23/9/51

ใครที่อาจนิ่งเสีย

“จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” (สดุดี 46:10)

ท่านเคยรู้สึกผิดบ้างไหมเมื่อได้ยินใครสักคนยกข้อพระวจนะนี้ขึ้นมากล่าว ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าสิ่งที่ท่านอยากทำมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดเมื่อได้ยิน “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” คือหาเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าตามลำพังอย่างแน่นอน บางทีท่านอาจต้องวางแผนที่จะทำเช่นนั้น (หากทำทันทีไม่ได้) สิ่งอัศจรรย์อาจเกิดขึ้นในยามที่ท่านปลีกตัวอยู่ตามลำพังต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ยามที่นิ่งสงบอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า แต่ในบางเวลา ในบางวัน “การนิ่งเสีย” ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และอาจไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ บางทีในประสบการณ์ชีวิตบางช่วงของเราทั้งหลายอาจไม่ได้เล่นบทบาทนี้เลยสักครั้งเดียว
 
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งเมื่อเราต้องเผชิญเส้นตาย ในขณะที่กำหนดเวลาที่ต้องส่งงานที่ได้รับมอบหมายใกล้เข้ามา สำหรับตัวข้าพเจ้าคือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องส่งต้นฉบับบทความ งานแปลที่ทางสำนักพิมพ์ (หรือหน่วยงาน) เร่งมา ยิ่งถ้าเราอาศัยในเมืองใหญ่ๆ เราก็ยิ่งเห็นค่าของช่วงเวลาสงบมากยิ่งขึ้น เพราะรอบข้างเรานั้นมีแต่เสียงอึกทึกครึกโครมจากทั่วสารทิศ เช่นนั้นแล้ว … เราจะค้นพระเจ้าพบได้หรือท่ามกลางความโกลาหล ความอึงอล ความวุ่นวาย ความเร่งรีบ … 
 
แต่…“เสียง” ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเสียงที่เราได้ยินอยู่รอบๆ ข้างก็แทรกตัวอยู่ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นด้วย เสียง ที่ความเจ็บปวดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือการบาดเจ็บตะโกนใส่เรา เสียง ที่ความกดดันจากความพยายามหางานใหม่เร่งเร้าใส่เรา เสียง ร่ำไห้กับการจากไปของใครสักคนที่การพลัดพรากนั้นฉกเอาสันติสุขในจิตใจไปเสียสิ้น เสียง ที่ย้ำเตือนให้รวบรวมสติที่จะสู้ชีวิตต่อไปในยามท้อแท้ใจ… ความโศกเศร้า ความผิดหวัง และ การสูญเสีย ถาโถมเข้ามาในชีวิตเหมือนทะเลคลั่ง
 
แปลกแต่จริงที่บางคนจำเป็นที่จะต้องฝึกฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ความสับสนวุ่นวาย และความยุ่งเหยิงมากกว่าที่จะหัดอยู่นิ่งๆ และเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงที่พระเจ้าตรัส
 
“เขาถลาและโซเซไปอย่างคนเมาและสิ้นปัญญาลงแล้วในความยากลำบากของเขาเมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยนำเขาออกจากความทุกข์ใจของเขา พระองค์ทรงกระทำให้พายุสงบลงและคลื่นทะเลก็นิ่ง แล้วเขาก็ยินดีเพราะเขามีความเงียบ และพระองค์ทรงนำเขามายังท่าที่เขาปรารถนา ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (สดุดี 107:27-31)
 
ท่านคิดไหมว่าคนในยุคนี้เป็นพวกแรกที่รู้สึกแบบนี้
 
ท่านคิดจริงๆ หรือว่าคนในยุคนี้เป็นคนรุ่นแรกที่รู้สึกกดดันเรื่องเสียงรบกวน ความตึงเครียด และ ความไม่แน่นอน ไม่ใช่ ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน และบางทีประสบการณ์ของบางคนอาจเป็นเครื่องชี้ทางให้แก่เราในยุคแห่งความเครียดนี้ก็ได้ 
 
เราคิดว่าใครก็ตามที่ตกเป็นประเด็นตามที่กล่าวข้างต้นกำลังถลาและโซเซภายใต้ภาระหนักอึ้งของพวกเขาและหาเวลาที่จะนิ่งสงบต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ ตรงกันข้าม คนเหล่านี้ “สิ้นปัญญา” ลงแล้วต่างหาก ดังนั้น เมื่อเกิดอาการคลุ้มคลั่งและมีความคับแค้นใจจึง “ร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยนำเขาออกจากความทุกข์ใจของเขา” และพระเจ้าทรงสดับฟังเสียงร้องของพวกเขา (พระเจ้าผู้ทรงแสนดี)
 
หากท่านมีความวุ่นวายใจมากกว่าความสุขใจ ความยุ่งเหยิงมากกว่าความเงียบสงบ พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ท่านร้องทูลต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงสำแดงพระองค์เองต่อท่าน ท่ามกลางเสียงอึงอล ท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับท่าน
 
หากท่านตกอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงวุ่นวาย ท่านสามารถรวบรวมสติและสงบนิ่ง ร้องทูลต่อพระเจ้า นิ่งเสีย รอคอย ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า 

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น