9/10/51

รักแท้แน่หรือ

เวลามีปีกบินได้จริงๆ เผลอไปหน่อยเดียวก็เวียนมาถึงเดือนแห่งความรักอีกแล้ว สำหรับส่วนตัวข้าพเจ้าแล้วผ่านไปแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นเดือนไหนๆก็ตามก็ยังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้นต่อไป เพื่อความอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่ได้เพียงแต่ทำงานเพื่อให้ได้เงินมายังชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำงานเพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงใช้และให้ข้าพเจ้าได้ร่วมงานพันธกิจกับองค์กรคริสเตียน ถึงแม้งานที่ทำจะเป็นงานที่เหนื่อยยากและต้องมีความอดทนอย่างสูง แต่ข้าพเจ้าก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยพระพรและพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าชีวิตที่อยู่เพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามีความชื่นชมยินดีอย่างไร

สำหรับบทความเกี่ยวกับความรักในปีนี้ข้าพเจ้าจะไม่เขียนเอง แต่จะแปลบทความหนึ่งซึ่งเขียนโดยผู้เขียนนิรนาม บางท่านอาจจะเคยเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าใคร่อยากเชิญชวนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้อ่านด้วยใจพิจารณา แล้วถามตัวเองว่าท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า??

เมื่อชายคนหนึ่งตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่งเพื่อจะชื่นชมแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง ก็เห็นความงดงามของธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง เขาไม่สามารถจะสรรหาคำพูดใดๆมาอธิบายความงดงามนั้นได้อย่างที่ตาเห็น เขาคิดว่าช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ ในขณะที่กำลังชื่นชมกับสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เขาก็สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้แก่เราทุกๆคน เขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย และถามเขาว่า “เจ้ารักเราหรือไม่?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “แน่นอนสิ พระองค์เจ้าข้า เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์” แล้วพระเจ้าก็ทรงถามอีกว่า “ถ้าเจ้าพิการล่ะ เจ้ายังรักเราอยู่หรือไม่?” เขางงและมองดูที่เขน ขา และส่วนอื่นๆของร่างกายแล้วแปลกใจว่าเขาจะทำสิ่งต่างๆที่เคยทำอยู่ทุกวันโดยส่วนต่างๆเหล่านี้ซึ่งเขาไม่เคยให้ความสำคัญเลยได้อย่างๆไรกัน แต่เขาก็ทูลตอบพระองค์ว่า “ข้าพระองค์คงจะลำบากแต่ก็ยังคงรักพระองค์อยู่” แล้วพระเจ้าก็ถามต่อว่า “ถ้าเจ้าตาบอด เจ้ายังคงรักเราอยู่หรือ?” เขาคิดว่าถ้าไม่มีตาแล้วจะรักสิ่งที่มองไม่เห็นได้อย่างไรกัน! แล้วเขาก็คิดถึงคนตาบอดทั้งหลายและคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยังคงรักพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ในเมื่อมองไม่เห็นเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงทูลตอบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องยากนะพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์อยู่” พระเจ้าทรงถามต่อไปว่า “ถ้าหูของเจ้าหนวกเจ้ายังฟังเสียงของเราอยู่หรือเปล่า?” เขาคิดว่าแล้วเขาจะฟังเสียงของพระองค์ได้อย่างไร? จะได้ยินอย่างไรได้ถ้าเป็นคนหูหนวก? แล้วเขาจึงเข้าใจว่าการเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้ามิได้ใช้เฉพาะหูของเราเท่านั้น แต่ใช้ใจของเรา เขาจึงทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ยังรักพระองค์เหมือนเดิม” พระเจ้าทรงถามว่า “ถ้าเจ้าเป็นใบ้ เจ้ายังคงสรรเสริญเราอยู่หรือเปล่า?” จะสรรเสริญพระเจ้าถ้าเป็นใบ้? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! แล้วเขาจึงพบว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราร้องเพลงสรรเสริญพระองค์จากจิตใจและวิญญาณของเรา เสียงเพลงของเราไม่ใช่สิ่งสำคัญ และการสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่ด้วยเสียงเพลงแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเราถูกข่มเหง เราจะขอบพระคุณพระเจ้าด้วยคำพูดของเรา ดังนั้นเขาจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ไม่สามารถร้องเพลงได้ แต่ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์เหมือนเดิม” แล้วพระเจ้าทรงถามต่อว่า “เจ้ารักเราจริงๆแน่หรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ด้วยความกลัวและความสำนึกผิดว่า “ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว” เขาคิดว่าตอบดีแล้ว แต่พระเจ้าทรงถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าจึงทำความบาป?” เขาทูลตอบ่วา “เพราะข้าพระองค์เป็นเพียงมนุษย์ ข้าพระองค์ไม่สมบูรณ์พร้อม” พระเจ้าตรัสว่า “ดังนั้นเมื่อเจ้ามีความสุขสบายดี เจ้าจึงเดินห่างจากเรามากที่สุด และเมื่อมีปัญหา เจ้าจึงเป็นคนที่อธิษฐานอย่างร้อนรนที่สุดใช่ไหม?” ไม่มีคำตอบ มีแต่เพียงน้ำตา พระเจ้าตรัสต่อไปว่า “ทำไมจึงร้องเพลงเมื่อนมัสการและเมื่อเข้าค่ายเท่านั้น?” “ทำไมจึงหาเราเมื่อเวลานมัสการเท่านั้น” “ทำไมจึงขออย่างเห็นแก่ตัวที่สุด?” น้ำตายังคงไหลอาบแก้มเป็นทาง “ทำไมเจ้าจึงละอายเมื่อกล่าวถึงเรา?” “ทำไมจึงไม่ประกาศข่าวประเสริฐของเรา?” “ทำไมเมื่อถูกข่มเหงเจ้าไปร้องไห้กับผู้อื่นในเมื่อเราเปิดไหล่ของเราเพื่อซับน้ำตาของเจ้า?” “ทำไมหาข้อแก้ตัวเมื่อเราให้โอกาสเจ้ารับใช้เรา?” เขาพยายามจะอธิบายแต่หาคำตอบไม่ได้ “เจ้าได้รับพระพรที่เราให้ชีวิตแก่เจ้า เรามิได้สร้างเจ้าขึ้นมาเพื่อจะโยนทิ้ง เราให้ปัญญาแก่เจ้าเพื่อจะรับใช้เรา แต่เจ้าก็หันหลังหนีตลอดเวลา เราเผยความจริงของเราแก่เจ้าแต่เจ้าไม่ได้เรียนรู้เลย เราพูดกับเจ้าแต่เจ้าปิดหูไม่ฟัง เราได้สำแดงพระพรของเราแก่เจ้า แต่ตาของเจ้าหันหนีไป เราได้ส่งคนรับใช้มาให้เจ้า เจ้าก็ได้แต่นั่งเฉยๆและทุกสิ่งก็ถูกผลักให้พ้นไป เราเคยได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าและเราก็ตอบทุกสิ่ง” “เจ้ารักเราแน่แท้หรือ?” เขาไม่สามารถจะทูลตอบได้ และทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่มีค่าควรที่จะเป็นบุตรของพระองค์” แต่พระเจ้าตรัสตอบว่า “นั่นคือพระคุณของเรา ลูกเอ๋ย” เขาจึงทูลถามว่า “ดังนั้นทำไมพระองค์จึงทรงให้อภัยข้าพระองค์อีก? ทำไมพระองค์จึงทรงรักข้าพระองค์อย่างเหลือเกิน?” พระเจ้าตรัสตอบดังนี้ว่า :

