18/9/51

ความกังวล

ท่านยอมให้ความกังวล (ความกระวนกระวาย) มีบทบาทในชีวิตของท่านมากน้อยแค่ไหน บางคนมีความกังวลตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยวาง ท่านล่ะ เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะเลิกกังวลในเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือจะใช้เวลาอย่างเฉลียวฉลาดและเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น ข้าพเจ้าขอยกเหตุผลตามแนวทางของพระคัมภีร์สัก 4 ข้อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมเราจึงไม่ควรกังวลหรือกระวนกระวาย
 1. ความกังวลไม่ทำให้เกิดการบรรลุผลใดๆ 
ข้าพเจ้าไม่ทราบเกี่ยวกับตัวท่าน แต่สำหรับข้าพเจ้าเองแล้วไม่ได้กังวลสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าตระหนักว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย เป็นการเสียทั้งเวลาและพลังงาน กังวลไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงเลิกกังวล แต่เชื่อและวางใจพระเจ้าในทุกเรื่อง 
 มัทธิว 6:27-29 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ “และเหตุไฉนท่านจึงกังวลด้วยเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ลงแรงหรือปั่นด้ายกระนั้นเราบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง (NIV)
 2. ความกังวลไม่ดีต่อตัวท่าน
ความกังวลทำลายเราในหลายๆ ทางด้วยกัน มันจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งซึ่งผุดขึ้นในใจของเราที่อาจทำให้เราเจ็บป่วยทางร่างกายได้
 สุภาษิต 12:25 ความกระวนกระวายของคนถ่วงเขาลง แต่ถ้อยคำที่ดีกระทำให้เขาชื่นชม
 3. ความกังวลแตกต่างจากการวางใจพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
พลังงานที่เราใช้ไปกับความกังวลน่าจะเอามาใช้กับการอธิษฐานมากกว่า ข้าพเจ้าอยากให้สูตรสำเร็จง่ายๆ แก่ท่านคือ ความกังวลที่ถูกแทนที่ด้วยการอธิษฐานคือความวางใจ
 มัทธิว 6:30 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ
 ฟิลิปปี 4:6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
 4. ความกังวลผนวกกับการมุ่งไปในทิศทางที่ผิด
เมื่อเราเพ่งความสนใจของเราไปในทิศทางที่ผิด ชีวิตของเราก็จะผิดพลาด แต่หากเราเพ่งไปที่พระเจ้า เราก็จดจำความรักของพระองค์ที่มีให้เราได้ และเราก็ตระหนักว่าเราไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ เลยจริงๆ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับชีวิตของเราที่วิเศษสุดยอด แม้กระทั่งในเวลาที่เรามีปัญหา เมื่อมันดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงไม่สนพระทัย เราก็ยังสามารถวางใจองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้และเพ่งความสนใจไปที่แผ่นดินของพระองค์ พระเจ้าจะทรงดูแลเราในทุกเรื่องทุกด้าน 
 มัทธิว 6:25 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนการวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
 1 เปโตร 5:7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย  
 ฉะนั้น อย่ากังวลหรือกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย แต่ขอให้มีความเชื่อและวางใจพระเจ้า เมื่อเราวางใจให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือเราในการเรียนรู้จากอดีตและทรงจัดเตรียมสำหรับอนาคต เราก็จะพอใจกับชีวิตในวันนี้ได้ 
 ท่านคงจะเห็นอย่างเดียวกับข้าพเจ้าว่าการที่เรากระวนกระวายหรือกังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าไม่เข้าใจในการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ เราไม่ยอมที่จะละความกระวนกระวายของเราไว้กับพระเจ้าจึงทำให้เกิดความทุกข์ทรมานฝ่ายจิตวิญญาณและทำให้เกิดความว้าวุ่นใจโดยไม่จำเป็น
 คนขี้กังวลมักจะคาดหวังสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงหวาดหวั่นหรือคาดหวังว่าจะเกิดอันตราย ความยากเข็ญ ความลำบาก หรือความไม่แน่นอน
 ความกังวลเป็นตัวทำลายจิตวิญญาณ ถ้าไม่ควบคุมให้ดีจะนำไปสู่ภาวะทุกข์ใจใหญ่ยิ่งและในบางรายถึงกับป่วยเป็นโรคจิต แต่ก่อนที่จะถึงจุดนั้นร่างกายมักจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
 ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างเรื่องการละความกระวนกระวายและวางใจให้ฟังสักเรื่องซึ่งคงจะทำให้ท่านมองเห็นภาพของการวางใจพระเจ้าได้ชัดเจน

 ศิษยาภิบาลคนหนึ่งต้องเดินทางบ่อยๆ โดยเครื่องบิน ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินก็เห็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวผิดปกติของบรรยากาศและคาดว่าเครื่องบินต้องตกหลุมอากาศอย่างแน่นอน นักบินจึงเตือนผู้โดยสารทุกคนให้รัดเข็มขัดและนั่งประจำที่ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดพายุและฟ้าคะนองรุนแรง เครื่องบินสั่นรุนแรงเนื่องจากแรงพายุ ศิษยาภิบาลคนนั้นยอมรับว่าเขากลัวมากซึ่งไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้น ทันใดนั้นเอง เขาก็มองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งนั่งอยู่คนเดียวไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เธอเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือ เธอไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว บางครั้งก็ปิดตาสักครู่แล้วก็อ่านต่อคล้ายกับเป็นการพักสายตา บางครั้งก็ยืดขา ในขณะที่ผู้ใหญ่รอบๆ ตัวกำลังประหวั่นพรั่นพรึงและไม่รู้ชะตากรรมตัวเองอยู่นั้น เด็กน้อยคนนี้กลับนิ่งเฉยและไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ผู้รับใช้คนนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดอย่างปลอดภัย ศิษยาภิบาลคนนั้นจึงเข้าไปถามเด็กหญิงคนนั้นซึ่งเขาเฝ้ามองอยู่เป็นเวลานานบนเครื่องบินในช่วงที่ชีวิตของทุกคนบนเที่ยวบินนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายว่า “หนูจ๋า หนูไม่กลัวเลยเหรอจ๊ะเมื่อเครื่องบินตกหลุมอากาศ มันน่ากลัวมากนะ”

 เธอตอบว่า “หนูไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของหนูเป็นคนขับเครื่องบินลำนั้น และคุณพ่อจะพาหนูกลับบ้าน”

 ท่านล่ะ ในเวลาที่พายุชีวิตโหมกระหน่ำใส่ท่านจนตั้งตัวไม่ติด ท่านกลัวไหม 
 แต่ขอให้จดจำไว้ว่า พระบิดาของเราทรงเป็นนักบินของเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ และพระองค์กำลังทรงนำเรากลับบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขอเพียงวางใจพระองค์เท่านั้น

สิธยา คูหาเสน่ห์

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ29/6/55 11:39

    ขอบคุณมากๆค่ะ
    หนุนใจมากเรยค่ะ

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น