ทัศนะของโลกบอกว่า “เมื่อปัญหาถาโถมใส่ทุกด้าน เราเดินผิดทางเสียแล้วในการดำเนินชีวิต” แต่สำหรับทัศนะของเราในฐานะที่เป็นคริสเตียนอาจตรงกันข้ามกับทัศนะดังกล่าว เพราะ “เมื่อเราพบกับปัญหาต่างๆ ตัวอย่างเช่น การทดลองใจ ความยากลำบาก การทดสอบ เราเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องแล้วในการดำเนินชีวิตเยี่ยงผู้เชื่อ”
ที่กล่าวเช่นนั้นได้เพราะพระเจ้าทรงกำลังถลุงและสร้างเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น และขบวนการนี้ไม่ง่าย พระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าขบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระคริสต์นั้นรวมถึงการทดลองใจ (ยากอบ 1:2-3- ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้าเมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง) การทนทุกข์ทรมาน (โรม 5:3-4- ยิ่งกว่านั้นเรา{หรือให้เรา}ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วยเพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ) การตีสอน (ฮีบรู 12:7- ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง) และการรับรู้สัมผัสในระดับสูงขึ้นถึงความเป็นมนุษย์มตะของเราเอง (2 โครินธ์ 5:4-5- เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่าแต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้นเพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา)
ท่านคงเห็นแล้วว่าเส้นทางการดำเนินชีวิตของคริสเตียนจะต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง ทุกคนต้องพบกับสิ่งเหล่านั้นและจำเป็นที่จะต้องผ่านพ้นไปให้ได้พร้อมชัยชนะ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น หากท่านพบกับการทดลองใจ ความยากลำบาก การทดสอบ เท่ากับว่าท่านเดินมาถูกทางแล้ว บนเส้นทางนี้เองที่ท่านจะถูกถลุงและถูกสร้างให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น วิถีของพระเจ้าตรงกันข้ามกับวิถีของโลกอย่างสิ้นเชิง
เปาโลยกภาชนะดินขึ้นมาเป็นตัวอย่างอธิบายสภาพการณ์ของมนุษย์และวิธีที่พระเจ้าทรงใช้เรา (2 โครินธ์ 4:7) ภาพของภาชนะดินเป็นความคิดที่ถูกต้องของสิ่งที่เราสามารถคาดหวังในชีวิตนี้
ภาชนะดินใบหนึ่งเริ่มต้นจากก้อนดินไร้ค่าที่ถูกนวดและคลึงจนอากาศถูกไล่ออกจนหมด และก้อนดินนั้นเหนียวพอที่จะขึ้นรูปเป็นภาชนะได้ หลังจากที่ปั้นจนได้รูปตามที่ต้องการแล้วก็ปล่อยให้แห้งก่อนที่จะถูกนำไปเผา หลังจากนั้นก็จะถูกขัดเงาและนำไปเผาอีกครั้งและก็เป็นภาชนะชิ้นงามพร้อมที่จะถูกนำไปใช้งานได้ ท่านคงสามารถจินตนาการตามไปได้ตามขั้นตอนเหล่านี้ว่าพระเจ้าทรงปั้นเราที่เป็นก้อนดินไร้ค่าให้เป็นภาชนะที่พระองค์ทรงใช้การได้อย่างไร แต่ภาชนะนี้เมื่อถูกใช้งานก็จะแปดเปื้อนสกปรกและต้องมีการทำสะอาดอยู่เป็นประจำและในที่สุดก็จะแปดเปื้อนสกปรกอีก และขบวนการทำความสะอาดก็จะถูกทำซ้ำๆ ในที่สุดการใช้งานเป็นเวลานานก็ทำให้ภาชนะเก่าและมีรอยร้าว แต่ตามที่เปาโลอธิบายขบวนการนี้กลับเป็นการทำให้ของมีค่าในภาชนะดินถูกปล่อยออกมาซึ่งคือฤทธิ์เดชอันเลิศของพระเจ้า (2 โครินธ์ 4:7- แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดินเพื่อให้เห็นว่าฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้าไม่ได้มาจากตัวเราเอง) เราก็เป็นเพียงภาชนะดินเท่านั้น มันเป็นขบวนการที่เน้นที่ตัวเราน้อยลงและเน้นที่สิ่งที่เรามีอยู่ในตัวมากขึ้น
ท่านเต็มใจที่จะถูกปั้นให้เป็นภาชนะดินที่ใช้การได้ตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหม และท่านยอมรับทุกสภาพของการทนทุกข์ทรมานที่เรียงรายอยู่บนเส้นทางการดำเนินชีวิตในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่งไหม ท่านพร้อมที่จะปล่อยฤทธิ์เดชอันเลิศของพระเจ้าให้ปรากฏไหม
คำถามเหล่านี้ข้าพเจ้าคงตอบแทนท่านไม่ได้ ตัวท่านเองต้องหาคำตอบเอาเอง เมื่อได้คำตอบ จงทูลต่อช่างปั้นของท่าน พระองค์ทรงพร้อมที่จะปั้นก้อนดินไร้ค่าก้อนนี้ให้เป็นภาชานะดินชิ้นงามที่พร้อมจะให้พระองค์ทรงใช้ได้ตามน้ำพระทัย จงเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงอันแผ่วเบาที่กระซิบอยู่ข้างหูให้ดี แล้วจงดำเนินไปตามนั้นบนเส้นทางที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เดินไป เมื่อท่านเดินจนถึงเส้นชัยแล้ว เราจะได้พบกัน!
สิธยา คูหาเสน่ห์
hide image
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น