ท่านมองชีวิตแบบไหน เชื่อแน่ว่าแต่ละคนย่อมมองชีวิตในแง่มุมที่ต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นแง่ใดมุมใดก็ตาม ต่างก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน นั่นคือ...ฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างองค์เดียว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์แต่ละคนตามพระฉายาของพระองค์ กระนั้นก็ดีมนุษย์ทุกคนย่อมมีเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่มีมนุษย์สองคนใดที่เหมือนกันทุกประการ ไม่แม้กระทั่งคู่แฝด ฉะนั้น แง่มุมชีวิตอาจมีแตกต่างกันไป แต่ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนย่อมมีมุมมองชีวิตที่เหมือนๆ กันในแง่ของการงาน ครอบครัว สุขภาพ มิตรสหาย และจิตใจ
ลองจินตนาการว่าแง่มุมนั้นๆ เป็นลูกบอลที่ท่านต้องพยายามโยนและรับให้ได้เหมือนอย่างที่นักเล่นกลทำเพื่อให้เกิดภาวะสมดุล เมื่อทำเช่นนั้นท่านก็จะเรียนรู้ได้เองว่าการงานนั้นเป็นลูกบอลยาง หากท่านทำมันหล่นลงพื้น มันจะเด้งขึ้นมาได้เอง แต่ลูกบอกอีกสี่ลูกนั้น-ครอบครัว สุขภาพ มิตรสหาย และจิตใจ-เป็นลูกบอลแก้ว หากท่านทำลูกใดลูกหนึ่งหล่นลงพื้น มันก็จะแตกละเอียดยับเยิน มันจะแตกสลายเกินกว่าจะกอบกู้ให้เหมือนเดิมได้ ท่านต้องรู้เช่นนั้น ท่านต้องพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้เกิดความสมดุลในชีวิต แต่จะทำได้ด้วยวิธีใดบ้างล่ะ
ที่จะกล่าวไว้ข้างล่างนี้เป็นเพียงเคล็ดลับบางประการเท่านั้น
จงอย่าทำลายคุณค่าของตัวเองด้วยการเปรียบเทียบตัวของท่านเองกับคนอื่น เพราะการที่เราแต่ละคนแตกต่างกันนั่นเองที่ทำให้แต่ละคนมีความพิเศษเฉพาะตัว...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แต่ละคนให้แตกต่างกัน พระองค์ทรงประทานความสามารถให้แต่ละคนแตกต่างกันด้วย ฉะนั้น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นจึงไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับว่าไม่เห็นคุณค่าของประทานของพระเจ้า พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าในตัวตนที่แท้จริงของสิ่งทรงสร้าง
จงอย่าตั้งเป้าหมายตามสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าสำคัญ ตัวท่านเองเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเองที่สอดคล้องกับของประทานจากพระเจ้า... หากท่านไม่แน่ใจควรปรึกษากับพระผู้สร้าง มิใช่ทำตามความคิดเห็นของมนุษย์ ทูลพระองค์สิ แล้วจะได้คำตอบอย่างแน่นอน
จงอย่ามองข้ามคุณค่าของสิ่งที่อยู่ในใจ ให้ยึดเหนี่ยวมันไว้เสมือนว่าเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต เพราะหากปราศจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว ชีวิตก็ไร้ความหมาย...อย่าลืมว่าทุกอนูในร่างกายของท่านเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า
จงอย่าปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวันๆ โดยจมอยู่กับอดีตหรือฝันเฟื่องถึงอนาคต ให้ดำเนินชีวิตที่เหลือในแต่ละวันอย่างมีความหมายกับองค์พระผู้เป็นเจ้า...จะหวนกลับไปหาอดีตทำไมกันเล่าในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่อาจแก้ไขได้ อนาคตก็ยังมืดมน วันนี้ต่างหากที่เป็นของประทานจากพระเจ้า จงใช้ชีวิตในแต่ละวันเสมือนว่าเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของท่าน ชีวิตของท่านถูกลิขิตไว้ก่อนแล้วในน้ำพระทัยของพระเจ้า จงอยู่อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องกังวลถึงเมื่อวานหรือวันพรุ่งนี้
