10/10/51

กับดัก

บทความแรกในปี 1998 ของข้าพเจ้าฟังดูน่ากลัวแต่ก็น่าติดตาม ท่านคิดแบบเดียวกับข้าพเจ้าไหม ในหัวสมองของข้าพเจ้ามีแนวเรื่องมากมายที่จะเขียนเพราะพระเจ้าทรงเมตตาประทานเวลาให้แก่ข้าพเจ้าอย่างเหลือเฟือในช่วงมากกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา พระเจ้าทรงมีพระประสงค์และวารสำหรับทุกคนไม่เหมือนกัน สำหรับคนอื่นที่บอกว่าเวลาที่พระเจ้าประทานมาให้ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันดูเหมือนจะน้อยไปสักนิดก็อย่าได้อิจฉาข้าพเจ้าเลย เพราะแทนที่ข้าพเจ้าจะฉวยโอกาสทำอะไรให้มากขึ้นก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะเวลาเกือบทั้งหมดใน 1 วันนั้นต้องนอนอยู่บนเตียงได้แต่คิดโน่นคิดนี่และใช้เลากับการอ่านหนังสือและดูทีวีเท่านั้น ทั้งนี้เพราะอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 97 ทำให้กระดูกที่หัวแม่เท้าซ้ายแตก แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนสูงอายุอย่างข้าพเจ้าไป จนบัดนี้ก็ยังไม่หายและหมอก็ยังห้ามใช้เท้าเกินความจำเป็น จึงสร้างความอึดอัดให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างมากเพราะนอกจากต้องนอนทั้งวันแล้วยังเดินไม่สะดวกอีกด้วย

