20/8/57

มอบแผนงานไว้กับพระเจ้า

จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
จงวางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน
สดุดึ 37:5

การวางแผนงานที่ไม่ให้พระเจ้ามีส่วนไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พึงทำ เพราะพระองค์อาจทรงไม่สถาปนาแผนงานนั้น เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงเลือกไว้ เราจะรู้ตัวได้เองว่าความไม่สำเร็จนั้นเกิดจากการที่เราวางแผนโดยไม่มีพระเจ้านั่นเอง บางครั้งเราพบว่าสิ่งที่เราได้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่หลังจากนั้นเราก็จะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า

เราควรให้พระเจ้าทรงนำหน้าในการดำเนินชีวิต เราควรระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำหน้าพระองค์ แต่บางคนอาจแย้งว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงหรือที่จะให้พระเจ้าทรงนำหน้าในทุกเรื่อง ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยหากเราติดสนิทกับพระเจ้า เราทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์ เราฟังพระสุรเสียงของพระองค์ บางคราวอาจเป็นความทุกข์ใจสักหน่อยที่พระเจ้าไม่ทรงประทานสิ่งที่เราอยากได้ บางครั้งเราอาจท้อใจว่าทำไมพระองค์ทรงให้เรารอนานเหลือเกินกว่าคำตอบจะมา ข้าพเจ้าขอบอกตามตรงว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ แต่ "ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:13) ขอให้เราระลึกถึงข้อพระวจนะนี้เมื่อเราต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เห็นความสำเร็จของแผนงานที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางหลายครั้ง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการไม่ย่อท้อต่อการอธิษฐานวิงวอนนั้นมีบำเหน็จที่แสนหวานรออยู่ แต่บางคนอาจไม่อดทนพอที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะได้ลิ้มรสบำเหน็จนั้น แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกในตอนนี้ว่าเมื่อเราผ่านการรอคอยที่ดูแสนเนิ่นนานและบางช่วงอาจมีคำถามผุดขึ้นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไปได้ เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงแสนดียอดเยี่ยม ทุกสิ่งที่ได้มาเป็นการอัศจรรย์ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง แต่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า และเป็นการคัดสรรและการจัดเตรียมของพระองค์ที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความยอดเยี่ยมดีเลิศเกินกว่าที่เราขอไว้แต่แรก เราจะได้ตามที่ขอและได้สิ่งที่ดีกว่านั้นอีกด้วยการมอบแผนงานและชีวิตของเราไว้กับพระเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ เพียงว่าเรา 'ยอม' หรือไม่เท่านั้นเอง

การเชื่อวางใจพระเจ้าเป็นสื่งที่ต้องมีการตัดสินใจ ถ้าเมื่อไรที่เราพบว่าไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้าและอาจถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เพราะเหตุใดพระองค์ทรงไม่จัดเตรียมและประทานสิ่งที่ขอ” เราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อวางใจเรา”

ข้าพเจ้าไม่อยากให้มีสักคนเดียวได้ยินพระดำรัสตอบแบบนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์




6/6/57

จงขอแล้วจะได้

เราเป็นเถา‍องุ่นแท้ และพระ‍บิดาของเราทรงเป็นผู้‍ดู‍แลรักษา แขนงทุกแขนงในเราที่ ไม่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออก‍ผลมากขึ้น พวก‍ท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อย‍คำที่เรากล่าว กับท่าน จงติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับพวก‍ท่าน แขนงจะออก‍ผลเองไม่‍ได้ นอก‍จากจติด‍สนิทอยู่กับเถา พวก‍ท่านก็เช่น‍เดียว‍กันจะเกิด‍ผลไม่‍ได้นอก‍จากจะ ติด‍สนิทอยู่กับเรา เราเป็นเถา‍องุ่น พวก‍ท่านเป็นแขนง คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเรา ติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำ สิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำ ของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น พระ‍บิดาของเราทรงได้รับ‍พระ‍เกียรติเพราะ‍เหตุ‍นี้ คือเมื่อพวก‍ท่านเกิด‍ผลมากและ เป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 15:1-8)
พระวจนะตอนนี้มีพระสัญญาที่ไม่ธรรมดาของพระเจ้าอยู่ในนั้น "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น"
พระเยซูกำลังตรัสว่าเมื่อเราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น เหตุผลที่เราได้ตามที่ขอก็เพราะพระเจ้าทรงได้รับเกียรติโดยให้ตามที่ขอ ดังนั้น จงขอแล้วจะได้ นั่นเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
แต่พระสัญญาข้อนี้ของพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถาง และจะทำให้ผู้เชื่อเศร้าเสียใจ ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถางเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญา นั่นเป็นข้ออ้างของพวกเขา แต่ทำไมผู้เชื่อเศร้าเสียใจล่ะ เพราะพวกเขาขอแล้วไม่ได้ ผู้เชื่อบางคนเมื่อขอแล้วไม่ได้จึงทำให้ความเชื่อสั่นคลอน และหันคล้อยตามกับผู้ที่ไม่เชื่อและสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของพวกเขา
แต่ที่ว่า "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น" มีบางสิ่งที่เล็ดลอดจากความสังเกตของเราไป บางคนอาจคิดว่าเมื่อขอก็ให้ขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า แต่พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนั้นในพระวจนะนี้ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า "ขอ" และ "พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้" และพระองค์จะประทานให้จริงๆ
"ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น”
เราซึ่งเป็น “แขนง” ต้องติดสนิทอยู่กับพระเยซูซึ่งทรงเป็น “กิ่ง” เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อเราขอสิ่งใดจากพระเจ้าก็จะได้สิ่งนั้นเพราะ
“คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำสิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย”
ถ้าเราไม่ติดสนิทกับพระเยซู เราก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป และสุดท้ายก็จะถูกทำลาย “ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ”
การเกิดผลเป็นการเชื่อมโยงถึงการได้รับตามที่ขอ พระเจ้าทรงได้รับเกียรติเมื่อเราเกิดผล และเราเกิดผลเมื่อพระเจ้าทรงประทานสิ่งที่เราขอ
แต่บางคนที่ไม่ได้รับตามที่ขออาจกล่าวว่า “ฉันติดสนิทกับพระเจ้า ฉันขอบางสิ่งจากพระเจ้า แต่ฉันไม่เคยได้รับตามที่ขอเลย” นั่นอาจเป็นการกล่าวที่ใช้ไม่ได้ เมื่อคนหนึ่งปลูกต้นส้มวันนี้ คนนั้นคงไม่หวังว่าจะได้กินผลไม้นี้ในวันรุ่งขึ้นเลย มันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจนต้นส้มโตเต็มที่จึงจะผลิดอกออกผลได้ การที่ต้นส้มจะเติบโตได้ก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู เช่นเดียวกัน ผู้เชื่อก็ต้องใช้เวลาในการฟูมฟักให้ความเชื่อแข็งแรงและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อจึงจะได้รับสิ่งที่ขอด้วยความเชื่อและเกิดผลต่อไปได้
ดังนั้น ขอให้เรากลับไปทบทวนใหม่เมื่อเราขอแล้วไม่ได้ว่าเรามีความเชื่อมากพอที่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงตามพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าพระสัญญาข้อนี้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นพระสัญญาข้อนี้เป็นจริงในชีวิตของข้าพเจ้าและลูกๆ หลายต่อหลายครั้ง และข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะได้เห็นอีกในเวลาข้างหน้า ขอพระเกียรติจงเป็นของพระเจ้า



