1. จงถวายสิ่งที่ดีที่สุดแด่พระเจ้า มิใช่สิ่งเหลือใช้
“พืชผลอันดีเลิศซึ่งได้เก็บครั้งแรกจากไร่นาของเจ้านั้น จงนำมาถวายในพระนิเวศพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 23:19)
2. สุดปลายทางของมนุษย์คือความสิ้นหวัง สุดปลายทางของพระเจ้าคือความหวังนิรันดร์
“ที่จริงเราคาดว่าเราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้าผู้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงฟื้นจากความตาย” (2 โครินธ์ 1:9)
เมื่อเรามีพระคริสต์ซึ่งก็คือความหวังนิรันดร์ของเรา เราจะต้องกลัวสิ่งใดอีกเล่า ไม่ต้องกลัวแม้ความตาย เพราะเรารู้ว่านั่นเป็นการเดินทางกลับบ้านไปหาพระบิดาในสวรรค์ เมื่อมีความหวัง ย่อมมีอีกวันหนึ่งรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ
3. การคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้ามากๆจะทำให้ดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อย่างมั่นคง
“มาเถิดให้เรานมัสการและกราบลง ให้เราคุกเข่าลงต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา” (สดุดี 95:6)
การคุกเข่าลงอธิษฐานแสดงถึงความถ่อมของเรา เพราะผู้ที่เรากำลังสนทนาอยู่ด้วยนั้นใหญ่ยิ่งน่าเกรงขามยิ่งนัก
4. ผู้ที่คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าสามารถเป็นพยานถึงความใหญ่ยิ่งของพระองค์ต่อหน้าใครก็ได้และนำเขามาถึงความรอด
“ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 10:32-33)
เราจะมีความกล้ายอมรับพระคริสต์ต่อหน้ามนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อเรามีสัมพันธภาพที่ดีกับพระองค์ และหนทางหนึ่งที่เราจะติดสนิทกับพระองค์ก็คือการสนทนากับพระองค์ทางการอธิษฐานด้วยท่าทีที่ถ่อมจนถึงที่สุดต่อหน้าพระพักตร์ อย่าให้การอธิษฐานเป็นแค่สื่อแห่งการขออะไรจากพระองค์เท่านั้น ขอให้เป็นสื่อแห่งความสัมพันธ์ด้วย
5. ในเรื่องราวของชีวิต มารอาจเป็นตัวล่อลวงให้ติดบ่วงแร้วของมันไปบ้าง แต่อย่าเปิดช่องให้มันทำลายชีวิตให้ย่อยยับเป็นอันขาด
“จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้” (เอเฟซัส 6:11)
ยุทธอุบายของมารในโลกปัจจุบันนั้นแยบยลเหลือล้ำ หากเราไม่พึ่งพาพระเจ้าและดำเนินชีวิตที่ติดสนิทกับพระองค์ ชีวิตของเราก็ล่อแหลมยิ่งนัก แต่หากเราสำนึกถึงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาและรู้ว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูเราอยู่ทุกขณะจิตแล้วล่ะก็ เราก็จะมีสติพอที่จะแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว หากยังสงสัย ให้อธิษฐานทูลขอสติปัญญาและการทรงนำจากพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงชี้ทางที่เราควรเดินให้เอง ลองทำดูสิเมื่อตกอยู่ในการทดลอง นี่ไม่ใช่คำท้าทาย แต่เป็นสัจจธรรม
6. อย่าสงสัยในคำตอบของพระเจ้า
พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” (มัทธิว 7:7,8)
หากเรายึดถือความหมายตามตัวอักษรของข้อพระคัมภีร์นี้ เราสงสัยในคำตอบของพระเจ้าแน่ๆ เพราะอย่าลืมว่าคำตอบของพระเจ้ามี 3 แบบ คือ ให้ ไม่ให้ และ ให้รอ การที่คำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบมิได้หมายความว่าพระเจ้าทรงปฏิเสธ พระเจ้าอาจกำลังสอนบทเรียนแก่เราสักบทหนึ่ง เมื่อเราสอบผ่านบทเรียนนั้นแล้ว เราก็จะได้ตามที่ขอ ดังนั้น ขอให้อดทนและหากคำตอบยังไม่มาก็สำรวจแรงจูงใจของเราสักนิดว่า ขอเพื่อสนองตัณหาของเราเองหรือเปล่า เราขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยหรือเปล่า จงสัตย์ซื่อกับตัวเองและกับพระเจ้า
7. เมื่อภาระหนักถ่วงใจจนคิดว่าแบกไม่ไหวแล้ว จงมารับการแบ่งเบาที่คริสตจักร
“จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์” (กาลาเทีย 6:2)
พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าให้พี่น้องช่วยแบกรับภาระของกันและกัน จงอย่าหยิ่งเกินกว่าที่จะขอความช่วยเหลื่อเพื่อปลดปล่อยภาระหนักอึ้งที่กำลังแบกอยู่ หากทำคนเดียวอาจทำไม่ไหว แต่ถ้ายอมให้พี่น้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาโดยพึ่งพิงพระเจ้า งานหนักสักปานใดก็จำสำเร็จลงได้
8. เมื่ออธิษฐาน จงอย่าชี้แนะพระเจ้า หน้าที่ของเราคือการรายงานเท่านั้น
จงอย่าสั่งพระเจ้าให้ทำโน่นทำนี่ตามความปรารถนาของเรา แต่ให้เรา “ทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า” (ฟิลิปปี 4:6)
9. จงอย่าให้ถึงกับต้องถูกกระชากลากถูกันเลยจึงจะยอมไปโบสถ์
“อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (ฮีบรู 10:25)
10. เราไม่ได้เปลี่ยนข่าวสารของพระเจ้า แต่ข่าวสารของพระองค์ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐนั้นเปลี่ยนตัวเราต่างหาก
ใครก็ตามที่ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้วย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ชีวิตจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น