27/12/51

คำสัญญาของพ่อ

แผ่นดินไหว 8.2 ริคเตอร์ในปี 1989 แทบจะถล่มอาร์เมเนียจนราบและยังได้คร่าชีวิตคนไปกว่าสามหมื่นในชั่วระยะเวลาเพียง 4 นาที มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดรวดร้าว และความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นได้ โลกของคนมากมายถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและชีวิตมากหลายถูกทำลาย แต่หายนะเช่นนี้เองที่ทำให้เห็นส่วนดีๆ ในผู้คน อย่างน้อยก็มีหลืบให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของแต่ละคน เรื่องที่จะแบ่งปันต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของพ่อคนหนึ่งที่มีหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อลูกชายของเขา

เขาวิ่งตรงไปที่โรงเรียนของลูกชายท่ามกลางความโกลาหลด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เมื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะเห็นโรงเรียนกลับเห็นเศษหินเศษปูนกองโตอยู่ตรงหน้า ลองจินตนาการดูสิว่าอะไรที่โลดแล่นอยู่ในความคิดของเขาในขณะนั้น อะไรที่ผุดขึ้นในความคิดของท่านในขณะนี้ บางทีท่านอาจจะตกอยู่ในสภาวะช็อกเหมือนกับพ่อแม่อีกหลายๆ คนที่กำลังเดินหาลูกของตนพร้อมร้องเรียกชื่อของพวกเขา แต่สำหรับพ่อคนนี้ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าไม่อาจทำลายความหวังของเขาลงแม้แต่น้อย เขาวิ่งตรงไปยังบริเวณที่เป็นห้องเรียนของลูกชายและมองหาตรงที่เป็นที่นั่งของลูกชาย เขาเริ่มลงมือขุดเศษหินเศษปูนที่กองอยู่ตรงหน้า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขายังมีความหวังอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือ โอกาสที่ลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ยังมีอีกหรือ เขารู้แต่ว่าเขาได้สัญญากับลูกชายไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือ คำสัญญานี้เองที่ทำให้เขาขุดต่อไปเรื่อยๆ และยังมีความหวังว่าจะเห็นลูกชายของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้หวังดีพยายามดึงเขาออกไปในขณะที่เขาพยายามใช้มือขุดหาลูกชายและพูดกับเขาว่า “มันสายไปแล้วล่ะ ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ได้หรอกในสภาพการณ์แบบนี้ คุณช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ กลับบ้านเถอะ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพยายามฉุดเขาออกไปและพูดว่า “มีไฟลุกและการระเบิดทั่วบริเวณนี้ คุณจะได้รับอันตราย กลับบ้านเถอะครับ” สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาพูดกับเขาว่า “คุณกำลังโกรธ ว้าวุ่นใจ แต่มันจบลงแล้ว กลับบ้านเสีย” แต่พ่อคนนี้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับลูกชายและเขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

ความรักที่มีต่อลูกชายของพ่อคนนี้ทำให้เขาสามารถขุดหาลูกชายนานถึงสามวัน…36 ชั่วโมง และในชั่วโมงที่ 38 เขาก็ยกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นและได้ยินเสียงลูกชายร้องขอความช่วยเหลือ เขาตะโกนเรียกชื่อของลูกชายทันที และเขาก็ได้ยินลูกชายเรียกเขา “คุณพ่อ! ผมบอกเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ว่าถ้าพ่อยังไม่ตาย พ่อจะมาช่วยผม พ่อสัญญากับผมไว้ พ่อบอกว่าพ่อจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ แล้วพ่อก็ทำตามสัญญาจริงๆ”
พ่อที่ไม่ยอมแพ้ คำสัญญาที่รักษาไว้ และหินที่ถูกกลิ้งออกไปช่วยกู้ชีวิตไว้ได้

เรื่องนี้นำเราย้อนกลับไปที่อีสเตอร์แรกเมื่อพระบิดาในสวรรค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ด้วยการกลิ้งหินที่มีนัยสำคัญยิ่งกว่าออกไป จากการที่หินก้อนนั้นถูกกลิ้งออกไปจึงทำให้เราทั้งหลายได้ชีวิตนิรันดร์และเสรีภาพในพระคริสต์ และพระบิดาของเรายังทรงกลิ้งหินอยู่แม้ในขณะนี้

อะไรบ้างที่เป็นหินในชีวิตของท่าน ไม่ว่าหินของท่านจะก้อนใหญ่หรือเล็กก็ตาม พระบิดาทรงกำลังมองหาท่านอยู่ พระองค์ทรงกำลังหาตัวท่านจากเศษหินเศษปูนกองโตและซากปรักหักพังในชีวิตของคนที่ไม่ได้อยู่เพื่อพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการที่จะกลิ้งหินแห่งความสิ้นหวัง โขดหินแห่งการสำนึกผิด พันธนาการแห่งการผูกมัดออกไปจากชีวิตของท่าน ขอให้ท่านระลึกถึงหรือสำหรับบางคนค้นพบเป็นครั้งแรกว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาทั้งหมดของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักษาพระสัญญานั้นที่ทรงให้ไว้กับพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เมื่อสองพันปีมาแล้ว

กิจการ 13:37-38 “แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้เป็นขึ้นมานั้น มิได้ประสบความเน่าเปื่อยเลย เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย และโดยพระองค์นั้นทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง..”

เรียบเรียงจากบทความที่เขียนโดยมาร์ก แฮนเซน

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/12/51

ทำไมต้องฉลองวันคริสตมาส

ท่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมพร้ะเยซูต้องมาบังเกิดในโลกนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนอาจยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน และหลายคนอยากย้ำเตือนคำตอบที่มีอยู่แล้ว

พระองค์ทรงให้คำตอบไว้แล้วว่า “…เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ...” (ยอห์น 18:37ข)

พระเยซูมิได้ตรัสว่าพระองค์ทรงบังเกิดมาเพื่อเทศนาหรือรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ

พระเยซูยังทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต…และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 14:6ก; 8:32)

พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกโดยนำข้อความที่มีความสำคัญยิ่งยวดมา นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระผู้ค้ำจุน และพระผู้ไถ่ จะเห็นพระบิดาได้ เราต้องมองที่พระบุตรของพระองค์

ฉะนั้น ที่พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกก็เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้า นี่เองที่เป็นเหตุผลของฉลองวันคริสตมาสด้วยความชื่นชมยินดีปีแล้วปีเล่า

จากข้อความยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงนำมานั้น พระองค์ทรงมอบความรับผิดชอบให้แก่เราที่จะแบ่งปันกับคนอื่นๆ “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา… จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8ข) วิญญาณนับล้านๆ ดวงต้องการข้อความที่ให้ชีวิตนั้น…ข่าวประเสริฐ

คริสตมาสเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่เราแต่ละคน วิธีที่เราสามารถทำได้อย่างดีที่สุดคือการมอบของขวัญให้แก่พระเยซู—ของขวัญแห่งความรักและการขอบพระคุณ มันเป็นเวลาที่เราสามารถหยุดและระลึกถึงผู้ที่ถูกลืมบ่อยครั้ง เราสามารถที่จะออกไปช่วยเหลือเขาเหล่านั้นซึ่งมีความขาดแคลนในหลายๆ ด้าน…การแบ่งปัน

สิ่งเหล่านี้มิเพียงทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความพึงพอใจเป็นอย่างมากด้วย คริสตมาสมิได้มีความพิเศษด้วยของขวัญต่างๆ ที่มอบให้แก่กัน การตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม และงานเลี้ยงรื่นเริงต่างๆ แต่ด้วยสิ่งที่เรามอบแด่พระเยซูและผู้อื่นจากใจของเราต่างหาก การให้ด้วยใจแสดงให้เห็นการรู้คุณที่แท้จริงและความซาบซึ้งใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย

ที่พระเยซูมาบังเกิดนั้นเพราะพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย พระองค์ทรงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงมีทั้งพระอำนาจ พระสิริ และความโอ่อ่าตระการของสวรรค์เพื่อมาไถ่บาปของมนุษยชาติและช่วยให้รอดเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงมุ่งหวังจะได้รับของขวัญที่มีค่ายิ่งจากเรา นั่นคือ ความรักของเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นมนุษย์ จอมกษัตริย์และทาสผู้รับใช้ พระองค์ทรงสละบัลลังก์นิรันดร์บนสวรรค์และทรงสวมสภาพมนุษย์อย่างต่ำต้อยบนโลก พระองค์ทรงดำเนินชีวิตท่ามกลางเราทั้งหลายเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดและได้ชีวิตนิรันดร์

พระองค์ทรงเริ่มต้นโซ่แห่งความรักไว้นานแล้วตั้งแต่วันคริสตมาสแรก และพระองค์ทรงพึ่งพาเราให้สานต่อการส่งต่อความรักนั้น ความรอดซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้านั้นมีไว้เพื่อทุกคนที่รับไว้ และพระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนบนโลกนี้รู้จักพระองค์และรู้ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขา ข่าวประเสริฐเรื่องความรักนี้จะต้องส่งต่อไปด้วยการบอกปากต่อปาก ด้วยการออกไปประกาศให้รู้โดยทั่วกัน อย่ายอมให้โซ่แห่งความรักนั้นขาดสะบั้นลง ให้เราต่อโซ่ออกไปให้ยาวที่สุด เราทำได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อเราได้รับความรักของพระองค์ก็ขอให้แบ่งปันความรักนั้นแก่คนอื่นๆ เพื่อเป็นการประกาศความหมายที่แท้จริงของคริสตมาส คนเป็นจำนวนมากต้องการข่าวประเสริฐเรื่องความรอด ดังนั้นขอให้มอบความหมาย ‘ที่แท้จริง’ ของวันคริสตมาสให้แก่พวกเขาด้วยการนำสันติสุขและความสุขและความชื่นชมยินดีแห่งความรักขององค์พระเยซูคริสต์ไปให้

สุขสันต์วันคริสตมาส

สิธยา คูหาเสน่ห์

12/10/51

กลัวเกรงพระเจ้า

ข้าพเจ้าต้องขออนุญาตแบ่งปันพยานส่วนตัวอีกสักวาระหนึ่ง อย่างที่รู้ๆ กันว่าหากจะนับพระพรในชีวิตของเราคงเป็นไปได้ยากที่จะนับได้ครบถ้วน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นพระพรยิ่งใหญ่ที่น่าจะนำมาแบ่งปันเพื่อเป็นการหนุนจิตชูใจพี่น้องในพระคริสต์ อย่างน้อยสำหรับผู้ที่ยังสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน ทำไมพระองค์ทรงให้รอ ทำไมเมื่อทูลขอสิ่งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงประทานอีกสิ่งหนึ่ง ขอให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

ด้วยพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้ามีโอกาสได้ฝึกงานที่บริษัทใหญ่ (มาก) แห่งหนึ่งเมื่อเรียนอยู่เทอมสุดท้ายของการเรียนขั้นปริญญาโท ขั้นตอนการคัดสรรนักศึกษาเพื่อไปฝึกงานของบริษัทใหญ่ๆ ดุเดือดเอาการ (ข้าพเจ้าไม่ทราบเกี่ยวกับขั้นตอนในที่อื่นๆ ที่กล่าวถึงนี้คือรัฐนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา) เมื่อการสัมภาษณ์รอบแรกโดยบุคลากรของบริษัทนั้นๆ ซึ่งมาดำเนินการที่มหาวิทยาลัยเลยเสร็จสิ้นลงก็ต้องรอดูว่าจะผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่ ถ้าผ่านก็จะได้รับการเชิญให้ไปรับการสัมภาษณ์รอบสองที่บริษัทซึ่งสุดโหดจริงๆ เท่าที่จำได้จากคำบอกเล่าของลูกสาวนั้นมีผู้บริหารจำนวน 5 คนเป็นผู้สัมภาษณ์ แต่ไม่ใช่นั่งเป็นคณะกรรมการการสัมภาษณ์พร้อมกันทั้งหมด ผู้ได้รับเลือกให้เข้ารับการสัมภาษณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์ครั้งละครึ่งชั่วโมงทีละคนในห้องทำงานของผู้บริหารแต่ละคน รวมเวลาทั้งหมดเกือบสามชั่วโมง (โดยไม่มีการพัก เมื่อออกจากห้องหนึ่งก็ต้องตรงเข้าไปอีกห้องหนึ่งเลยทันที) ท่านคงพอเดาได้ว่าความเครียดจะมากมายมหาศาลสักเพียงใด คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ก็มีหลากหลายรวมถึงการทดสอบทางเทคนิคขั้นสูง (สำหรับผู้สมัครเป็นโปรแกรมเมอร์) การให้คะแนนการสัมภาษณ์เริ่มตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปจนกระทั่งเปิดประตูออกไป ทุกอิริยาบทเป็นส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ เมื่อสอบสัมภาษณ์เสร็จก็ถึงเวลาแห่งการรอคอยคำตอบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานสุดๆ แต่ความกระวนกระวายใจก็ถึงจุดสิ้นสุดเมื่อได้รับโทรศัพท์ในอีกสองวันต่อมาว่าให้มาฝึกงานได้ ลูกสาวของข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์นั้นด้วย

เมื่อการฝึกงานสิ้นสุดลงก็จะมีการประเมินผลการทำงาน ปกติแล้วนักศึกษาที่ถูกประเมินว่าทำงานดีจะได้รับข้อเสนอให้มาร่วมงานด้วยหลังจบการศึกษา ลูกสาวของข้าพเจ้าถูกประเมินว่าทำงานดี ดังนั้นจึงคาดหวังว่าจะได้รับข้อเสนอ นั่นหมายความว่าจะมีงานทำอย่างแน่นอนเมื่อเรียนจบแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่าลูกสาวของข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานอีกครั้งด้วยความกระวนกระวายใจอย่างยิ่งในการรอคอยข้อเสนอจากบริษัทนั้น หลังจากที่รอมาสักพักและได้ข่าวว่ามีเพื่อนนักศึกษาบางคนได้รับข้อเสนอแล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างแน่ใจว่าลูกสาวของข้าพเจ้าจะไม่ได้รับข้อเสนออย่างแน่นอน ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ทำงานที่นั่น ข้าพเจ้ามักมีความรู้สึกเช่นนี้ทุกครั้งที่ลูกๆ ของข้าพเจ้าสมัครเรียนหรือสมัครงานว่าจะได้รับคำตอบอย่างไร เหมือนเป็นเสียงตรัสเบาๆ ในใจของข้าพเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการหรือน้ำพระทัยอย่างไร ส่วนใหญ่จะไม่ผิดพลาด แต่ข้าพเจ้าคงไม่สามารถบอกกับลูกสาวตรงๆ อย่างนั้นในภาวะว้าวุ่นใจเช่นนั้น ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าทรงไม่ประสงค์ให้ลูกสาวของข้าพเจ้าได้งานที่บริษัทแห่งนั้นทั้งๆ ที่ทุกอย่างดูดีไปหมด ข้าพเจ้าบอกลูกสาวว่าถ้าไม่ได้งานก็หมายความว่าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ในที่สุดก็มีการยืนยันแน่ชัดว่าไม่มีข้อเสนอให้ร่วมงานสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าคงไม่ต้องบอกว่าลูกสาวของข้าพเจ้าผิดหวังและทุกข์ใจพอประมาณเพราะนั่นหมายความว่าต้องสมัครงานใหม่และต้องผ่านขั้นตอนหฤโหดของการสัมภาษณ์อีกครั้ง แต่เราก็แน่ใจว่าพระเจ้าทรงมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ที่เห็นชัดในตอนนั้นคือลูกสาวของข้าพเจ้าต้องดูหนังสืออย่างหนัก ผลก็คือได้ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้วและมีความมั่นใจมากขึ้นในการตอบคำถามด้านเทคนิค ข้าพเจ้าก็ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าอีกแล้วว่าพระองค์จะทรงประทานงานให้ในคราวนี้ คราวนี้ลูกสาวของข้าพเจ้ารอคอยคำตอบอย่างสงบเพราะวางใจพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ และรู้ว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะให้งานนี้ พระองค์ทรงประทานให้ ลูกสาวของข้าพเจ้าได้งานทำเป็นโปรแกรมเมอร์ที่อยากทำ

ในตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงประทานงานให้แก่ลูกสาวของข้าพเจ้าอีกแห่งหนึ่ง มันไม่ใช่การทดสอบความเชื่ออย่างแน่นอน พระองค์ทรงสัพพัญญู ฉะนั้นหมายความว่ามันต้องมีอะไรที่ล้ำลึกกว่านั้น แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว อย่างที่เรารู้กันดีว่าขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตกต่ำอย่างที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนไม่น้อยต้องปิดตัวลง ผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน บริษัทที่ลูกสาวของข้าพเจ้าไปฝึกงานก็รวมอยู่ในข่ายนี้ด้วย พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบริษัทแห่งนี้ พระองค์จึงทรงกันลูกสาวของข้าพเจ้าให้พ้นจากความพินาศนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ข่าวนี้จากลูกสาวของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีอาการขนลุกด้วยความกลัวเกรงพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด ส่วนความรู้สึกของลูกสาวของข้าพเจ้านั้นมีมิติที่ลึกยิ่งกว่า

ข้าพเจ้าใคร่อยากหนุนใจผู้ที่กำลังรอคอยคำตอบจากพระเจ้า แต่ยังมามาถึงสักที ขอให้อดทนอีกสักนิด คำตอบมาถึงอย่างแน่นอน แต่มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หวังไว้ แต่ขอให้แน่ใจเถอะว่าคำตอบที่มาถึงนั้นเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมที่สุด

ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงสงวนสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มอบการเลือกสรรไว้กับพระองค์

สิธยา คูหาเสน่ห์

10/10/51

พระเจ้าผู้ทรงให้อภัย

“No one is perfect” คิดว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำกล่าวนี้ซึ่งมีความหมายว่า ไม่มีใครดีพร้อม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดที่เราจะทำผิด ความบาปมีมาตั้งแต่เรายังไม่ถือกำเนิดมาในโลกนี้ “ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป” (สดด. 51:5) ดังนั้นจึงไม่มีสักคนเดียวที่ไม่เคยทำบาป (ดู 1 พกษ. 8:46) เพราะฝ่ายเนื้อหนังของเราอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย” (1 ยน. 5:19) และ “เพราะว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตตามทางโลก ตัณหาชั่วที่ธรรมบัญญัติเร้าให้เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้อวัยวะของเราก่อกรรมชั่วไปสู่ความตาย” (รม. 7:5) และแน่นอนถ้าเรายังทำตามความต้องการฝ่ายเนื้อหนังอยู่ก็จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้เลย (ดู รม. 8:7)

แต่การที่จะหลีกเลี่ยงจากการไม่ทำบาปก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะ “บาปก็หมอบอยู่ที่ประตูอยากตะครุบเจ้า” (ปฐก. 4:7) จากข้อพระวจนะข้างต้นจะเห็นว่าโอกาสที่เราจะทำบาปมีอยู่ตลอดเวล ถ้าเราไม่ระวังตัวให้ดี เมื่อตกอยู่ในการทดลองและพ่ายแพ้ บางครั้งเราอาจจะทำบาปไปโดยไม่รู้ตัวหรือโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรู้ตัวว่าได้ทำบาปแล้ว ต้องสารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า และพระองค์จะทรงให้อภัยแก่เรา ดังที่กล่าวไว้ใน 1 ยน. 1:9 ว่า ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราแม้เราจะทำบาป ไม่เชื่อฟังพระองค์ แม้ว่าความบาปของเราจะหนักสักเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็ทรงให้อภัยและจะไม่จดจำไว้ “……..ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดงก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ” (อสย. 1:18) พระองค์จะนับหนึ่งเสมอสำหรับความบาปของเรา แต่ที่สำคัญคือ เราต้องสารภาพและสัญญากับพระองค์ว่าจะไม่ทำความผิดเช่นนั้นอีก และต้องกลับใจใหม่

นอกจากนั้น เรายังต้งให้อภัยตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้ภาพในอดีตกลับมาหลอกหลอนเราอีก นั่นแสดงว่าเราไม่ยอมรับการทรงให้อภัยของพระเจ้า แม้ว่าการลืมภาพต่างๆ เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะต้องใช้เวลานานสักเท่าใดก็ตาม ก็ขอให้เราอดทนและเอาชัยชนะมาให้ได้ และเข้าสู่อ้อมกอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตาของเรา อย่าห่วงว่าเราจะทนความเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรื่องร้ายๆ ในอดีตไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม และทรงรักเราอย่างมากมาย และ “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (1 คธ. 10:13)

ดังนั้นขอให้เรามีความอดนให้ถึงที่สุด แล้วเราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ (ดู 2 ทธ. 2:12) และท้ายที่สุดให้เราให้อภัยกันและกัน เพื่อชูพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นสูงสุด และความขมขื่น ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด จะกลายเป็นพระพรที่ไหลมาสู่เราอย่างไม่ขาดสาย

สิธยา คูหาเสน่ห์

องค์มหัศจรรย์!!!

ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาอังกฤษคงจะเป็น Amazing God ปี 2514 เป็นปี อะเมซิ่ง ของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรก็ตามมักจะมีคำว่า อะเมซิ่ง ห้อยตามด้วยเสมอ เป็นปีฉลองความมหัศจรรย์หลายแง่มุมของประเทศไทย

แต่สำหรับคริสเตียน ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทุกนาที ทุกวินาที เป็นเวลาแห่งความมหัศจรรย์เสมอ เพราะพระเจ้าของเราเป็นองค์มหัศจรรย์ พระเจ้าแห่งความยิ่งใหญ่ทั้งมวล

พระสัญญาทุกข้อของพระเจ้าเป็นความมหัศจรรย์ที่เกินความข้าใจของเรา พระเจ้าทรงขอสิ่งเดียวจากเราเท่านั้นในงานส่วนของพระองค์ที่จะให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จ คือ ความเชื่อวางใจ และต้องเป็นความเชื่อที่มั่นคงไม่เคลือบแฝงด้วยความสงสัยหรือความไม่แน่ใจ

“…จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่…” (2 พศด. 20:20) ถ้าเรามีความเชื่อวางใจในพระคุณอันล้ำเลิศของพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ปล่อยให้เราทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวหรอก สิ่งที่ดีที่สุดสิ่งเดียวที่เราควรทำคือ การอธิษฐาน “มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ยก. 5:13) แต่เราอาจพบว่าตัวเองไม่สามารถจะรับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ยังตกใจไม่หาย และไม่ได้เตรียมใจไว้ ซึ่งความขมขื่นที่เต็มล้นอยู่นั้นเป็นผลพวงมาจากการดำรงชีวิตของเราในความบาป แต่ถ้าเราคุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นที่พึ่งแหล่งเดียวของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เรา (ดู ฟป. 4:13) ให้ชีวิตใหม่แก่เรา เสริมพลังใหม่ให้แก่เรา และหล่อหลอมเราด้วยความสามารถใหม่ๆ เราจะเข้มแข็งขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวด ความปวดร้าว และความทุกข์ทรมานของเรา พระเจ้าทรงหยิบยื่นความเล้าโลมใจมาให้ และพระเมตตาคุณของพระเจ้าจะทรงรักษาบาดแผลของเราให้หาย (ดู สดด. 147:3) และเอาความชอกช้ำระกำใจไปจากเรา และทรงเติมความว่างเปล่าในจิตใจของเราด้วยความรักซึ่งไม่มีเงื่อนไขของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ และให้เรารู้ว่าเมื่อความมืดมนแห่งความระทมใจผ่านไป ก็จะตามมาด้วยความสว่างแห่งการเรียนรู้ และการตระหนักถึงการปลดปล่อยที่เกิดขึ้น แล้วเราจะยืนหยัดยิ้มสู้ชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง … อย่างเข้มแข็ง … มหัศจรรย์!!!

“เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (มธ. 6:8) พระสัญญาข้อนี้ก็มหัศจรรย์อีกเช่นกัน เมื่ออธิษฐาทูลขอสิ่งใดด้วยความเชื่อ เราจะได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ ขอให้พิจารณาข้อพระวจนะใน ยก. 4:3 ที่ว่า “ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัญหาของท่าน” ดังนั้นท่าทีในการขอของเราขอให้ถูกต้อง และถึงแม้ว่าในบางครั้งเรายังไม่ทันจะขอด้วยซ้ำ พระเจ้าก็ประทานให้แล้ว เพราะพระองค์ทรงทราบก่อนที่เราจะทูลขอเสียอีก

อยากจะขอเป็นพยานส่วนตัวสักนิดเกี่ยวกับการอธิษฐาน ข้าพเจ้าเคยสอนภาษาอังกฤษเป็นงานบางเวลาทั้งที่โรงเรียนสอนภาษาและที่บ้าน แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อเดือนกันยายน 2540 ก็ทำให้การเดินไม่ค่อยสะดวก ในช่วงนั้นก็เลยหยุดสอนไป แต่ตอนนี้พระเจ้าทรงรักษาให้หายแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะกลับไปสอนอีก จึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่า อยากได้งานแปลหนังสือซึ่งก็เคยทำอยู่แล้ว แต่ขอให้เป็นงานรับใช้พระเจ้า มหัศจรรย์! พระเจ้าก็ประทานมาให้อย่างรวดเร็วทันใจและให้มาอย่างมากมายจริงๆ ขอบพระคุณพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็มีปัญหากับเครื่องมือทำมาหากินคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ เจ้าเพื่อนยากที่ใช้งานมานานเกิดเป็นอันต้องบอกลาข้าพเจ้าเสียแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงข้าพเจ้าก็กำลังจะซื้อเครื่องใหม่ที่ทันสมัยกว่าเครื่องที่ใช้อยู่พอดี เพราะการใช้งานช้ามากไม่ทันกับจำนวนงานที่ข้าพเจ้าต้องทำ นี่เพียงแค่คิดพระเจ้าก็ทรงให้ข้าพเจ้าได้เครื่องใหม่ด้วยวิธีการที่แปลกและรวดเร็วจริงๆ ที่ว่าแปลกเพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ของข้าพเจ้าเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมาในขณะที่มีงานต้องเร่งส่งและงานบางส่วนข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้จัดเก็บลงแผ่นดิสก์ เศร้า! นอกจากจะต้องทำงานใหม่แล้วยังต้องไปขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของพี่ชายอีก เป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร แล้วปัญหาอีกประการหนึ่งก็ตามมา ในเมื่อต้องซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่แล้วก็ต้องซื้อรุ่นที่มีซอฟแวร์ใหม่ล่าสุด นั่นหมายความว่าจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายก็สูงมิใช่เล่น (ถึงแม้ว่าราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์จะลดลงมามากแล้วก็ตาม) แต่พระเจ้าของเราก็ช่างน่ารักเสียจริงๆ พระองค์ก็ประทานงานแปลที่ไม่ใช่งานรับใช้มาให้ด้วยโดยที่ไม่ได้ขอ เพราะงานประเภทนี้ค่าแปลก็จะแตกต่างจากงานรับใช้อย่างมาก และนอกจากนั้นข้าพเจ้าก็แน่ใจว่าเป็นการยืนยันจากพระเจ้าว่า ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าจะได้เรียนภาควิชาคณิตศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าเป็นพยานกับลูก เพราะตัวลูกเองยังไม่ค่อยแน่ใจในการเลือกสาขาวิชาสักเท่าใด มหัศจรรย์!!!

ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกท่านต้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าไม่มากก็น้อยในเรื่องนี้ และคงจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าที่จะกล่าวสรรเสริญพระเจ้าของเราว่าเป็น องค์มหัศจรรย์!!!

สิธยา คูหาเสน่ห์

พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ

หลายครั้งหลายคราในการดำรงชีวิตของเรามักจะพบกับคำถามมากมาย และบ่อยครั้งเราไม่สามารถจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้เลย แม้ว่าเราจะใช้เวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่ง่ายๆ และคำตอบที่ได้จะชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น วิธีที่ว่านี้มีข้อแม้อยู่ประการเดียวคือ ต้องเชื่อว่าผู้ที่ท่านนำคำถามไปขอคำตอบนั้นจะช่วยท่านได้จริงๆ แน่นอนข้าพเจ้าหมายถึง พระเจ้าของเรานั่นเอง พระเจ้าทรงเป็นคำตอบเสมอ

ท่านเคยรู้สึกอยากให้มีใครอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือไม่เมื่อท่านรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา และอยากจะคุยกับใครสักคน ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเวลาที่เราต้องอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านเคยรู้สึกแบบนี้ในขณะที่ท่านอยู่ท่ามกลางคนมากมายหรือไม่ ฟังดูค่อนข้างจะเข้าใจยากสักหน่อย ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง บางท่านอาจจะเข้าใจดีขึ้นเพราะมีความรู้สึกเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แต่บางคนจะยิ่งสับสนมากขึ้นเพราะวาดภาพไม่ออกเลยว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

ข้าพเจ้ารักทะเลเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่มีคนชวนไปเที่ยวทะเลมักจะไม่ค่อยพลาด ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าชอบเล่นน้ำทะเล บางครั้งเมื่อไปเที่ยวทะเลไม่ได้แม้แต่จะเดินลงไปที่ชายหาดด้วยซ้ำไป แต่ข้าพเจ้าก็พอใจและมีความสุขลึกๆ ในใจ ข้าพเจ้าชอบมองดูทะเล โดยเฉพาะเวลาที่ไม่มีคนเล่นน้ำอยู่และทะเลค่อนข้างสงบ ยามนั้นข้าพเจ้าจะรู้สึกเศร้า ว้าเหว่ และอ้างว้าง แต่ลึกๆ ในใจสุขอย่างไม่สามารถจะอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคำพูด (ถ้าข้าพเจ้าสามารถเล่นดนตรีได้ ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงดนตรีคงสามารถจะสื่อให้เข้าใจความรู้สึกดังกล่าวได้ดีกว่าตัวหนังสือ) และมีความรู้สึกเจ็บปวดปนอยู่ด้วย เจ็บปวดกับความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต บางครั้งอยากให้เวลาหมุนกลับมาใหม่แล้วขอทำใหม่อีกครั้ง เคยถามตัวเองว่าถ้าเป็นไปได้จริงๆ จะเลือกวิถีทางใหม่หรือไม่ เคยคุยกับเพื่อนที่เป็นนักเขียนคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาบอกว่าถ้าเป็นไปได้จริงๆ คนเราก็จะยังคงเลือกทางเดิมนั่นแหละ จริงล่ะหรือ ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบ แต่พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ท่านเคยรู้สึกว่ายิ่งใกล้เวลาที่พระเจ้าจะเสด็จมา มนุษย์ก็ยิ่งแสดงความชั่วร้ายต่างๆ ให้ห็น ข้าพเจ้าจะไม่เสียใจนักถ้าหากว่าเป็นคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ที่ข้าพเจ้าเศร้าใจเพราะเป็นคนต่างๆ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน บางคนยังพูดอีกว่าเป็นคริสเตียนที่กลับใจใหม่แล้วเสียด้วย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีใครเคยพบคริสเตียนที่อ้างตัวดังกล่าวพูดกับท่านด้วยวาจาที่ไม่ได้มีความรักของพระเจ้าอยู่เลย พูดด้วยท่าทีอย่างที่กล่าวไว้ใน มธ. 15:18 ที่ว่า “แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” และยังมีการกล่าวโทษผู้อื่นด้วยเป็นนัยว่าตัวเองไม่เคยผิดเลย คงจะลืมพระคำของพระเจ้าที่ว่า “อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน” (มธ. 7:1) แต่พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ ให้เพ่งมองที่พระเจ้าแล้วท่านจะยืนหยัดอยู่ได้ในโลกที่เบี้ยวใบนี้

ท่านเคยเห็นพี่น้องคริสเตียนที่พูดสรรเสริญพระเจ้าเสมอ ร้อนรนในการรับใช้พระเจ้า และมักจะถวายเงินในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ท่านทราบว่าคริสเตียนคนเดียวกันนั้นไม่ให้โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียนคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าตน ถึงแม้ว่าความช่วยเหลือที่สามารถให้นั้นไม่ได้ยากเย็นหรือก่อความเดือดร้อนเลย แต่การกระทำของเขาหมายถึงความเดือดร้อนแสนสาหัสของพี่น้องคริสเตียนที่เขาปฎิเสธไม่ยอมให้ความช่วยเหลือนั้น ท่านจะทำอย่างไร พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ “มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ยก. 5:13) สิ่งที่ท่านทำได้ดีที่สุดคือหนุนใจให้อธิษฐาน ไม่เพียงแต่อธิษฐานสำหรับตนเองที่จะไม่กล่าวโทษคนอื่น แต่อธิษฐานเผื่อคนนั้นที่ถูกปฎิเสธที่จะพึ่งพระเจ้ามากขึ้นและให้อภัยและสามารถอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเขาด้วย

ท่านเคยมีความรู้สึกไม่อยากไปนมัสการที่คริสตจักรในวันอาทิตย์บ้างหรือไม่ รู้สึกว่าไม่ได้มีความกระตือรือร้นอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆ อย่างที่เคยเป็น และมักจะหาข้ออ้างที่ขาดน้ำหนักในการขาดโบสถ์อยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะรู้สึกสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดของสมาชิกบางคน มีคำถามไม่เข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นทำหรือพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เอาพระเจ้าไปไว้ที่ไหน ความรักตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์อันตรธานไปไหน เหลือไว้แต่ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งยโส ความเสแสร้ง ความไม่จริงใจ การรอโอกาสที่จะทำร้ายกันและกัน และที่ร้ายที่สุดมิตรภาพบินหายไป แต่กลับมีความเกลียดชังแบบศัตรูเข้ามาแทนที่ ท่านเคยรู้สึกอย่างนั้นบ้างไหม ท่านทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ คิดว่าคำตอบคงจะแตกต่างกันไป แต่ควรจะมีวิธีสุดท้ายที่ดีที่สุดถ้าทุกคนรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ เราต้องบอกตัวเองว่าเราไม่ได้ไปโบสถ์เพื่อไปพบใครเป็นพิเศษ เราไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พระบิดา ต่างหาก ดังนั้นให้เพ่งมองดูที่กางเขน ให้มุ่งไปที่พระเจ้า มิใช่มนุษย์ ท่านเห็นด้วยไหม

ท่านเคยรู้สึกผิดต่อพระเจ้าบ้างไหม ท่านปฎิเสธงานรับใช้ที่ทางคริสตจักรมอบหมายให้เพราะท่านทราบว่าเบื้องหลังการทำงานนั้นไม่โปร่งใสสักเท่าไร แต่ครั้นจะก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างขาดสันติสุขก็ออกจะเป็นเรื่องยากที่จะทำ ดูเหมือนว่าทางสองแพร่งนี้จะยากต่อการตัดสินใจเสียจริงๆ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ทูลทุกสิ่งในใจต่อพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นคำตอบ (สดด. 62:8)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมิใช่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าเองทั้งหมด แต่รวบรวมมาจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน เหล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ท่านทั้งหลายทราบดีว่าความจริงแล้วยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายแง่มุม ข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนท่านทั้งหลายให้ช่วยอธิษฐานเผื่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกันมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสุดท้ายดังในยุคนี้ เราจะได้เห็นความบาปอีกมากมายจากพี่น้องคริสเตียนด้วยกันนี่แหละ อย่าเน้นแต่การประกาศนอกคริสตจักรกันอย่างเดียวเลย ขอให้ห่วงใยพี่น้องคริสเตียนในคริสตจักรกันบ้าง ข้าพเจ้าขอวิงวอน

ทุกสิ่งจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะพระเจ้าทรงเป็นคำตอบ

สิธยา คูหาเสน่ห์

ความรักที่ว่านั้น … ฉันใด

“ความรักก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” (1 โครินธ์ 13:4-7)
คิดว่านิยามความรักข้างต้นคงเป็นที่คุ้นเคยของคริสตชนทุกคน และคิดว่าคงมีคนไม่น้อยที่สามารถท่องจำข้อพระวจนะนี้ได้ แต่ข้าพเจ้ายังแคลงใจว่าบรรดาผู้ตระหนักดีทั้งหลายเหล่านั้นจะมีสักกี่คนเชียวหนอที่สามารถปฏิบัติตามได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้สักประเด็นเดียว ข้าพเจ้าต้องทูลขอการทรงอภัยจากพระเจ้าถ้าจะขอกล่าวว่าในยุคนี้ (ซึ่งหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะเป็นยุคสุดท้ายแล้วจริงๆ จากหมายสำคัญหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น) ช่างหาความรักได้น้อยเต็มทนแม้แต่จากสมาชิกในครอบครัวของเราเอง มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความบาปและพร้อมที่จะทำบาปทุกขณะเมื่อตกอยู่ในการทดลองถ้าจิตวิญญาณไม่เข้มแข็งพอ ไม่เว้นแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ผู้ปกครอง ผู้ที่ดำเนินชีวิจด้วยความชอบธรรม ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อตลอดมา ถ้าดูอย่างผิวเผินจะเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ติดสนิทกับพระเจ้าตลอดเวลา มองไม่เห็นทางเลยว่าจะพ่ายแพ้การทดลองได้อย่างไร แต่เราต้องไม่ลืมว่ายิ่งเราเข้มแข็งกับพระเจ้ามากเท่าใด มาร ก็ต้องทำงานหนักที่จะคอยทำลายเรามากขึ้นเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความผิดเกิดขึ้น พระองค์ต้องมีพระประสงค์อย่างแน่นอน และเป็นการยืนยันสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “เพราะไม่มีคนเป็นคนใดที่ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระองค์” (สดด. 143:2ข) และ “แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลกที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย” (ปญจ. 7:20) สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดคือสารภาพความผิดบาปของเรากับพระเจ้า ทูลขอการทรงอภัย กลับใจใหม่และจะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดๆ อีก และอธิษฐานรอคอยคำตอบจากพระองค์ด้วยความอดทน เพราะมนุษย์เกิดมาในสภาพที่แตกสลาย ที่มนุษย์ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่เปรียบเสมือนกาววิเศษที่ปะติดปะต่อชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกันเมื่อใครคนใดคนหนึ่งหลงทางทำผิดไป เมื่อรู้สึกตัวแล้วขวัญและกำลังใจที่ขาดสะบั้นนั้นนอกจากพระเจ้าแล้วยังเป็นความเอื้ออาทรที่สมาชิกในครอบครัวควรจะหยิบยื่นให้ เรียกขวัญและกำลังใจเหล่านั้นให้กลับฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ช่วยลบความผิดนั้นให้จางลงและให้รอยแผลนั้นค่อยๆ หายไปจากจิตใจด้วยความรัก มิใช่ด้วยการตอกย้ำไม่ยอมลืม ถ้าเช่นนั้นนิยามความรักข้างต้นจะมีความหมายอะไร ไม่มีใครสามารถจะทำได้ดีกว่าคนในครอบครัวเพราะรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ความจริงบางประการก็ไม่สามารถให้คนอื่นรับรู้ได้ทั้งหมด ดังนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนให้คริสเตียนทั้งหลายทบทวนบทบาทของตนเองใหม่อีกสักครั้งว่าการดำเนินชีวิตและวาจาของเราสอดคล้องกับพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่ หรือมีการดำเนินชีวิจที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่
ความรักก็เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ต้องการความเอาใจใส่ดูแลทำนุบำรุงจึงจะสามารถเจริญเติบโตผลิดอกออกผลได้ พระเจ้าให้เรารักและเป็นห่วงซึ่งกันและกัน ต้นรักในใจของเราเป็นต้นรักชนิดที่เหี่ยวเฉาเพราะขาดการดูแลได้น้ำบ้างไม่ได้บ้าง หรือเป็นต้นรักที่อยู่ริมน้ำเขียวชอุ่มทั้งปีแผ่กิ่งก้านสาขาออกกว้างให้ร่มเงาที่น่าร่มรื่น หรือแม้จะไม่ได้อยู่ริมน้ำแต่ก็มีการพรวนดินใส่ปุ๋ยให้น้ำอย่างอุดมสมบูรณ์
ท่านผู้อ่านที่รัก ต้นรักในใจของท่านเป็นชนิดใด
ความเชื่อ ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้
ความหวัง ทำให้ทุกสิ่งสดใส
ความรัก ทำให้ทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย
พระเจ้าทรงเริ่มต้นการดีของพระองค์แล้วโดยทำให้จักรวาลนี้ไร้พรมแดน ท่านล่ะ ปลูกต้นไม้ให้งอกงามจนมีความรักมากพอที่จะเทให้แก่มนุษย์บนโลกนี้ ทำให้อาณาจักรอันปราศจากเขนแดนนี้เต็มไปด้วยความรักแบบพระคริสต์ ท่านอยากเห็นภาพที่ทุกคนบนพิภพนี้จับมือกันแล้วร้องเพลง “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” ให้ก้องโลกหรือไม่!!!