สิธยา คูหาเสน่ห์

7/5/57

“รอ”

การรอเป็นเรื่องยาก ไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการรออะไรก็ตาม มันเป็นความล่าช้าที่เราอยากหลีกเลี่ยง เป็นความกังวลใจที่ร้อนรุ่มอยู่ในใจ เป็นภาระหนักที่ต้องแบกไว้ เป็นความทุกข์ใจที่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนคงเคยลิ้มรสแห่งการรอมาแล้วทั้งสิ้น แต่ทว่าการ “รอ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งความเชื่อของเรา
แต่ที่ข้าพเจ้าจะพูดในที่นี้ขอจำกัดวงให้แคบลงมาที่ รอ คำตอบจากพระเจ้า เมื่อเราอธิษฐานทูลขอบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า “จงขอแล้วจะได้” (มัทธิว 7:7พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) ข้าพเจ้าสามารถยืนยันจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นอยากหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อจะอธิษฐานทูลขอสิ่งใดก็ตาม ให้แน่ใจว่าเป็นที่สิ่งที่ท่านปรารถนาจะได้หรืออยากให้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะท่านจะได้สิ่งนั้นอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์
เมื่ออธิษฐานทูลขอ เราจะได้คำตอบสามแบบจากพระเจ้า คือ “ได้” “ไม่ได้” และ “รอ” สำหรับคำตอบแรกไม่ต้องมีคำอธิบาย คำตอบที่สองก็ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่อ่านว่า “ไม่ได้” เพราะพระองค์อาจหมายความถึงคำตอบที่สามก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์จะประทานสิ่งที่ดีกว่าที่ขอไปให้แก่เราก็เป็นได้ ฉะนั้น คำตอบที่สองและที่สามก็หลีกไม่พ้นการ “รอ” เพราะคำตอบจะมาในเวลาของพระองค์เท่านั้น มิใช่เวลาของเรา เวลาของพระเจ้ากับของมนุษย์มีกรอบที่ต่างกัน เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเสมอ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์เสมอ เราอาจมองว่าพระองค์ทรงปฏิเสธไม่สนองตอบคำอธิษฐานสำหรับคำตอบ “ไม่ได้” และ “รอ” แต่แม้ว่าจะเป็น “ไม่ได้” หรือ “รอ” ก็ยังเป็นคำตอบอยู่ดี แม้ว่าความเงียบของพระองค์อาจทำให้เรากระวนกระวายใจ ทนทุกข์ทรมาน เราอาจหมดกำลังใจสงสัยว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานหรือไม่ หรือเราอาจโกรธพระองค์เมื่อเห็นว่าผู้อื่นได้รับการอวยพรอย่างมากมายในสิ่งเดียวกับที่เราขอแล้วยังไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อได้อย่างไรในช่วงที่รอคำตอบจากพระองค์
พระเจ้าทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง เราเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งที่เราขอ ทำไมเราต้องรอ ทำไมเราได้ในสิ่งที่ไม่ได้ขอ ขอให้จำไว้ว่าสิ่งที่เราเห็นว่าดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา ขณะที่รอคำตอบจากพระองค์ ขอให้เราเชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายในการที่พระองค์ทรงล่าช้าในการตอบคำอธิษฐาน ขณะที่เรารอ พระเจ้าทรงกระทำการอยู่เบื้องหลังแทนเรา ให้เราอย่าย่อท้อในการรอเพราะเราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และในที่สุดเราก็จะรู้ว่าการรอที่ยาวนานและแสนทุกข์ทรมานนั้นคุ้มค่าจริงๆ
มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเรารอบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นจะหนีการบ่นไปไม่พ้น มันเป็นเรื่องยากที่เราจะพอใจกับชีวิตในช่วงแห่งการรอนั้น แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามีความพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า “อย่าท้อใจเลย วางใจพระเจ้าสิ” แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขหากเรากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
อย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราบ่นเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง แต่ให้เรารักษาความเชื่อไว้ อย่าขาดการนมัสการพระเจ้าเพราะการนมัสการเป็นการบ่งบอกถึงการยอมจำนนและการถ่อมใจ เพราะเมื่อเรานมัสการพระเจ้า ตัวเราจะพูดว่า “พระองค์ทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” การนมัสการนี่แหละที่จะเป็นแหล่งกำลังของเราในการที่จะอดทนรอต่อไป
เราต้องทูลขอต่อไปจนกว่าคำตอบจะมาถึง ยากอบ 4:2 บอกว่า “ท่านไม่‍มีเพราะไม่‍ได้ขอ” เราต้องไม่กลัวที่จะทูลขอต่อไป ทูลพระองค์ในสิ่งที่เราต้องการขณะที่กำลังรอ ยากอบยังบอกต่อไปว่าที่ไม่ได้เพราะเราขอผิด บางทีเราอาจขอในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัย ขอในสิ่งที่ผิด เราจึงต้องรอ ลองสำรวจดูว่าเราขอผิดหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังการทูลขอของเราอย่างแน่นอน
การท้าทายที่เราต้องเจอคือการเชื่อวางใจ สุภาษิต 3:5, 6 บอกว่า “จงวาง‍ใจในพระ‍ยาห์‌เวห์ด้วยสุด‍ใจของเจ้า และอย่าพึ่ง‍พาความรอบ‍รู้ของตน‍เอง จงยอม‍รับรู้พระ‍องค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระ‍องค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบ‍รื่น” “รอ” ด้วยความเชื่อวางใจ เป็นกุญแจสำคัญ


