1/10/51

ความชื่นชมยินดี ความปวดร้าวใจ

จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ (โรม 12:15)

ความชื่นชมยินดีและความปวดร้าวใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเราคงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าความชื่นชมยินดีของเราอาจเป็นความปวดร้าวใจของอีกคนหนึ่ง ในทำนองเดียวกันความทุกข์ใจของเราก็อาจเป็นความสุขของอีกคนหนึ่งได้เช่นกัน แต่การที่จะรับรู้ความจริงดังกล่าวต้องอาศัยความไวต่อสิ่งกระตุ้นที่หาได้ค่อนข้างยากเพราะในขณะที่เรากำลังมีความชื่นชมยินดีนั้นเรามักจะคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นการที่จะตระหนักว่าในขณะที่เรากำลังชื่นชมกับความสุขของเราอยู่นั้น บางคนอาจกำลังปวดร้าวใจอยู่ก็ได้ ความปีติยินดีคงท่วมท้นใจของเราจนไม่เหลือช่องว่างให้กับการเอื้ออาทรใครๆ ได้อีก ในทำนองเดียวกัน เมื่อเรามีความปวดร้าวใจ เราคงจมอยู่กับกองทุกข์ของเราจนไม่อาจร่วมยินดีกับความสุขของใครได้เช่นกัน แต่ในฐานะที่เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ให้เป็นประชากรของพระองค์ เราต้องสามารถ “ร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้” และ “ชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี” กล่าวโดยสรุป พระเยซูทรงขอให้เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องของเราในครอบครัวขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แม้ว่าเราจะมีความชื่นชมยินดีมากมายในชีวิตของเรา เราตระหนักหรือไม่ว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่มีสิ่งดีๆ เหมือนเรา

ในความชื่นชมยินดี เมื่อ ...

เรากำลังตื่นเต้นและสุขใจกับความสำเร็จด้านการศึกษาของลูก คนรอบข้างของเราบางคนอาจกำลังรู้สึกปวดร้าวใจที่ไม่มีลูกสักคนให้ชื่นชมในความสำเร็จของเขาก็เป็นได้

เราฉลองที่ได้รับการเลื่อนขั้นตำแหน่งในหน้าที่การงานหรือเงินเดือน บางคนอาจกำลังถูกให้ออกจากงานก็เป็นได้
เรามีความเป็นอยู่ที่ดี แต่อาจมีคนยากไร้จำนวนมากในสังคมกำลังปากถีบตีนกัดเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ ก็เป็นได้

เรามีสุขภาพที่ดี แต่อาจมีบางคนป่วยเรื้อรัง บางคนป่วยใกล้ตายก็เป็นได้

เราสามารถที่จะต้านทานแนวโน้มของความชื่นชมยินดีที่จะทำให้เราไม่รับรู้ความปวดร้าวใจของผู้อื่นได้ไหม เราสามารถรับรู้ความทุกข์ของคนที่กำลังปวดร้าวใจได้ไหม มิเพียงรับรู้เท่านั้น แต่ร่วมทุกข์ด้วย มันคงทำได้ไม่ง่าย-พูดให้ถูกยากทีเดียว แต่หากเราเรียนรู้ที่จะทำ เราย่อมทำได้ ไม่มีอะไรยากเกินทำหากเราถ่อมใจลงและยอมรับการเสริมกำลังจากพระเจ้าโดยตระหนักว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยทุกสถานการณ์ นี่เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งที่เราทุกคนในฐานะผู้เชื่อต้องสอบให้ผ่าน บางคนสอบครั้งเดียวผ่าน แต่บางคนอาจต้องสอบใหม่ บางคนถึงกับต้องสอบหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องราวนี้เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับบทเรียนดังกล่าว