“เพราะเจ้าเป็นสิ่งที่เราสร้าง เจ้าเป็นบุตรของเรา เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไป
เมื่อเจ้าร้องไห้ เราจะเห็นใจและร้องไห้กับเจ้าด้วย
เมื่อเจ้าร้องตะโกนด้วยความชื่นชมยินดี เราจะหัวเราะไปกับเจ้าด้วย
เมื่อเจ้าท้อแท้ใจ เราจะหนุนใจเจ้า
เมื่อเจ้าล้มลง เราจะพยุงเจ้าขึ้นมา
เราจะอยู่กับเจ้าตลอดทั้งวัน และเราจะรักเจ้าตลอดไป”

เขาไม่เคยร้องไห้มากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ทำไมเขาจึงเย็นชาเช่นนี้ “ทำไมข้าพเจ้าจึงทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัยอย่างที่เคยทำมา?” แล้วเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักข้าพระองค์มากเพียงใด?” แทนคำตอบพระเจ้าทรงกางแขนออก และเขาก็เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ เขากราบลงที่พระบาทของพระองค์ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเป็นครั้งแรกที่เขาอธิษฐานด้วยใจอธิษฐานอย่างแท้จริง

อ่านเรื่องจบแล้ว ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร? ถามตัวเองหรือยังว่าเป็นเหมือนชายคนนี้หรือไม่

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น