สิธยา คูหาเสน่ห์

8/2/57

การยึดติด-การปล่อยวาง

ข้าพเจ้าคิดว่าการปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดติดมานานแล้วสำหรับบางคนเป็นเรื่องยากมาก การปล่อยวางเป็นกระบวนการของการเรียนรู้อย่างหนึ่งซึ่งต้องอาศัยทั้งความตั้งใจและความตระหนักรู้ เราต้องเรียนรู้ที่จะถอยหลังมาและมองดูสิ่งที่เรายึดติดหรือกุมไว้ไม่ยอมปล่อย การถอยหลังออกมาจากสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรามองอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ถ้าเรายอมที่จะปล่อยวางสิ่งที่นำความเจ็บปวดมาให้จะช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น แต่แทนที่เราจะปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เราเครียด เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน เรากลับยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เรากอดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มีคนกล่าวไว้อย่างนี้ว่า “ถ้าเราปล่อยวางเพียงเล็กน้อย เราก็จะมีสันติสุขเพียงเล็กน้อย หากเราปล่อยวางมาก เราจะมีสันติสุขมาก” ข้าพเจ้าเห็นอย่างยิ่งด้วยกับคำกล่าวนี้
ท่านล่ะ เห็นด้วยหรือไม่
ท่านล่ะ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พร้อมที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่กุมไว้หรือยัง

บางทีที่เราไม่ยอมปล่อยวางเพราะการยึดติดให้ความรู้สึกแห่งอัตลักษณ์ เราหวนนึกถึงความผิดพลาดในอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความอับอายและความทุกข์ระทมใจและยอมให้ความรู้สึกนั้นเป็นตัวกำหนดการกระทำของเราในปัจจุบัน หรือพูดง่ายๆ ว่า ยอมให้อดีตกำหนดปัจจุบัน เราปล่อยให้ตัวเองกังวลเกี่ยวกับอนาคต เราทำให้ตัวเองเครียดและในที่สุดก็นำไปสู่ปัญหามากมายหลายด้าน

เรามักจะยึดสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตติดตัวอยู่ตลอดเวลา ให้สิ่งเหล่านั้นมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา เรายอมให้มันโลดแล่นอยู่ในหัวของเราเหมือนเปิดเทปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจดจำสิ่งต่างๆ ในอดีตทั้งที่ดีและไม่ดี ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน การยึดติดกับอดีตทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ยอมรับการท้าทายใหม่ๆ แม้ว่าการยอมรับสิ่งใหม่จะนำเราไปสู่ชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้าก็ตาม ในที่สุดเราก็ยอมที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล

ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง บางทีท่านอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ฟังอีกสักครั้งคงไม่เป็นไร

เรื่องเล่าว่าในอินเดียมีชายคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อมาจับลิงเอาไปขายให้แก่สวนสัตว์ แต่ลิงฉลาดเกินกว่าที่จะตกเป็นเหยื่อ มีเด็กชายคนหนึ่งยิ้มเยาะในความพยายามที่ล้มเหลวของชายคนนี้

ชายคนนั้นพูดกับเด็กคนนั้นว่า “ถ้าเจ้าสามารถจับลิงให้สักตัว ฉันจะให้เงินเจ้า” (เงินที่เสนอให้ค่อนข้างสูงทีเดียว)

เด็กชายกลับบ้านและเอาหม้อดินคอคอดมาใบหนึ่ง แล้วเอาถั่วใส่ลงไป 2-3 เม็ด เอาหม้อผูกไว้กับต้นไม้และบอกชายคนนั้นว่า “เราน่าจะจับลิงได้สักตัวในไม่ช้า ให้เราไปรอในหมู่บ้านกันเถอะ ลิงจะส่งเสียงบอกเราเองเมื่อมันติดกับที่เราวางไว้”

สักพักฝูงลิงก็พบหม้อดินที่มีถั่วอยู่ข้างใน ลิงตัวหนึ่งล้วงมือลงไปหยิบถั่ว แต่มันชักมือออกมาไม่ได้เพราะกำถั่วไว้ ลิงตกใจกลัวลนลานและเริ่มส่งเสียงร้องดังลั่น ลิงตัวอื่นกรูกันเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่อาจช่วยได้

เด็กชายและชายคนนั้นได้ยินเสียงลิงร้องจึงหยิบกระสอบมาเพื่อจับลิง เมื่อเข้าใกล้ฝูงลิงก็วิ่งหนีกระเจิงไปทิ้งตัวที่ติดอยู่ไว้ตามลำพัง เด็กชายก็เข้าไปจับลิงได้โดยง่ายดาย ชายคนนั้นจึงถามเคล็ดลับจากเด็กชายว่า “ทำไมลิงล้วงมือลงไปในหม้อได้อย่างง่ายดายแต่ดึงมือออกมาไม่ได้”

เด็กชายหัวเราะและบอกว่า “ลิงดึงมือออกมาได้ไม่ยากหรอกถ้ามันยอมปล่อยถั่วที่กำไว้ แต่มันเสียดายถั่ว ไม่ยอมปล่อย มันจึงดึงมือออกมาไม่ได้”

เราได้บทเรียนจากเรื่องเล่านี้ คนเรายอมตกเป็นเหยื่อด้วยการยึดติดกับสิ่งต่างๆ ที่จริงๆ แล้วน่าจะปล่อยวางเสีย อันที่จริงเรื่องนี้มุ่งเน้นสอนเรื่องความโลภ แต่ยังมีมิติอื่นที่เรื่องนี้สอนเกี่ยวกับสิ่งที่เรากุมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกด้วย เช่น ความโกรธ ความเสียใจ ความเคียดแค้น ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่พันธนาการเราไว้ ที่เป็นเสมือนคุกในใจที่คุมขังเราไว้ เรายอมให้อดีตอยู่ต่อหน้าเรา ไม่ยอมทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า “...ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

การปล่อยวางจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็นเรื่องง่าย แต่ทำยาก แต่สำหรับเราซึ่งเป็นผู้เชื่อไม่ใช่แค่ปล่อยวางเท่านั้น แต่เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราด้วย

สิธยา คูหาเสน่ห์


18/1/57

ของขวัญจากใจ

เพิ่งจะผ่านเทศกาลการมอบของขวัญมาหมาดๆ แต่เราเคยคิดบ้างไหมว่าการมอบของขวัญให้ใครสักคนจำเป็นต้องรอให้ถึงเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งด้วยหรือ ทำไมเราไม่ทำให้ทุกวันเป็นโอกาสแห่งการให้เพราะของขวัญบางอย่างไม่ต้องซื้อหาด้วยเงิน มันเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นให้ง่ายๆ สิ่งที่ไม่มีวันเหือดแห้ง สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งมีมาก สิ่งที่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ สิ่งที่สามารถให้ได้ทุกวันไม่ต้องรอโอกาสหรือเทศกาลใดๆ มาดูกันสักหน่อยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้มีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น

