พระเจ้าให้ชีวิตเป็นครู เราเรียนรู้จากชีวิตด้วยประสบการณ์ทั้งที่ดีและที่ทำให้เราเจ็บปวด เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาว่าเส้นทางชีวิตของเราจะราบเรียบเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป สำหรับวันที่ไม่สดใสและเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเราได้ทั้งหมด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะไม่พยายามเข้าใจมากกว่า เพราะความจริงมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะรับรู้ได้ แต่จากประสบการณ์ร้ายๆเหล่านี้แหละที่จะสอนให้เราเข้มแข็งพร้อมที่จะรับมือกับพายุที่จะโหมกระหน่ำเข้ามาอีกในเส้นทางชีวิตของเรา เราเรียนรู้ที่จะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ท้อถอย และสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ท่ามกลางความปวดร้าว ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความหมดหวัง และ … และไม่ช้าเราก็จะเห็นว่าความสุขเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามานั้นช่างหอมหวานและเป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตที่ขาดๆเกินๆของเราต่อไปขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเล้าโลมใจและช่วยกู้เราจากความชอกช้ำระกำใจ และเรายังเรียนรู้อีกว่า “การสูญเสีย” เป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งสู่ “ชัยชนะ” เท่านั้น และเมื่อพระเจ้าทรงหันชีวิตด้านที่สดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้มให้เราอีกครั้งหนึ่งนั้น “อย่างที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ” เราจะพบว่าเราแกร่งขึ้นในทุกๆด้านและรู้อะไรๆมากขึ้นรวมทั้งรู้จักตัวเองดีขึ้นด้วย แล้วเราพร้อมที่จะต้อนรับโอกาสดีๆที่ผ่านเข้ามาอย่างอบอุ่นมากกว่าที่เคยเป็นมา เหนือสิ่งอื่นใดเราเห็นพระคุณของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
มาดูกันสิว่า พระเจ้าทรงให้เราเรียนรู้อะไรจากชีวิตกันบ้าง
พึ่งพาพระเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าหลายๆคนได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าอย่างจริงๆจังๆในเวลาที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ดูเหมือนว่าความทุกข์จะมีมากจนคับอกอยากจะระบายมันออกมาบ้าง แต่จะพูดกับใครล่ะที่จะรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปลอบโยนอย่างแท้จริง จนแล้วจนรอดอาจไม่มีแม้สักชื่อผุดขึ้นมาในความคิดของเรา ในยามนั้นแหละขออย่าลืมพระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา ผู้ทรงพร้อมอยู่เสมอที่จะเล้าโลมจิตใจอันชอกช้ำของเรา ไปหาพระองค์สิ แล้วจงระบายความในใจของเราต่อพระองค์ เพราะที่นั่นจะเป็นที่ลี้ภัยที่ดีที่สุดของเรา (สดุดี 62:8)
ติดสนิทกับพระเจ้า เมื่อเราวางใจพระเจ้า และทูลเรื่องราวต่างๆของเราต่อพระองค์ เรากำลังติดสนิทกับพระเจ้า แน่นอนที่เมื่อเรารักและวางใจใครสักคน เราย่อมที่อยากจะอยู่ใกล้เขาและแบ่งปันทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรากับเขา และเมื่อมีการสื่อสารแบบสองทาง ความสัมพันธ์ก็ย่อมที่จะพัฒนาแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้ามากขึ้น เราก็ติดสนิทกับพระองค์มากยิ่งขึ้น ขอให้การสนทนากับพระเจ้าเป็นแบบสองทางด้วย ไม่ใช่เอาแต่พูดเพียงฝ่ายเดียว บางครั้งเราต้องหยุดเพื่อที่จะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย
ยอมรับน้ำพระทัย พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้แต่ละคนย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่คนๆนั้นคิดว่าดีที่สุดสำหรับเขาหรืออยากได้ที่สุด บางครั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่เราหวังเอาไว้ก็ได้ แรกๆเราคงไม่เข้าใจพระองค์และอาจจะต่อว่าพระเจ้าด้วยก็ได้ว่าทรงยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร ทำไมไม่ประทานสิ่งที่เราขอไว้ล่ะ พระเจ้าทรงรักเราแน่ล่ะหรือ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ไม่ว่าถ้วยนั้นจะขมสักปานใดก็ตาม และขอบพระคุณพระองค์แม้ว่าจะด้วยน้ำตาและหัวใจที่แตกสลาย ต่อไปเราจะเกี่ยวเก็บบำเหน็จของเรา และจะเต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดี อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดา จะมีพ่อคนไหนที่จะหยิบยื่นยาพิษให้ลูกของตนเอง ไม่มีอย่างแน่นอน แม้ว่าจะยาก แต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้ได้
ขอบพระคุณพระเจ้า อย่าเอาแต่ขอสิ่งต่างๆจากพระเจ้า จงหัดเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณพระองค์เสมอ อย่างที่พระคัมภีร์สอนไว้ว้า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า” ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันดีๆของเรา และก็ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความยุ่งยากต่างๆด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงดำริว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ทุกเรื่องต้องมีที่มาที่ไป และทุกเรื่องจะให้บทเรียนที่มีค่าแก่เราเสมอ เบื้องหลังทุกสิ่งคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้น เราต้องขอบพระคุณ
ทั้งหมดนี้คงเป็นเพียงบทเรียนที่มีค่าบางบทเท่านั้นเอง ถ้าเราจะพิจารณาให้ถ่องแท้คงมีอีกมากมาย เหมือนอย่างการนับพระพร เราจะเห็นว่ายิ่งนับก็ยิ่งมาก
ขอพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้รับเกียรติ!
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น