จงอย่ายอมแพ้ง่ายๆ ในขณะที่ท่านยังมีอะไรที่จะให้หรือแบ่งปันให้แก่คนอื่น ไม่มีอะไรที่ปิดฉากลงอย่างสิ้นเชิงตราบเท่าที่ยังมีความพยายาม...ผู้เชื่อย่อมไม่สิ้นหวังง่ายๆ เพราะพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความหวังใจ พยายามทบทวนชีวิตที่ดำเนินไปกับพระเจ้า หากมีส่วนใดที่ยังเป็นความผิดบาป จงสารภาพและกลับใจ พระเจ้าผู้ทรงดีล้ำเลิศจะยกโทษบาปของท่าน และให้หันกลับมาในทางของพระเจ้า ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงภายใต้ร่มพระคุณ
จงกล้าที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่ดีพร้อม ก็ความเปราะบางนี้แหละที่ผูกพันเราไว้ด้วยกัน...ไม่มีมนุษย์คนใดดีพร้อม ยกเว้นพระเจ้าเท่านั้น
จงอย่ากลัวที่จะเผชิญกับความเสี่ยง การยอมเสี่ยงทำให้เราเรียนรู้จักความกล้า...มีคนกล่าวไว้ว่าถ้าไม่มีขั้วตรงกันข้าม ย่อมไม่เกิดการเรียนรู้ หากยังคิดว่าไม่สามารถเรียนรู้ จงทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า
จงอย่าปิดกั้นความรักด้วยการบอกว่าไม่มีเวลา วิธีรับความรักที่เร็วที่สุดก็คือการให้ วิธีสูญเสียความรักที่เร็วที่สุดก็คือการยึดมั่นไว้แน่นเกินไป และวิธีรักษาความรักไว้ให้ยืนนานที่ดีที่สุดก็คือการใส่ปีกให้กับความรักเพื่อที่มันจะสามารถโบยบินไปหาคนอีกมากมาย...พระเจ้าของเราทรงเป็นความรัก อย่าปฏิเสธการทำความรู้จักและเปิดแขนรับความรักของพระเจ้าด้วยการประวิงเวลาให้เนิ่นนานออกไป ไม่ต้องรอจนกระทั่งวันที่นอนรอความตายอยู่บนเตียงแล้วจึงจะยอมรับพระองค์ บางทีอาจสายเกินไป
จงอย่าให้ชีวิตเร่งรีบจนลืมไปว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ให้รู้ด้วยว่ากำลังจะไปไหน...ชีวิตที่เร่งรีบไม่ได้ให้คุณประโยชน์อะไร เพลาๆ ลงบ้าง ใช้เวลาอยู่กับพระเจ้าให้มากขึ้น ทำความรู้จักกับพระเจ้าให้ลึกซึ้งมากกว่าเก่า และระลึกถึงพระคุณของพระองค์เสมอและรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ ล้วนมาจากพระองค์ และเป้าหมายสูงสุดของการจาริกอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อเดินทางกลับบ้านถาวรของเราในสวรรค์สถาน
จงจำไว้ให้แม่นว่าความต้องการทางอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนๆ หนึ่งก็คือการรู้สึกว่ามีคนชื่นชม...หากว่าไม่รู้สึกว่าได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชมของมนุษย์ ท่านยังมีพระบิดาที่ชื่นชมท่านและรักท่านอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ที่เบื้องพระพักตร์ท่านจะเป็นที่ชื่นชม
จงอย่ากลัวที่จะเรียนรู้ ความรู้นั้นเบา เป็นขุมทรัพย์ที่สามารถนำติดตัวไปได้ไม่ยาก...ความรู้ไม่มีขอบเขต เรียนเท่าไรก็เรียนรู้ไม่หมด ท่านเรียนรู้แล้วหรือยังว่าพระเจ้าทรงรักท่านอย่างมากมาย ถ้ายังไม่แน่ใจ ใคร่ครวญต่อไปจนกว่าจะได้คำตอบ
จงอย่าใช้เวลาและคำพูดอย่างสะเพร่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือคำพูดไม่สามารถกู้คืนมาได้ ชีวิตไม่ใช่การวิ่งแข่ง แต่เป็นการเดินทางที่แต่ละก้าวย่างต้องถูกปรุงแต่งให้มีรสชาติที่น่าลิ้มลอง...พระคัมภีร์สอนว่าให้ช้าในการพูด (ยากอบ 1:19) ตริตรองกันสักนิดก่อนจะพูด และควรใช้เวลาที่พระเจ้าทรงประทานมาให้อย่างคุ้มค่าในแต่ละวันให้ถูกต้อง และอย่าลืมที่จะให้เวลากับพระเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกคนคงทูลขอสติปัญญาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะประคับประคองแง่มุมต่างๆ ของชีวิตให้สมดุลและเติบโตขึ้นในความรู้แห่งพระองค์
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น