1) การฟัง เมื่อมีใครสักคนพูดกับเรา เราต้องตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ อย่าคิดเพ้อฝัน อย่าวางแผนการตอบโต้ แค่ฟังเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับบางคน ข้าพเจ้าพบเจอคนที่ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นบ่อยครั้ง เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็พูดแทรก และมักจะพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องที่อยู่นอกประเด็นการสนทนา กล่าวขึ้นมาโดยไม่มีการถาม เท่าที่สังเกตเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องการจะป่าวประกาศให้คนรู้ ขอพี่น้องอย่าทำเช่นนี้เลย มันไม่น่ารักเอาเสียเลย ให้เราฟังอย่างตั้งใจสักหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครคนนั้นกำลังมีปัญหาต้องการคำปรึกษา ของขวัญชิ้นนี้ไม่ต้องหาซื้อด้วยเงินทอง เพียงแค่ใส่ใจฟังเท่านั้น

2) ความรักใคร่ฉันมิตร ที่แสดงออกด้วยท่าทีที่เหมาะสมในบริบททางสังคมวัฒนธรรม เพราะการแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น สร้างความอบอุ่นให้แก่กัน เป็นของขวัญที่ยิ่งให้มากเท่าไรก็ยิ่งได้รับกลับมามากเท่านั้น และอาจมากกว่าที่ให้ออกไปด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าเป็นคนมีเพื่อนน้อย แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามีความรักฉันมิตรเหลือเฟือที่จะแจกจ่ายออกไปอย่างแน่นอน

3) เสียงหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเรื่องขำขัน เรื่องเปิ่นๆ ที่ทำไป ความโง่เขลาเบาปัญญาในบางเรื่อง ให้เสียงหัวเราะของเราพูดว่า “ให้เรามาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุขเถอะ” มีคำพูดกล่าวไว้ว่า เสียงหัวเราะคือยาวิเศษ บางคนพูดว่าเสียงหัวเราะเหมือนเสียงสวรรค์ ให้เรามอบเสียงหัวเราะแก่กันเถอะ

4) โน้ตสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อขอบคุณ ถามไถ่ทุกข์สุข บอกคิดถึง บอกรัก เป็นต้น เพราะการเขียนด้วยลายมือทำให้ผู้รับรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่จะถูกจดจำไปชั่วชีวิต ให้เราหาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ เขียนโน้ตสั้นๆ ให้แก่ใครสักคนในยุคแห่งเทคโนโลยีกันสักหน่อย ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเขียนหนังสือด้วยลายมือมานานเกินสิบปี เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าใช้คอมพิวเตอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าต้องซ้อมทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องเซ็นชื่อ ให้เราพยายามหาโอกาสเขียนอะไรๆ ด้วยลายมือกันเถอะ

5) คำชม การกล่าวคำชมสั้นๆ ด้วยความจริงใจสามารถนำความสุขมาให้แก่ผู้ฟังได้ (ข้าพเจ้าขอย้ำว่า จริงใจ) เพราะการกล่าวตามมารยาทไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ ถ้าจะกล่าวโดยไม่มีความจริงใจก็เฉยๆ เสียยังจะดีกว่า ข้าพเจ้าก็พบเห็นบ่อยๆ ได้ยินคำชมที่ปราศจากความจริงใจอยู่เสมอ ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ฟังและรับรู้ได้ว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพอยู่ดี แต่ถ้าสามารถรับรู้ว่ากล่าวด้วยความจริงใจก็คงไม่ได้กล่าวอะไรมากกว่าไปคำขอบคุณ แต่แน่ใจได้เลยว่าถ้าท่านได้ยินคำชมจากปากของข้าพเจ้า คำชมนั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง

6) ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่โอกาสอำนวย ให้เราหาโอกาสที่จะทำความดีในแต่ละวันด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แก่คนรอบข้าง แก่สังคมเท่าที่จะพอทำได้ ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสำหรับเราทุกคน

7) ความสันโดษ เราควรที่จะไวต่อความรู้สึกของคนอื่นสักนิดว่าในบางครั้งเขาอาจต้องการที่จะอยู่ตามลำพังบ้าง ปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองเพื่อใช้ความคิดใคร่ครวญบางเรื่องได้อย่างอิสระ อย่าคิดเอาเองว่าเขาต้องการความช่วยเหลือของเรา เพราะความช่วยเหลือที่ให้โดยที่ไม่มีการร้องขอย่อมให้โทษมากกว่าคุณ

8) คำพูดดีๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินทำที่จะพูดกันด้วยคำพูดดีๆ คำพูดไพเราะเสนาะหู ทุกวันนี้เราได้ยินเสียงด่าทอ การพูดเสียดสี การประชดประชัน การให้ร้าย คำโกหก เราคงอยากได้ยินคำพูดดีๆ กันบ้าง อย่าให้ปากที่เรากล่าวสรรเสริญพระเจ้ากล่าวคำด่าออกมาด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ง่ายนักที่จะทำในโลกที่ดูเหมือนจะชั่วร้ายลงเรื่อยๆ แต่เราเป็นชาวสวรรค์ อย่าให้เราปฏิบัติเหมือนอย่างคนในโลกนี้ ให้เรามาหัดพูดภาษาสวรรค์ก่อนเถอะ


ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่ท่านสามารถทำได้ เป็นของขวัญจากใจที่สามารถมอบให้แก่ทุกคน ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้มอบสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นของขวัญจากใจแด่ทุกคน และเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ทุกคนแทนคำขอโทษที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ขอขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่

คงยังไม่สายเกินไปที่จะพูดว่า “สวัสดีปีใหม่ 2557”


สิธยา คูหาเสน่ห์

24/12/56

จุดเริ่มต้นของคริสตสมภพ

เรื่องราวของคริสตสมภพเป็นข่าวดีล้ำเลิศแทบไม่น่าเชื่อที่พระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่กับเราทั้งหลายในองค์พระเยซูคริสต์ เรื่องราวนั้นเริ่มต้นเมื่อพระองค์ทรงสละความมั่งคั่งในสวรรค์ มาประสูติและสวมสภาพมนุษย์เพื่อไถ่บาปชาวโลก และนำไปถึงความรอดนิรันดร์ มนุษยชาติมิได้คิดเรื่องนี่้ขึ้นมาเอง เราทั้งหลายคงไม่เสาะแสวงหาพระเจ้าที่ทำเรื่องเช่นนี้ เราไม่สามารถหาพระเจ้าองค์นี้พบเหมือนที่เราไม่สามารถทำให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างได้ พระเจ้าเสด็จมาหาเราเอง การเสด็จเข้ามาในโลกของพระเจ้าเป็นเหมือนอรุณรุ่งที่สาดส่องเข้ามาในความมืดมิดของโลก เพื่อนำย่างเท้าของเราไปสู่หนทางแห่งสันติสุข เราอาจพลาดไม่เห็นแสงนั้น หากเราไม่ตื่นขึ้นมาดู



