“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะเราไม่สามารถหยั่งรู้ถึงพระปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ได้ ถ้าเรามีความเชื่ออันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว พระองค์จะทรงอนุญาต ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลดีกับเราเสมอ และจะเป็นพระพรไปยังผู้อื่น เหมือนชีวิตผม เปรียบเราเหมือนดังเด็กน้อยที่อยู่บนเสื่ออย่างโดดเดี่ยว แต่ให้เราเชื่อว่า ถ้าเราอยู่บนเสื่อนั้นทางที่เจอย่อมเป็นหนทางที่ดีแก่เราเสมอ ในบั้นปลาย เราจะได้พบสันติสุขอันแท้จริง”
ข้อความข้างต้นเป็นคำพยานของเอิร์ธ (วันเฉลิม สารกิติพันธ์) ซึ่งบอกผ่านพี่เลี้ยงในขณะที่เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งในสมอง ในข่วงนั้นเขาไม่สามารถพูดได้แล้วเพราะต้องเจาะคอเนื่องจากมีเสลดมากและจำเป็นต้องดูดออก ถ้าอ่านอย่างผ่านๆก็คงจะให้ความหมายเราได้ไม่มากนัก แต่ถ้าท่านลองอ่านด้วยใจใคร่ครวญ ข้าพเจ้าคิดว่าคำพยานข้างต้นคงสอนอะไรท่านได้ไม่มากก็น้อย ด้วยความเชื่อที่มั่นคงผนวกกับการยอมรับในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเขา ทำให้เกิดคำพยานที่กินใจและหนุนใจอย่างมากเช่นนี้
พี่เลี้ยงของเอิร์ธมีความเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี และคำพยานข้างต้นก็เป็นสิ่งที่เอิร์ธมอบให้แก่ทุกคนในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 17 ของเขาในวันที่ 5 ธันวาคม 1999 ข้าพเจ้าเองได้รับจากคุณพ่อ (อ. กู้ศักดิ์ สารกิติพันธ์) ในวันที่ไปเยี่ยมเอิร์ธที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนขณะที่ต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียู มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ เมื่อเข้าไปเยี่ยมเขาในห้องไอซียู เขาก็ส่งสัญญาณถามลูกสาวของข้าพเจ้าว่า มากับใคร แม้ว่าเราจะไปนมัสการที่คริสตจักรเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา เมื่อได้รับทราบว่าเป็นคุณแม่ของอนุชนรุ่นพี่ เอิร์ธก็ยกมือข้างขวาที่ไม่มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางขึ้นทำความเคารพ แวบแรกที่เห็นข้าพเจ้าก็อดจะตื้นตันและภาคภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของเขาไม่ได้ว่า ทั้งสองมีลูกชายที่น่ารักและมีมารยามงามอย่างเหลือเกิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับการอบรมจากคุณพ่อคุณแม่มาอย่างดี ยังจำได้ว่าได้มอบการ์ดหนุนใจให้เขาไปใบหนึ่งเกี่ยวกับการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า และน่าอัศจรรย์ใจที่เมื่อออกมาคุยกับคุณพ่อก็เป็นคำพยานในเรื่องเดียวกัน นอกจากนั้นเอิร์ธยังเป็นเด็กที่ไม่ทำให้ใครต้องลำบากใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเขาเลย สังเกตได้จากการที่ถามเกี่ยวกับอาการของเขา ถ้าคำตอบเป็นไปในทางที่ดีเขาก็สนองตอบให้รู้ในทันที แต่ถ้าเป็นคำตอบที่อาจทำให้เราต้องเป็นห่วงเขา เขาก็จะนิ่งและไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย เนื่องจากเป็นการเยี่ยมไข้ในห้องไอซียู เราจึงไม่อยากจะอยู่นาน แต่เมื่อบอกกับเอิร์ธว่าเราจะกลับแล้วและจะอธิษฐานเผื่อนะ สายตาของเขาก็สลดลงในทันทีเหมือนจะถามว่า “จะกลับแล้วหรือครับ?” ข้าพเจ้ารู้สึกผิดมาก และก็ต้องจากมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร แต่เมื่อได้พบกับคุณพ่อของเขานอกห้องก็ได้รับการหนุนใจอย่างมากมาย
สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อของเอิร์ธเป็นพยานกับเราก็คือ การยืนยันจากพระเจ้า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์กับครอบครัวของเขาคือให้ฝนตกลงมาเฉพาะบริเวณบ้านของเขาเท่านั้น
คุณพ่อของเขากล่าวว่า “ขณะที่เอิร์ธรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู (ในการผ่าตัดครั้งแรก) เมื่อถึงบ้านและได้อธิษฐานร่วมกับคุณแม่ก่อนจะเข้านอน จนถึงเวลาประมาณสี่นาฬิกาของวันใหม่ก็มีฝนตกลงมา เมื่อฝนหยุดก็ออกไปเปิดประตูบ้านเพื่อจะออกไปเยี่ยมเอิร์ธที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ก็พบสิ่งอัศจรรย์เพราะฝนที่ตกนั้น ตกลงมาเฉพาะที่ตัวบ้านของเขาเท่านั้น เมื่อเลยเขตบ้านไม่ว่าจะเป็นประตูใหญ่ของบ้านหรือกำแพงบ้าน แม้แต่หลังคาบ้านของเพื่อนบ้านติดๆกันก็ไม่เปียกฝน และน้ำฝนที่ตกลงมาแทนที่จะไหลลงหน้าบ้านซึ่งลาดลงไปสู่ถนนใหญ่เพื่อลงท่อน้ำทิ้ง กลับเอ่อเป็นเส้นตรงที่ขอบประตูใหญ่ สนามหญ้าก็เปียกแฉะ รถที่จอดตากน้ำค้างก็เปียกนองไปด้วยน้ำฝนปริมาณพอๆกับเวลาล้างรถ หมู่บ้านที่อยู่มีประมาณ 800 หลังคาเรือน เมื่อเรียกให้คุณแม่มาดูความแปลกประหลาดของเช้ามืดวันนั้น ก็แน่ใจว่าพระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานแล้ว”
