1/10/51

สะพานแห่งความมรณา

ที่แม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งมีสะพานซึ่งหมุนได้ทอดข้ามอยู่ ส่วนใหญ่ในเวลากลางวันสะพานก็ทอดขนานกับฝั่งแม่น้ำเพื่อให้เรือสามารถแล่นผ่านไปได้ แต่บางเวลาจะมีขบวนรถไฟแล่นผ่าน เมื่อถึงตอนนั้นสะพานต้องถูกหมุนจนทอดข้ามแม่น้ำเพื่อให้รถไฟแล่นข้ามไปได้

ผู้ควบคุมแผงวงจรปิดเปิดนั่งอยู่ในเพิงเล็กๆ บนฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเพื่อหมุนสะพานให้เข้าที่และล๊อคให้แน่นเมื่อรถไฟแล่นข้ามไป เย็นวันหนึ่งเมื่อผู้ควบคุมกำลังรอรถไฟขบวนสุดท้ายอยู่ เขาก็ทอดสายตามองผ่านแสงขมุกขมัวยามอาทิตย์อัสดงออกไปไกลๆ และเขาก็เห็นแสงสว่างจากรถไฟที่กำลังแล่นใกล้เข้ามา เขาก้าวไปที่แผงควบคุมและรออยู่จนกระทั่งรถไฟแล่นเข้ามาจนถึงระยะที่กำหนดไว้สำหรับการหมุนสะพานขึ้น เขาหมุนสะพานขึ้นจนถึงตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่เขาก็หวาดกลัวสุดขีดเมื่อพบว่าตัวล๊อคไม่ทำงาน ถ้าสะพานไม่ถูกล๊อคให้เข้าที่อย่างแน่นหนา มันอาจโคลงเคลงและเมื่อรถไฟแล่นผ่านไปก็จะทำให้ตกรางและตกลงไปในแม่น้ำได้ มันเป็นรถไฟโดยสารที่มีคนมากมายอยู่บนนั้น

เขาออกจากเพิงและปล่อยสะพานทอดข้ามแม่น้ำไว้อย่างนั้นก่อน และรีบรุดไปที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำซึ่งมีชะแลงที่เขาสามารถใช้งัดเพื่อทำให้ล๊อคทำงานด้วยมือ เขาได้ยินเสียงของรถไฟแล่นใกล้เข้ามาแล้วในตอนนี้ เขาจึงเอนตัวไปด้านหลังเพื่อออกแรงได้เต็มที่เพื่อล๊อคสะพานไว้ ชีวิตของคนจำนวนมากจะรอดได้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของชายคนนี้

แล้วเขาก็ได้ยินเสียงมาจากอีกทางหนึ่งที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวูบ “คุณพ่อฮะ พ่ออยู่ไหนฮะ” ลูกชายวัยสี่ขวบของเขากำลังเดินอยู่บนสะพานเพื่อหาเขา สัญชาตญาณบอกให้เขาร้องบอกลูกชายว่า “วิ่ง! วิ่ง!” แต่รถไฟอยู่ใกล้เกินไป เท้าน้อยๆ ของลูกชายคงวิ่งหนีไม่ทันแน่ ชายคนนั้นเกือบจะปล่อยชะแลงแล้ววิ่งไปคว้าตัวลูกชายของเขาและอุ้มเขาให้พ้นจากอันตราย แต่เขาก็รู้ว่าถ้าทำเช่นนั้นเขาจะกลับมาที่ชะแลงไม่ทันเพื่อง้างให้ล๊อคทำงานด้วยมือ คนบนรถไฟหรือไม่ก็ลูกชายของเขาต้องตาย เขาใช้เพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจ

รถไฟขบวนนั้นแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วและอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่มีใครสักคนรู้ว่ามีร่างเล็กๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกรถไฟบดขยี้และกระเด็นลงไปในแม่น้ำอย่างโหดร้ายที่สุด และก็ไม่มีใครสักคนเช่นกันที่รู้ว่ามีชายที่น่าสงสารคนหนึ่งกำลังร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจและยังคงกำชะแลงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแม้ว่ารถไฟจะแล่นผ่านไปนานแล้วก็ตาม และผู้โดยสารบนรถไฟขบวนนั้นก็ไม่อาจเห็นชายคนนั้นเดินกลับบ้านอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่เคยเดินมาชั่วชีวิตของเขาเพื่อไปบอกกับภรรยาว่าเขายอมเสียสละลูกชายเพื่อช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมากบนรถไฟขบวนนั้นอย่างไร

เอาล่ะ ตอนนี้หากท่านสามารถเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของชายคนนี้ล่ะก็ ท่านก็เริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกของพระบิดาของเราในสวรรค์เมื่อพระองค์ทรงสละพระบุตรเพื่อทำให้ช่องว่างระหว่างเราและชีวิตนิรันดร์แคบลงแล้ว (แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็พอรู้บ้าง) ท่านมีข้อสงสัยไหมที่พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนและท้องฟ้ามืดมิดไปเมื่อพระบุตรของพระองค์ทรงวายพระชนม์บนกางเขน และท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบจนไม่เคยคิดถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อไถ่โทษบาปทางพระเยซูคริสต์ ท่านขอบพระคุณพระบิดาครั้งสุดท้ายเมื่อไรสำหรับการเสียสละพระบุตรเพื่อท่าน

หากท่านไม่ได้ใคร่ครวญถึงการเสียสละยิ่งใหญ่ของพระบิดาสำหรับการไถ่ตัวท่านให้พ้นจากบาปเพื่อได้รับความรอดและชีวิตนิรันดร์อย่างจริงจัง มันยังไม่สายเกินไปนะที่จะเริ่มต้น มนุษย์ทุกคนไม่รู้หรอกว่าจะถูกเรียกตัวกลับบ้านเวลาใด ข้าพเจ้าอยากหนุนใจพี่น้องที่รักทุกคนให้เตรียมตัวไว้ให้พร้อมทุกเมื่อ ให้เราดำเนินชีวิตในแต่ละวันเสมือนเป็นวันสุดท้ายของการจาริกบนโลกนี้ การที่เรายังสามารถลืมตาชื่นชมกับวันใหม่ได้นั้นเป็นของขวัญจากพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกคนคงเคยเดินทางอย่างแน่นอน ในวันสุดท้ายของการเดินทางเราก็น่าจะจัดเตรียมสิ่งของให้พร้อมสำหรับการเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้นแล้ว การจาริกฝ่ายวิญญาณของเราก็เช่นกัน แต่ละวันเสมือนวันสุดท้ายของการเดินทาง ขอให้เตรียมพร้อมไว้

การวายพระชนม์ของพระบุตร การคืนพระชนม์ของพระคริสต์ มีความหมายต่อท่านมากน้อยแค่ไหน ท่านไปคริสตจักรในวันศุกร์ประเสริฐทำไม ท่านไปคริสตจักรในวันอีสเตอร์ทำไม ข้าพเจ้าขอฝากคำถามเหล่านี้ไว้ให้พี่น้องใคร่ครวญ แล้วสักวันหนึ่งเมื่อเราพบกันในสวรรค์ เราคงได้แบ่งปันคำตอบให้กันและกัน


สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น