23/9/51

เส้นทางสู่ความตาย…การเดินทางกลับบ้าน จุดจบ หรือ จุดเริ่มต้น

“ความตาย” คำนี้ฟังดูน่ากลัว ทำไมส่วนมากเรามักจะกลัวความตาย ถ้าจะให้อธิบายถึงสาเหตุ คำตอบคงมีหลากหลาย แต่ที่พอจะเข้าใจได้อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร ตอนที่กำลังเผชิญกับมันในช่วงสุดท้ายของชีวิตเป็นอย่างไร ตายแล้วจะไปไหน คำถามเหล่านี้เราหาคำตอบไม่ได้ เราจึงกลัว คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้และกลัวการเปลี่ยนแปลง ความตายก็เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหนึ่ง ที่แน่ๆ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ เราจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไป นั่นแหละที่เรากลัว ตายแล้ว…ไปไหน
 
บางที บางทีนะ เรื่องของความตายอาจวนเวียนอยู่ในความนึกคิดของผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงและรู้ว่าการรักษาให้หายจากโรคนั้นเป็นไปได้ยาก หรือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความตายมันวนเวียนอยู่ตรงหน้า คนเหล่านั้นอาจสามารถได้กลิ่นอายของความตายด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าได้เห็นความตายเกิดขึ้นในครอบครัวหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็โตพอที่จะเข้าใจได้แล้วว่ามันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าจะถามว่า กลัวไหม ท่านคงไม่เชื่อถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่า ไม่ ถามตอนนั้นและถามตอนนี้ยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่ ตอนนั้นมันน่าเป็นความสับสนมากกว่าที่จะเป็นความกลัว ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ข้าพเจ้ารักและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตต้องจากไป มันเป็นอีกบทหนึ่งของชีวิตที่ไม่ได้เป็นสีชมพูสดใส ทว่าเป็นสีหม่นๆ เป็นบทบาทที่ข้าพเจ้าต้องเล่นเองโดยไม่มีใครเป็นกำลังใจให้อีกต่อไป มิได้เล่นคนเดียวก็จริงเพราะยังมีคนรอบข้างที่ต้องอยู่ในฉากนั้นด้วย แต่มันรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย เศร้าไหม มันไม่ใช่ความเศร้า แต่มันเป็นความรู้สึกอ้างว้าง ข้าพเจ้าเคยพูดอย่างนี้ว่า คนเราอาจรู้สึกอ้างว้างได้ท่ามกลางฝูงชน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีใครบ้างรู้สึกแบบเดียวกันนี้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อ้างว้าง ว่างเปล่า …
 
ข้าพเจ้ารักทะเล รักผืนน้ำกว้างใหญ่ที่พระเจ้าทรงสร้าง ข้าพเจ้ามองดูทะเลคราใด มันก็ให้ความรู้สึกอ้างว้างครานั้น แต่ลึกๆ ในใจมันเป็นความสุขสงบ น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปทะเลมากนัก ที่ข้าพเจ้าพูดว่ารู้สึกอ้างว้างท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะที่ชายทะเลมีคนมากมาย แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกอ้างว้าง ว่างเปล่า …
 
เมื่อผู้เชื่อคิดถึงเรื่องความตาย ยิ่งไม่ควรกลัว เพราะเราทั้งหลายรู้แน่อยู่แก่ใจว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วเราไปไหน เราจะไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานที่ที่ดีเลิศยอดเยี่ยมและงดงามกว่าโลกนี้มากมายนัก เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ สรรเสริญ นมัสการ รับใช้พระองค์ ที่นั่นจะไม่มีความตาย จะไม่มีการลาจาก 
 
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรากระทำกิจของพระองค์เมื่อทรงสร้างเรา และเมื่อเราทำกิจนั้นลุล่วงแล้ว พระองค์จะทรงเรียกเรากลับบ้านถาวรของเรา ก็แค่นั้นเอง บางทีเรื่องราวของเด็กชายอายุสิบสามคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความตายอาจให้แง่คิดเกี่ยวกับความตายได้บ้าง
 
