10/10/51

การรอคอย

การรอคอย … ฟังดูช่างเลื่อนลอยเสียนี่กระไร แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปอีกนิดจะเห็นว่าไม่ใช่จะเป็นในแง่ลบเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเรารอคอยอะไรสักอย่าง แน่นอนที่สุดเราต้องมีความหวังว่าสิ่งที่รอคอยอยู่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็มี ความหวัง แต่ความอดทนเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นที่รอคอยอยู่จะมาถึงเมื่อไร ช่วงขณะนั้นคงจะมีแต่ความเครียด ความกระวนกระวายใจ ความไม่แน่ใจ ความหวาดกลัว และความท้อใจ แต่ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้จะหมดไปเมื่อเราคุกเข่าลงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลเรื่องราวต่างๆ ในใจของเราต่อพระองค์ (สดด. 62:6) รอคอยน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความเชื่อ

พระเจ้ามิได้ทรงสัญญาว่า เราจะไม่ต้องแบกภาระหนักหรือชีวิตของเราจะไม่พบกับความขมขื่นเลย แต่ถ้าดราเชื่อฟังพระเจ้า ก็จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความมั่นคง

ต้องขออนุญาตยืมคำพูดของคุณสายใจ ไชยเศรษฐ จากเรื่อง “เล่าให้แม่ฟัง” ในข่าวคริสตจักรฉบับเดือนกรกฎาคม 1998 ซึ่งข้าพเจ้าประทับใจมากที่กล่าวว่า เราไม่ใช่คนความจำเสื่อมนี่ลูก ขอบคุณพระเจ้าแล้วเผชิญหน้ากับความขมขื่นใจนั้น ที่เหลือเป็นงานส่วนของพระเจ้า แล้วลูกก็จะยิ้มได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง (ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคำพูดที่หนุนใจมากเช่นนี้)

เพราะพระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ. 11:28) เราต้องเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้า และวางภาระทั้งหมดของเราไว้ที่กางเขน และต้องมีความกล้าพอที่จะไม่ยื้อเอากลับมาอีก

ข้าพเจ้าใคร่ขอยกตัวอย่างในเรื่องนี้เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจน ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขายังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ก็เข้าใจเปรียบเทียบการวางความหนักใจลงอย่างสิ้นเชิงว่าเป็นอย่างไร ในระหว่างที่คุยกันถึงปัญหาหนักอกต่างๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเอาขวดน้ำขนาด 1 ลิตรให้ข้าพเจ้าถือไว้แล้วก็คุยต่อ สักครู่ก็หันมาถามข้าพเจ้าว่าหนักหรือไม่ เมื่อบอกว่าหนักมาก เขาก็บอกว่าจะถือเอาไวทำไมล่ะ วางลงสิ! แล้วถามว่าสบายไหม เมื่อหนักก็วางลงเสีย

เช่นกันถ้าคิดว่าภาระของเราหนักมากจนแทบแบกไม่ไหว จงเข้าเฝ้าพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ อย่าคิดว่าเราเก่งสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เมื่อทูลพระเจ้าถึงปัญหาต่างๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีก เพราะพระเจ้าจะทรงประทานทางออกให้ เมื่อทางหนึ่งตัน พระองค์จะประทานทางออกอีกทางหนึ่งให้เสมอ ขอเพียงรอคอยอย่าได้ท้อถอยเท่านั้น (ดู สดด. 130:5)

เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มธ. 6:34) คริสเตียนไม่ควรจะต้องกระวนกระวายใจถึงวันพรุ่งนี้ เพราะเราต้องเชื่อในการทรงจัดเตรียมที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดๆ ที่ยังมาไม่ถึง เพราะทุกสิ่งอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เรามีชีวิตอยู่สำหรับวันนี้ ทำให้วันนี้ของเราเป็นเวลาแห่งพระพร เป็นเวลาแห่งการสรรเสริญพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องหวาดกลัว วันนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ขอให้เราเพียรรอคอยพระสัญญาของพระเจ้า และเชื่อว่าสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเราเป็นพระพร เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ มิใช่เป็นตามใจปรารถนาของเรา แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็มีพระพรซ่อนอยู่ และถ้าเราค้นหาจะพบว่าเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่เสมอ

จงรอคอยพระเจ้าเถิด คริสเตียนทั้งหลาย มีชีวิตที่ตั้งอยู่ในความเชื่อ ความหวัง และความรัก

จงรอคอยพระเจ้า ด้วยความกล้าหาญและอดทน
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยการสรรเสริญและการสดุดี
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยการเฝ้าอธิษฐาน
จงรอคอยพระเจ้าเถิด เอเมน

สิธยา คูหาเสน่ห์

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ19/8/54 20:49

    ขอบคุณพระองค์

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ค้นพบข้อความกันใจ
    ข้าพเจ้าเชื่อเป็นเวลาของพระเจ้าที่ให้เจอและอ่านบทความนี้
    ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะในพระเจ้าไม่มีเรื่องบังเอิญ

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น