สิธยา คูหาเสน่ห์

การทดลอง … ปฏิเสธได้ไหม

การทดลองหรือการล่อลวงของซาตานที่คริสเตียนทุกคนจะต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ บางคนอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะปฏิเสธสิ่งล่อใจหรือกับที่ซาตานเอามาล่อแล้วก็ติดกับนั้น ในที่สุดก็พ่ายแพ้ แต่บางคนสามารถหนีรอดมาได้เพราะชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเข้มแข็งและดำเนินชีวิตในน้ำพระทัยของพระเจ้า ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในการทดลอง พระเจ้าของเราก็ทรงเมตตาที่จะช่วยเหลือเรา ใน 1 โครินธ์ 10:13 กล่าวไว้ว่า “ไม่ มี การทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านนอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้” แต่ส่วนใหญ่เรามักมองข้ามทางออกที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้แม้จะตระหนักว่าผลแห่งการพ่ายแพ้การทดลองนั้นจะทำให้เรารู้สึกผิดต่อความบาป และจะมีชีวิตที่ขมขื่นจากความเจ็บปวดนั้นไปอีกนาน โอ! พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปราดเสริมกำลังและให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบแห่งน้ำพระทัยของพระองค์เถิด ข้าพเจ้าพบว่าการรับเชื่อเป็นคริสเตียนไม่ใช่เรื่องยากมากนัก แต่การเป็นคริสเตียนที่ดีนี่สิเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้เชื่อที่ติดสนิทกับพระเจ้าและจำคำสอนของพระองค์ได้ดี แต่ก็ยังเคยหลงทางอยู่บ่อยๆ มีไม่น้อยที่หลงหายไปจากทางของพระเจ้าเลย แต่ก็มีไม่น้อยที่สำนึกในความผิด สารภาพความบาปผิดทูลขอการอภัยจากพระองค์ และกลับมาดำเนินชีวิตภายใต้ร่มพระคุณอีกครั้ง เมื่อนั้นในครัวเรือนนั้นจะมีความชื่นชมยินดี (ดู ปญจ. 7:4) เมื่อสำนึกถึงความผิดและสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น (1 ยน. 1:9) และถวายตัวเราเป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์ต่อพระองค์ เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น (สดด. 51:17) และทูลขอพระองค์ให้ทรงประทานใจใหม่ที่สะอาดให้เรา และทรงฟื้นน้ำใจให้เกิดความหนักแน่นขึ้นใหม่ในตัวเรา (สดด. 51:10) และทูลขอสติปัญญาและการทรงนำจากพระเจ้าให้เราสามารถรักษาความบริสุทธิ์ในการดำรงชีวิตให้มากที่สุด ให้เข้าใกล้พระองค์โดยการอธิษฐานด้วยใจถ่อมสุภาพ ด้วยการวิงวอน และด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเรา และเชื่อฟังถึงแม้ว่าการเชื่อฟังจะหมายถึงความเจ็บปวดก็ตาม แต่ถ้าเราสามารถเป็นลูกที่เชื่อฟังของพระเจ้า เมื่อนั้นเราก็สามารถจะรักคนอื่นได้ เพราะคนที่มีความรักมากพอที่จะแบ่งผันให้คนอื่นได้เท่านั้นจึงจะสามารถเชื่อฟังได้

ขอให้ราทูลวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าอย่าให้เราต้องพบกับการทดลองบ่อยครั้งเกินไป ขอให้เข้มแข็งกับพระเจ้า และนึกถึงข้อพระวจนะที่ว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟป. 4:13) ขอให้แน่ใจว่าเราทูลขอการเสริมกำลังจากพระองค์ เราล้มแน่ถ้าพึ่งเพียงสติปัญญาของตนเอง ขอให้เราเชื่อฟังพระเจ้าให้มากๆ ขอให้เมล็ดความเชื่อของเราจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกๆ วัน

แม้ว่าการทดลองนั้นจะน่าลิ้มลองเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถปฏิเสธได้ถ้าเรามีวิถีการดำเนินชีวิตในทางตรงกันข้าม เพราะเราจะไม่มีวันจะได้พบกับการท้าชวนของสิ่งล่อลวงใดๆ เลย แต่การเดินทางในเส้นทางดังกล่าวต้องอาศัยความกล้าและความเด็ดเดี่ยวอยู่มาก ต้องปฏิเสธความรู้สึกที่จะสนองตอบความต้องการของตนเอง ซึ่งค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากลำบากเอาการ เพราะความต้องการของมนุษย์มีไม่สิ้นสุด ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ หรือถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ไม่พอใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าเพราะสิ่งสารพัดที่เป็นของเราอยู่ในโลกนี้ก็เป็นของประทานมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา และเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่มนุษย์ก็ยังไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา บางครั้งเกินความสามารถของเรา ก็จะจบลงด้วยความเศร้า เข็ดหลาบไหม ไม่ ความพยายามในการสนองตอบตัณหาก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ หาจุดจบไม่พบ ช่างเป็นเรื่องน่าเวทนาเสียนี่กระไร!

ข้าพเจ้าใคร่วิงวอนท่านทั้งหลายว่า อย่าพยายามให้ตนเองพลัดหลงเข้าไปในวังวนของความชั่วร้ายใดๆ เลย เพราะจะเหมือนกับการติดสิ่งเสพติด มีแต่ยิ่งถลำลึกลงๆ ทุกที ใครจะช่วยได้ เราๆ ท่านๆ คงจะรู้คำตอบว่าไม่มีใครช่วยได้ นอกจากพระเจ้าเท่านั้น ให้ไวต่อการทรงเตือนสติของพระองค์ เชื่อฟัง และหันหลังกลับมาเดินในเส้นทางที่สอดคล้องกับพระคำของพระองค์

ขอให้การดำรงชีวิตที่ผิดพลาดเป็นครูที่ดีของเรา แม้ว่าจะเป็นบทเรียนที่เข้าใจยากสักนิด แต่เพราะสิ่งยากๆ ที่เราอาจจะไม่เข้าใจและยอมรับไม่ได้นี้แหละที่จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และพระเจ้าจะอุ้มชูเราไว้เมื่อเราล้มลงด้วยพระองค์เอง และจะทรงปัดเป่าความทุกข์ของเรา และเพิ่มความแข็งแกร่งให้และพระเมตตาคุณขงพระเจ้ามิเคยยั้งหยุด และจะทรงช่วยกู้เราจากความหายนะทั้งมวล เราจะเรียนรู้ที่จะยืนหยัดต่อไป และเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะทำร้ายเรา เรียนรู้ว่าจากสิ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยจะเป็นสิ่งที่ให้อะไรๆ ที่ดีที่สุดแก่เรา และเรียนรู้ว่า “การพ่ายแพ้” เป็นเพียงก้าวหนึ่งสู่ “ความมีชัย” และเมื่อชีวิตพบกับแสงสว่างอีกครั้ง นอกจากเราจะเข้มแข็งขึ้นแล้ว เรายังฉลาดขึ้นด้วย และเห็นความสำคัญและเห็นค่าในสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เคยรู้จัก ขอพระเจ้าที่จะทรงช่วยเหลือเราให้มีการดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในพระวจนะของพระองค์ และมีความสำนึกในพระเมตตาคุณของพระองค์

เป้าหมายสูงสุดในชีวิต คือ พระสิริของพระเจ้า
ทางเลือกที่ดีที่สุดในชีวิต คือ น้ำพระทัยของพระเจ้า
ความหวังที่สดใสที่สุดในชีวิต คือ พระสัญญาของพระเจ้า
การปกป้องที่เข้มแข็งที่สุดในชีวิต คือ การจัดเตรียมของพระเจ้า
ความเกื้อหนุนที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต คือ การโอบอุ้มที่แนบแน่นของพระเจ้า
รางวัลที่งดงามที่สุดในชีวิต คือ พระเจ้า นั่นเอง

สิธยา คูหาเสน่ห์

กับดัก

บทความแรกในปี 1998 ของข้าพเจ้าฟังดูน่ากลัวแต่ก็น่าติดตาม ท่านคิดแบบเดียวกับข้าพเจ้าไหม ในหัวสมองของข้าพเจ้ามีแนวเรื่องมากมายที่จะเขียนเพราะพระเจ้าทรงเมตตาประทานเวลาให้แก่ข้าพเจ้าอย่างเหลือเฟือในช่วงมากกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา พระเจ้าทรงมีพระประสงค์และวารสำหรับทุกคนไม่เหมือนกัน สำหรับคนอื่นที่บอกว่าเวลาที่พระเจ้าประทานมาให้ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันดูเหมือนจะน้อยไปสักนิดก็อย่าได้อิจฉาข้าพเจ้าเลย เพราะแทนที่ข้าพเจ้าจะฉวยโอกาสทำอะไรให้มากขึ้นก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะเวลาเกือบทั้งหมดใน 1 วันนั้นต้องนอนอยู่บนเตียงได้แต่คิดโน่นคิดนี่และใช้เลากับการอ่านหนังสือและดูทีวีเท่านั้น ทั้งนี้เพราะอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 97 ทำให้กระดูกที่หัวแม่เท้าซ้ายแตก แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนสูงอายุอย่างข้าพเจ้าไป จนบัดนี้ก็ยังไม่หายและหมอก็ยังห้ามใช้เท้าเกินความจำเป็น จึงสร้างความอึดอัดให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างมากเพราะนอกจากต้องนอนทั้งวันแล้วยังเดินไม่สะดวกอีกด้วย

เหตุนี้ทำให้คำว่า “กับดัก” ผ่านเข้ามาในความคิด ส่วนใหญ่เรามักจะติด “กับ” ที่มีคนวางไว้ เรามักจะขาดความกล้าในการปฏิเสธสิ่งล่อใจและบอกกับตัวเองว่า “ลองดู” สักหน่อนก็แล้วกัน เหมือนกับที่เราพ่ายแพ้ต่อการทดลองหรือ “กับดัก” ที่ซาตานดักไว้เสมอ ทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนโตได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดแห่งหนึ่งก็คือ ดิสนีย์แลนด์ เมื่อรู้ว่าจะไปเที่ยวกัน ข้าพเจ้าก็บอกกับลูกสาวว่าคงจะไม่เล่นเครื่องเล่นใดๆ หรอกนะ แต่เมื่อไปถึงตอนที่ซื้อบัตรผ่านประตู ที่นั่นเขาเรียกว่า “พาสปอร์ต” ก็จะมี 2 แบบ คือเป็นแค่บัตรผ่านประตูอย่างเดียวกับรวมการเล่นเครื่องเล่นทุกชนิด ซึ่งแบบหลังจะคุ้มกว่ามาก ลูกสาวและเพื่อนก็บอกว่าไหนๆ มาแล้วถ้าไม่เล่นจะน่าเสียดาย ข้าพเจ้าจึงให้ซื้อแบบเล่นเครื่องเล่นด้วย และตั้งใจว่าจะมองข้ามชนิดที่โลดโผนไปเสีย แต่ปรากฏว่าเครื่องเล่นที่ว่างเมื่อเราเดินผ่านในครั้งแรกกลับเป็นชนิดที่โลดโผนที่สุด เพื่อนของลูกสาวบอกว่าเราโชคดีที่ไม่ต้องคอยนาน เพราะปกติแล้วคนจะเล่นกันมากและบางครั้งต้องคอยเป็นชั่วโมงกว่าจะได้เล่น แต่เมื่อข้าพเจ้าอ่านชื่อเครื่องเล่น (Space Mountain) ก็พอจะมองเห็นภาพว่าเป็นเครื่องเล่นชนิดใด ก็บอกว่าคงไม่ไหวนะแต่ขอเข้าไปดูข้างในหน่อยว่าเป็นอย่างไรแล้วจึงค่อยตัดสินใจ เมื่อเข้าไปข้างในก็ต้องเดินเป็นระยะทางไกลพอสมควรกว่าจะได้นั่งเครื่อง อยากจะเรียกว่า “เรือเหาะ” และตลอดทางจะมีป้ายเตือนว่า “สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจ (และยังมีอีกหลายโรคซึ่งจำไม่ได้แล้ว) ขอให้ตัดสินใจให้ดี ท่านสามารถเดินออกไปตรงทางออกนี้ได้” ข้าพเจ้าก็คิดว่าปัญหาของข้าพเจ้าอยู่ที่ลิ้นหัวใจต่างหากและใจก็ไม่สั่น (เต้นแรงและผิดจังหวะ) สักหน่อย ข้าพเจ้ามักจะวัดความรุนแรงของเหตุการณ์ด้วยการเต้นของหัวใจตัวเอง ขาก็เดินต่อไปแล้วก็พบป้ายเตือนแบบเดียวกันอีก แล้วขาก็เดินต่อไป เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงป้ายสุดท้าย ตอนนั้นใจก็ชักลังเลอยากเดินออกไปเหมือนกัน แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะถึงเรือเหาะที่ต้องนั่งพอดี ถ้าจะเดินออกตอนนั้นก็จะวุ่นวายเพราะมีคนตามมามาก เมื่อเรือเริ่มเหาะใหม่ๆ ก็สนุกและเมื่อมองขึ้นเบื้องบนจะเห็นดาวระยิบระยับไปหมด ทุกคนร้องเสียงดัง แปลความหมายได้ว่า ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้! แต่ไม่นานเสียงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกรีดร้องแทนเพราะเรือเริ่มเหาะแบบผาดโผนโจนทะยานเสียจริงๆ ครั้งแรกข้าพเจ้าก็ยังกรีดร้องอยู่ แต่สักพักเล็กๆ ก็หยุดร้อง ลูกสาวที่นั่งคู่กันเริ่มใจเสียและเกรงว่าข้าพเจ้าจะช็อคไปหรืออย่างไร ก็ถามว่า “Mama เป็นอะไรหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบว่า “ยังอยู่” ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะในใจกำลังเรียกหาพระเจ้าอยู่ กำลังบอกพระเจ้าว่า ขอให้หยุดเรือนั้นเสียที ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าคงต้องไปเฝ้าพระองค์แน่ๆ ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนกับว่าตกลงจากที่สูงมากๆ อย่างรวดเร็วและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้แค่บทเรียนเท่านั้น เพราะคนอายุขนาดข้าพเจ้าบางคนเมื่อเรือจอดก็ลุกขึ้นเดินไม่ได้ บางคนก็หัวใจวายเฝ้าเรือไปตลอด บางคนก็เป็นโรคประสาทหลอนไปนาน แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข็ด ยังไปเล่นรถไฟเหาะอีกซึ่งความน่ากลัวน้อยกว่ากันหน่อย เพราะคราวนี้สามารถหวีดร้องได้ตลอด เมื่อถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็บอกลาทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะมีเสียงกระซิบในใจว่าลองดูเสียหน่อยน่ะ ก็ไม่กล้าลองอีกแล้วเพราะเกรงว่าต้องไปเฝ้าพระเจ้าจริงๆ แท้จริงไม่ได้กลัวการไปเฝ้าพระเจ้า แต่เกรงว่าลูกสาวจะทำอะไรไม่ถูกเพราะอยู่ต่างแดนและจะโทษตัวเองที่ทำให้แม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ทำให้ข้าพเจ้านึกเปรียบเทียบกับการล่อลวงของมาร ลองดูเสียหน่อยน่ะ และสิ่งล่อใจของมารก็มักจะน่าลิ้มลองยากต่อการปฏิเสธเสียด้วย เรารู้และตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวงที่รอเราอยู่ แต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าไม่เอา เหมือนที่ข้าพเจ้ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมเดินออกไปเสียที แต่เมื่อจะตัดสินใจไม่เอาก็มักจะสายไป แล้วเราก็ยังตกอยู่ในการทดลองต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นการทดลองที่เล็กหรือใหญ่เท่านั้น ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจพี่น้องที่รักว่า อย่าลองเลย แล้วเราก็จะขมขื่นอยู่กับอดีตที่เจ็บปวดของเรา บางทีลำพังตัวเราเองคงไม่สามารถยืนหยัดต่ออำนาจชั่วได้ แต่ถ้าเราเชื่อพึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอการเสริมกำลังจากพระองค์ และดำเนินชีวิตในน้ำพระทัย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าเราจะเป็นผู้ชนะ

ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างในตอนนี้ การทดลองอาจมีมากสำหรับบางคน ขอให้เข้มแข็งกับพระเจ้า และนึกถึงข้อพระวจนะนี้ว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (อฟ. 4:13) ขอให้แน่ใจว่าเราทูลขอการเสริมกำลังจากพระองค์ เราล้มแน่ถ้าพึ่งเพียงสติปัญญาของตนเอง

ข้าพเจ้าหวังว่าการเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้ายกขึ้นมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องบ้างไม่มากก็น้อย และขอให้เรารักกันและกัน และที่สำคัญมากยิ่งไปกว่านี้คือ คำอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน และขอให้อธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าด้วยในเรื่องการรับใช้ เพราะงานของพะเจ้ารอข้าพเจ้าอยู่ค่อนข้างมาก แต่สรีระไม่ตอบสนองเลย

สิธยา คูหาเสน่ห์

ยอมทำตาม…แน่หรือ

“ข้ายอมทุกสิ่งข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง
สิ่งไรที่ทรงบัญชาข้าขอทำตาม
ด้วยรู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัย”

ข้าพเจ้าแน่ใจว่าข้อความข้างบนซึ่งเป็นท่อนหนึ่งของบทเพลงสรรเสริญคงจะคุ้นหูทุกท่าน เพลงนี้สำหรับข้าพเจ้าแล้วยิ่งร้องก็ยิ่งรู้สึกถึงความผูกพันในข้อความนั้น ข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าข้าพเจ้ายอมตามนั้นด้วยใจจริง เป็นการยอมเชื่อฟังพระเจ้าแม้ว่าการเชื่อฟังนั้นจะหมายถึงความเจ็บปวดที่จะตามมาก็ตาม มิใช่เป็นการคล้ยตามบทเพลงหรือเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเท่านั้น ข้าพเจ้ามักจะฮัมเพลงนี้ในใจเสมอๆ เพื่อเตืนตัวเองว่าได้ให้สัญญากับพระเจ้าไว้แล้ว และข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจพี่น้องคริสเตียนทั้งหลายว่า ถ้าท่านยังไม่เกิดความรู้สึกยอมทำตามน้ำพระทัยอย่างจริงจัง จงเริ่มต้นเสียเถิด แล้วท่านจะเสียดายว่าน่าจะยอมทำตามมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เป็นการปลดปล่อยโดยแท้จริง เกิดสันติสุข และการเชื่อพึ่งในพระเจ้า และเห็นว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์เป็นจริง อยากจะขอเชิญชวนท่านทั้งหลายให้เริ่มต้นเสียบัดนี้

พอจะสรุปได้ว่าจะมีคน 3 ประเภทเมื่อร้องเพลงบทนี้ ดังนี้
1. ยอมทำตามโดยแท้จริงและถาวร
2. ยอมทำตามเป็นชั่วขณะเพราะอารมณ์พาไปและอาจจะทำได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
3. จะยอมทำตามแต่มีข้อแม้บางประการ และจะเปลี่ยนเนื้อร้องใหม่เสียดังนี้ว่า

“ข้ายอมบางสิ่งข้าจะยอมทำตามบางอย่าง
สิ่งไรที่ทรงบัญชาข้อขอคิดดูก่อน
แม้ว่านั่นจะเป็นน้ำพระทัย”


ครั้งแรกที่ได้ยินเนื้อเพลงที่ดัดแปลงใหม่เราอาจจะขำ แต่ถ้าท่านลองคิดพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียว และก็มีคนประเภทหลังนี้ค่อนข้างมากเสียด้วย พระเจ้าใกล้เสด็จมาแล้ว อย่ารอช้าอยู่เลยเดี๋ยวจะไม่ทันการ ลองคิดทบทวนดูใหม่อีกครั้งว่าท่าทีของท่านเป็นเช่นไร