จอห์น เด็กชายอายุสิบสามปีป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เด็กคนนี้รักการอ่านพระคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจ ถ้าเขาไม่อ่านเองก็ให้คนอ่านให้ฟัง คืนหนึ่งเขาเพลียเกินกว่าที่จะอ่านเองจึงขอให้คุณแม่อ่านเอเฟซัสบทที่สองให้ฟัง เมื่ออ่านไปได้ประมาณครึ่งบท คุณแม่ก็หยุดถามว่าเท่าที่ฟังมาทั้งหมดนี้มีอะไรจับใจบ้าง คุณแม่คาดว่าจอห์นคงจะพูดถึงข้อ 8 & 9 ซึ่งเป็นข้อที่เขาโปรดปราน (เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้…พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002) แต่จอห์นกลับเลือกข้อ 10 ซึ่งอ่านว่า เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002) คุณแม่แปลกใจจึงถามว่าทำไมจึงเลือกข้อ 10 
 
“เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในชีวิตของลูกฮะ”
 
“ลูกเห็นพระประสงค์นั้นในข้อพระวจนะนั้นได้อย่างไร”
 
“เพราะลูกยังอยู่นี่ไงฮะ แม่ ลูกยังอยู่ เมื่องานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำลุล่วงแล้ว เราควรจะมีความสุขที่ได้กลับบ้านที่อยู่บนสวรรค์” จอห์นตอบอย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด

 
ข้าพเจ้าหวังว่าการมองความตายของเด็กชายอายุสิบสามคนหนึ่งซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่อาจทำให้เขาต้องจากโลกนี้และกลับบ้านถาวร ต้องจากคุณแม่ที่เขารักและรักเขาไป และรอจนกว่าจะได้พบกันอีกในสวรรค์จะช่วยให้ท่านมองความตายด้วยมุมมองใหม่และมองเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของท่านอย่างที่เด็กชายคนนี้มองเห็น และข้าพเจ้าแน่ใจว่าสิ่งที่จอห์นเห็นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ (ข้าพเจ้าอยากขอพูดอย่างนี้ว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะอยู่ในขั้นตอนใดก็ตาม) ย่อมบอกให้รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์บางอย่างสำหรับเราที่ทรงมุ่งหวังให้ทำจนลุล่วง 
 
หากเราเป็นการสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ และส่วนหนึ่งของการทรงสร้างนั้นรวมถึงการกระทำดีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เราแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้น เราจะยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ไปไหน ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลับบ้าน มันยังมีเรื่องราวอีกมากให้ค้นหา มันยังมีสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วงอีกมากรออยู่ เราจะตายก็ต่อเมื่องานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราให้ทำนั้นเสร็จลุล่วงแล้วเท่านั้น เมื่อนั้นแหละเป็นเวลาที่เราจะกลับบ้าน ถูกต้อง เป็นเวลาที่เราจะถูกเรียกให้กลับบ้าน การเดินทางจากบ้านไปนานๆ แล้วได้กลับบ้าน มันเป็นความสุขที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เส้นทางนี้มันซับซ้อนเหลือเกิน ขอให้เราแต่ละคนจะสามารถมองเห็นได้เหมือนอย่างที่จอห์นเห็น ขอพระเจ้าทรงเมตตาด้วยเถิด พระเจ้าข้า
 
หากเรายังมีชีวิตอยู่ก็เพราะเรายังทำงานของเราไม่เสร็จ แม้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยสำหรับผู้เชื่อทุกคน มีห้าสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ
1. การค้นพบพระเจ้าในโลกนี้
2. การเติบโตขึ้นในพระคริสต์
3. การเรียนรู้ที่จะรับใช้ผู้ที่อยู่รอบข้างตัวเรา 
4. การติดต่อสัมพันธ์กับผู้เชื่อ
5. การติดต่อสัมพันธ์กับผู้ไม่เชื่อเพื่อแบ่งปันความหวังที่พระคริสต์ทรงมอบให้

เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ย่อมหมายความว่างานของเรายังไม่ลุล่วง และด้วยเหตุนี้แหละ จึงยังไม่ถึงเวลาที่จอห์นจะกลับบ้าน ขณะนี้เขาอายุ 25 ปี เขายังมีงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ เขายังทำไม่เสร็จลุล่วง เขาจะกลับบ้านเมื่องานของเขาลุล่วงแล้ว 

ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้เราทั้งหลายเดินบนเส้นทางนี้ด้วยความหวัง เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และข้าพเจ้าทูลขอสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าสำหรับท่านและสำหรับข้าพเจ้าที่จะทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายไว้จนลุล่วงตามพระประสงค์ และรอวันที่จะได้กลับบ้านด้วยความหวังเต็มเปี่ยม 

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น