เอิร์ธได้จากเราไปอยู่กับพระเจ้าแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2000 ที่ผ่านมา เขาล้มป่วยเป็นเวลาประมาณ 3 ปีหลังจากที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะในเดือนธันวาคม 1997 และต่อมาก็ทราบว่ามีเนื้องอกที่ก้านสมอง และอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายนั้นออกไปได้ เพราะอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นทันทีที่มีเลือดออก เขาได้รับการผ่าตัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มกราคม 1998 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1999 และต้องได้รับเคมีบำบัดและการรักษาอื่นๆอีก สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้คือค่าใช้จ่ายก้อนโต แต่พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมไม่ขาดตกบกพร่องเลย และตัวเอิร์ธเองก็ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าในเรื่องนี้ เขามักจะหนุนใจคุณพ่อคุณแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยพระวจนะใน สดุดีบที่ 23 ที่ว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”
เอิร์ธไม่เคยโทษพระเจ้าเลยตลอดระยะเวลาที่ป่วย แต่เขายอมถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ยอมถวายชีวิตของเขาเพื่อรับใช้พระเจ้า ดังคำพยานที่เขาเขียนขึ้นเองเพื่อหนุนใจคนมากมายว่า “ผมไม่เคยน้อยใจที่ต้องมาเผชิญกับโรคร้ายนี้ คิดว่าไม่เจ็บฟรี คุ้มค่า ที่ชีวิตของผมสามารถเป็นพยาน ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าให้กับคนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของผมที่ได้รับการชำระใหม่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในทุกๆวัน ผมยังเชื่อและไว้วางในในพระเจ้ามิเสื่อมคลาย และแม้ว่าอนาคตผมจะต้องเผชิญกับสิ่งใด ผมก็ยังคงเชื่อในพระเจ้าของผมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะผมรู้แน่ว่าพระเจ้าจะคอยดูแลและเสริมกำลังให้ผม จัดเตรียมหนทางที่ดีแก่ผมอย่างแน่นอน”
พระเจ้าทรงมอบภาระกิจสำคัญมากให้แก่เอิร์ธ และที่สำคัญเขายอมที่จะให้พระเจ้าใช้ ยอมเป็นเครื่องมือของพระเจ้า เป็นท่อพระพรที่นำพระพรสู่คนมากมาย
สิ่งที่สอนใจเราอีกเรื่องหนึ่งคือ ในคืนวันแรกของการไว้อาลัยที่คริสตจักร อาจารย์ผู้เทศนาในคืนนั้นได้บอกกับเราว่า วันหนึ่งเอิร์ธขอกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากคุณพ่อ แล้วทำจุดสีดำไว้ที่ตรงกลางของกระดาษแผ่นนั้น และถามคุณพ่อว่า “คุณพ่อเห็นอะไรครับ?” ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจว่าคำตอบในใจของทุกคนคงตอบว่า เห็นจุดสีดำเล็กๆ และนั่นก็เป็นคำตอบของคุณพ่อของเอิร์ธเช่นกัน ท่านรู้ไหมว่าเขาตอบคุณพ่อว่าอย่างไร เอิร์ธตอบว่า “ทำไมคุณพ่อไม่มองที่กระดาษทั้งแผ่น ไปสนใจจุดดำๆเพียงแค่จุดเดียวทำไม เปรียบได้ว่าเมื่อมีปัญหาเรามักจะพุ่งความสนใจไปที่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใคร่ครวญถึงพระคุณความรักของพระเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่กว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเรามากนัก” โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่ามุมมองนี้เป็นแง่คิดที่ถูกต้อง และเราอาจจะต้องพิจารณากันให้ถ่องแท้สักนิดเมื่อเกิดปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ให้เราเชื่อพึ่งในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเรา ขอบพระคุณพระองค์ในทุกกรณี และรักษาความเชื่อไว้ให้มั่นคง แม้ว่าเราจะเดินซวนเซไปสักนิด แต่พระหัตถ์อันเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาของพระเจ้าจะโอบอุ้มเราไว้อย่างแน่นอน
พระองค์จะทรงอนุญาต ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลดีกับเราเสมอ และจะเป็นพระพรไปยังผู้อื่น ท่านเห็นด้วยกับเอิร์ธหรือไม่!
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น