สำหรับประเภทแรก ไม่ใช่เรื่องง่านที่ท่านจะรักษาสัญญานั้นไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยเพราะทางดำเนินชีวิตของท่านนั้นเป็นทางแคบ ถ้าท่านไม่เพ่งมองที่พระเจ้า ท่านจะต้องสะดุดล้มครั้งแล้วครั้งเล่า และอาจจะยอมแพ้ในที่สุด แต่ถ้าท่านฮึดสู้จนวินาทีสุดท้ายไม่หวั่นแม้ว่าอุปสรรคนั้นจะใหญ่หลวงสักปานใดก็ตาม ชัยชนะจะเป็นของท่าน อย่างที่กล่าวไว้ว่าการเชื่อฟังหมายถึงความเจ็บปวดที่จะได้รับ ท่านจะยอมแน่หรือ เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำพระทัยสำหรับเรานั้นจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ พระเจ้ายังไม่เปิดเผย (สภษ. 25:2) แต่ท่านจะได้คำตอบทุกอย่างเมื่อถึงเวลาเพียงแต่ขอให้ท่านอดทนเพียรอธิษฐานขอการเสริมำลังจากพระเจ้าเท่านั้น (ลก. 21:19) การยอมทำตามนั้นอาจหมายถึงการที่ท่านอาจถูกข่มเหง หลู่เกียรติ ไม่เหลือแม้อต่ความนับถือตัวเอง แต่ถ้าท่านยอม พระพรหลังจากนั้นยิ่งใหญ่เกินว่าที่ท่านจะคาดคิด ท่านจะเติบโตในพระองค์ จิตวิญญาณจะเข้มแข็ง ได้รับการปลดปล่อย และเห็นตัวเองชัดขึ้นทุกวัน และในที่สุดพระเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นๆ แล้วในที่สุดท่านจะได้รับการยกขึ้น

สำหรับประเภทที่สอง คนพวกนี้มักจะทำตามอารมณ์ของตนเอง พวกนี้หาแก่นสารอะไรในชีวิตไม่ค่อยดได้ และชอบทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองช่างบริสุทธ์เสียนี่กระไร ถ้าเราไม่รู้จักคนพวกนี้จริงๆ ก็จะเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างที่มีคำกล่าวว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” คนประเภทนี้มักจะชอบโยนความผิดให้คนอื่นเสมอ และกล่าวว่าตนเองไม่เคยทำอะไรผิดเลย พวกเขาสามารถยกข้อพระคัมภีร์มาอ้างได้อย่างคล่องแคล่วเป็นฉากๆ แต่ลืมที่จะพิจารณาตัวเองว่าพฤติกรรมของตนเองขัดต่อสิ่งที่กล่าวอ้างหรือไม่ และยังหยิ่งทะนง ช่างน่าสงสารเสียจริง! ไม่ได้ดูว่าแท้จริงแล้วการดำเนินชีวิตของตนเองนั้นแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ หรือทำตามใจปรารถนาของตนเอง แล้วอ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้า ขอพระเจ้าโปรดเมตตาด้วยเถิด

ส่วนประเภทหลังสุด ยิ่งน่าสงสารหนักมากขึ้น มีข้อแม้กับพระเจ้าพระผู้สร้าง ไม่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ขอต่อรองกับพระเจ้า ยิ่งหนักข้อไปใหญ่ พระเจ้าไม่ต้องการการเชื่อฟังเป็นบางเรื่องบางส่วน พระองค์ทรงต้องการทั้งใจทั้งชีวิตของเรา กลับใจใหม่เถิด และมอบถวายตัวท่านเองแด่พระเจ้า ยอมให้พระองค์ทรงใช้ท่านตามน้ำพระทัย เวลาแห่งความรอดสั้นลงทุกทีๆ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องนับถอยหลังกันแล้ว ท่านไม่กลัวหรือ

อยากจะหนุนใจอีกว่า เมื่อท่านทนทุกข์หรือรู้สึกเจ็บปวด เมื่อนั้นแหละที่ท่านจะสัมผัสกับความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อย่ากลัวที่จะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้ยอมอย่างสิ้นเชิง เมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย จะต้องกลัวอะไรอีกเล่า

สิธยา คูหาเสน่ห์

พระเจ้าผู้ทรงเมตตา

คิดว่าคริสเตียนทุกคนคงตระหนักดีว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตาอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเฝ้ามองดูเราอยู่ตลอดเวลา พระองค์มิเคยหลับเลย พระองค์จะไม่ยอมให้ลูกแกะของพระองค์แม้เพียงตัวเดียวหลงหายไป “เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรา คือ เราเองจะค้นหาแกะของเรา และเที่ยวหามัน” (อสค. 34:11) พระองค์ทรงรู้จักแกะทุกตัวของพระองค์ ทรงรักและเมตตาอย่างยิ่ง

เมื่อเราทำผิดและสารภาพการล่วงละเมิดของเรา พระองค์ทรงให้อภัยและไม่จดจำความผิดของเราไว้ เมื่อเรามีความทุกข์ขมขื่น พระองค์ทรงเล้าโลมฟื้นจิตใจของเราให้ชื่นขึ้น เมื่อเราล้มลงด้วยความท้อใจ พระองค์ทรงชูกำลังให้เราสามารถยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราหลงหายไปจากพระพักตร์ พระองค์ก็จะทรงออกเที่ยวตามหา พระองค์ทรงเคลื่อนไหวด้วยวิธีการต่างๆ ที่เกินความเข้าใจของเรา

ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้น และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพระเจ้าทรงรักข้าพเจ้าอย่างแท้จริงและทรงรู้ว่าอะไรคือความทุกข์และปัญหาของข้าพเจ้า และทรงทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ทรงห่วงใยและทรงเฝ้ามองดูข้าพเจ้าอยู่ด้วยความเมตตาอย่างล้นเปี่ยม

คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าในบางครั้งความขัดแย้งในการดำรงชีวิตแบบคริสเตียนก็เกิดขึ้นกับเราอย่างมากมาย ข้าพเจ้าก็เคยรู้สึกอย่างนั้นถึงขั้นที่ว่าเห็นบางคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าดีกว่าพี่น้องคริสเตียนด้วยกันเสียด้วยซ้ำ เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่อยากไปโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ก็มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ ขาดสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า ชีวิตดูช่างไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เสมือนว่าลืมพระเจ้าไปชั่วขณะ

แต่พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ แม้ว่าข้าพเจ้ามีทีท่าว่ากำลังจะหลงหายไปจากพระพักตร์ของพระองค์ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงพิโรธแต่กลับพยายามช่วยกู้และพยุงข้าพเจ้ากลับมาสู่อ้อมพระกรอันอบอุ่นของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ทรงทำให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวของข้าพเจ้ากลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง ทรงสัมผัสข้าพเจ้าและทรงเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้า นอกจากนั้นพระเจ้ายังทรงเคลื่อนไหวผ่านสิ่งต่างๆ อย่างเช่น คำหนุนใจผ่าน pager ซึ่งพระวจนะที่ส่งมาตรงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่พอดี บางครั้งก็ได้รับคำหนุนใจทางโทรศัพท์พร้อมกับคำอธิษฐานที่มีพลัง ข้าพเจ้าสามารถรู้สึกได้ด้วยสัมผัสพิเศษซึ่งไม่สามารถจะอธิบายให้เข้าใจได้

ขณะนี้ข้าพเจ้าสามารถยืนยันได้ว่า ความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ และพระเมตตาของพระองค์ก็ไม่มีขอบเขตที่จำกัด ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราจะไม่พบกับปัญหาหรือความยากลำบากเลยเมื่อพระเจ้าทรงเมตตาเรามากมายขนาดนั้น พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยสำหรับแต่ละคนต่างกัน สิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งที่ดีและไม่ดีก็ต้องอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าท่านไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้เกิดขึ้นเช่นนั้น ขอให้อธิษฐานแล้วท่านจะได้คำตอบอย่างชัดเจน และจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าชัดขึ้นๆ ทุกวัน ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของท่านจะเติบโตขึ้น และที่สำคัญท่านจะเห็นพระคุณของพระเจ้ามากขึ้นด้วย

ท่านมีอะไรก็ขอให้ทูลต่อพระเจ้าเถิด พระองค์จะทรงฟัง และพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานตามที่ทรงสัญญาไว้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ ดังนั้น คริสเตียนทั้งหลายเอ๋ย เรียนรู้ที่จะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าของเราด้วย ให้เรามีวิถีดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับพระคำของพระองค์ อย่าเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้มีการกระทำด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นคนลวงตัวเอง (ยก. 1:22) และเป็นความเชื่อที่ไร้ผล (ยก. 2:17) แต่หนทางแห่งการดำเนินชีวิตเช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย เราต้องพบกับสิ่งล่อลวงมากมาย พบกับการทดลองมากมาย ถ้าเราไม่ยึดพระคำของพระเจ้าให้มั่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะหลงทางไปและอาจจะหาทางกลับไม่พบ แต่อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นพระเจ้าจะออกเที่ยวตามหาเราจนพบเพราะพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระเมตตาที่มีอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อนั้นขอให้เรายอมตามพระองค์กลับมาแต่โดยดี และเราก็จะพบกับความสว่างอีกครั้ง

ข้าพเจ้ายังมีคำพยานส่วนตัวอีกมากมาย และยิ่งเห็นพระเมตตาของพระเจ้าชัดเจนมากยามเจ็บป่วย คิดว่าคงมีโอกาสที่จะแบ่งปันอีกในโอกาสต่อไป

สิธยา คูหาเสน่ห์

บอกรัก…ใคร…หรือยัง

วันวาเลนไทน์ก็เวียนมาจบครบรอบอีกปีหนึ่ง คงมีหลายคนที่รอคอยวันนี้อย่างใจจดใจจ่อเต็มที เพราะบางคนรอที่จะได้บอกเป็นนัยกับใครถึงความในใจเสียที บางคนก็รอเพื่อจะยืนยันความรักความผูกพันที่มีต่อกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และอีกหลายคนก็กำลังรอคอยเงินก่อนมหึมาจากการขายดอกกุหลายสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักในวันนั้น..

จริงๆ แล้วท่านจำเป็นต้องรอคอยให้ถึงวันวาเลนไทน์เสียก่อนจึงจะแสดงความรักต่อกันได้หรือ ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้น เพราะยังมีความรักอีกมากมายหลายแบบ เช่น ความรักต่อคนในครอบครัว ความรักต่อเพื่อน ความรักต่อเพื่อนร่วมงาน และที่สำคัญความรักต่อเพื่อนร่วมโลก (เพราะพระเจ้าตรัสให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน ดังที่กล่าวไว้ใน 1 ยน. 3:11)

แท้จริงแล้วความหมายของพระเจ้าก็คือ ให้เรามีความรักในใจมากพอที่จะแบ่งปันให้ทุกคนทุกๆ วัน ไม่ใช่วันใดวันหนึ่งโดยเฉพาะ ให้เรามีดอกกุหลายสีแดงเบ่งบานเต็มในใจทุกวันที่เราสามารถจะหยิบยื่นให้แก่ใครก็ได้ทุกเมื่อ และความรักที่ว่านี้ก็คือความรักอย่างพระเยซูคริสต์นั่นเอง


วันนี้ท่านบอกรัก … ใคร … หรือยัง


ความรักเป็นสายสัมพันธ์ที่จรรโลงเราให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าเราไม่ได้รับความรัก ชีวิตของเราจะค่อยๆ เฉาและตายในที่สุด เพราะความรักนั้นยิ่งใหญ่ (…แต่ความรักใหญ่ที่สุด … 1 คธ. 13:13) อานุภาพของความรักยิ่งใหญ่จริงๆ หรือว่าท่านจะคัดค้าน ความรักเป็นความรู้สึกดีๆ เป็นความห่วงใย เป็นความอบอุ่น เป็นความเข้าใจ เป็นความเกื้อหนุนกัน …

เราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้ามีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร เพราะเราได้รับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจากพระเจ้าของเรา เป็นความรักที่ช่างแสนบริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านเข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างใกล้ชิด ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับท่าน อย่าเอาแต่พูดฝ่ายเดียว ขอให้เรามีการสนทนากับพระองค์ แล้วท่านจะสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่นั้น เป็นความแช่มชื่นและมีพลังอย่างประหลาด ท่านอยากสัมผัสความรักนั้นบ้างไหม

ถ้าท่านอยากจะรักใครสักคน จงรักเดี๋ยวนี้ในขฯที่เขายังสามารถรับรู้ได้ รักเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ อย่ารอจนกระทั่งเขาจากไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจากไปชั่วคราวหรือจากกันชั่วชีวิตก็ตาม ถ้าท่านรักใคร บอกเขาเถิด ให้เขาได้ยิน ให้เขาได้รับรู้ ให้เขาสามารถสัมผัสความรักของท่าน เพราะถ้าเขาจากไปแล้วแม้ว่าท่านจะตะโกนจนสุดเสียง เขาก็ไม่ได้ยินแล้ว ดังนั้นแม้ความรักของท่านจะมีเพียงกระผีกเดียว จงบอกเขาเถิด เพื่อที่เขาจะได้รับรู้ว่ายังมีคนรักและห่วงใยเขา และเขาจะทะนุถนอมความรักของท่านไว้ตลอดไป เพื่อที่จะให้ชีวิตของเขามีความหมายบ้าง ให้รู้ว่าอย่างน้อยยังมีท่านคนหนึ่งที่รักเขาและห่วงใยเขา ข้าพเจ้าไม่ได้ขอท่านมากไป มิใช่หรือ

ดังนั้น ถ้าในชีวิตของท่านยังไม่เคยบอกรักใครเลย ลองเริ่มต้นในวันวาเลนไทน์นี้ก็ได้ แล้วท่านจะรู้ว่าการบอกรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ข้าพเจ้าขอท้าทายท่าน!


ไม่มีสิ่งที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักอีกแล้ว
ไม่มีคำพูดใดที่จะหนักแน่นไปกว่าคำว่า “รัก” อีกแล้ว
ไม่มีบทเพลงใดจะไพเราะยิ่งกว่าคำบอกรักอีกแล้ว
ไม่มีจินตนาการใดที่จะเป็นจริงได้มากกว่าความรักอีกแล้ว

สิธยา คูหาเสน่ห์

การรอคอย

การรอคอย … ฟังดูช่างเลื่อนลอยเสียนี่กระไร แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปอีกนิดจะเห็นว่าไม่ใช่จะเป็นในแง่ลบเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเรารอคอยอะไรสักอย่าง แน่นอนที่สุดเราต้องมีความหวังว่าสิ่งที่รอคอยอยู่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็มี ความหวัง แต่ความอดทนเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นที่รอคอยอยู่จะมาถึงเมื่อไร ช่วงขณะนั้นคงจะมีแต่ความเครียด ความกระวนกระวายใจ ความไม่แน่ใจ ความหวาดกลัว และความท้อใจ แต่ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้จะหมดไปเมื่อเราคุกเข่าลงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลเรื่องราวต่างๆ ในใจของเราต่อพระองค์ (สดด. 62:6) รอคอยน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความเชื่อ

พระเจ้ามิได้ทรงสัญญาว่า เราจะไม่ต้องแบกภาระหนักหรือชีวิตของเราจะไม่พบกับความขมขื่นเลย แต่ถ้าดราเชื่อฟังพระเจ้า ก็จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความมั่นคง

ต้องขออนุญาตยืมคำพูดของคุณสายใจ ไชยเศรษฐ จากเรื่อง “เล่าให้แม่ฟัง” ในข่าวคริสตจักรฉบับเดือนกรกฎาคม 1998 ซึ่งข้าพเจ้าประทับใจมากที่กล่าวว่า เราไม่ใช่คนความจำเสื่อมนี่ลูก ขอบคุณพระเจ้าแล้วเผชิญหน้ากับความขมขื่นใจนั้น ที่เหลือเป็นงานส่วนของพระเจ้า แล้วลูกก็จะยิ้มได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง (ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคำพูดที่หนุนใจมากเช่นนี้)

เพราะพระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ. 11:28) เราต้องเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้า และวางภาระทั้งหมดของเราไว้ที่กางเขน และต้องมีความกล้าพอที่จะไม่ยื้อเอากลับมาอีก

ข้าพเจ้าใคร่ขอยกตัวอย่างในเรื่องนี้เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจน ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขายังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ก็เข้าใจเปรียบเทียบการวางความหนักใจลงอย่างสิ้นเชิงว่าเป็นอย่างไร ในระหว่างที่คุยกันถึงปัญหาหนักอกต่างๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเอาขวดน้ำขนาด 1 ลิตรให้ข้าพเจ้าถือไว้แล้วก็คุยต่อ สักครู่ก็หันมาถามข้าพเจ้าว่าหนักหรือไม่ เมื่อบอกว่าหนักมาก เขาก็บอกว่าจะถือเอาไวทำไมล่ะ วางลงสิ! แล้วถามว่าสบายไหม เมื่อหนักก็วางลงเสีย

เช่นกันถ้าคิดว่าภาระของเราหนักมากจนแทบแบกไม่ไหว จงเข้าเฝ้าพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ อย่าคิดว่าเราเก่งสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เมื่อทูลพระเจ้าถึงปัญหาต่างๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีก เพราะพระเจ้าจะทรงประทานทางออกให้ เมื่อทางหนึ่งตัน พระองค์จะประทานทางออกอีกทางหนึ่งให้เสมอ ขอเพียงรอคอยอย่าได้ท้อถอยเท่านั้น (ดู สดด. 130:5)

เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มธ. 6:34) คริสเตียนไม่ควรจะต้องกระวนกระวายใจถึงวันพรุ่งนี้ เพราะเราต้องเชื่อในการทรงจัดเตรียมที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดๆ ที่ยังมาไม่ถึง เพราะทุกสิ่งอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เรามีชีวิตอยู่สำหรับวันนี้ ทำให้วันนี้ของเราเป็นเวลาแห่งพระพร เป็นเวลาแห่งการสรรเสริญพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องหวาดกลัว วันนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ขอให้เราเพียรรอคอยพระสัญญาของพระเจ้า และเชื่อว่าสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเราเป็นพระพร เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ มิใช่เป็นตามใจปรารถนาของเรา แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็มีพระพรซ่อนอยู่ และถ้าเราค้นหาจะพบว่าเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่เสมอ

จงรอคอยพระเจ้าเถิด คริสเตียนทั้งหลาย มีชีวิตที่ตั้งอยู่ในความเชื่อ ความหวัง และความรัก

จงรอคอยพระเจ้า ด้วยความกล้าหาญและอดทน
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยการสรรเสริญและการสดุดี
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี
จงรอคอยพระเจ้า ด้วยการเฝ้าอธิษฐาน
จงรอคอยพระเจ้าเถิด เอเมน

สิธยา คูหาเสน่ห์

การให้อภัย …ทำอย่างไร

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ (ปฐก. 1:27) พระองค์ทรงสร้างเราแต่ละคนให้แตกต่างกัน แต่พระองค์ทรงรักเราทุกๆ คนเท่ากัน สิ่งที่ปรากฏภายนอกนั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่ “จิตใจ” ที่อยู่ภายในเราต่างหากที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา รูปร่างภายนอกเปรียบเสมือนภาชนะที่หุ้มห่อตัวเราเท่านั้น และก็ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะเหมือนกันทุกประการเหมือนกับการทำ “โคลนนิ่ง” แม้แต่เป็นคู่แฝดกันก็ตาม นี่เป็นฝีพระหัตถ์ที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้าพระผู้สร้างของเรา

จิตใจที่พระเจ้าทรงสร้างมาแต่ดั้งเดิมนั้นบริสุทธิ์ ใสสะอาด ปราศจากความบาปใดๆ ทั้งสิ้น แต่เนื่องจากซาตานได้มาล่อลวงบรรพบุรุษของเรา “เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคนเพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป” (รม. 5:12) มนุษย์ทุกคนทำบาป “เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป” (1 พกษ. 5:12)

