็นอนเลยโดยไม่รับประทานอาหารเย็น เพียงเพื่อไม่ให้คิด เพราะหลับแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันทีเดียว แต่พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง พระองค์ทรงรู้วิธีที่จะฟื้นจิตใจของลูกคนนี้ พระองค์ทรงสดับเสียงรำพึงในใจของลูกสาวของข้าพเจ้า แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกเรื่องในชีวิตของเราเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพระองค์ แม้มนุษย์จะมองว่าไม่เป็นเรื่อง แต่พระเจ้าทรงมองอีกแบบหนึ่ง 
 
ลูกสาวคนนี้จำทะเบียนรถแท็กซีคันแรกที่นั่งเมื่อเดินทางไปถึงนิวยอร์กเพื่อไปศึกษาต่อในปี 2004 ได้ และปรารถนาที่จะได้เห็นรถแท็กซีคันนี้อีกสักครั้งมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนจะเป็นฝันที่ไม่มีวันกลายเป็นจริงได้เลย ในนิวยอร์กมีรถแท็กซีนับเป็นหมื่นๆ คัน ดังนั้นโอกาสที่จะได้เห็นรถคันนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่ลูกสาวคนนี้ก็ยังแอบหวังอยู่ในใจมาโดยตลอด เมื่อวันที่เขาเดินทางกลับไปถึงในคราวนี้ก็เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าได้นั่งรถแท็กซีคันนี้กลับบ้านคงดีไม่น้อย (อยู่ที่นั่นต้องรับผิดชอบตัวเองทุกเรื่อง) แต่ก็ไม่พบ ด้วยใจที่ห่อเหี่ยวและกำลังใจเหือดแห้งอันเป็นผลมาจากความคิดถึงบ้าน เมื่อผนวกกับแรงกดดันจากงานที่มีความท้าทายสูงจึงเป็นภาวะที่แทบจะไม่อยากรับรู้ แต่อยากเน้นว่าในพระเจ้าไม่มีความบังเอิญ ทุกเรื่องอยู่ในแผนการของพระเจ้า เช้าวันหนึ่งเมื่อกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ (shuttle bus) ก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมของบางอย่างจึงจำเป็นต้องกลับไปเอาที่บ้าน เมื่อกลับขึ้นมาบนรถเมล์อีกคันหนึ่ง (มีรถออกทุก 10 นาที) ก็ไปนั่งด้านซ้าย (ปกตินั่งด้านขวา) เมื่อมองออกไปที่ถนนอย่างไม่ตั้งใจ (ปกติไม่เคยมอง) ทันใดนั้นเองก็มีรถแท็กซีคันหนึ่งแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ พอที่จะทำให้รู้ว่าเป็นรถคันที่เฝ้ารอคอยมาโดยตลอด (ทะเบียน 4E32 เป็นตัวเลขที่จำได้ไม่เคยลืมตลอดสามปีครึ่งที่ผ่านมา) วินาทีนั้นเป็นวินาทีที่วิเศษสุดในวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง การได้เห็นรถแท็กซีคันนั้นอีกครั้งตามที่ใจเรียกร้องมาโดยตลอดช่วยปลดภาระที่หนักอึ้งลงไปได้มากโดยเฉพาะความคิดถึงบ้าน ทำไมการได้เห็นรถแท็กซีคันนั้นจึงสำคัญมากและมีอิทธิพลต่อจิตใจลึกซึ้งเพียงนั้น มันไม่ใช่การได้เห็นในตัวมันเองหรอก แต่มันเกิดจากการมั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังแม้เสียงรำพึงในใจ และมันเป็นการยืนยันจากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างและรับรู้เรื่องราวในใจทุกเรื่อง พระองค์ทรงรู้วิธีที่จะฟื้นจิตใจลูกคนนี้ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมาเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เล็กมากจริงๆ แต่พระองค์ทรงเห็นว่าสำคัญ และเท่านั้นเองที่ลูกสาวของข้าพเจ้าสามารถผ่านพ้นห้วงทุกข์มาได้ 
 
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องไฟดับและเรื่องลืมของ บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เราหงุดหงิดใจ แต่ขอให้แน่ใจเถอะว่ามีพระพรซ่อนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่ว่าเราสามารถค้นหาพบหรือไม่เท่านั้น
 
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะหาพระพรที่ซ่อนอยู่ในทุกสถานการณ์ชีวิตของท่านพบ แม้จะซ่อนไว้ลึกล้ำสักปานใด เมื่อทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า ท่านจะหาพบแน่นอน ข้าพเจ้าขอยืนยัน!

สิธยา คูหาเสน่ห์

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ29/1/52 00:47

    ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะที่เข้ามาอ่าน ยินดีด้วยสำหรับการที่จะไปศึกษาต่อ ขอให้เชื่อมั่นในพระสัญญาและการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า

    ขอยืนยันว่าพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและทรงพระคุณจริงๆ ลองเข้าไปอ่านบทความอีกสองเรื่องแล้วจะเห็นว่าเป็นจริงดังนั้น

    http://koohasanehblog.blogspot.com/2008/10/blog-post_03.html

    http://koohasanehblog.blogspot.com/2008/10/blog-post_12.html

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น