“ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลงฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า” (สดุดี 40:1) และขอให้เราทูลความปรารถนาในใจทั้งสิ้นของเราต่อพระองค์ “จงมอบทางของท่านไว้กับพระเจ้า วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ” (สดุดี 37:5) “เมื่อคนชอบธรรมร้องทูล พระเจ้าทรงสดับ...” (สดุดี 37:17ก)
ท่านทำตามพระวจนะดังกล่าวข้างต้นหรือเปล่า ท่านสนทนากับพระเจ้าบ่อยแค่ไหน และถ้าหากเมื่อท่านทูลเรื่องราวต่างๆต่อพระเจ้า ท่านครอบครองการสนทนานั้นไว้แต่เพียงคนเดียวโดยไม่ยอมหยุดฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเลยหรือเปล่า หรือว่าท่านไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า บ่อยครั้งที่เรามักจะลืมพระเจ้า ยามสุขเราก็มัวแต่หลงใหลได้ปลื้มกับความสุขสมหวัง...จนลืมพระเจ้า ส่วนยามทุกข์เราก็มัวแต่โศกเศร้าเสียใจ...จนลืมพระเจ้าอีกเช่นกัน
ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่มีท่าทีต่อพระเจ้าเช่นว่านี้ คงยังไม่สายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ อย่ามัวแต่ปลาบปลื้มกับความสุขในโลกนี้อยู่เลย มันไม่จีรังยั่งยืนหรอก ทุกสิ่งล้วนอนิจจังทั้งนั้น เมื่อท่านสมหวังมีความสุข ขอบพระคุณพระเจ้าสิ! ขอบพระคุณที่พระเจ้าทรงอวยพระพรท่านอย่างมากมาย แล้วเมื่อความทุกข์มาเยือนล่ะ ก็ขอบพระคุณพระเจ้าสิ! ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงให้ท่านต้องพบกับความปวดร้าวใจ ทูลถามพระองค์ว่าทรงมีแผนการอะไรสำหรับตัวท่าน เพราะพระเจ้าคงไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตของท่านโดยที่ไม่มีพระประสงค์อย่างแน่นอน เปิดใจออกต้อนรับพระองค์ เปิดหูฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ขอให้ทูลถามพระองค์ด้วยใจอธิษฐาน และรอคอยคำตอบด้วยความอดทน ขอให้อธิษฐานเถิด เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน...” (ยากอบ 5:13) พระองค์จะรอคอยเราอยู่ที่นั่นเสมอและพร้อมที่จะสมานแผลในใจของเราเหมือนเด็กเล็กๆที่ร้องไห้เมื่อนำของเล่นที่หล่นแตกมาหาเรา เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีฝันที่แตกสลายขอให้นำเศษฝันที่แตกออกเป็นชิ้นๆนั้นไปหาพระเจ้า พระองค์จะช่วยสานฝันและทอให้เป็นผืนได้ใหม่ด้วยความรักที่ไม่มีข้อแม้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นสหายเลิศของเรา พระองค์จะช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์นั้นๆได้ไม่ว่ามันจะใหญ่และหนักสักเพียงใดก็ตาม ภาระหนักอึ้งจนแทบจะแบกเอาไว้ไม่ไหวของเรานั้นก็จะเบาดั่งปุยนุ่น ขอเพียงท่านพึ่งพาในพระเจ้า (บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) น้ำตาแห่งความเศร้าโศกจะถูกซับให้แห้งเหือดเมื่อเรายอมที่เข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ขอให้เรามีความเชื่อวางใจในพระองค์และอย่าได้สงสัยเลย ดังที่พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรมมัทธิว 21:21 ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เพียงท่านจะมีความเชื่อและมิได้สงสัย ท่านจะกระทำได้เช่นที่เรากระทำแก่ต้นมะเดื่อนี้ ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ท่านจะสั่งภูเขาว่า “จงลอยลงไปลงทะเล” ก็จะสำเร็จได้ สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้”
ขอเพียงแต่เปิดใจของเราออก เชื่อและวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ความทุกข์ ความผิดหวัง ความกลัว ก็จะหมดไป และจะมีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยความหวังเหมือนแสงอาทิตย์สีทองยามรุ่งอรุณ
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น