3/10/51

เป็นคริสเตียนแบบไหนดีนะ

พระเจ้าทรงสร้างแต่ละคนมาไม่เหมือนกัน อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่มีใครจะเหมือนกับอีกคนหนึ่งทุกประการ (แม้จะเป็นฝาแฝดก็ตาม) และพระเจ้าทรงรักแต่ละคนในแบบที่พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นมา เราไม่สามารถจะวัดได้ว่าพระองค์ทรงรักใครมากกว่ากัน เรารู้แต่ว่าพระองค์ทรงรักทุกคนอย่างยุติธรรมที่สุด แต่บางครั้งดูเหมือนว่าจะยอมรับความจริงนี้ได้ยากสักหน่อยเพราะสิ่งที่ตามองเห็นบอกให้เรารู้ว่าอีกคนหนึ่งมีสิ่งของที่พระองค์ทรงประทานให้มากกว่า มีโอกาสที่ดีกว่า และมีอะไรต่อมิอะไรที่เป็นรูปธรรมสมบูรณ์กว่า แต่เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงสร้างแต่ละคนมาด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน และด้วยคุณสมบัติที่พระองค์ทรงประทานให้เรามานั้นจะถูกใช้เพื่อประกาศพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพื่อสถาปนาแผ่นดินของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เราต้องยอมรับน้ำพระทัยของพระองค์ เราต้องแสวงหาน้ำพระทัยนั้นก่อนและดำเนินชีวิตตามจุดมุ่งหมายนั้น แต่เส้นทางชีวิตของเราในโลกนี้ไม่ได้ราบเรียบเสมือนปูด้วยกลีบกุหลาบ ทว่าดูเหมือนจะเป็นหนทางวิบาก เราจะถูกจู่โจมด้วยอุปสรรคนานาประการ เราจะอยู่รอดจากคลื่นชีวิตหรือพายุร้ายที่โหมกระหน่ำใส่เราหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณของแต่ละคน เราจะยอมแพ้ต่อความยากลำบาก หรือเราจะสู้ยิบตาจนได้ชัย เรามีเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะเลือกเอา ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากจะท้าทายสักนิดว่า เป็นคริสเตียนแบบไหนดีนะ

ข้าพเจ้าขอเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆและเห็นภาพได้ไม่ยาก ท่านก็ลองคิดตามไปด้วยก็แล้วกันว่าท่านเข้าข่ายประเภทใด

แบบท่าดีทีเหลว ชีวิตคริสเตียนของท่านดูจากภายนอกแล้วเข้มแข็ง แต่ทว่าหลังจากที่ท่านเริ่มออกเดินไปบนเส้นทางการประกาศ การเป็นพยาน การรับใช้ในคริสตจักร และการแสดงตนเป็นคริสเตียนที่ดี ท่านก็เริ่มท้อแท้ กำลังใจถดถอย หมดเรี่ยวแรง เพราะมีอุปสรรคขวากหนามขวางกั้นการทำงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านจากภายนอก การหว่านที่ไม่เกิดผล การถูกข่มเหง ซ้ำร้ายยังพบกับภัยคุกคามจากแวดวงคริสเตียนด้วยกันเองอีกด้วย ท่านคงต้องยอมรับว่าการทำงานเป็นหมู่คณะย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ไม่เว้นแม้แต่สังคมคริสเตียนที่ยึดถือความรักเป็นใหญ่ที่สุดก็ตาม บางครั้งคนเดินนำหน้าพระเจ้า บางครั้งพึ่งพาสติปัญญาความสามารถของตนเอง บางครั้งทำเพื่อเกียรติของตนเอง และลืมพระเจ้าไปชั่วขณะ เมื่อการทำงานถูกขัดจังหวะ หนทางเริ่มวิบากเสียแล้ว ท่าดีๆที่ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ต้นเริ่มหมดไป ท่านเริ่มปลีกตัวออกไป ทำงานน้อยลง ยอมแพ้ หมดแรง เหมือนเวลาที่เราต้มแครอท ก่อนที่เราจะใส่หัวแครอทลงไปในหม้อน้ำเดือด มันยังแข็งอยู่ แต่เมื่อเราต้มไปสัก 15 นาที หัวแครอทแข็งๆที่ใส่ลงไปครั้งแรกเริ่มนิ่ม หากปล่อยไว้ต่อไปเรื่อยๆก็จะเละ เช่นเดียวกัน หากท่านปล่อยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะอ่อนปวกเปียกใช้การไม่ได้อีกต่อไป และอาจตกเป็นเหยื่อของมารได้ อย่าเป็นคริสเตียนแบบนี้เลยนะ!