ครอบครัว แวน รินนั่งอยู่ข้างเตียงของลอรานานถึงห้าสัปดาห์หลังจากที่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และอยู่ในอาการโคมา นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ น้องสาว เพื่อนๆ ของเธอก็หวุนเวียนกันมาเยี่ยมและอ่านหนังสือให้เธอฟังในขณะที่เธอหลับใหลไม่ได้สติ นอกจากอ่านหนังสือแล้วยังพูดคุยกับเธอ และพยายามให้เธอตอบสนองด้วยการขยับนิ้วมือหรือกระพริบตา ทุกคนไม่ได้ปันเวลาไปคิดถึงนักศึกษาอีกสี่คนซึ่งร่วมชะตากรรมเดียวกัน วิทนีย์เพื่อนคนหนึ่งของลอราถึงกับเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ ในขณะที่ครอบครัวซีรัคกำลังฝังร่างของลูกสาว ครอบครัว แวน รินกำลังอธิษฐานและหวังว่าลูกสาวจะพ้นขีดอันตรายและตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากที่เฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงห้าสัปดาห์ ความปรารถนาของครอบครัวนี้ก็สัมฤทธิ์ผล แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่

คำแรกที่ลอราพูดเมื่อฟื้นขึ้นมาจากอาการโคมาคือ “หนูไม่ได้ชื่อลอรา หนูชื่อวิทนีย์ต่างหาก”

การตรวจหลักฐานเกี่ยวกับฟันยืนยันว่าเป็นจริงเช่นนั้น เด็กสาวที่ครอบครัว แวน รินนั่งเฝ้าอย่างใกล้ชิดคือ วิทนีย์ ซีรัค และที่น่าเศร้ายิ่งนักคือร่างของเด็กสาวที่ถูกฝังนั้นที่แท้คือ ลอรา แวน ริน

ผู้สอบสวนบอกว่าบัตรประชาชนของเหยื่ออุบัติเหตุกระจัดกระจายทั่วสถานที่เกิดเหตุจึงทำให้ในครั้งแรกไม่อาจยืนยันว่าใครเป็นใครได้ ทั้งวิทนีย์และลอรามีผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และหน้าตาละม้ายคล้ายกันมากจนแยกแทบไม่ออก แม้กระทั่งพ่อแม่ (ในยามเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง) ยังมองไม่ออก

เรื่องนี้น่าตกตะลึง น่าประหลาดใจ และน่าสยองขวัญ ท่านนึกออกไหมว่าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าแทนที่จะเสียใจกับการจากไปของลูกกลับมานั่งเฝ้าไข้แทน (ซึ่งแท้จริงไม่ใช่ลูกด้วยซ้ำไป) และท่านจินตนาการได้ไหมว่าพ่อแม่อีกครอบครัวหนึ่งเมื่อรู้ว่าร่างที่ฝังไปนั้นไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร แน่นอนที่ครอบครัวซีรัคย่อมรู้สึกโล่งอกที่ในความเป็นจริงโศกนาฏกรรมนั้นเป็นของอีกครอบครัวหนึ่ง มิใช่ว่าอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่นั่นเป็นวิถีของสิ่งที่เราเรียกว่าความชื่นชมยินดีและความปวดร้าวใจ ดูเหมือนว่าบางครั้งมันเกิดขึ้นในปริมาณที่เท่าๆ กัน ความชื่นชมยินดีของอีกคนเป็นความปวดร้าวใจของเรา ความชื่นชมยินดีของเราเป็นความปวดร้าวใจของอีกคนเสมอ

ในยามสงคราม ลูกชายของครอบครัวหนึ่งกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ในขณะที่อีกครอบครัวหนึ่งได้แค่ร่างที่ไร้วิญญาณในหีบศพพร้อมกับ “เกียรติประวัติ” ทารกคนหนึ่งลืมตาดูโลก ในวันเดียวกันนั้นเองเด็กอีกคนหนึ่งกำลังป่วยเจียนตาย คนหนึ่งได้ทำงานที่ใฝ่ฝันไว้ อีกคนหนึ่งต้องออกจากงาน สามีภรรยาคู่หนึ่งฉลองครบรอบวันแต่งงานกันอย่างชื่นมืน ในขณะที่อีกคู่หนึ่งต้องทนอยู่กันต่อไปอย่างเย็นชาและระเบิดอารมณ์ใส่กัน พระคัมภีร์บอกว่า “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง … มีวารร้องไห้และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์และวาร เต้นรำ” (ปัญญาจารย์ 3:1, 4) สิ่งที่ทำให้เรื่องราวของทั้งสองครอบครัวนี้น่าเศร้าและน่าชื่นชมยินดีคือการที่ได้รับการบอกกล่าวว่ามันเป็นวารหนึ่งในขณะที่ความเป็นจริงเป็นอีกวารหนึ่ง ประสบการณ์นี้เหมือนประสบการณ์ของทุกคนบนโลกนี้ ความชื่นชมยินดีและความปวดร้าวใจเป็นสองด้านในชีวิต และเราทุกคนมีประสบการณ์ด้วยกันทั้งนั้น