จะเห็นว่าทุกคนหนีไม่พ้นความบาป เพราะ “บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู” (ปฐก. 3:7) โดยธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนังมนุษย์มักหนีไม่พ้นการทำบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้แต่เรารู้ว่าสิ่งใดถูกต้องแต่เพิกเฉยไม่ทำตามเราก็ทำบาปแล้ว ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้พระบิดาต้องส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเพื่อไถ่ความบาปของเราทุกคน “…พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป…” (1 ยน. 3:5ก) และมิใช่ว่าเพราะว่าเรามีคุณค่ามากพอที่สมควรจะได้รับการไถ่นั้น แต่เป็นเพราะพระเมตตาคุณและพระกรุณาคุณของพระองค์และการที่พระองค์ทรงรักคนบาปทั้งหลายก่อนต่างหาก ยิ่งเราเห็นความบาปของเรามากขึ้นเท่าใด เราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น (ดู รม. 5:20) เมื่อเราตระหนักถึงความบาปผิดของเราแล้ว สิ่งแรกคือต้องยอมรับว่าเราได้ล่วงละเมิดต่อพระเจ้าก่อน แล้วอธิษฐานสารภาพความผิดนั้น และทูลขอการทรงอภัยจากพระองค์ และต้องไม่ทำบาปเช่นนั้นอีกต่อไป การที่จะยอมเลิกทำอะไรที่เคยทำอยู่ หรือการปล่อยวางภาระหนักที่ถ่วงเราอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ ต้องอาศัยศิลปะชั้นยอดซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อเราอธิษฐานทูลขอการทรงอภัยจากพระเจ้าแล้ว ให้เชื่อย่างมั่นคงว่าเราได้รับการภัยแล้วจริงๆ ขอบพระคุณแล้วก็ให้อภัยตัวเองซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใช่ไหม แต่อย่าลืมว่าการให้อภัยหรือการได้รับการอภัยเป็นอำนาจอย่างหนึ่งที่จะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรั ไม่มีสิ่งใดจะทำร้ายจิตใจเราได้ถ้าเราไม่ยอม เราต้องไม่ปล่อยให้แผลในใจเน่าเฟะจนเป็นอันตรายต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของรา ขอการเสริมกำลังจากพระเจ้า ขอความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาใดๆ ขอความเชื่อมั่นว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วจากบาปทั้งมวล ไม่ต้องอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าขอให้พระเจ้าทรงให้อภัย แต่ถ้ารู้สึกยังมีอะไรๆ ในใจที่ไม่ชัดเจนก็ให้อธิษฐานว่าขอขอบพระคุณที่พระเจ้าทรงให้อภัยแล้ว “อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน” (อสย. 43:18ก) แล้วชีวิตของท่านจะสงบขึ้น มีความสุขมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความทุกข์ใดๆ อีก แต่ที่ว่าเป็นสุขขึ้นนั้นคือ เราพบวิธีที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นต่างหาก

เมื่อเราได้รับการอภัยแล้ว พระองค์จะนำความรอดมาเป็นอาภรณ์ห่มให้เรา และปกคลุมเราด้วยความชอบธรรม ถ้าจะมีใครสักคนอ้างว่าตนไม่เคยทำบาป นั่นเป็นการหลอกลวงตนเองและปฏิเสธความจริง เพราะไม่มีมนุษย์แม้สักคนเดียวที่ปราศจากความบาป นอกจากองค์พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า (ดู ยน. 3:5ข) เรามักจะเดินทางที่กว้างและสะดวกสบายซึ่งนำไปสู่ความหายนะมากกว่าทางที่แคบและขรุขระเต็มไปด้วยขวากหนามซึ่งนำไปสู่ความรอดและพระพรที่หลั่งไหลมาสู่เราและเป็นความมั่งคั่งของเรา เรามักจะหลีกเลี่ยง ดังนั้น จงระวังให้ดีและเลือกทางเดินให้ถูกต้อง เมื่อใดที่พบความยากลำบาก เมื่อใดที่เราเริ่มบ่น จงหันมานับพระพรที่พระองค์ประทานให้ ถ้าเรานับพระพรทีละอันๆ เราจะพบว่ามีมากมายจนนับไม่ถ้วยเลยทีเดียว

ความบาปมีพิษและอำนาจทำลายล้างอย่างมหาศาล แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เกิดความแตกแยกกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แต่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าความบาปของเราจะหมดไปด้วยการให้อภัยของพระเจ้า และความจริงข้อนี้แหละที่ทำให้ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนาอื่นโดยสิ้นเชิง พระเจ้าตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (มธ. 5:44) จะมีสักกี่คนที่เมื่ออ่านพระวจนะนี้แล้วจะไม่มีคำถามในใจว่า ทำได้อย่างไรกัน แต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราทำได้ มนุษย์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะต้องทำให้ได้ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม ถึงแม้ต้องผ่านขั้นตอนแห่งความทุกข์ ปวดร้าวใจ และควมพยายามอย่างสูงสุดก็ตาม แต่ถ้าเรายอมจำนนต่อพระเจ้า เชื่อฟัง การให้อภัยต่อกันก็จะค่อยๆ ตามมา ถ้ายังทำไม่ได้ให้เพ่งดูที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา แล้วท่านจะทำได้ในที่สุด

การให้อภัยเป็นขบวนการที่มีการพัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ในจิตใจของผู้ที่บาดเจ็บ และถ้าผู้ใดที่ทำผิดและนำความเจ็บปวดสู่ผู้อื่นมีความรู้สึกเช่นนั้นด้วย ก็จะเป็นการรื้อกำแพงแห่งความบาดหมางระหว่างบุคคลทั้งสองให้พังทลายลง ซึ่งขบวนการให้อภัยทั้งหมดมี 4 ขั้นตอนคือ

1. ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเกิดจากคำพูดหรือการกระทำ เมื่อเจ็บแล้วก็เกิดแผลและสิ่งเดียวที่จะสามารถรักษาแผลนั้นได้คือ การให้อภัย แต่ก่อนอื่นเราต้องให้อภัยตัวเองก่อน เพราะพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราให้อภัยซึ่งกันและกัน” เมื่อเราให้อภัยกันแล้วถึงแม้แผลนั้นจะยังอยู่ แต่ความรู้สึกเมื่อเราหวนนึกถึงรอยแผลเหล่านั้นจะไม่เหมือนเดิม เราจะไม่รุ่มร้อนด้วยความโกรธหรือเจ็บปวดและอยากจะแก้แค้นเหมือนเดิม มีแต่ความสงบเข้ามาในจิตใจของเราแทน ช่างมหัศจรรย์จริงๆ วิธีการของพระเจ้าช่างเป็นวิธีที่เกินความรู้ที่มนุษย์จะเข้าใจได้จริงๆ สรรเสริญพระเจ้า!

2. ความเกลียด เราไม่สามารถจะวัดความเจ็บปวดของเราว่ามีมากเท่าไร แต่เมื่อถึงขั้นนี้เราคงไม่มีความปรารถนาดีต่อผู้ที่ทำผิดต่อเราอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นคนที่เรารักมากเท่าไร ความเกลียดก็ยิ่งมีมากเท่านั้น และเราจะไม่สามารถอธิษฐานเผื่อเขาได้อีกต่อไป ไม่อยากพบหน้าหรือไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียง และเราก็อยากให้เขาได้รับความเจ็บปวดอย่างที่เราได้รับบ้าง และทั้งสองฝ่ายก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจทำดีต่อกันได้อีกต่อไป และไม่พลาดโอกาสที่จะทำร้ายกัน ความรักทำให้เกิดความผูกพันกัน และความเกลียดก็ทำให้เกิดความแตกแยกกัน

3. การรักษา เราผ่านสองขั้นตอนที่เลวร้ายมาแล้ว ขั้นตอนนี้เราจะเห็นคนที่ทำผิดต่อเราในอีกแง่มุมหนึ่ง เปรียบเสมือนว่ามี “ตาวิเศษ” ความทรงจำอันเลวร้ายจะได้รับการรักษาและความเจ็บปวดจะค่อยๆ หายไป และแทนที่ด้วยความอิสระและความสงบ สามารถดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความเข้มแข็ง

ขั้นตอนแรกของการรักษาคือ เราต้องไม่คิดถึงผู้ที่เราต้องให้อภัยและอย่าตั้งคำถามในใจว่า
“จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้นั้น” แต่ให้มองที่ตัวเราซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดและต้องเป็นผู้ที่ให้อภัย เราต้องยอมจำนนต่อพระเจ้าและลืมความเจ็บปวด ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป เมื่อเราผ่านขั้นตอนการรักษาและเข้าสู้ขั้นตอนการให้อภัย เราจะมองไม่เห็นความผิดของเขาอีกต่อไป แต่จะเห็นความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และมีโอกาสทำผิดตลอดเวลา

4. การคืนดีกัน เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อถึงขั้นตอนนี้เราต้องสามารถอธิษฐานเผื่อผู้นั้นได้แล้ว เราต้องรักเขาให้ได้ด้วยความรักของพระคริสต์ การให้อภัยมิใช่จบลงตรงนี้ การให้อภัยยังไม่สมบูรณ์ตามขบวนการถ้าเราไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ให้เหมือนเดิมได้

การให้อภัยเป็นขบวนการ 2 ทางคือ ต้องมีการให้และการยอมรับ อย่าขอร้องให้คนอื่นให้อภัยเมื่อเราทำผิด แต่จงกลับใจใหม่ การให้อภัยเป็นสิ่งที่เราต้องให้แก่ผู้ที่ทำผิดต่อเรา ไม่ใช่เป็นการถูกบังคับและก็เป็นสิ่งที่ร้องขอเอาก็ไม่ได้เช่นกัน ขอให้ตระหนักว่าการให้อภัยมีแต่ “การให้” สถานเดียว

การอธิษฐานเป็นยาวิเศษในยามที่เราเจ็บปวด และเมื่อรู้สึกว่ายากลำบากนักที่จะทำตามพระบัญชาของพระเจ้า ขอให้คำอธิษฐานดังนี้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดรักษาความเจ็บปวดภายในจิตใจของข้าพระองค์จนกว่าข้าพระองค์จะหายและเข้มแข็งอีกครั้ง จนกว่าข้าพระองค์จะได้รับความรักและสันติสุขในใจ และจนกว่าข้าพระองค์สามารถให้อภัยต่อผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์ได้ เอเมน”

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

บ่อยครั้งในการดำเนินชีวิตของเราเมื่อมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เรามักจะพูดว่า “บังเอิญจริงๆ ที่ …” และจากอารมณ์และน้ำเสียงของผู้พูด ผู้ฟังพอที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปในทางที่ดีหรือเป็นผลในทางบวก และก็จบลงด้วยคำพูดที่ว่า ช่างโชคดีเสียจริงๆ

แต่สำหรับลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราล้วนอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นแผนการของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสัพพัญญู และสิ่งที่พระจ้าประทานให้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละคน

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ … ที่วันหนึ่งเราก็เลิกดื่มกาแฟหลังจากที่พอจะเรียกว่าติดเครื่องดื่มชนิดนี้แล้ว เพราะดื่มมาเป็นสิบๆ ปี เหมือนเป็นสูตรสำเร็จว่าสิ่งแรกของเช้าวันใหม่ที่จะตกถึงท้องคือ กาแฟหนึ่งถ้วย และต้องดื่มตลอดในช่วงเวลาทำงาน

ข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็ทำงานบางเวลาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและแปลหนังสือ ในขณะที่ทำงานแปลหนังสือนั้นก็เครียดมากเพราะต้องคำนึงถึงความถูกต้องและความสละสลวยของภาษาที่ใช้ด้วย และมักจะดื่มกาแฟเป็นประจำวันละหลายๆ ถ้วย แม้เมื่อต้องไปสอนหนังสือก็ต้องสั่งกาแฟดื่มเป็นสิ่งแรกเมื่อไปถึงที่ทำงาน แต่ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเกิดไม่อยากดื่มกาแฟไปเอง ถึงแม้ในบางครั้งมีคนใจดีชงมาให้ก็ไม่สามารถดื่มได้หมดถ้วยเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพราะกาแฟมีโทษหลายอย่าง นอกจากจะไม่ดีต่อโรคกระเพราะแล้วยังเป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกผุอีกด้วย ขณะนี้ข้าพเจ้ามีปัญหาสุขภาพในเรื่องนี้ค่อนข้างรุนแรง แต่พระเจ้ทรงเตรียมให้ข้าพเจ้ารับสถานการณ์นี้มา 2 ปีแล้ว พระเจ้าของเราช่างแสนดีจริงๆ ทรงห่วงใยเราและรักเราอย่างมากมาย

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ … ที่อยู่ๆ ในขณะที่กำลังจะเฝ้าเดี่ยวก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดผ่านๆ และในบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนั้นมีคำตอบที่เฝ้าอธิษฐานรอคอยคำตอบจากพระเจ้ามานานแล้ว และได้เรียนรู้ท่าทีในการอธิษฐานอย่างถูกต้อง และเข้าใจว่าที่พระเจ้าทรงไม่ตอบคำอธิษฐานของเราในบางครั้งเป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ในพระธรรมยากอบ 4:3 ที่กล่าวว่า ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัญหาของท่าน ที่พระเจ้าทรงนิ่ง
เฉยอยู่อาจเป็นเพราะเราไม่สัตย์ซื่อในการอธิษฐาน เราขอในสิ่งที่เป็นไปตามใจปรารถนาของเรา มิใช่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ … ที่ท่านอยากไปร่วมกิจกรรมการเยี่ยมเยียนของคริสตจักร แต่มีนัดกับทันตแพทย์ ในใจคิดว่าจะทำอย่างไรดี แต่ปรากฏว่าวันนั้นที่ท่านอยากบอกเลิกนัด คุณหมอเองก็ไม่มีคิวว่างสำหรับท่าน อัศจรรย์!! แต่ไม่ต้องแปลกใจ ไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว (มธ. 6:8)

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ … ที่ท่านมีความจำเป็นต้องใช้เงินนอกเหนือจากงลประจำ โดยเฉพาะในยุค IMF อย่างในขณะนี้ย่อมต้องเป็นภาระหนักพอสมควร แต่แล้วท่านก็มีช่องทางที่จะได้เงินมาจำนวนหนึ่งเท่ากับความจำเป็นที่ต้องใช้ ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร เหตุบังเอิญหรือ ไม่ใช่แน่นอน เพราะคำอธิษฐานและความเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าต่างหาก รวมกับความวางใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย

ไม่ใช่เหตุบังเอิญ … ที่วันหนึ่งท่านก็คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาจับใจ อยากจะโทรศัพท์ไปหาเพื่อถามข่าวคราว และท่านก็มีโอกาสเป็นพยานถึงพระเจ้าและสามารถชวนเพื่อนคนนั้นมาโบสถ์หลังจากที่เพื่อนคนนี้ห่างโบสถ์ไปนานมาก และตอนนี้สามารถจะมาโบสถ์ได้แล้วเพราะการอดทนรอคอยคำตอบจากพระเจ้า และพระเจ้าทรงใช้ท่านเป็นท่อพระพร นอกจากนั้นยังหนุนใจสามีให้มาด้วย คำอธิษฐานทูลขอของเราพระเจ้าทรงฟัง การอธิษฐานของเราไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน เพียงแต่เราต้องมีความอดทนอย่าท้อถอยเท่านั้น

เหตุบังเอิญไม่มีอย่างแน่นอนสำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น เราต้องขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง (ดู 1 ธก. 5:18) พระองค์ทรงมีแผนการสำหรับเราทั้งหลายทุกคน ถ้าเราใคร่ครวญอย่างถ่องแท้จะเห็นพระคุณของพระเจ้าชัดเจนขึ้น และรู้ว่าพระองค์ทรงสอนอะไรบ้าง เราจะเห็นตัวเองชัดขึ้นๆ ทุกวัน เมื่อนั้นก็จะรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องอธิษฐานด้วยความเชื่ออันแรงกล้าขอให้พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ให้มากขึ้น ขอพระองค์ทรงชำระความบาปผิดของเรา ทูลขอการทรงอภัยจากพระองค์ ขอใจใหม่ที่ใสสะอาด ขอการทรงนำการดำเนินชีวิตของเราให้เป็นไปตามน้ำพระทัย และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอ

สิธยา คูหาเสน่ห์

9/10/51

รักแท้แน่หรือ

เวลามีปีกบินได้จริงๆ เผลอไปหน่อยเดียวก็เวียนมาถึงเดือนแห่งความรักอีกแล้ว สำหรับส่วนตัวข้าพเจ้าแล้วผ่านไปแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นเดือนไหนๆก็ตามก็ยังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้นต่อไป เพื่อความอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่ได้เพียงแต่ทำงานเพื่อให้ได้เงินมายังชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำงานเพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงใช้และให้ข้าพเจ้าได้ร่วมงานพันธกิจกับองค์กรคริสเตียน ถึงแม้งานที่ทำจะเป็นงานที่เหนื่อยยากและต้องมีความอดทนอย่างสูง แต่ข้าพเจ้าก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยพระพรและพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าชีวิตที่อยู่เพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามีความชื่นชมยินดีอย่างไร

สำหรับบทความเกี่ยวกับความรักในปีนี้ข้าพเจ้าจะไม่เขียนเอง แต่จะแปลบทความหนึ่งซึ่งเขียนโดยผู้เขียนนิรนาม บางท่านอาจจะเคยเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าใคร่อยากเชิญชวนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้อ่านด้วยใจพิจารณา แล้วถามตัวเองว่าท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า??

เมื่อชายคนหนึ่งตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่งเพื่อจะชื่นชมแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง ก็เห็นความงดงามของธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง เขาไม่สามารถจะสรรหาคำพูดใดๆมาอธิบายความงดงามนั้นได้อย่างที่ตาเห็น เขาคิดว่าช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ ในขณะที่กำลังชื่นชมกับสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เขาก็สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้แก่เราทุกๆคน เขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย และถามเขาว่า “เจ้ารักเราหรือไม่?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “แน่นอนสิ พระองค์เจ้าข้า เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์” แล้วพระเจ้าก็ทรงถามอีกว่า “ถ้าเจ้าพิการล่ะ เจ้ายังรักเราอยู่หรือไม่?” เขางงและมองดูที่เขน ขา และส่วนอื่นๆของร่างกายแล้วแปลกใจว่าเขาจะทำสิ่งต่างๆที่เคยทำอยู่ทุกวันโดยส่วนต่างๆเหล่านี้ซึ่งเขาไม่เคยให้ความสำคัญเลยได้อย่างๆไรกัน แต่เขาก็ทูลตอบพระองค์ว่า “ข้าพระองค์คงจะลำบากแต่ก็ยังคงรักพระองค์อยู่” แล้วพระเจ้าก็ถามต่อว่า “ถ้าเจ้าตาบอด เจ้ายังคงรักเราอยู่หรือ?” เขาคิดว่าถ้าไม่มีตาแล้วจะรักสิ่งที่มองไม่เห็นได้อย่างไรกัน! แล้วเขาก็คิดถึงคนตาบอดทั้งหลายและคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยังคงรักพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ในเมื่อมองไม่เห็นเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงทูลตอบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องยากนะพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์อยู่” พระเจ้าทรงถามต่อไปว่า “ถ้าหูของเจ้าหนวกเจ้ายังฟังเสียงของเราอยู่หรือเปล่า?” เขาคิดว่าแล้วเขาจะฟังเสียงของพระองค์ได้อย่างไร? จะได้ยินอย่างไรได้ถ้าเป็นคนหูหนวก? แล้วเขาจึงเข้าใจว่าการเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้ามิได้ใช้เฉพาะหูของเราเท่านั้น แต่ใช้ใจของเรา เขาจึงทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ยังรักพระองค์เหมือนเดิม” พระเจ้าทรงถามว่า “ถ้าเจ้าเป็นใบ้ เจ้ายังคงสรรเสริญเราอยู่หรือเปล่า?” จะสรรเสริญพระเจ้าถ้าเป็นใบ้? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! แล้วเขาจึงพบว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราร้องเพลงสรรเสริญพระองค์จากจิตใจและวิญญาณของเรา เสียงเพลงของเราไม่ใช่สิ่งสำคัญ และการสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่ด้วยเสียงเพลงแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเราถูกข่มเหง เราจะขอบพระคุณพระเจ้าด้วยคำพูดของเรา ดังนั้นเขาจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ถึงแม้ว่าข้าพระองค์ไม่สามารถร้องเพลงได้ แต่ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์เหมือนเดิม” แล้วพระเจ้าทรงถามต่อว่า “เจ้ารักเราจริงๆแน่หรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ด้วยความกลัวและความสำนึกผิดว่า “ข้าพระองค์ก็ยังรักพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว” เขาคิดว่าตอบดีแล้ว แต่พระเจ้าทรงถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าจึงทำความบาป?” เขาทูลตอบ่วา “เพราะข้าพระองค์เป็นเพียงมนุษย์ ข้าพระองค์ไม่สมบูรณ์พร้อม” พระเจ้าตรัสว่า “ดังนั้นเมื่อเจ้ามีความสุขสบายดี เจ้าจึงเดินห่างจากเรามากที่สุด และเมื่อมีปัญหา เจ้าจึงเป็นคนที่อธิษฐานอย่างร้อนรนที่สุดใช่ไหม?” ไม่มีคำตอบ มีแต่เพียงน้ำตา พระเจ้าตรัสต่อไปว่า “ทำไมจึงร้องเพลงเมื่อนมัสการและเมื่อเข้าค่ายเท่านั้น?” “ทำไมจึงหาเราเมื่อเวลานมัสการเท่านั้น” “ทำไมจึงขออย่างเห็นแก่ตัวที่สุด?” น้ำตายังคงไหลอาบแก้มเป็นทาง “ทำไมเจ้าจึงละอายเมื่อกล่าวถึงเรา?” “ทำไมจึงไม่ประกาศข่าวประเสริฐของเรา?” “ทำไมเมื่อถูกข่มเหงเจ้าไปร้องไห้กับผู้อื่นในเมื่อเราเปิดไหล่ของเราเพื่อซับน้ำตาของเจ้า?” “ทำไมหาข้อแก้ตัวเมื่อเราให้โอกาสเจ้ารับใช้เรา?” เขาพยายามจะอธิบายแต่หาคำตอบไม่ได้ “เจ้าได้รับพระพรที่เราให้ชีวิตแก่เจ้า เรามิได้สร้างเจ้าขึ้นมาเพื่อจะโยนทิ้ง เราให้ปัญญาแก่เจ้าเพื่อจะรับใช้เรา แต่เจ้าก็หันหลังหนีตลอดเวลา เราเผยความจริงของเราแก่เจ้าแต่เจ้าไม่ได้เรียนรู้เลย เราพูดกับเจ้าแต่เจ้าปิดหูไม่ฟัง เราได้สำแดงพระพรของเราแก่เจ้า แต่ตาของเจ้าหันหนีไป เราได้ส่งคนรับใช้มาให้เจ้า เจ้าก็ได้แต่นั่งเฉยๆและทุกสิ่งก็ถูกผลักให้พ้นไป เราเคยได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าและเราก็ตอบทุกสิ่ง” “เจ้ารักเราแน่แท้หรือ?” เขาไม่สามารถจะทูลตอบได้ และทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่มีค่าควรที่จะเป็นบุตรของพระองค์” แต่พระเจ้าตรัสตอบว่า “นั่นคือพระคุณของเรา ลูกเอ๋ย” เขาจึงทูลถามว่า “ดังนั้นทำไมพระองค์จึงทรงให้อภัยข้าพระองค์อีก? ทำไมพระองค์จึงทรงรักข้าพระองค์อย่างเหลือเกิน?” พระเจ้าตรัสตอบดังนี้ว่า :