พระเจ้าเสด็จมาอยู่กับเราในองค์พระเยซูคริสต์ เราไม่สามารถทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรือควบคุมสิ่งนี้ได้ เราอาจพลาดเรื่องราวทั้งหมดนี้ถ้าเราขาดการฝึกวินัยฝ่ายวิญญาณ ได้แก่ การภาวนาอธิษฐาน การศึกษาพระคัมภีร์ และการนมัสการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถที่จะตื่นอยู่ที่จะมีประสบการณ์กับมันได้



คริสตสมภพที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไถ่บาปซึ่งนำมาถึงความรอดนั้นคือแสงสว่าง พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทั้งหลายจำเป็นต้องมีพระผู้ไถ่ ผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป ดังนั้นพระองค์ทรงสถาปนาแผนงานการไถ่บาปตั้งแต่แรกเริ่ม ความเยี่ยมยอดอยู่ที่ว่าพระผู้ไถ่ทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรู้ความอ่อนแอและความเข้มแข็งของเรา ความล้มเหลวและความสำเร็จของเรา พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดที่เรามี และพระองค์ทรงตระหนักถึงความสุขและความชื่นชมยินดีที่เราได้รับ พระคริสต์ พระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ ทรงประทับอยู่กับเรา พระเจ้าผู้เสด็จมาหาเราและทรงประทับอยู่ในเรานั้นทรงไถ่เราจากความบาป พระองค์ทรงไถ่เราให้เป็นไทแล้ว



เราเฉลิมฉลองการเสด็จมาในโลกของพระเจ้าพระผู้สร้างโลกในเทศกาลคริสต์มาส พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกทรงสวมสภาพมนุษย์ประสูติมาเป็นทารกน้อย เมื่อเป็นข่าวดีเช่นนี้ เราต้องแบ่งปันข่่าวนี้ให้แก่คนอื่นได้รับรู้ ให้เราเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่นำข่าวดีไปแจ้งแก่คนทั่วไป เมื่อเราถูกไถ่จากบาปแล้ว เมื่อเราได้รับการช่วยกู้แล้ว สิ่งที่เราทำได้คือประกาศข่าวดีแห่งความหวัง ความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่นี้กับคนอื่นๆ ให้เรานำข่าวดีออกไปสู่ชุมชนของเรา


พระธรรมในฟิลิปปี 2:5-11 เป็นข้อพระวจนะที่สำคัญมากที่บอกถึงการสมภพของพระคริสต์

ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่กลับได้ทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา”

ระยะทางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มนุษย์มองไม่เห็นและนึกไม่ออกว่าจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร พระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำให้เกิดการคืนดีกันได้ นั่นเองเป็นศูนย์กลางของพระคุณของพระเจ้า และพระเจ้าทรงทำให้เกิดการคืนดีกันระหว่างมนุษย์กับพระองค์ขึ้น

การที่มนุษย์จะยอมรับว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ เพราะความคิดนั้นขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์ที่วางพระเจ้าไว้ในตำแหน่งสูงส่ง มนุษย์มีอำนาจในการควบคุมสภาพแวดล้อมของตนอย่างจำกัด เราทั้งหลายต้องการให้พระเจ้าทรงมีอำนาจสูงส่งในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในตำแหน่งที่ถูกวางไว้นั้น ดังนั้นความคิดที่ว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลายจึงขัดกับสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างยิ่ง

พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสำแดงความใหญ่ยิ่งและเกรียงไกรของพระองค์ในการเสด็จลงมาและทรงสวมสภาพมนุษย์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทั้งหลายเฉลิมฉลองคริสต์มาสหรือคริสตสมภพกัน

สุขสันต์วันคริสต์มาส 2013




สิธยา คูหาเสน่ห์

12/9/56

มิตรภาพแบบคริสเตียน

มิตรภาพแบบคริสเตียนเป็นอย่างไร ซี. เอส. ลูอิส กล่าวไว้อย่างนี้ว่า “มิตรคือผู้ที่เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน มีแรงบันดาลใจและเป้าประสงค์ที่คล้ายกัน และเกื้อหนุนกันเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ มิตรมิใช่ผู้ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง มิใช่ผู้ที่อิจฉาริษยา (แม้ว่าบางครั้งก็เป็นเช่นนั้น) แต่มิตรคือผู้ที่ช่วยเราในการใช้ของประทานจากพระเจ้าด้วยการให้คำแนะนำที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี และช่วยนำเราให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง”

มิตรภาพแบบคริสเตียนมีการสอน การให้คำปรึกษา การให้คำชี้แนะ เป็นมิตรภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำพันธกิจที่คล้ายกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำต่อพวกสาวกของพระองค์

มิตรแท้มีการห่วงใยและอาทรกันและกัน และมีความปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนา ไม่ใช่การอิจฉาริษยา และการทำลายความฝันและความปรารถนาของบุคคลอื่น มิตรแท้ ทำ มิใช่ พูด มิตรแท้ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน หากจะติก็เพื่อก่อ และการยอมรับคำติก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

มิตรภาพแบบคริสเตียนแท้เกิดขึ้นกับผู้ที่เราเชื่อใจได้ ผู้ที่เราแน่ใจว่าจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของเราไปเผยแพร่ แต่น่าเศร้าใจที่คนมักชอบนินทา ดังนั้นให้แน่ใจว่าผู้ที่เราแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวด้วยเป็นผู้ที่เชื่อใจได้จริงๆ ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก หากความเชื่อใจนั้นถูกทำลายลงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มิตรภาพกลับมาดีดังเดิม ในพระธรรม 1 ซามูเอล บทที่ 20 พูดถึงมิตรภาพแบบนี้ระหว่างดาวิดกับโยนาธานเอาไว้

มิตรภาพแท้ยังเกี่ยวข้องกับเวลาในสองมิติ มิติที่หนึ่งคือการใช้เวลาในการสร้างมิตรภาพนั้นขึ้นมา เราคงยอมรับว่าความเชื่อใจมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงให้รากแห่งความเชื่อใจหยั่งลึกลงเพื่อให้มิตรภาพนั้นแข็งแรงสามารถต้านทานต่ออุปสรรคและพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตและเกื้อหนุนการดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อด้วยกัน มิติที่สองก็คือการให้เวลาแก่กันและกันในการหนุนน้ำใจกัน ฟังปัญหาของกันและกัน อธิษฐานและศึกษาพระคำด้วยกัน มิตรภาพจะเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ก็ด้วยการติดสนิทกันอย่างแท้จริง