แต่เรื่องนี้ยังไม่จบตรงนี้ หลังจากที่ครอบครัว แวน ริน รู้ว่าลูกสาวจากไปแล้วและถูกฝังไปแล้ว ไม่ใช่การรอคอยให้ฟื้นจากอาการโคมา ครอบครัวนี้ก็กล่าวว่า “มันเป็นทั้งความชื่นชมยินดีและในขณะเดียวกันก็เป็นความปวดร้าวใจสำหรับครอบครัวของเรา สำหรับเราคงจะเศร้าโศกกับการเดินทางกลับบ้านของลอราและคงคิดถึงความน่ารักและความมีน้ำใจดีงามของเธอเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าลูกได้กลับไปอยู่กับจอมกษัตริย์ของเธออย่างปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่เราก็รู้สึกชื่นชมยินดีกับครอบครัวซีรัคที่จะได้อยู่กับลูกสาวต่อไปอีก”

ถ้าเป็นท่าน ... ยังสามารถกล่าวได้ไหมว่า “มันเป็นทั้งความชื่นชมยินดีและในขณะเดียวกันก็เป็นความปวดร้าวใจ …” มันเป็นขีดความสามารถสูงสุดของมนุษย์คนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เห็นแก่ตัวและความเชื่อศรัทธา มันคงจะเข้าใจยากสักหน่อยที่ครอบครัว แวน ริน สามารถกล่าวเช่นนั้น หากว่าครอบครัวนี้จะแสดงความรู้สึกขมขื่นและความเจ็บปวดก็คงไม่มีใครตำหนิได้ แต่นี่กลับยังสามารถชื่นชมยินดีกับอีกครอบครัวหนึ่งในขณะที่หัวใจแตกสลายและความหวังพังทลายลง

ครอบครัว แวน ริน คิดอย่างเดียวกับเปาโลว่า จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ ในความเศร้าโศกสุดพรรณนาครอบครัวนี้ยังมองเห็นความหวังและความชื่นชมยินดีที่มีต่อครอบครัวซีรัคอย่างจริงใจ

เมื่อมีความปวดร้าวใจ ท่านสามารถที่จะปล่อยวางสักนิดได้ไหม ท่านสามารถร่วมฉลองความสุขกับคู่สมรสที่ครองรักกันอย่างราบรื่นในขณะที่ท่านต้องอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวได้ไหม ท่านสามารถยินดีกับพี่น้องที่มีฐานะการเงินมั่นคงในขณะที่ท่านกำลังปล้ำสู้เพื่อความอยู่รอดได้ไหม ....

การรักพี่น้องอย่างแท้จริงก็คือความสามรถที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขนั่นเอง ถ้าทำได้เช่นนั้นเท่ากับว่าเราไม่ได้ห่วงเฉพาะตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังใส่ใจพี่น้องอีกด้วย

บางทีที่กล่าวมาอาจผิดธรรมชาติไปหน่อย แต่มันเป็นสิ่งที่เราเจอะเจอในข่าวประเสริฐ พระเยซูทรงเลือกทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อเรา มิใช่ต่อพระองค์เอง พระองค์ทรงเลือกที่จะแบกรับความปวดร้าวใจของเราไว้ และทรงชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำทางการเสียสละของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกเราทั้งหลายให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแล้วคือ เจ็บปวดและร่วมยินดีกับผู้อื่นไม่ว่าความผกผันในชีวิตจะนำอะไรเข้ามาในเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราก็ตาม

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น