“เพราะเจ้าเป็นสิ่งที่เราสร้าง เจ้าเป็นบุตรของเรา เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไป
เมื่อเจ้าร้องไห้ เราจะเห็นใจและร้องไห้กับเจ้าด้วย
เมื่อเจ้าร้องตะโกนด้วยความชื่นชมยินดี เราจะหัวเราะไปกับเจ้าด้วย
เมื่อเจ้าท้อแท้ใจ เราจะหนุนใจเจ้า
เมื่อเจ้าล้มลง เราจะพยุงเจ้าขึ้นมา
เราจะอยู่กับเจ้าตลอดทั้งวัน และเราจะรักเจ้าตลอดไป”

เขาไม่เคยร้องไห้มากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ทำไมเขาจึงเย็นชาเช่นนี้ “ทำไมข้าพเจ้าจึงทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัยอย่างที่เคยทำมา?” แล้วเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักข้าพระองค์มากเพียงใด?” แทนคำตอบพระเจ้าทรงกางแขนออก และเขาก็เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ เขากราบลงที่พระบาทของพระองค์ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเป็นครั้งแรกที่เขาอธิษฐานด้วยใจอธิษฐานอย่างแท้จริง

อ่านเรื่องจบแล้ว ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร? ถามตัวเองหรือยังว่าเป็นเหมือนชายคนนี้หรือไม่

สิธยา คูหาเสน่ห์

ไม้กางเขนโบราณ

คิดว่าทุกคนคงคุ้นกับวลีข้างต้นดีว่าเป็นชื่อบทเพลงสรรเสริญบทหนึ่ง ข้าพเจ้ารักเพลงบทนี้มาก ร้องครั้งใดก็มีความรู้สึกว่าได้รับการสัมผัสจากพระเจ้าทุกครั้ง และขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงรักข้าพเจ้า (และทุกคน) อย่างมากมาย รักมากจนยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่ความบาปของเรา จะมีใครที่สามารถจะรักเราได้มากเช่นนี้อีกหรือ? ข้าพเจ้าจึงรักไม้กางเขนนั้น เพราะ :

โดยเหตุนี้ ข้าจึงรักไม้กางเขน
เพราะว่าเป็นที่จะวางภาระลง
ข้าก็คงยึดกางเขนไว้ให้มั่น
แล้ววันหนึ่งจะแลกเอามงกุฎงาม

ยังจำได้ว่าเมื่อยังเป็นเด็กจะห้อยไม้กางเขนเป็นประจำ และถ้าจะซื้อจี้ห้อยคออันใหม่ครั้งใดก็ต้องเลือกเป็นรูปไม้กางเขนทุกทีไป ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมายของ “ไม้กางเขน” ดีนัก รู้แต่ว่าเมื่อคนเห็นเขาจะได้รู้ว่าเป็นคริสเตียน และเมื่อเห็นใครห้อยไม้กางเขนก็จะคิดว่าเขาเป็นคริสเตียนด้วย จะรู้สึกดีใจที่เห็นคริสเตียนด้วยกัน
แต่ปัจจุบันนี้ทัศนคติคงเปลี่ยนไปมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นจี้ ต่างหู แหวน เข็มกลัด ที่ผู้สวมใส่ใช้นั้นไม่สามารถสรุปได้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เราคงสรุปเอาจากเครื่องประดับที่เป็นไม้กางเขนไม่ได้เสียแล้ว เพราะถือเป็นแฟชั่นหรือเครื่องประดับธรรมดาๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงจะให้ :

ไม้กางเขนเป็นเครื่องเตือนใจท่านว่า ท่านเป้นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นบุตรของความสว่าง ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด หรืออยู่ท่ามกลางชนหมู่ใด

ไม้กางเขนเป็นที่จะวางภาระหนักของท่านลงด้วยความวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม้กางเขนเป็นความเข้าใจ เป็นข้อตกลงระหว่างพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดและตัวเรา
เป็นเครื่องเตือนใจเราว่าเราถูกซื้อมาด้วยราคาแพง (1 คธ. 6:20) ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นคริสเตียนของเราเท่านั้น

ไม้กางเขนเป็นที่เราจะตรึงความบาปของเรา ตรึงโลกียวิสัยของเรา ตรึงความปรารถนาตามใจของเราไว้ที่นั่น

ไม้กางเขนเป็นสิ่งท้าทายให้เรายินยอมให้พระเจ้าทรงใช้เรา ให้เราได้มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าเพื่อความรอดของคนอื่นๆด้วย ให้เราเป็นท่อพระพรที่จะนำข่าวดีไปยังคนทั้งโลก

ไม้กางเขนเป็นสิ่งหวงแหนของเรา เพราะที่นั่นเราได้ชีวิตใหม่ในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้สันติสุขที่ในโลกนี้ไม่สามารถจะให้เราได้ เป็นความสุขนิรันดร์

ท่านพร้อมที่จะทำอย่างนี้หรือยัง? ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อม ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มต้นเพราะเวลาของท่าน (จริงๆแล้วของเราทุกคน) เหลือน้อยดต็มทีแล้ว เวลาที่พระเจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษาโลกใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นโมงใด สิ่งที่เราจะทำได้คือ เตรียมพร้อมไว้

ตอนนี้โลกก็ไร้พรมแดนแล้ว เราก็ก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่แล้ว เทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไปไกลมากเสียจนคาดไม่ถึงทีเดียว ดังนั้นการประกาศข่าวประเสริฐข้ามโลกด้วยสื่อต่างๆเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น ถ้าคริสเตียนทั่วโลกรวมพลังกันทำงาน ความสำเร็จจะหนีไปไหนพ้น คงเป็นความปีติยินดีอันล้นพ้นที่ทั่วโลกจะพูดกันด้วยภาษาพระคัมภีร์ พระนามของพระเจ้าจะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนจะได้รับความรอด ไม่มีใครที่ถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง บึงไฟนรกจะถูกทิ้งร้าง และในสวรรค์จะแน่นขนัดเต็มไปด้วยคนที่เรารัก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน เราจะได้พบกันอีกในวิสุทธนคร ท่านลองคิดดูสิว่า ความชื่นชมยินดีนั้นจะมากล้นสักเพียงใด!

ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านคงอยากให้เป็นเช่นนั้นด้วย ไม่ใช่งานใหญ่เลยสำหรับเราที่เป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง และรู้ความหมายของ “ไม้กางเขน” อย่างถ่องแท้

แล้วพบกัน!


สิธยา คูหาเสน่ห์

อานุภาพแห่งความรัก

“ความรัก” อานุภาพของคำๆ นี้ช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ (ดู 1 คธ. 13:13) ชีวิตที่ขาดความรักคงจะดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ความรักสามารทำให้อะไรๆ ที่ยากให้ง่ายขึ้น อยากจะเปรียมให้เห็นภาพชัดๆ สักนิดว่า ชีวิตที่ขาดรักก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม อย่างดีก็คงได้น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ไปวันๆ เมื่อไม่มีการใส่ปุ๋ย ริดกิ่ง พรวนดินรอบๆ ต้น ถอนวัชพืชที่ขึ้นแย่งอาหาร ต้นไม้นั้นก็คงไม่ตายหรอก แต่ก็คงหาความอุดมสมบูรณ์และความงามได้ยากเต็มที เปรียบเสมือนกับชีวิตของคนเรา การใส่ปุ๋ย ก็คงเปรียบได้กับการเพิ่มรสชาติให้กับชีวิต ไม่ใช่ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปแบบแกนๆ ซ้ำๆ ซ ากๆ เหมือนกันทุกวันๆ การริดกิ่ง ก็คงจะเป็นการเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีหรือเลิกทำไปเลย (ถ้าเป็นไปได้) ภาพพิมพ์ใจของเราในสายตาของคนอื่นคงจะสวยงามขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย การพรวนดิน ก็เปรียบได้กับการทำสภาพแวดล้อมให้มีอนามัย ให้หายใจกันคล่องๆ เพราะเท่าที่เป็นอยู่อากาศรอบข้างก็มีมลพิษมากมายพออยู่แล้ว วัชพืช คงเปรียบได้กับงานหรือบุคคลหรือเหตุภายนอกที่จะมาแย่งเอาเวลาส่วนตัวที่เราควรมีให้ต่อกันไปเสีย ที่กล่าวมาข้างต้นข้าพเจ้าหมายถึงความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้น น่าเสียดายที่มีคนจำนวนไน้อยที่ไม่รู้จักวิธีการรักษาความรักที่เคยมีต่อกันเอาไว้ได้ เมื่อความรักแบบนี้มันจืดจางลงก็คงจะค่อยๆ มอดไป แล้วที่สุดคงจะไม่ง่ายนักที่จะปลูกต้นรักให้งอกงามขึ้นมาใหม่อีกครั้ง น่าเสียดายจริงๆ! ท่านผู้อ่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าความรักระหว่างชายหญิงคู่หนึ่งๆ ที่เคยมีต่อกันเมื่อแรกรักกันนั้นยังสามารถคงอยู่ได้อย่างไม่จืดจางจนถึงวันที่ต้องจากกันด้วยความตาย อย่างที่กล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘til death do us part (คำกล่าวนี้ช่างมีความหมายลึกซึ้งน่าประทับใจจริงๆ) เขาทำกันอย่างไร ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่ใช่หนทางเรียบง่ายที่ปูด้วยกลีบกุหลาบแน่ๆ คิดว่าทุกท่านคงอยากให้เรื่องดีๆ เช่นนี้เป็นจริงอย่างนั้นชีวิตของเราด้วย

สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบทความนี้ เกิดขึ้นจากภาพยนต์เรื่อง Down in the Delta จริงๆ แล้วจุดเน้นของภาพยนต์เรื่องนี้อยู่ที่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกสาวคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะหาเลี้ยงตัวเองและลูก 2 คนได้ แต่ที่ข้าพเจ้าประทับใจมากกว่าคือความรักของลุงที่มีต่อป้าซึ่งป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ข้าพเจ้ายังไม่ได้ศึกษารายละเอียดของโรคนี้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการอย่างไรบ้าง แต่ที่เห็นในภาพยนต์นั้นเหมือนคนที่มีปัญหาด้านสมอง จำตัวเองหรือคนรอบข้างไม่ชัดเจน เขาจะคิดว่าผู้หญิงที่เขาพบเป็นแม่ของเขาแม้ว่าจะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม และจะนั่งดูหนังการ์ตูนได้เป็นชั่วโมงๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ถ้าบอกให้ไปหาอะไรก็จะพยายามหาจนกระทั่งพบ ถ้าไม่พบก็ไม่ยอมเลิกลา ดังนั้นถ้าต้องการให้เขาไปให้พ้นๆ ก็ใช้ให้ไปหาอะไรก็ได้ที่ไม่มีจริงๆ ที่อื่นเสีย แล้วเขาก็จะไม่มากวนใจใกล้ๆ อีก ข้าพเจ้าเห็นแล้วเศร้าใจมากที่เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิตแล้ว คนๆ หนึ่งจะไร้ประโยชน์ได้ถึงเพียงนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ได้รับการอวยพรจากพระเจ้ามากที่ได้สามีที่ยังรักเขาอย่างเหลือเกิน ดูแลเขาอย่างไม่เบื่อหน่าย และอดทนต่อการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้เลย น่าชื่นใจจริงๆ สามีของเขาเสียสละถึงขั้นที่ว่าอยากจะเลิกทำงานและใช้เวลาทั้งหมดอยู่ดูแลภรรยาผู้น่าสงสารของเขาในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต

นอกจากนี้หลานสาวของชายแก่คนนี้ซึ่งอยู่กับแม่ ลูกชายคนหนึ่ง และลูกสาวอีกคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาด้านจิตใจที่ต่างเมืองก็มีชีวิตที่แร้นแค้นมาก พยายามหางานทำแต่เนื่องจากไม่มีการศึกษาจึงหางานทำไม่ได้ แม่ก็อยากจะให้ไปใช้ชีวิตกับลุงที่ต่างเมืองสักพัก แต่ไม่มีค่าเดินทางจึงต้องจำนำของมีค่าประจำตระกูลเพื่อเป็นค่าเดินทาง และบอกกับลูกสาวว่าเป็นภาระของเธอที่จะต้องหาเงินมาไถ่คืน และที่บ้านลุงนั้นเองที่หญิงสาวคนนี้ได้เรียนรู้ว่าการให้ความรักและความเอาใจใส่เป็นยาขนานวิเศษที่รักษาลูกสาวที่มีปัญหาของเธอได้ และผู้ที่เตือนสติของเธอกลับเป็นแม้บ้านของลุง แม่บ้านคนนั้นให้ข้อคิดแก่หญิงสาวคนนั้นเมื่อถูกถามว่าเห็นว่าลูกสาวของเธอเป็นอย่างไร แทนที่จะตอบคำถามนั้น แม่บ้านคนนั้นกลับย้อนถามว่า “เมื่อลูกสาวของคุณมองหน้าคุณ เธอเห็นอะไร” แม่บ้านคนนั้นบอกว่า “ต้องให้ลูกของคุณมองเห็น ‘แม่’” หลังจากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ปฏิบัติต่อลูกด้วยความรักและความเอาใจใส่มากขึ้น และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ลูกสาวของเธอมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด อานุภาพแห่งความรัก!

และหลังจากนั้นเธอก็มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้นจนสามารถหาเลี้ยงชีพและดูแลลูกๆ ได้ ชีวิตที่มีแต่ความบาป ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายต่างๆ ก็เปลี่ยนไป และลุงก็พาเธอไปโบสถ์ด้วย และทุกคนในครอบครัวก็ให้ความรักแก่ป้าผู้น่าสงสาร เข้าใจ และอดทนต่อความยากลำบาก ข้าพเจ้าได้บทเรียนมากมายจากภาพยนต์เรื่องนี้ คิดว่าถ้ามีโอกาสจะดูอีกรอบ และสนับสนุนให้ลูกๆ ดูด้วย และให้พวกเขาหัดคิดว่าได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เห็นบ้างนอกจากความบันเทิงที่ได้รับ

เราจะเห็นว่าพระเจ้าของเราช่างน่ารักและทรงห่วงใยเราทุกคน พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งสำหรับทุกคนไว้เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรดีและเหมาะกับเรามากที่สุด พระเจ้าทรงเตือนเราด้วยวิธีการที่เราคาดไม่ถึง บุคคลที่พระองค์ทรงใช้ในภารกิจต่างๆ บางครั้งก็เป็นคนต่ำต้อย แต่พระองค์ก็ทรงใช้คนเหล่านั้น ท่านล่ะ พร้อมที่จะให้พระองค์ทรงใช้หรือเปล่า ทางที่พระเจ้าทรงพอพระทัยให้เราเดินอาจไม่ใช่ทางที่เราพอใจ ท่านจะต้องเลือกว่าจะเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือตามใจปรารถนาของตัวเอง แต่ผลแห่งการกระทำ เราๆ ท่านๆ คงรู้แน่แก่ใจดีว่าเป็นอย่างไร ขออย่าให้มีสิ่งใดที่จะเป็นอุปสรรคซึ่งเราทนไม่ได้เลย แต่ท่านคงไม่สามารถจะเผชิญอุปสรรคได้ด้วยตัวเองหรอก ท่านไม่ขอการเสริมกำลังจากพระเจ้า เมื่อท่านท้อถอยหรืออ่อนแรงลงเมื่อใด ก็ให้คิดถึงพระวจนะใน ฟป. 4:13 ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” และใน ลก. 21:19 ที่กล่าวว่า “ท่านจะได้ชีวิตรอดโดยการทดทนของท่าน” พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ ข้าพเจ้าขอยืนยัน เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์มากมายในเรื่องนี้ ขอเพียงเรามีความเชื่อที่มั่นคงในพระเจ้า ดำเนินชีวิตในน้ำพระทัย (ข้าพเจ้าอยากบอกว่าว่าพยายามอย่างดีที่สุดก็แล้วกัน เพราะฝ่ายเนื้อหนังก็ยังมีอำนาจเหนือเราอยู่ค่อนข้างมาก) และสัตย์ซื่อต่อพระองค์แม้ในสิ่งเล็กน้อย แล้วพระคุณความรักและพระพรจะหลั่งไหลมาสู่ท่านอย่างมากมาย ท่านไม่อยากให้ชีวิตของท่านบริบูรณ์เต็มล้นด้วยพระพรจากพระเจ้าหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

ขอโปรดเปิดดวงตาของข้า

ขอพระเจ้าทรงโปรดเปิดดวงตาของเราทั้งหลายให้เห็นถึงพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอพระเจ้าทรงให้วิสัยทัศน์และความเข้าใจถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดกับชีวิตของเรา พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับทุกสิ่งเสมอ เราต้องทูลขอสติปัญญาจากพระองค์ให้เข้าใจถึงพระประสงค์นั้นๆ

เมื่อประสบกับปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ขอให้เราอธิษฐานต่อพระองค์ทูลเรื่องราวต่างๆ ต่อพระองค์ ถ้าเราแน่ใจว่าสิ่งที่เราทูลขอถูกต้องก็ขอให้ทูลขอต่อไปจนกว่าจะได้คำตอบแม้จะต้องอธิษฐานทูลขอด้วยน้ำตานองหน้าทั้งกลางวันและกลางคืนก็ตาม ก็ขออย่าให้ความเชื่อของเราถดถอยลงไปเลย ขอให้อธิษฐานต่อไปด้วยใจยำเกรงและด้วยความเชื่อ และพระเจ้าจะสอนให้เรารู้ว่าบทเรียนแห่งความขมขื่นนี่แหละที่จะทำให้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราเติบโตขึ้น เราจะเข้มแข็งในพระเจ้ามากขึ้น และการรับใช้หรือแม้แต่การเป็นพยานเพียงเล็กน้อยถึงองค์พระเยซูคริสต์ก็จะเกิดผล และในช่วงแห่งความตกต่ำที่สุดของชีวิตนั่นแหละที่เราจะเห็นพระคุณของพระองค์ชัดขึ้น และถ้าเรายอมถ่อมใจลงให้พระเจ้าทรงใช้ เมฆหมอกต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางหายไป และเราจะสามารถยืนหยัดต่อสู้อุปสรรคนานาประการที่จะโถมกระหน่ำลงมาอีก ขอให้มองว่าพายุร้ายนั้นจะพาความอุดมสมบูรณ์มาให้กับชีวิตของเรา เพราะเบื้องหลังความเจ็บปวดต่างๆ คือ พระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเราเลย พระองค์ทรงเฝ้ามองดูเราอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้สึกว้าเหว่หรือขาดกำลังใจ ขอให้นึกถึงพระเจ้าของเราผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขและอย่างไม่มีขอบเขต ถ้าเราจะทูลถามพระองค์ว่าทรงรักเรามากเพียงไร คำตอบของพระองค์คือทรงอ้าพระกรของพระองค์ออกทั้งสองข้าง ความรักของพระองค์ทรงยิ่งใหญ่แค่นั้นแหละ เพราะเมื่อเรากางแขนออก เราจะเห็นว่าเส้นทางทั้งสองจะไม่มีวันมาบรรจบกัน แต่จะกว้างออกเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าความรักของพระองค์ไม่มีวันสิ้นสุด ความรักของพระเจ้านี่แหละที่จะช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกใบเบี้ยวๆ นี้ได้