เหตุนี้ทำให้คำว่า “กับดัก” ผ่านเข้ามาในความคิด ส่วนใหญ่เรามักจะติด “กับ” ที่มีคนวางไว้ เรามักจะขาดความกล้าในการปฏิเสธสิ่งล่อใจและบอกกับตัวเองว่า “ลองดู” สักหน่อนก็แล้วกัน เหมือนกับที่เราพ่ายแพ้ต่อการทดลองหรือ “กับดัก” ที่ซาตานดักไว้เสมอ ทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนโตได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดแห่งหนึ่งก็คือ ดิสนีย์แลนด์ เมื่อรู้ว่าจะไปเที่ยวกัน ข้าพเจ้าก็บอกกับลูกสาวว่าคงจะไม่เล่นเครื่องเล่นใดๆ หรอกนะ แต่เมื่อไปถึงตอนที่ซื้อบัตรผ่านประตู ที่นั่นเขาเรียกว่า “พาสปอร์ต” ก็จะมี 2 แบบ คือเป็นแค่บัตรผ่านประตูอย่างเดียวกับรวมการเล่นเครื่องเล่นทุกชนิด ซึ่งแบบหลังจะคุ้มกว่ามาก ลูกสาวและเพื่อนก็บอกว่าไหนๆ มาแล้วถ้าไม่เล่นจะน่าเสียดาย ข้าพเจ้าจึงให้ซื้อแบบเล่นเครื่องเล่นด้วย และตั้งใจว่าจะมองข้ามชนิดที่โลดโผนไปเสีย แต่ปรากฏว่าเครื่องเล่นที่ว่างเมื่อเราเดินผ่านในครั้งแรกกลับเป็นชนิดที่โลดโผนที่สุด เพื่อนของลูกสาวบอกว่าเราโชคดีที่ไม่ต้องคอยนาน เพราะปกติแล้วคนจะเล่นกันมากและบางครั้งต้องคอยเป็นชั่วโมงกว่าจะได้เล่น แต่เมื่อข้าพเจ้าอ่านชื่อเครื่องเล่น (Space Mountain) ก็พอจะมองเห็นภาพว่าเป็นเครื่องเล่นชนิดใด ก็บอกว่าคงไม่ไหวนะแต่ขอเข้าไปดูข้างในหน่อยว่าเป็นอย่างไรแล้วจึงค่อยตัดสินใจ เมื่อเข้าไปข้างในก็ต้องเดินเป็นระยะทางไกลพอสมควรกว่าจะได้นั่งเครื่อง อยากจะเรียกว่า “เรือเหาะ” และตลอดทางจะมีป้ายเตือนว่า “สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจ (และยังมีอีกหลายโรคซึ่งจำไม่ได้แล้ว) ขอให้ตัดสินใจให้ดี ท่านสามารถเดินออกไปตรงทางออกนี้ได้” ข้าพเจ้าก็คิดว่าปัญหาของข้าพเจ้าอยู่ที่ลิ้นหัวใจต่างหากและใจก็ไม่สั่น (เต้นแรงและผิดจังหวะ) สักหน่อย ข้าพเจ้ามักจะวัดความรุนแรงของเหตุการณ์ด้วยการเต้นของหัวใจตัวเอง ขาก็เดินต่อไปแล้วก็พบป้ายเตือนแบบเดียวกันอีก แล้วขาก็เดินต่อไป เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงป้ายสุดท้าย ตอนนั้นใจก็ชักลังเลอยากเดินออกไปเหมือนกัน แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะถึงเรือเหาะที่ต้องนั่งพอดี ถ้าจะเดินออกตอนนั้นก็จะวุ่นวายเพราะมีคนตามมามาก เมื่อเรือเริ่มเหาะใหม่ๆ ก็สนุกและเมื่อมองขึ้นเบื้องบนจะเห็นดาวระยิบระยับไปหมด ทุกคนร้องเสียงดัง แปลความหมายได้ว่า ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้! แต่ไม่นานเสียงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกรีดร้องแทนเพราะเรือเริ่มเหาะแบบผาดโผนโจนทะยานเสียจริงๆ ครั้งแรกข้าพเจ้าก็ยังกรีดร้องอยู่ แต่สักพักเล็กๆ ก็หยุดร้อง ลูกสาวที่นั่งคู่กันเริ่มใจเสียและเกรงว่าข้าพเจ้าจะช็อคไปหรืออย่างไร ก็ถามว่า “Mama เป็นอะไรหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบว่า “ยังอยู่” ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะในใจกำลังเรียกหาพระเจ้าอยู่ กำลังบอกพระเจ้าว่า ขอให้หยุดเรือนั้นเสียที ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าคงต้องไปเฝ้าพระองค์แน่ๆ ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนกับว่าตกลงจากที่สูงมากๆ อย่างรวดเร็วและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้แค่บทเรียนเท่านั้น เพราะคนอายุขนาดข้าพเจ้าบางคนเมื่อเรือจอดก็ลุกขึ้นเดินไม่ได้ บางคนก็หัวใจวายเฝ้าเรือไปตลอด บางคนก็เป็นโรคประสาทหลอนไปนาน แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข็ด ยังไปเล่นรถไฟเหาะอีกซึ่งความน่ากลัวน้อยกว่ากันหน่อย เพราะคราวนี้สามารถหวีดร้องได้ตลอด เมื่อถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็บอกลาทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะมีเสียงกระซิบในใจว่าลองดูเสียหน่อยน่ะ ก็ไม่กล้าลองอีกแล้วเพราะเกรงว่าต้องไปเฝ้าพระเจ้าจริงๆ แท้จริงไม่ได้กลัวการไปเฝ้าพระเจ้า แต่เกรงว่าลูกสาวจะทำอะไรไม่ถูกเพราะอยู่ต่างแดนและจะโทษตัวเองที่ทำให้แม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ทำให้ข้าพเจ้านึกเปรียบเทียบกับการล่อลวงของมาร ลองดูเสียหน่อยน่ะ และสิ่งล่อใจของมารก็มักจะน่าลิ้มลองยากต่อการปฏิเสธเสียด้วย เรารู้และตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวงที่รอเราอยู่ แต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าไม่เอา เหมือนที่ข้าพเจ้ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมเดินออกไปเสียที แต่เมื่อจะตัดสินใจไม่เอาก็มักจะสายไป แล้วเราก็ยังตกอยู่ในการทดลองต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นการทดลองที่เล็กหรือใหญ่เท่านั้น ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจพี่น้องที่รักว่า อย่าลองเลย แล้วเราก็จะขมขื่นอยู่กับอดีตที่เจ็บปวดของเรา บางทีลำพังตัวเราเองคงไม่สามารถยืนหยัดต่ออำนาจชั่วได้ แต่ถ้าเราเชื่อพึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอการเสริมกำลังจากพระองค์ และดำเนินชีวิตในน้ำพระทัย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าเราจะเป็นผู้ชนะ

ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างในตอนนี้ การทดลองอาจมีมากสำหรับบางคน ขอให้เข้มแข็งกับพระเจ้า และนึกถึงข้อพระวจนะนี้ว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (อฟ. 4:13) ขอให้แน่ใจว่าเราทูลขอการเสริมกำลังจากพระองค์ เราล้มแน่ถ้าพึ่งเพียงสติปัญญาของตนเอง

ข้าพเจ้าหวังว่าการเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้ายกขึ้นมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องบ้างไม่มากก็น้อย และขอให้เรารักกันและกัน และที่สำคัญมากยิ่งไปกว่านี้คือ คำอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน และขอให้อธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าด้วยในเรื่องการรับใช้ เพราะงานของพะเจ้ารอข้าพเจ้าอยู่ค่อนข้างมาก แต่สรีระไม่ตอบสนองเลย

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น