สุดท้ายที่สำคัญที่สุดและเป็นเรื่องยากมากที่สุดก็คือมิตรภาพแท้ต้องมีการให้อภัยไม่ถือโทษกัน บางครั้งมิตรที่ดีที่สุดอาจสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่เรา และเราก็สงสัยว่ามิตรภาพเกิดขึ้นได้อย่างไรตั้งแต่แรก ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เราเรียกว่ามิตรแท้จะเป็นคนที่นำความเจ็บปวดมาให้เรามากที่สุด แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมต้องมีการให้อภัยกันอย่างแท้จริง เราต้องมองข้ามความผิดไปให้ได้ และไม่ต้องคาดหวังการตอบแทนเมื่อทำดี และนอกจากนั้นต้องพูดความจริง การโกหกหรือพูดความจริงไม่หมดย่อมทำลายมิตรภาพและความสัมพันธ์ (ทุกรูปแบบ) ลงได้

มิตรภาพแท้แบบคริสเตียนย่อมเสริมสร้างกันและกันด้านอารมณ์ ด้านจิตวิญญาณ และด้านกายภาพ เราจะได้รับพลังจากมิตภาพแท้ มิตรแท้ย่อมรักกันอย่างจริงใจ คุยกันด้วยความจริง และร้องไห้ด้วยกันยามทุกข์ หัวเราะด้วยกันยามสุข ฟังปัญหาของกันและกันอย่างใส่ใจและหาทางบรรเทาทุกข์ให้กัน บางครั้งมิตรแท้ต้องพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากได้ยินเพื่อเตือนสติ แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมมีหนทางให้คำพูดที่เตือนสติเป็นที่ยอมรับได้ อย่างที่ในพระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้ คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น” และให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อไปด้วยกันและเป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น

ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเป็นมิตรแท้ของกันและกันได้ แม้ยากแต่ก็ทำได้


สิธยา คูหาเสน่ห์




9/8/56

บทบาทของแม่

เมื่อพูดถึง “แม่” ทุกคนคงเข้าใจว่าหมายถึงใคร บทบาทของแม่นั้นมีมากมายหลายอย่าง บางบทบาทก็ถูกกำหนดโดยผู้เป็นลูกนั่นเอง แต่อีกหลายๆ บทบาทเป็นเรื่องราวที่ผู้เป็นแม่ผันตัวเองให้เป็นไปเอง (ตามสภาพความเป็นจริงและบางครั้งตามความตั้งใจดีของตนเอง)  ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกไม่เหมือนกับความสัมพันธ์แบบอื่นๆ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุดในโลก สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิในครรภ์ ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่รองจากความรักของพระเจ้า ความรักของแม่มีอยู่ตลอดกาลไม่เสื่อมคลาย ความรักของแม่ไม่เคยแห้งเหือด ความรักของแม่มีให้ลูกเสมอไม่ว่าลูกจะดีหรือเลว แม่พร้อมที่จะหยิบยื่นความรักให้ลูกเสมอในทุกโอกาส แม่แต่ละคนก็มีรูปแบบและเทคนิคในการเลี้ยงลูกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป หากผู้หญิงคนหนึ่งมีโอกาสเป็นแม่แล้วล่ะก็ อิทธิพลทางความคิดด้านบวกที่มีต่อลูกของตนย่อมทำให้เกิดแก่นสารที่มีค่ายิ่งแห่งความเป็นแม่และการเจริญเติบใหญ่ของลูก

ความเป็นแม่เป็นบทบาทที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดสรรไว้ให้แก่สตรีจำนวนมาก บทบาทสำคัญที่เป็นสากลคือบทบาทของการเป็นต้นแบบ เด็กๆ จะเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใหญ่อยู่แล้วและทำตามอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นบทบาทนี้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญมากต่อชีวิตของลูก เพราะจะมีผลต่อตัวตนของลูก แต่เราต้องตระหนักและยอมรับว่าไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ฉะนั้นทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญแบบอื่นๆ อีก ตัวอย่างเช่น

บทบาทของผู้สอน ผู้ฝึกวินัย ผู้ฝึกอบรม สำหรับแม่บทบาทนี้ไม่มีวันจบสิ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นบทบาทที่เหนื่อยทั้งกายและใจทีเดียว ระดับและวิธีของการสอนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา นอกจากนั้นยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับการไม่เชื่อฟังจากลูกเมื่อเกิดขึ้นอีกด้วย และก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะต้องหาวิธีรับมือกับสิ่งนั้นให้ได้ นับว่าเป็นบทบาทที่เล่นยากอีกบทบาทหนึ่ง

บทบาทของการเป็นนักโภชนาการ ในหลายๆ ครอบครัวแม่จะเป็นผู้ปรุงอาหารหลักสำหรับลูก (ข้าพเจ้าชอบบทบาทนี้ที่สุด) ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าซื้ออาหารนอกบ้านน้อยมากเมื่อลูกยังเล็ก นิสัยนี้ติดตัวมาจนขณะนี้ลูกๆ เติบใหญ่กันหมดแล้ว และจากอาหารที่แม่ปรุงนั่นแหละที่ลูกจะเรียนรู้ที่จะเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แม่ควรปรุงอาหารให้ถูกหลักโภชนาการด้วย

บทบาทของผู้พยาบาลเมื่อลูกเจ็บป่วย บทบาทนี้ก็เล่นไม่สนุกอีกเช่นกัน เป็นบทบาทที่เหน็ดเหนื่อยเอาการทีเดียว ไม่ว่าจะพยาบาลลูกตอนที่ยังเล็กหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม 

ที่กล่าวมานี้เป็นบทบาทใหญ่ๆ ที่ผู้เป็นแม่ต้องเล่นไปตามครรลองชีวิต แต่ในความเป็นจริงยังมีบทบาทย่อยๆ อีกมากมายตามที่ลูกเรียกร้องให้เป็น เช่น ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ ช่างซ่อมรองเท้า ช่างซ่อมกระเบื้องในห้องน้ำ นักกายภาพบำบัด เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้ามิได้ทรงมุ่งหมายให้สตรีทุกคนต้องเป็นแม่ แต่หากว่าใครที่ถูกเรียกให้เป็นแม่แล้วต้องทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด เพราะแม่มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตของลูก อย่าถือว่าความเป็นแม่เป็นงานหรือหน้าที่ แต่ให้นับว่าเป็นเอกสิทธิ์และพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า และลูกก็เป็นพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ดังนั้นแม่จึงต้องดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้