อย่ามัวอ้อยอิ่งเศร้าสร้อยกันอยู่เลย คริสเตียนทั้งหลาย โมงที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาใกล้เต็มทีแล้ว จงเตรียมพร้อมรับเสด็จกันดีกว่า และจงถามตัวเองว่าในวันที่พระองค์เสด็จมาจริงๆ แล้วนั้น ท่านเข้าเฝ้าพระองค์อย่างไร

สิธยา คูหาเสน่ห์

ภาระกิจสำคัญ

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะเราไม่สามารถหยั่งรู้ถึงพระปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ได้ ถ้าเรามีความเชื่ออันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว พระองค์จะทรงอนุญาต ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลดีกับเราเสมอ และจะเป็นพระพรไปยังผู้อื่น เหมือนชีวิตผม เปรียบเราเหมือนดังเด็กน้อยที่อยู่บนเสื่ออย่างโดดเดี่ยว แต่ให้เราเชื่อว่า ถ้าเราอยู่บนเสื่อนั้นทางที่เจอย่อมเป็นหนทางที่ดีแก่เราเสมอ ในบั้นปลาย เราจะได้พบสันติสุขอันแท้จริง”

ข้อความข้างต้นเป็นคำพยานของเอิร์ธ (วันเฉลิม สารกิติพันธ์) ซึ่งบอกผ่านพี่เลี้ยงในขณะที่เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งในสมอง ในข่วงนั้นเขาไม่สามารถพูดได้แล้วเพราะต้องเจาะคอเนื่องจากมีเสลดมากและจำเป็นต้องดูดออก ถ้าอ่านอย่างผ่านๆก็คงจะให้ความหมายเราได้ไม่มากนัก แต่ถ้าท่านลองอ่านด้วยใจใคร่ครวญ ข้าพเจ้าคิดว่าคำพยานข้างต้นคงสอนอะไรท่านได้ไม่มากก็น้อย ด้วยความเชื่อที่มั่นคงผนวกกับการยอมรับในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเขา ทำให้เกิดคำพยานที่กินใจและหนุนใจอย่างมากเช่นนี้

พี่เลี้ยงของเอิร์ธมีความเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี และคำพยานข้างต้นก็เป็นสิ่งที่เอิร์ธมอบให้แก่ทุกคนในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 17 ของเขาในวันที่ 5 ธันวาคม 1999 ข้าพเจ้าเองได้รับจากคุณพ่อ (อ. กู้ศักดิ์ สารกิติพันธ์) ในวันที่ไปเยี่ยมเอิร์ธที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนขณะที่ต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียู มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ เมื่อเข้าไปเยี่ยมเขาในห้องไอซียู เขาก็ส่งสัญญาณถามลูกสาวของข้าพเจ้าว่า มากับใคร แม้ว่าเราจะไปนมัสการที่คริสตจักรเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา เมื่อได้รับทราบว่าเป็นคุณแม่ของอนุชนรุ่นพี่ เอิร์ธก็ยกมือข้างขวาที่ไม่มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางขึ้นทำความเคารพ แวบแรกที่เห็นข้าพเจ้าก็อดจะตื้นตันและภาคภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของเขาไม่ได้ว่า ทั้งสองมีลูกชายที่น่ารักและมีมารยามงามอย่างเหลือเกิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับการอบรมจากคุณพ่อคุณแม่มาอย่างดี ยังจำได้ว่าได้มอบการ์ดหนุนใจให้เขาไปใบหนึ่งเกี่ยวกับการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า และน่าอัศจรรย์ใจที่เมื่อออกมาคุยกับคุณพ่อก็เป็นคำพยานในเรื่องเดียวกัน นอกจากนั้นเอิร์ธยังเป็นเด็กที่ไม่ทำให้ใครต้องลำบากใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเขาเลย สังเกตได้จากการที่ถามเกี่ยวกับอาการของเขา ถ้าคำตอบเป็นไปในทางที่ดีเขาก็สนองตอบให้รู้ในทันที แต่ถ้าเป็นคำตอบที่อาจทำให้เราต้องเป็นห่วงเขา เขาก็จะนิ่งและไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย เนื่องจากเป็นการเยี่ยมไข้ในห้องไอซียู เราจึงไม่อยากจะอยู่นาน แต่เมื่อบอกกับเอิร์ธว่าเราจะกลับแล้วและจะอธิษฐานเผื่อนะ สายตาของเขาก็สลดลงในทันทีเหมือนจะถามว่า “จะกลับแล้วหรือครับ?” ข้าพเจ้ารู้สึกผิดมาก และก็ต้องจากมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร แต่เมื่อได้พบกับคุณพ่อของเขานอกห้องก็ได้รับการหนุนใจอย่างมากมาย

สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อของเอิร์ธเป็นพยานกับเราก็คือ การยืนยันจากพระเจ้า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์กับครอบครัวของเขาคือให้ฝนตกลงมาเฉพาะบริเวณบ้านของเขาเท่านั้น

คุณพ่อของเขากล่าวว่า “ขณะที่เอิร์ธรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู (ในการผ่าตัดครั้งแรก) เมื่อถึงบ้านและได้อธิษฐานร่วมกับคุณแม่ก่อนจะเข้านอน จนถึงเวลาประมาณสี่นาฬิกาของวันใหม่ก็มีฝนตกลงมา เมื่อฝนหยุดก็ออกไปเปิดประตูบ้านเพื่อจะออกไปเยี่ยมเอิร์ธที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ก็พบสิ่งอัศจรรย์เพราะฝนที่ตกนั้น ตกลงมาเฉพาะที่ตัวบ้านของเขาเท่านั้น เมื่อเลยเขตบ้านไม่ว่าจะเป็นประตูใหญ่ของบ้านหรือกำแพงบ้าน แม้แต่หลังคาบ้านของเพื่อนบ้านติดๆกันก็ไม่เปียกฝน และน้ำฝนที่ตกลงมาแทนที่จะไหลลงหน้าบ้านซึ่งลาดลงไปสู่ถนนใหญ่เพื่อลงท่อน้ำทิ้ง กลับเอ่อเป็นเส้นตรงที่ขอบประตูใหญ่ สนามหญ้าก็เปียกแฉะ รถที่จอดตากน้ำค้างก็เปียกนองไปด้วยน้ำฝนปริมาณพอๆกับเวลาล้างรถ หมู่บ้านที่อยู่มีประมาณ 800 หลังคาเรือน เมื่อเรียกให้คุณแม่มาดูความแปลกประหลาดของเช้ามืดวันนั้น ก็แน่ใจว่าพระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานแล้ว”

เอิร์ธได้จากเราไปอยู่กับพระเจ้าแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2000 ที่ผ่านมา เขาล้มป่วยเป็นเวลาประมาณ 3 ปีหลังจากที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะในเดือนธันวาคม 1997 และต่อมาก็ทราบว่ามีเนื้องอกที่ก้านสมอง และอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายนั้นออกไปได้ เพราะอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นทันทีที่มีเลือดออก เขาได้รับการผ่าตัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มกราคม 1998 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1999 และต้องได้รับเคมีบำบัดและการรักษาอื่นๆอีก สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้คือค่าใช้จ่ายก้อนโต แต่พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมไม่ขาดตกบกพร่องเลย และตัวเอิร์ธเองก็ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าในเรื่องนี้ เขามักจะหนุนใจคุณพ่อคุณแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยพระวจนะใน สดุดีบที่ 23 ที่ว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

เอิร์ธไม่เคยโทษพระเจ้าเลยตลอดระยะเวลาที่ป่วย แต่เขายอมถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ยอมถวายชีวิตของเขาเพื่อรับใช้พระเจ้า ดังคำพยานที่เขาเขียนขึ้นเองเพื่อหนุนใจคนมากมายว่า “ผมไม่เคยน้อยใจที่ต้องมาเผชิญกับโรคร้ายนี้ คิดว่าไม่เจ็บฟรี คุ้มค่า ที่ชีวิตของผมสามารถเป็นพยาน ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าให้กับคนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของผมที่ได้รับการชำระใหม่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในทุกๆวัน ผมยังเชื่อและไว้วางในในพระเจ้ามิเสื่อมคลาย และแม้ว่าอนาคตผมจะต้องเผชิญกับสิ่งใด ผมก็ยังคงเชื่อในพระเจ้าของผมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะผมรู้แน่ว่าพระเจ้าจะคอยดูแลและเสริมกำลังให้ผม จัดเตรียมหนทางที่ดีแก่ผมอย่างแน่นอน”

พระเจ้าทรงมอบภาระกิจสำคัญมากให้แก่เอิร์ธ และที่สำคัญเขายอมที่จะให้พระเจ้าใช้ ยอมเป็นเครื่องมือของพระเจ้า เป็นท่อพระพรที่นำพระพรสู่คนมากมาย

สิ่งที่สอนใจเราอีกเรื่องหนึ่งคือ ในคืนวันแรกของการไว้อาลัยที่คริสตจักร อาจารย์ผู้เทศนาในคืนนั้นได้บอกกับเราว่า วันหนึ่งเอิร์ธขอกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากคุณพ่อ แล้วทำจุดสีดำไว้ที่ตรงกลางของกระดาษแผ่นนั้น และถามคุณพ่อว่า “คุณพ่อเห็นอะไรครับ?” ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจว่าคำตอบในใจของทุกคนคงตอบว่า เห็นจุดสีดำเล็กๆ และนั่นก็เป็นคำตอบของคุณพ่อของเอิร์ธเช่นกัน ท่านรู้ไหมว่าเขาตอบคุณพ่อว่าอย่างไร เอิร์ธตอบว่า “ทำไมคุณพ่อไม่มองที่กระดาษทั้งแผ่น ไปสนใจจุดดำๆเพียงแค่จุดเดียวทำไม เปรียบได้ว่าเมื่อมีปัญหาเรามักจะพุ่งความสนใจไปที่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใคร่ครวญถึงพระคุณความรักของพระเจ้าซึ่งยิ่งใหญ่กว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเรามากนัก” โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่ามุมมองนี้เป็นแง่คิดที่ถูกต้อง และเราอาจจะต้องพิจารณากันให้ถ่องแท้สักนิดเมื่อเกิดปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ให้เราเชื่อพึ่งในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเรา ขอบพระคุณพระองค์ในทุกกรณี และรักษาความเชื่อไว้ให้มั่นคง แม้ว่าเราจะเดินซวนเซไปสักนิด แต่พระหัตถ์อันเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาของพระเจ้าจะโอบอุ้มเราไว้อย่างแน่นอน

พระองค์จะทรงอนุญาต ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลดีกับเราเสมอ และจะเป็นพระพรไปยังผู้อื่น ท่านเห็นด้วยกับเอิร์ธหรือไม่!

สิธยา คูหาเสน่ห์

ต้นไม้แห่งชีวิต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่คนทั่วไป และมีเด็กชายเล็กๆคนหนึ่งชอบมาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกวัน เขามักจะปีนขึ้นไปนั่งกินผลของต้นไม้นี้บนยอดไม้ เมื่ออิ่มก็ลงมาหลับสักงีบใต้ต้นไม้ เขารักต้นไม้ต้นนี้เป็นชีวิตจิตใจ และต้นไม้นี้ก็รักเขามากเช่นกัน

เวลาค่อยๆผ่านไป เด็กเล็กๆคนนั้นก็เติบใหญ่และไม่มาเล่นกับต้นไม้นั้นเหมือนที่เคยทำทุกวัน

วันหนึ่ง เขากลับมาหาต้นไม้ด้วยใบหน้าหมองเศร้า

“มาเล่นกับฉันสิ” ต้นไม้ร้องชวน

“ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆอีกแล้วนะ ฉันไม่เล่นกับต้นไม้อีกต่อไปแล้ว” เขาตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียวเล็กน้อย “ฉันอยากได้ของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น”

ต้นไม้หาทางออกให้เด็กคนนั้นว่า “แต่ฉันก็ไม่มีเงินจะให้เธอหรอกนะ เออ! เอาอย่างนี้สิ เธอเก็บผลไม้จากต้นของฉันไปขายแลกเอาเงินมาได้นี่นะ”

เด็กคนนั้นตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินต้นไม้พูดเช่นนั้น เขาจึงเก็บผลไม้จากต้นไม้นั้นไปจนหมดต้นและจากไปด้วยความสุขใจ และเขาก็ไม่เคยกลับมาหาต้นไม้นั้นอีกเลยหลังจากวันที่เก็บผลไม้ไปขาย

ต้นไม้เศร้าโศกเสียใจมาก

แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับมาและนำความตื่นเต้นดีใจสู่ต้นไม้เป็นยิ่งนัก “มาเล่นกันเถอะ”

“ฉันไม่มีเวลาจะเล่นด้วยหรอก ฉันต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว เราต้องการบ้านสำหรับอยู่อาศัย เจ้าจะช่วยได้มั้ยล่ะ”

“เสียใจด้วยนะ ฉันไม่มีบ้านจะให้เธอหรอก แต่เธอสามารถตัดกิ่งก้านสาขาของฉันไปปลูกบ้านได้นี่นะ” ต้นไม้ที่แสนดีเสนอความคิดให้แก่เด็กคนนั้นซึ่งตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

เขาจึงลงมือตัดกิ่งใหญ่ๆเพื่อเอาไปสร้างบ้านสำหรับครอบครัว แล้วก็จากไปด้วยความสุข ต้นไม้ก็เป็นสุขที่เห็นเด็กที่เขารักมีความสุข และหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยกลับมาหาต้นไม้นั้นอีกเลย

ต้นไม้ก็เหงาหงอยเศร้าโศกอยู่ตามลำพัง

วันหนึ่ง เด็กคนนั้นก็กลับมา และต้นไม้ก็แสนที่จะปีติยินดี “มาเล่นกันเถอะ” ต้นไม้ชวน

“ตอนนี้ฉันแก่แล้วและไม่มีความสุขเลย ฉันอยากจะไปพายเรือเล่นให้สบายอกสบายใจ แต่ก็ไม่มีเรือสักลำ เจ้ามีเรือให้ฉันมั้ยล่ะ”

“เอาลำต้นของฉันไปทำเรือได้เลย เธอจะได้พายเรือออกไปไกลๆและจะได้ชื่นชมกับทิวทัศน์สวยๆงามๆจะได้มีความสุข”

เขาจึงล้มต้นไม้นั้นแล้วเอาลำต้นไปทำเรือ เมื่อสร้างเรือเสร็จก็ออกไปพายเรือเล่น และไม่ได้กลับมาหาต้นไม้เป็นเวลานานแสนนาน

ในที่สุด เขาก็กลับมาหลังจากที่หายไปเป็นปีๆ

ต้นไม้พูดกับเขาว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะให้แก่เธออีกแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วแม้แต่ผลไม้สักลูกหนึ่ง”

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีฟันจะเคี้ยวแล้ว ฉันแก่มากแล้วตอนนี้” เขาตอบ

“ฉันไม่มีอะไรเหลือสำหรับเธอแล้วจริงๆนะนอกจากรากเน่าๆ” ต้นไม้ตอบด้วยน้ำตา

“ฉันก็ไม่ต้องการอะไรมากแล้วล่ะ อยากจะหาที่พักพิงใจสักหน่อยเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย รากของต้นไม้ที่กำลังเหี่ยวแห้งตายเหมาะสำหรับนั่งพักเป็นที่สุด มาเถอะ มานั่งพักให้สบาย มาสิ มานั่งเล่นกัน”

เด็กน้อยของต้นไม้ก็นั่งบนตอไม้ ต้นไม้มีความสุขมากและร้องไห้…..

เรื่องที่เล่ามาข้างต้นเกิดขึ้นกับเราทุกคน ต้นไม้นั้นก็คือผู้ให้กำเนิดของเรานั่นเอง

เมื่อเรายังเป็นเด็ก เราชอบเล่นกับพ่อและแม่ เมื่อโตขึ้น เราก็จากพวกท่านไป เราจะกลับมาหาท่านยามที่เราเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่ก็ต้องการบางสิ่งบางอย่างจากท่านเท่านั้น

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผู้เป็นพ่อแม่จะอยู่ที่นั่นคอยให้ความช่วยเหลือแก่เราเสมอ คุณอาจจะคิดว่าเด็กชายคนนั้นช่างใจร้ายกับต้นไม้เหลือเกิน แต่นั่นเป็นวิธีที่เราทุกคนปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเราเช่นกัน

เศร้า!

อ่านเรื่องจบแล้ว ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร? ส่วนตัวข้าพเจ้าเมื่ออ่านเรื่องจบลงน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าและเสียใจ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านลองให้เวลากับตัวเองเงียบๆสักครู่ใหญ่แล้วลองใคร่ครวญดูว่า ท่าทีของท่านที่มีต่อพ่อแม่เป็นเหมือนเด็กชายคนนั้นหรือไม่ ถ้าไม่เหมือน ดีกว่า หรือ เลวกว่า

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และทำให้พ่อแม่ของเรามีช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้จากลูกๆบ้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยเวลาที่มีค่าให้ผ่านไปอีกแม้สักนาที อย่าให้เราต้องไปคร่ำครวญเสียใจกับหลุมศพของท่านเลย ตอนนั้นท่านไม่รับรู้อะไรแล้ว ยังไม่สายเกินไปสำหรับท่าน มิใช่หรือ?

