“ข้ายอมทุกสิ่งข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง
สิ่งไรที่ทรงบัญชาข้าขอทำตาม
ด้วยรู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัย”
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าข้อความข้างบนซึ่งเป็นท่อนหนึ่งของบทเพลงสรรเสริญคงจะคุ้นหูทุกท่าน เพลงนี้สำหรับข้าพเจ้าแล้วยิ่งร้องก็ยิ่งรู้สึกถึงความผูกพันในข้อความนั้น ข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าข้าพเจ้ายอมตามนั้นด้วยใจจริง เป็นการยอมเชื่อฟังพระเจ้าแม้ว่าการเชื่อฟังนั้นจะหมายถึงความเจ็บปวดที่จะตามมาก็ตาม มิใช่เป็นการคล้ยตามบทเพลงหรือเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเท่านั้น ข้าพเจ้ามักจะฮัมเพลงนี้ในใจเสมอๆ เพื่อเตืนตัวเองว่าได้ให้สัญญากับพระเจ้าไว้แล้ว และข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจพี่น้องคริสเตียนทั้งหลายว่า ถ้าท่านยังไม่เกิดความรู้สึกยอมทำตามน้ำพระทัยอย่างจริงจัง จงเริ่มต้นเสียเถิด แล้วท่านจะเสียดายว่าน่าจะยอมทำตามมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เป็นการปลดปล่อยโดยแท้จริง เกิดสันติสุข และการเชื่อพึ่งในพระเจ้า และเห็นว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์เป็นจริง อยากจะขอเชิญชวนท่านทั้งหลายให้เริ่มต้นเสียบัดนี้
พอจะสรุปได้ว่าจะมีคน 3 ประเภทเมื่อร้องเพลงบทนี้ ดังนี้
1. ยอมทำตามโดยแท้จริงและถาวร
2. ยอมทำตามเป็นชั่วขณะเพราะอารมณ์พาไปและอาจจะทำได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
3. จะยอมทำตามแต่มีข้อแม้บางประการ และจะเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่เสียดังนี้ว่า
“ข้ายอมบางสิ่งข้าจะยอมทำตามบางอย่าง
สิ่งไรที่ทรงบัญชาข้อขอคิดดูก่อน
แม้ว่านั่นจะเป็นน้ำพระทัย”
ครั้งแรกที่ได้ยินเนื้อเพลงที่ดัดแปลงใหม่เราอาจจะขำ แต่ถ้าท่านลองคิดพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียว และก็มีคนประเภทหลังนี้ค่อนข้างมากเสียด้วย พระเจ้าใกล้เสด็จมาแล้ว อย่ารอช้าอยู่เลยเดี๋ยวจะไม่ทันการ ลองคิดทบทวนดูใหม่อีกครั้งว่าท่าทีของท่านเป็นเช่นไร
สำหรับประเภทแรก ไม่ใช่เรื่องง่านที่ท่านจะรักษาสัญญานั้นไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยเพราะทางดำเนินชีวิตของท่านนั้นเป็นทางแคบ ถ้าท่านไม่เพ่งมองที่พระเจ้า ท่านจะต้องสะดุดล้มครั้งแล้วครั้งเล่า และอาจจะยอมแพ้ในที่สุด แต่ถ้าท่านฮึดสู้จนวินาทีสุดท้ายไม่หวั่นแม้ว่าอุปสรรคนั้นจะใหญ่หลวงสักปานใดก็ตาม ชัยชนะจะเป็นของท่าน อย่างที่กล่าวไว้ว่าการเชื่อฟังหมายถึงความเจ็บปวดที่จะได้รับ ท่านจะยอมแน่หรือ เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำพระทัยสำหรับเรานั้นจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ พระเจ้ายังไม่เปิดเผย (สภษ. 25:2) แต่ท่านจะได้คำตอบทุกอย่างเมื่อถึงเวลาเพียงแต่ขอให้ท่านอดทนเพียรอธิษฐานขอการเสริมำลังจากพระเจ้าเท่านั้น (ลก. 21:19) การยอมทำตามนั้นอาจหมายถึงการที่ท่านอาจถูกข่มเหง หลู่เกียรติ ไม่เหลือแม้อต่ความนับถือตัวเอง แต่ถ้าท่านยอม พระพรหลังจากนั้นยิ่งใหญ่เกินว่าที่ท่านจะคาดคิด ท่านจะเติบโตในพระองค์ จิตวิญญาณจะเข้มแข็ง ได้รับการปลดปล่อย และเห็นตัวเองชัดขึ้นทุกวัน และในที่สุดพระเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นๆ แล้วในที่สุดท่านจะได้รับการยกขึ้น
สำหรับประเภทที่สอง คนพวกนี้มักจะทำตามอารมณ์ของตนเอง พวกนี้หาแก่นสารอะไรในชีวิตไม่ค่อยดได้ และชอบทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองช่างบริสุทธ์เสียนี่กระไร ถ้าเราไม่รู้จักคนพวกนี้จริงๆ ก็จะเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่มีคำกล่าวว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” คนประเภทนี้มักจะชอบโยนความผิดให้คนอื่นเสมอ และกล่าวว่าตนเองไม่เคยทำอะไรผิดเลย พวกเขาสามารถยกข้อพระคัมภีร์มาอ้างได้อย่างคล่องแคล่วเป็นฉากๆ แต่ลืมที่จะพิจารณาตัวเองว่าพฤติกรรมของตนเองขัดต่อสิ่งที่กล่าวอ้างหรือไม่ และยังหยิ่งทะนง ช่างน่าสงสารเสียจริง! ไม่ได้ดูว่าแท้จริงแล้วการดำเนินชีวิตของตนเองนั้นแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ หรือทำตามใจปรารถนาของตนเอง แล้วอ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้า ขอพระเจ้าโปรดเมตตาด้วยเถิด
ส่วนประเภทหลังสุด ยิ่งน่าสงสารหนักมากขึ้น มีข้อแม้กับพระเจ้าพระผู้สร้าง ไม่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ขอต่อรองกับพระเจ้า ยิ่งหนักข้อไปใหญ่ พระเจ้าไม่ต้องการการเชื่อฟังเป็นบางเรื่องบางส่วน พระองค์ทรงต้องการทั้งใจทั้งชีวิตของเรา กลับใจใหม่เถิด และมอบถวายตัวท่านเองแด่พระเจ้า ยอมให้พระองค์ทรงใช้ท่านตามน้ำพระทัย เวลาแห่งความรอดสั้นลงทุกทีๆ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องนับถอยหลังกันแล้ว ท่านไม่กลัวหรือ
อยากจะหนุนใจอีกว่า เมื่อท่านทนทุกข์หรือรู้สึกเจ็บปวด เมื่อนั้นแหละที่ท่านจะสัมผัสกับความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อย่ากลัวที่จะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้ยอมอย่างสิ้นเชิง เมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย จะต้องกลัวอะไรอีกเล่า
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น