แบบใจแข็งเป็นหิน ชีวิตคริสเตียนของท่านเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ที่ให้รักซึ่งกันและกัน ใจของท่านเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา อยู่นิ่งไม่ได้ อยากออกไปแบ่งปันความรักให้ผู้อื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ใจของท่านก็เริ่มเย็นชาลง อย่าว่าแต่ให้รักคนอื่นเลย แม้แต่ตัวเองก็ไม่รักด้วยซ้ำไป อาการหนักถึงขนาดพกความเกลียดชังไว้เต็มหัวใจ เมื่อเป็นเช่นในหัวใจก็ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว ท่านเริ่มห่างหายไปจากคริสตจักรเพราะไม่อยากเห็นคนที่ไม่ชอบหน้า และคิดว่าคนอื่นก็ไม่ชอบท่านด้วย หัวใจที่อ่อนนุ่มค่อยๆแข็งเป็นหิน ไร้ความรู้สึก ไร้การตอบสนอง มีแต่ความขมขื่น เหมือนเวลาที่เราต้มไข่ ก่อนที่จะใส่ลงไปในหม้อน้ำเดือด ข้างในไข่เป็นของเหลว แต่เมื่อเรานำไปต้ม สิ่งที่อยู่ภายในก็จะแข็ง และถ้าต้มต่อไปก็จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน หากท่านปล่อยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านถูกต้มต่อไปเรื่อยๆซึ่งก็คือปล่อยให้จมปลักอยู่กับความเย็นชา ความหย่อนยาน หรือลีลาชีวิตที่อาจไม่เป็นไปตามใจปรารถนาอันเป็นผลมาจากการละทิ้งพระเจ้า ไม่ได้มีสามัคคีธรรมกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ และไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และเช่นกันท่านอาจกำลังเปิดช่องให้มารก็ได้ อย่าเป็นคริสเตียนแบบนี้เลยนะ!

แบบนักเผยแพร่ ชีวิตคริสเตียนของท่านเริ่มต้นด้วยการสำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่ทรงช่วยกู้ท่านจากสภาพแตกหักและโคลนตม พระเมตตาของพระเจ้าช่วยให้ท่านมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากชีวิตเก่าอย่างสิ้นเชิง ท่านได้ลิ้มรสหอมหวานของพระวจนะของพระเจ้า และอยากจะให้คนอื่นได้ลิ้มลองบ้าง ท่านไม่อยากเก็บสิ่งดีๆไว้กับตัว แต่อยากแบ่งปันออกไป ท่านอยากมีส่วนในชีวิตใหม่ของคนบางคน อยากเป็นส่วนหนึ่งของความชื่นชมยินดี อยากเป็นท่อพระพรของพระเจ้า ท่านอยากปฏิรูปชีวิตของทุกคนในโลกนี้ (หากเป็นไปได้) เพื่อรอรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ชีวิตของท่านจะส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว เหมือนเวลาที่เราชงกาแฟ น้ำร้อนที่ใช้ชงกาแฟนั้นไม่มีรสชาติ ไม่มีกลิ่นหอม แต่ทว่าหลังจากที่ผสมกับผงกาแฟแล้ว มันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นน้ำที่มีรสชาติน่าลิ้มลอง มีกลิ่นหอมชวนดม (คิดว่าคอกาแฟคงเข้าใจดี) ตัวเราเองเปรียบเสมือนผงกาแฟ ก่อนที่เราจะรู้จักพระคริสต์ เราก็คงเหมือนเมล็ดกาแฟ ยังไม่มีกลิ่นหอมและไม่มีคุณสมบัติที่จะเปลี่ยนน้ำให้เป็นกาแฟสักถ้วยได้ แต่เมื่อถูกบดเป็นผงแล้วจึงสามารถเปลี่ยนน้ำเปล่าให้เป็นกาแฟได้ เช่นเดียวกันหลังจากที่เรายอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่นได้ในเบื้องต้นโดยนำพวกเขามาให้รู้จักกับพระคริสต์ กาแฟจะให้รสชาติที่กลมกล่อมหากน้ำที่ใช้ชงร้อนได้ที่ เช่นเดียวกัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราจะเกิดผลได้อย่างเต็มที่ได้นั้น เราต้องหิวกระหายพระคำของพระเจ้าและร้อนรนที่จะเผยแพร่ข่าวประเสริฐออกไป ดังพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ...” เป็นคริสเตียนแบบนี้เถอะนะ!


สิธยา คูหาเสน่ห์

1 ความคิดเห็น:

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น