แล้วท่าทีต่อพระเจ้าล่ะ? สำหรับบางคนคงไม่แตกต่างไปสักเท่าไร จะคิดถึงพระเจ้าเมื่อมีปัญหา เมื่อถึงตอนนั้นจะอธิษฐานด้วยใจร้อนรน เปิดพระวจนะข้อที่ให้ความมั่นใจว่าถ้าทูลขอแล้วจะได้ และอ่านพระคัมภีร์อย่างคร่ำเคร่งติดสนิทกับพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วยามที่สุขสมบูรณ์ล่ะ เอาพระเจ้าไปไว้ที่ไหน? เคยคิดบ้างไหมว่าพระองค์จะทรงเสียพระทัยมากสักเพียงใดที่ลูกของพระองค์ลืมพระองค์ เหมือนเด็กน้อยนั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็ลืมต้นไม้นั้น พระเจ้าทรงเป็นต้นไม้แห่งชีวิตของเรา ถ้าไม่มีพระเจ้า เราก็ไม่มีชีวิต เราจะเลือกที่จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากต้นไม้แห่งชีวิตของเราจนเหลือแต่ตอ หรือเราจะเลือกทะนุถนอมบำรุงเลี้ยงต้นไม้แห่งชีวิตของเราให้เขียวชอุ่มแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย และเป็นแหล่งชีวิตของเราตลอดไป

ทางเลือกเป็นการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของท่านเองแล้วนะ


สิธยา คูหาเสน่ห์

บาปคืออะไร

บาป เป็นคำพยางค์เดียว ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า “การกระทำผิดหลักคำสอนหรือข้อห้ามในศาสนา ความชั่ว ความมัวหมอง”

การกระทำผิดหลักคำสอนหรือข้อห้ามในศาสนาพอจะเป็นรูปธรรมที่เห็นได้หรือสัมผัสได้ แต่ “ความชั่ว” หรือ “ความมัวหมอง” เป็นนามธรรมที่ไม่มีมาตรฐานใดๆมาวัดได้ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะเราจะเอากฎเกณฑ์มาจากไหน ความชั่วในสายตาของคนหนึ่งอาจเป็นความดีในสายตาของอีกคนหนึ่งก็ได้ สันดานของมนุษย์ไม่มีใครยอมรับว่าตัวทำผิดหรอก จะต้องโทษคนอื่นก่อนเสมอ และ “ความมัวหมอง” ที่เกิดขึ้นจากการทำชั่วหรือทำบาปก็จะเป็นชนักติดหลัง และเป็นแผลในใจของเราตลอดไป

แต่เราซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสตชนที่ดำเนินชีวิตตามอย่างพระเยซูคริสต์ เราคงมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยนี้ เราจะวัดความประพฤติของเราได้จากมาตรฐานของพระเจ้า แต่ก็อีกนั่นแหละมาตรฐานของพระเจ้าสูงเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะปฏิบัติตามได้ เราจึงยังคงทำบาปอยู่ แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่เป็นความรักและพระเจ้าที่ให้อภัย พระองค์จะนับหนึ่งกับเราเสมอเมื่อเราสารภาพความบาปของเราและทูลขอการอภัยจากพระองค์ เราจะได้รับการชำระ (อสย. 1:18) และมีชีวิตใหม่ตามแบบอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงปรารถนาให้เราเป็น (ดู คส. 3:1-17)

ขอให้จำไว้ว่าเมื่อมีความบาปสิ่งที่ตามมาจะมีแต่ความเจ็บปวดและการทำลายล้าง ซึ่งพอจะสรุปสั้นๆได้ว่า ความบาปเป็น:
- สิ่งที่ทำลายชีวิต
- สิ่งที่นำมาซึ่งความปวดร้าวใจและความทนทุกข์ทรมาน
- สิ่งที่ขัดต่อกฎหมายของฝ่ายโลกและของพระเจ้า
- สิ่งที่เราเลิกทำไม่ได้
- เป็นความผิดที่เราไม่สามารถแก้ไขได้

ผลที่ตามมาคือ:
- การทำร้ายตนเอง
- คนอื่นก็ถูกทำลายด้วยคำพูดและการกระทำของเรา
- ครอบครัวแตกแยก
- การแตกแยกระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
- การทำลายโลก
- ความปวดร้าว ความขมขื่นจากความรู้สึกผิด

การทรงอภัยของพระเจ้าทำให้ศาสนาคริสต์แตกต่างจากศาสนาอื่นโดยสิ้นเชิง พระเจ้าตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงท่าน” (มธ. 5:44) เราต้องเชื่อฟังและทำตามพระบัญชาของพระเจ้า แต่ข้อพระวจนะดังกล่าวข้างต้นถ้าอ่านครั้งแรกคิดว่าทุกคนคงจะมีคำถามในใจว่า “ใครจะทำได้” แต่พระเจ้าของเราทรงทำได้ พระองค์ทรงมีใจกรุณาต่อผู้ที่ไม่ตระหนักถึงพระคุณของพระองค์ และทรงอวยพรต่อคนชั่วร้าย ถ้าเราทำได้เราจะมีชีวิตที่เหมือนบุตรมนุษย์คือ พระเยซูคริสตเจ้า คริสเตียนแท้ทุกคนจะต้องมีชีวิตที่เหมือนพระเยซู แต่นั้นมิใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ เราจะต้องผ่านหลายขั้นตอน ต้องทนทุกข์ ปวดร้าวใจ และสิ่งที่ยากที่สุดคือการเชื่อฟังพระเจ้าหรือการยอมจำนนต่อพระองค์นั่นเอง แต่ถ้าเรายอมถ่อมใจลงและยอมจำนนและเชื่อฟังเชื่อฟัง การให้อภัยก็จะตามมา

การให้อภัยเป็นขบวนการที่มีการพัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆในจิตใจ และถ้าผู้ใดที่ทำผิดมีการพัฒนาเช่นนั้นด้วย ก็จะเป็นการรื้อกำแพงแห่งความชอกช้ำให้พังทลายลง ซึ่งขบวนการนี้มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้คือ
1. ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเกิดจากคำพูดหรือการกระทำ เมื่อเจ็บก็จะเกิดแผลและสิ่งเดียวที่จะสามารถรักษาแผลหรือรอยแห่งความเจ็บปวดนั้นก็คือ การให้อภัยผู้ที่ทำผิดต่อเรา (ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่ไหม?) แต่ก่อนอื่นเราจะต้องให้อภัยตัวเราเองก่อน ถ้าจะถามว่าเมื่อเราสามารถให้อภัยแล้ว เราจะลืมอดีตที่ขมขื่นได้หรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่ได้” เพราะรอยแผลนั้นไม่ว่าจะเป็นแผลใหม่หรือแผลเป็นที่ติดแน่นอยู่ในคลังแห่งความทรงจำของเรา เราคงจะไม่สามารถลืมอย่างแน่นอน เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนอดีตได้ พระเจ้ามิได้ประทานความสามารถในการเปลี่ยนหรือลบอดีตให้หมดไปแก่เรา แต่พระเจ้าให้เรา “อภัยซึ่งกันและกัน” เมื่อเราให้อภัยกันแล้วถึงแม้รอยแผลเป็นจะยังอยู่ แต่ความรู้สึกเมื่อหวนนึกถึงอดีตจะไม่เหมือนเดิม เราจะไม่รุ่มร้อนด้วยความโกรธหรือเจ็บปวดและอยากจะแก้แค้นอีกต่อไป จะมีแต่ความสงบและตวามเข้าใจมาแทนที่ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ!! วิธีการของพระเจ้าช่างเป็นวิธีที่เกินความรู้ที่มนุษย์อย่างเราจะสามารถเข้าใจได้
2. ความเกลียด เราไม่สามารถจะวัดความเจ็บปวดว่ามีมากน้อยเท่าไร และเมื่อถึงขั้นนี้เราคงไม่มีความปรารถนาดีต่อผู้ที่ทำผิดต่อเราอย่างแน่นอน ยิ่งรักมากก็ยิ่งเกลียดมาก และเราจะไม่สามารถอธิษฐานเผื่อเขาได้อีกต่อไป ไม่อยากพบหน้าหรือแม้แต่เสียงก็ไม่อยากได้ยิน และเราก็อยากให้เขาได้รับความเจ็บปวดอย่างที่เราได้รับบ้าง นี่คือความเกียดหรือความไม่ปรารถนาดีอย่างไม่ต้องการให้เกิดผลจริงๆ ซึ่งมีผลทำให้เราต้องขาดจากความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกัน และต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจทำความดีได้อีกต่อไป และไม่เคยพลาดจากการทำร้ายซึ่งกันและกันเลย ความรักทำให้เราผูกพันกันและความเกลียดก็คงจะหนีความแตกแยกไม่พ้น และก็มาถึงขั้นตอนที่ 3 เพราะความเกลียดต้องการการเยียวยารักษา
3. การรักษา เราผ่านขั้นตอนที่เลวร้ายมาแล้วสองขั้นตอน ตอนนี้เราจะเห็นคนที่ทำผิดต่อเราในอีกแง่มุมหนึ่ง เปรียบเสมือนว่าเรามี “ตาวิเศษ” ความทรงจำอันเลวร้ายจะได้รับการเยียวยารักษา และความเจ็บปวดจะค่อยๆจางหายไป และแทนที่ด้วยความเป็นอิสระและความสงบ สามารถดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความแข็งแกร่งดุจนอินทรีที่กางปีกร่อนถลาไปในอากาศอย่างสง่างาม และ “ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดังแก้วตา ทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ภายใต้ร่มปีกของพระองค์” (สดด. 17:8) พระเจ้าตรัสว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่ว แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆก็เห็นว่าดี” (รม. 12:17)
4. การคืนดีกัน เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อถึงขั้นตอนนี้เราต้องสามารถอธิษฐานเผื่อผู้ที่ทำผิดต่อเราได้แล้ว เราต้องรักเขาด้วยความรักของพระคริสต์ด้วย การให้อภัยมิใช่จบลงเพียงขั้นตอนที่สามเท่านั้น ถ้าเราจะบอกว่าให้อภัยแต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนนั้นๆอีก จะไม่พูดกับเขา ไม่พบหน้า และจะไม่มีสัมพันธภาพใดๆกันอีก หรืออย่างดีที่สุดก็แค่ทักทายกันตามมารยาทเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ ขบวนการให้อภัยก็ยังไม่สมบูรณ์

การให้อภัยเป็นขบวนการ 2 ทาง คือ ต้องมีการให้และการยอมรับ อย่าขอร้องให้คนอื่นให้อภัยเมื่อเราทำผิด แต่จงกลับใจใหม่ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ต้องให้ ไม่ใช่เป็นการถูกบังคับและก็เป็นสิ่งที่ร้องขอเอาก็ไม่ได้เช่นกัน ขอให้ระลึกว่า การให้อภัยมีแต่ “การให้” เท่านั้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ลำพังเฉพาะตัวเราเองคงทำไม่ได้แน่ ถ้าเราไม่อธิษฐานสารภาพบาปของเรา และขอการเสริมกำลังจากพระเจ้าเพื่อสามารถจะให้อภัยคนอื่นได้

ขอให้อธิษฐานดังนี้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดรักษาความเจ็บปวดภายในจิตใจของข้าพระองค์ จนกว่าพระองค์จะหายและเข้มแข็งอีกครั้ง จนกว่าข้าพระองค์จะได้รับความรักและสันติสุขในใจ และจนกว่าข้าพระองค์สามารถให้อภัยต่อผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์ได้ เอเมน”

อาจจะสรุปได้ว่า เมื่อเกิดการให้อภัย นั่นหมายความว่า
- เราได้เห็นการสร้างสรรค์เกิดขึ้นท่ามกลางมนุษยชาติ
- เราได้รักษาอดีตแห่งความเจ็บปวด ซึ่งมีผลให้เกิดแผลในใจในปัจจุบัน และเสมือนการวางยาพิษในอนาคตข้างหน้าให้หมดไป
- เราได้ทำการอัศจรรย์ซึ่งไม่เป็นที่ปรากฏต่อสายตาของผู้อื่น แต่เกิดขึ้นเงียบๆภายในใจของเรา
- เราทำด้วยความจำนนต่อพระเจ้า ไม่มีใครสามารถบังคับเราได้
- เราไม่ตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว
- เราจะมีชีวิตเหมือนพระผู้สร้างของเรามากขึ้นทุกวันๆ เพราะเราได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้นในใจของเราแทนที่ความเจ็บปวดในอดีต และเราก็มีการรักษาเพื่อป้องกันมิให้ความเจ็บและความขมขื่นนั้นนำเราไปสู่ความตาย
- เราจะเดินเคียงข้างไปกับพระเจ้าด้วยความรักของพระองค์ และเราจะให้ความรักนั้นต่อผู้อื่นด้วย
- และแผลของเราได้รับการเยียวยารักษาซึ่งแท้จริงเราไม่สมควรที่จะได้รับ

ข้าพเจ้าหวังว่าบทความข้างต้นนี้คงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมความเชื่อไม่มากก็น้อย และอยากเห็นการให้อภัยเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจว่าประเด็นนี้เป็นปัญหาของคนมากมายซึ่งรวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วย อย่าลืมอธิษฐานเผื่อเรื่องนี้ด้วยสำหรับทุกๆคนรวมทั้งตัวท่านเองด้วย ให้พระเจ้าทรงเสริมกำลังเราและให้หนามใหญ่ในใจของเราทุกคนหลุดออกไป เพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าของเรา อยากจะย้ำว่าเวลาของเราเหลือน้อยแล้ว การนับถอยหลังเกิดขึ้นแล้วเหมือนกับทีเรานับถอยหลังเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ที่ผ่านมา ทุกวินาทีที่ผ่านไปมีค่ายิ่งนัก รึท่านไม่เสียดาย

สิธยา คูหาเสน่ห์





แม่จ๋า…หนูรักแม่

วันวาเล็นไทน์ก็เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง หลายคนเข้าใจว่าเป็นวันหรือโอกาสที่จะแสดงความรักต่อกัน ซึ่งรักก็มีหลายรูปแบบ สัญลักษณ์แทนความรักก็มีหลากหลายชนิด แต่ที่นิยมกันมากที่สุดเห็นจะเป็นกุหลาบสีแดงดอกใหญ่ แม้ว่าราคาจะสูงเท่าไรคนซื้อก็ไม่ยั่น ขอให้มีดอกไม้ไปให้แก่คนอันเป็นที่รักก็พอใจแล้ว ดังนั้น ผู้ที่ได้รับความรักมากที่สุดเห็นจะเป็นพวกพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายที่คนซื้อต่างก็เทความรักไปให้ ไม่ว่าจะขายดอกไม้ในราคาที่สูงกว่าปกติกี่เท่าตัวก็ไม่ว่ากัน ยอมเทกระเป๋าซื้อกันทีเดียว นี่คือวิธีแสดงความรักของคนในยุคนี้

แต่วิธีการของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันไป ของคุณล่ะเป็นอย่างไร

ปีนี้ท่านตั้งใจจะมอบความรักให้ใคร ด้วยวิธีใด และ ด้วยอะไร

แต่ข้าพเจ้าอยากขอถือโอกาสนี้เชิญชวนให้ท่านบอกรักกับคนพิเศษที่สุดในชีวิตของคุณรองจากพระเจ้าพระผู้สร้าง ไม่ใช่ใครอื่น คุณแม่ไงล่ะ บอกคุณแม่สักนิดว่า “แม่จ๋า หนูรักแม่”

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วใคร่ครวญสักนิดว่า ท่านเคยมีท่าทีเช่นนั้นกับคุณแม่หรือเปล่า ถ้ามี ยังไม่สายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในขณะที่ยังมีโอกาส จงฉวยโอกาสที่แม่ยังอยู่กับเราและแสดงให้รู้ว่าเรารักท่าน ถ้าท่านปล่อยให้โอกาสล่วงเลยไปแล้วจึงได้คิด จะสายไป ข้าพเจ้าขอเตือนด้วยความหวังดี เพราะการที่เราอยากทำอะไรดีๆให้กับแม่แต่แม่ไม่อยู่แล้วนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก

ข้าพเจ้าได้รับข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์มาเรื่องหนึ่ง จึงอยากจะแบ่งปันให้พี่น้องได้อ่านกัน


เมื่อฉันอายุ 1 ปี คุณแม่ป้อนข้าวป้อนน้ำและอาบน้ำแต่งตัวให้ฉันทุกวัน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการร้องไห้โยเยตลอดทั้งคืน

เมื่อฉันอายุ 2 ปี คุณแม่สอนให้ฉันหัดเดิน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีเมื่อคุณแม่เรียกหาเมื่อฉันเดินได้แล้ว
เมื่อฉันอายุ 3 ปี คุณแม่ลงมือทำอาหารทุกมื้อให้ฉันด้วยความรักความเอาใจใส่
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการโยนจานข้าวลงบนพื้น
เมื่อฉันอายุ 4 ปี คุณแม่ก็หาสีเทียนมาให้ฉันหัดระบายรูปภาพ
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการระบายสีลงบนโต็ะรับประทานอาหาร
เมื่อฉันอายุ 5 ปี คุณแม่ช่วยแต่งตัวให้อย่างสวยงามเพื่อไปเที่ยวในวันหยุด
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการลงไปเล่นคลุกโคลนอย่างสนุกสนาน
เมื่อฉันอายุ 6 ปี คุณแม่พาฉันไปเรียนหนังสือ
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการกรีดเสียงร้องตะโกนว่า “หนูไม่ไป หนูไม่ไป”
เมื่อฉันอายุ 7 ปี คุณแม่ซื้อลูกบอลให้ลูกหนึ่ง
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการโยนลูกบอลไปที่หน้าต่างของเพื่อนบ้าน
เมื่อฉันอายุ 8 ปี คุณแม่ซื้อไอสกรีมให้ฉัน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการปล่อยให้หยดใส่เสื้อผ้าจนเลอะเทอะ
เมื่อฉันอายุ 9 ปี คุณแม่ให้ไปเรียนเปียโน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการไม่สนใจที่จะฝึกซ้อมเลย
เมื่อฉันอายุ 10 ปี คุณแม่ช่วยขับรถส่งฉันไปตามที่ต่างๆที่อยากไป
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถเมื่อถึงที่หมายและไม่หันมามองคุณแม่เลยแม้แต่สักแวบหนึ่ง
เมื่อฉันอายุ 11 ปี คุณแม่พาฉันและเพื่อนๆไปดูภาพยนตร์
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการขอนั่งคนละแถวกับคุณแม่
เมื่อฉันอายุ 12 ปี คุณแม่เตือนว่าไม่ควรจะดูรายการทีวีบางรายการ
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการรอให้คุณแม่ออกไปทำธุระนอกบ้านเสียก่อน
เมื่อฉันอายุ 13 ปี คุณแม่ช่วยแนะนำทรงผมที่เข้ากับใบหน้าของฉัน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกว่าคุณแม่ช่างไร้รสนิยมเสียจริงๆ
เมื่อฉันอายุ 14 ปี คุณแม่ยอมเสียเงินเพื่อให้ฉันได้เข้าค่ายฤดูร้อนเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายมาหาคุณแม่แม้แต่สักฉบับเดียว
เมื่อฉันอายุ 15 ปี คุณแม่อยากเห็นหน้าฉันเมื่อกลับมาถึงบ้านหลังจากเลิกงานแล้ว
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องนอน
เมื่อฉันอายุ 16 ปี คุณแม่สอนให้หัดขับรถ
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการเอารถออกไปเที่ยวทุกครั้งที่มีโอกาส
เมื่อฉันอายุ 17 ปี คุณแม่กำลังรอโทรศัพท์ด้วยธุระสำคัญอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการใช้โทรศัพท์ตลอดคืน
เมื่อฉันอายุ 18 ปี คุณแม่ดีใจจนร้องไห้ในวันที่ฉันจบการศึกษา
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการออกไปฉลองกับเพื่อนๆจนรุ่งสาง
เมื่อฉันอายุ 19 ปี คุณแม่ส่งเสียให้เรียนในมหาวิทยาลัย ขับรถไปส่งและช่วยถือสัมภาระให้
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกลาคุณแม่ที่ข้างนอกเพราะอายไม่อยากให้เพื่อนๆเห็น
เมื่อฉันอายุ 20 ปี คุณแม่ถามด้วยความเป็นห่วงว่ามีใครเข้ามาในชีวิตหรือยัง
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกคุณแม่ว่า “ไม่ใช่กงการอะไรของคุณแม่”
เมื่อฉันอายุ 21 ปี คุณแม่ก็แนะนำว่าควรจะประกอบอาชีพอะไร
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกว่า “หนูไม่อยากเป็นเหมือนแม่”
เมื่อฉันอายุ 22 ปี คุณแม่กอดฉันด้วยความชื่นชมและความรักในวันที่ฉันเป็นบัณฑิต
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกว่าอยากได้รางวัลด้วยการไปท่องเที่ยวยุโรป
เมื่อฉันอายุ 23 ปี คุณแม่ช่วยออกค่าตกแต่งบ้านให้เมื่อฉันแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการเที่ยวบอกเพื่อนๆว่าเครื่องเรือนที่คุณแม่ตกแต่งให้นั้นน่าเกลียดมาก
เมื่อฉันอายุ 24 ปี คุณแม่พูดคุยเกี่ยวกับแผนการในอนาคตกับคู่หมั้นของฉัน
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการจ้องคุณแม่เขม็งและบ่อกว่า “แม่ อย่ายุ่ง”
เมื่อฉันอายุ 25 ปี คุณแม่จัดงานแต่งงานให้และคุณแม่ก็ร้องไห้ด้วยความยินดีและบอกว่าท่านรักฉันมากเพียงไร
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการย้ายไปอยู่ห่างๆจากคุณแม่เสียเลย
เมื่อฉันอายุ 30 ปี คุณแม่โทรศัพท์มาหาเพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกว่าวิธีของท่านล้าสมัยเสียแล้ว
เมื่อฉันอายุ 40 ปี คุณแม่โทรศัพท์มาเตือนว่าจะถึงวันครบรอบวันเกิดของญาติคนหนึ่ง
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการบอกว่าฉันยุ่งมากคงไม่มีเวลาไปร่วมงานหรอก
เมื่อฉันอายุ 50 ปี คุณแม่ล้มป่วยและต้องการคนดูแล
ฉันตอบแทนคุณแม่ด้วยการอ่านหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ “พ่อแม่ในวัยชราเป็นภาระแก่ลูกๆอย่างไรบ้าง” ให้คุณแม่ฟัง

แล้ววันหนึ่ง คุณแม่ก็จากฉันไปอย่างเงียบๆ และทุกสิ่งที่ฉันไม่เคยทำให้คุณแม่ก็ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในหูเหมือนได้ยินเสียงฟ้าร้อง

คุณแม่เป็นดวงใจของท่าน ขอให้รักท่านมากกว่าที่รักตัวเอง ชีวิตจะไร้ค่าถ้าปราศจากคุณแม่ที่คอยรักคอยห่วงใยเราทุกฝีก้าว

สิธยา คูหาเสน่ห์