1/10/51

มิติแห่งรักที่ลึกเกินเข้าใจ

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)
รักมีหลายมิติ บางมิติก็ไม่ซับซ้อนอาจเข้าใจได้ไม่ยาก บางมิติก็ซับซ้อนจนหาคำตอบไม่เจอ ทว่า...มิติหนึ่งที่ล้ำลึกเกินเข้าใจคงเป็นมิติของพระเจ้าพระบิดาที่ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักองค์เดียวของพระองค์ให้มารับสภาพมนุษย์ และทรงยอมให้พระบุตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพื่อไถ่บาปและเพื่อช่วยชาวโลกทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นและยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาจะไม่พินาศแต่ได้ชีวิตนิรันดร์ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่ารักในมิตินี้เกินความรู้มนุษย์ที่จะเข้าใจได้จริงๆ พระบุตรเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่หาที่เปรียบมิได้สำหรับชาวโลก ฉะนั้นเราจึงควรยกชูพระบุตรและเห็นคุณค่าของสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาทรงประทานมาให้ แม้ว่าจะเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่พระองค์ทรงมิได้หวงแหนและทรงยอมให้พระบุตรมารับโทษบาปแทนชาวโลกทุกคนบนกางเขนเพื่อความรอดของพวกเขา องค์พระบุตรเองก็ทรงรู้ดีว่าพระองค์ทรงต้องพบกับความทุกข์ทรมานแบบไหน แต่พระองค์ทรงยอมเชื่อฟังพระบิดาและทรงยอมสละทุกสิ่งที่มีเพื่อมารับสภาพมนุษย์และทรงถือกำเนิดในรางหญ้าเป็นทารกน้อยเยซูผู้ต่ำต้อย ดังนั้นเมื่อเราเฉลิมฉลองวันคริสตมาสก็ขอให้รำลึกถึงของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ว่าเป็นการให้ด้วยมิติแห่งรักที่เกินเข้าใจ (สำหรับมนุษย์) จงอย่ามองแบบตื้นเขิน แต่ให้มองลึกลงไปในพระทัยของพระเจ้าว่าการให้แบบนี้ต้องมีความรักมากสักปานใดจึงจะทำได้ และให้เราเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดีนี้ด้วยมุมมองใหม่ที่สำนึกในพระคุณล้ำเลิศและความรักที่ทั้งลึกและกว้างขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากท่านยังไม่เคยใคร่ครวญว่าเพราะเหตุใดท่านจึงเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับของขวัญล้ำค่าขิ้นนี้ ก็ขอให้เริ่มต้นทำเสียบัดนี้และให้จำเริญขึ้นในความรู้แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
แม้ว่ามิติแห่งรักแบบนี้ยากเกินที่มนุษย์จะเข้าใจได้ก็ตาม แต่ก็มีบางคนทำได้ เขายอมเสียลูกของตนไปเพื่อให้อีกคนหนึ่งได้รับความรอด เรื่องที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างประกอบบทความนี้เป็นเรื่องจริง และข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นแม่ที่มีลูกสามคน (แม้ว่าในเรื่องนี้ผู้ที่เสียสละครั้งยิ่งใหญ่นี้จะเป็นพ่อก็ตาม) ข้าพเจ้าก็พอจะจินตนาการได้ว่าเขาต้องปวดร้าวใจสักปานใดที่เห็นชีวิตของลูกหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา แต่เขามีมุมมองลึกลงไปอีกมิติหนึ่งที่คงมีน้อยคนนักที่สามารถทำได้อย่างเขา มันเป็นการเสียสละที่เหลือเชื่อว่าจะเป็นจริงได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในชั่วชีวิตนี้ของคนๆ หนึ่ง
หลังจากที่คณะนักร้องถวายเพลงพิเศษเสร็จสิ้นลง ศิษยาภิบาลก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆ และเดินตรงไปที่ธรรมาสน์ ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นเทศนานั้นเขาก็แนะนำผู้รับใช้คนหนึ่งซึ่งมาเยี่ยมเยียนคริสตจักร เขาแนะนำต่อที่ประชุมว่าแขกพิเศษคนนี้เป็นผู้ที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่งในวัยเด็กของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากให้แขกพิเศษคนนี้กล่าวทักทายที่ประชุมสักเล็กน้อยและขอให้แบ่งปันอะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นประโยชน์สำหรับการนมัสการในค่ำคืนนั้น ชายสูงอายุคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนธรรมาสน์และกล่าวขึ้นว่า “พ่อคนหนึ่งพร้อมกับลูกชายและเพื่อนของเขาไปแล่นเรือในมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่นานพายุก็โหมกระหน่ำมาอย่างตั้งตัวไม่ทันและหมดทางที่จะนำเรือกลับเข้าฝั่ง คลื่นยักษ์ทำให้ผู้เป็นพ่อแม้ว่าจะเป็นกลาสีเรือที่เชี่ยวชาญมากก็ยังไม่สามารถบังคับเรือได้ และทั้งสามคนก็ถูกคลื่นซัดตกลงไปในมหาสมุทร” ชายสูงอายุผู้นั้นรีรอสักครู่และมองสบตาเด็กวัยรุ่นสองคนที่แสดงให้เห็นว่าสนใจเรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มการนมัสการเป็นต้นมา ชายคนนั้นก็เล่าเรื่องต่อไปว่า “ผู้เป็นพ่อจึงคว้าเชือกเส้นหนึ่งและต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ปวดร้าวใจมากที่สุดในชีวิตว่าเขาจะโยนเชือกเส้นนั้นให้ใครดีระหว่างลูกชายของตนกับเพื่อน เขามีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีสำหรับการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่แสนยากนั้น เขารู้ว่าลูกชายเป็นคริสเตียนและเขาก็รู้อีกว่าเพื่อนของลูกชายไม่ได้เป็นผู้เชื่อ กระแสความเจ็บปวดแสนสาหัสในจิตใจของผู้เป็นพ่อเทียบไม่ได้กับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากนั้น ในขณะที่เขาตะโกนบอกลูกชายว่า ‘พ่อรักลูก!’ เขาก็โยนเชือกให้กับเพื่อนของลูกชาย เมื่อเขาดึงเพื่อนคนนั้นของลูกชายกลับไปยังเรือที่พลิกคว่ำอยู่ ลูกชายของเขาก็จมดิ่งหายไปกับสายน้ำอันเหี้ยมโหดที่โหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานีท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาล และไม่เคยมีใครพบร่างของเขาอีกเลย”
เมื่อถึงตรงนี้เด็กวัยรุ่นสองคนนั้นก็นั่งตัวตรงอยู่ในแถวที่นั่ง และร้อนรนอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ ในที่สุดเขาก็พูดต่อว่า “ผู้เป็นพ่อรู้ว่าลูกชายจะก้าวสู่นิรันดร์กาลพร้อมกับพระเยซูและเขาทนไม่ได้ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนของลูกชายจะก้าวสู่นิรันดร์กาลที่ปราศจากพระเยซู เพราะฉะนั้นเขาจึงเสียสละลูกชายเพื่อช่วยเพื่อนของเขาให้รอด ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อเราจะได้รอด ผมขอวิงวอนคุณให้รับข้อเสนอนั้นเพื่อช่วยตัวคุณเองและยึดเชือกช่วยชีวิตที่พระองค์ทรงโยนมาให้คุณเกาะไว้ให้มั่น พระองค์ทรงกำลังโยนเชือกเส้นนั้นให้แก่คุณในที่ประชุมนี้ในวันนี้”
เมื่อพูดจบเขาก็กลับมานั่งที่และห้องนั้นก็มีแต่ความเงียบสงัด ศิษยาภิบาลเดินช้าๆ ไปที่ธรรมาสน์และกล่าวพระวจนะสั้นๆ และกล่าวเชิญชวนเมื่อการเทศนาจบลง อย่างไรก็ตามไม่มีใครตอบสนองการเชิญชวนนั้น แต่เมื่อการนมัสการเสร็จสิ้นลงเพียงไม่กี่นาที เด็กวัยรุ่นสองคนนั้นก็มาหาชายสูงอายุคนนั้น คนหนึ่งกล่าวอย่างสุภาพว่า “เรื่องที่คุณลุงเล่าดีมากครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงที่พ่อคนหนึ่งยอมเสียลูกชายโดยหวังว่าเพื่อนของเขาจะเปลี่ยนเป็นคริสเตียน” ชายสูงอายุคนนั้นจึงตอบว่า “ที่พูดมาก็มีประเด็นนะ พ่อหนุ่ม” แล้วเขาก็มองดูพระคัมภีร์ของเขาซึ่งเก่าคร่ำคร่า เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ใบหน้าเรียวยาวของเขาก็มีรอยยิ้มกว้างและพูดว่า “มันก็จริงนะที่ว่าไม่น่าเป็นเรื่องจริง ใช่มั้ย แต่ที่ผมยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้และเล่าเรื่องราวนั้นให้ที่ประชุมฟังทำให้ผมพอจะรู้ว่าการที่พระเจ้าทรงเสียสละพระบุตรเพื่อผมนั้นเป็นอย่างไร คุณรู้หรือไม่ว่า ผมเป็นพ่อคนนั้นและศิษยาภิบาลของคุณก็คือเพื่อนของลูกชายของผม”
ท่านเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ล่ะ และถ้าท่านตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ท่านจะทำอย่างที่เขาทำไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น