เมื่อถึงเดือนสิงหาคมเรามักจะพูดสดุดีถึง “แม่” เป็นวันที่ให้ทุกคนบอกรักแม่ในวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ลูกควรบอกรักแม่เฉพาะในวันแม่เท่านั้นหรือ วันแม่สำหรับลูกมีแค่วันเดียวในรอบหนึ่งปีหรือ เป็นคำถามที่ฝากไว้เอาไปขบคิดสำหรับคนที่ยังมีแม่ไว้ให้บอกรักแล้วกันนะ

สุขสันต์วันแม่ ขอปรบมือดังๆ ให้แม่ทุกคนในโลกนี้

สิธยา คูหาเสน่ห์






7/6/56

แบกกางเขน

ถ้าจะถามว่าวลี "แบกกางเขน" หมายถึงอะไร อาจจะได้ยินคำตอบแตกต่างกันไป เช่น "กางเขนของฉันน่ะหรือ ก็แม่ของสามีที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นไงล่ะ” หรือ "งานของผม” หรือ "ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะไปไม่รอดของฉัน” หรือ "เจ้านายอารมณ์ร้ายของผม” หรือ "นักเทศน์ที่เทศนาน่าเบื่อสุดๆ คนนั้น” เป็นต้น ที่คำตอบเป็นเช่นนี้เพราะเราคิดว่ากางเขนก็คืออะไรๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากหรือความวุ่นวายในชีวิตนั่นเอง ถ้าจะลองหาความหมายตามพจนานุกรมก็จะพบหมายความดังต่อไปนี้คือ ความข้องคับใจ การทดลอง อุปสรรค ความขัดข้อง และสิ่งกีดขวาง เป็นต้น

แต่จริงๆ แล้วกางเขนมีความหมายมากกว่านั้นมากนัก กางเขนเป็นเครื่องมือแห่งการไถ่ของพระเจ้า อุปกรณ์แห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ การแบกกางเขนจึงเป็นการแบกรับภาระของพระคริสต์เพื่อคนทั้งโลก แม้ว่ากางเขนของเราจะคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีกางเขนใดเหมือนกับอีกอันหนึ่งทุกประการ แต่ละอันมีเอกลักษณ์ของมันเอง แต่ละคนมีกางเขนของตนที่ต้องแบก นั่นเป็นการทรงเรียกของแต่ละคน ขอให้ค้นให้พบงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ก็จะรู้ว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับความปรารถนาและความสามารถพิเศษและของประทานของคนนั้นๆ ถ้าต้องการที่จะปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ให้พ้นทาง ก็เพียงแค่ยอมรับการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นเอง

เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ (1 โครินธ์ 3:5) งานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนคืออะไร การทรงเรียก งานที่กำหนดไว้ และภารกิจของแต่ละคนคืออะไร คำถามสามข้อต่อไปนี้อาจช่วยให้เราหาคำตอบได้ คือ

พระเจ้าทรงนำไปในทิศทางใด
ความจำเป็นอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้
ความสามารถอะไรที่พระเจ้าทรงประทานให้

ทิศทาง ความจำเป็น ความสามารถ เหล่านี้เป็นสารพันธุกรรมฝ่ายวิญญาณของเราแต่ละคน

เราไม่ได้ถูกเรียกให้แบกรับบาปของคนในโลกนี้เพราะพระเยซูทรงแบกรับบาปนั้นไปแล้ว แต่เราทุกคนสามารถแบกรับภาระของคนในโลกได้

"ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา" (มาระโก 8:34-35) ข้อพระวจนะนี้อาจนับว่าเป็นคำบรรยายที่สำคัญที่สุดของความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด กระนั้นก็ตามเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความหมายของมัน เราเข้าใจภาพพจน์ของมัน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำตามได้อย่างไร เราไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแบกกางเขนว่าคืออะไร

การแบกกางเขนพอสรุปได้ใจความใหญ่ๆ สามเรื่องคือ

การปฏิเสธตัวเอง คือการปฏิเสธสิ่งใดๆ ที่เราอยากได้หรือแสวงหาที่จะได้ครอบครองซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหากเราอยากได้สิ่งใดแล้วเป็นเรื่องผิด แต่หมายความว่าเราต้องไม่ให้ความอยากได้อยากมีของเราอยู่เหนือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

แบกกางเขนและติดตามพระเยซู หลายคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการแบกรับภาระและการทนทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องแน่ที่ว่าบางครั้งย่อมหนีไม่พ้นความยากลำบาก แต่ถ้าเราพิจารณาให้ลึกลงไปเพื่อดูว่ากางเขนมีไว้สำหรับสิ่งใด เราก็จะพบว่ากางเขนไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกางเขนยังเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับความตายและการถวายบูชา พระเยซูตรัสว่าให้เราแบกกางเขนและติดตามพระองค์ แต่พระเยซูทรงไปที่แห่งใดเมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์เล่า พระเยซูยังตรัสอีกว่าให้เรามีชีวิตเพื่อพระองค์ ดังนั้นการแบกกางเขนจึงเล็งถึงการมอบทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า

มอบชีวิตเพื่อพระเยซู ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและแบกกางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซู ในที่สุดบุคคลนั้นก็จะสูญเสียชีิวิตไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าบุคคลใดยอมมอบชีิวิตเพื่อเห็นแก่พระเยซู ยอมทำงานรับใช้ด้วยการยอมปฏิเสธตัวเองอย่างที่กล่าวข้างต้นล่ะก็ บุคคลนั้นก็จะรอดและได้ชีิวิตนิรันดร์

นี่แหละคือความหมายของการแบกกางเขนและติดตามพระเยซู พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ยอมสู่ความตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก ดังนั้นผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ย่อมต้องทำในสิ่งเดียวกันซึ่งเป็นการยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

สิธยา คูหาเสน่ห์




เสียงใครที่ได้ยิน


อย่างน้อยเสียงที่ได้ยินมีอยู่ 3 เสียง ได้แก่
  1. พระสุรเสียงของพระเจ้า
  2. เสียงของซาตาน (เสียงแห่งโลก)
  3. เสียงของเราเอง


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เสียงของซาตาน หรือ เสียงของเราเอง ชีวิตของเราเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่เราไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้จากพระคัมภีร์ เราต่างก็มีแนวคิดเกี่ยวกับความจริง แต่เราจะรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าความคิดต่างๆ มาจากพระเจ้า บางครั้งการแยกแยะระหว่างความคิดของเราเองจากการทรงนำของพระเจ้าเป็นเรื่องยาก แล้วหากการยึดกุมความคิดนั้นมาจากมารและไม่ใช่มาจากพระเจ้าล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไร


พระเจ้าใช้หลายวิธีในการตรัสกับแต่ละบุคคล พระองค์ทรงมีวิธีที่จะเข้าถึงเรา สามวิธีที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้เชื่อ ได้แก่ การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบางครั้งพระองค์ทรงใช้ผู้เชื่อที่ดำเนินในทางของพระเจ้าเป็นผู้แนะนำ หากพระเจ้าทรงต้องการที่จะพูดกับเรา ไม่มีอะไรสามารถหยุดพระองค์ได้ พระองค์อาจใช้หนึ่งวิธีหรือช่องทางทั้งหมดเพื่อติดต่อกับเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เรามีหน้าที่ฟังและทำตาม


พระเจ้าทรงไม่อยากให้เราล้มเหลว ยิ่งเราฟังพระองค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้จักแยกแยะพระสุรเสียงของพระองค์จากเสียงอื่นๆ ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น พระเยซูซึ่งทรงเป็นสุดยอดผู้เลี้ยงแกะทรงสัญญาว่า “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ยอห์น 10:4 ฉบับมาตรฐาน)


เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์กับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเสียงใดเป็นเสียงของเราเองและเสียงใดมาจากพระเจ้าหรือซาตาน


เรารู้ได้เพราะ...


พระเจ้าตรัสอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเรา แต่ซาตานพูดอยู่ในจิตใจ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงประทับอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ฉะนั้น จะมีทั้งพระเจ้าและซาตานพร้อมกันไม่ได้ (แต่คนที่ผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตวิญญาณเดียวกับพระองค์ 1 โครินธ์ 6:17 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าอ่อนโยนและโน้มน้าวจิตใจ ไม่มีความกดดัน พระเจ้าตรัสสอนว่าควรทำอะไร ในขณะที่ซาตานตึึงตังและอึกทึกครึกโครม เรียกร้องให้ตอบสนองทันควันเสมอ ซาตานตะโกนใส่เราว่าต้องทำ


พระสุรเสียงของพระเจ้าทำให้เกิดสันติสุขและความรู้สึกอุ่นใจว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม เสียงของซาตานทำให้เกิดความสิ้นหวังและบอกว่าเราสูญสิ้นทุกอย่างไปแล้ว


พระสุรเสียงของพระเจ้าชัดเจนและเด่นชัดเสมอ บอกชัดว่าเราควรเดินไปในทิศทางใด
เสียงของซาตานทำให้เกิดความสับสนและความไม่แน่ใจ ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ในที่สุดก็หลงทาง (เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย ...1 โครินธ์ 14:33 ฉบับมาตรฐาน)
ความวุ่นวายแปลตามตัวอักษรได้ว่า ความไม่สงบสุข ความสับสนอลหม่าน ความไม่มั่นคง เป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่เรายังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป จงรอคอยการทรงนำของพระเจ้าด้วยการวิงวอนอธิษฐาน


พระเจ้าตรัสเมื่อเราแสวงหาและพร้อมที่จะฟังพระองค์ ซาตานจู่โจมเข้าใส่ความคิดของเราโดยไม่ได้ร้องขอ (แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า เยเรมีย์ 29:12-13 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าให้ความแน่ใจแก่เรา เสียงของซาตานทำให้เกิดความกระวนกระวายใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นคำตอบของสิ่งที่เป็นปัญหาของเรา เสียงของซาตานทำให้เรามืดมนหาคำตอบไม่เจอ


พระสุรเสียงของพระเจ้าหนุนน้ำใจ เสียงของซาตานทำให้หมดกำลังใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าบอกว่า “ควรทำ” เสียงของซาตานชี้นำว่า “ต้องการทำ”


พระสุรเสียงของพระเจ้าดังกังวานอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เสียงของซาตานจางหายไปถ้าเราไม่ฟัง


ดังนั้น หากเราจะรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า เราต้องรู้จักพระองค์ก่อน และสร้างสัมพันธภาพกับพระองค์ มีประสบการณ์กับพระองค์ เมื่อนั้นเราจะได้ยินเสียงที่ถูกต้องที่จะนำเราไปสู่นิรันดร์กาล ไม่ใช่ขุมนรก


สิธยา คูหาเสน่ห์


21/3/56

กองน้ำตา



มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันว่า “ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแต่ละคนที่คุณพบนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเอง”

ท่่านผู้อ่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม และเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร

เราแต่ละคนล้วนนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเองทั้งสิ้น (ถ้าจะพูดไปแล้วล่ะก็) ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่ากองน้ำตาของแต่ละคนนั้นมีขนาดมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ท่านกำลังอ่านข้อความที่ข้าพเจ้าแบ่งปันตรงนี้ ท่าน (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของท่านเองก็ได้ ในทำนองเดียวกันขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อความนี้ ข้าพเจ้าก็ (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของข้าพเจ้าเองเช่นกัน มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากองน้ำตาของบางคนอาจมีขนาดใหญ่จนเป็นบ่อ ของบางคนอาจขุ่นเป็นปลักโคลน ความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของกองน้ำตานั้นก็แตกต่างกันไป ของบางคนอาจเกิดจากการถูกกระทำจากคนอื่น แต่ของบางคนตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น กองน้ำตาที่เกิดขึ้นเป็นเครืื่องเตือนใจเราให้นึกถึงความทุกข์และความสูญเสียต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งอาจแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่

น้ำตาแห่งความทุกข์ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความเศร้าเสียใจนั้นทำให้เราถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว หรืออาจเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ความวิตกกังวลที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน บางคนไม่ถึงกับสูญเสียงานแต่เป็นการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งงานที่ทำมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นความทุกข์สำหรับบางคนที่ชินกับงานที่ทำมาประจำอยู่ดี ไม่อยากปรับตัวกับงานใหม่และบรรยากาศใหม่ๆ การสูญเสียหรือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป จิตใจปวดร้าวเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวล

น้ำตาแห่งความขมขื่น โลกไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว เราคร่ำครวญหาวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็น ยังจะต้องอยู่กับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่เสื่อมทรามลงอย่างน่าเศร้าใจ ต้องปวดร้าวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพยำเกรงผู้มีอาวุโสกว่า สำหรับบางคนดูเหมือนว่าโลกหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายในทุกด้าน เราขมขื่นกับการเปลี่ยนแปลงในทางลบแบบนี้และเกิดความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรืออาจเป็นความขมขื่นจากการถูกปฏิเสธ การไม่ได้รับการยอมรับทางสังคม เกิดความสงสารตัวเองและขังตัวเองไว้ในคุกในใจไปตลอดกาล

ที่ยกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความทุกข์อันเป็นบ่อเกิดของกองน้ำตาของเรา แต่มันไม่ได้จบลงด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอไป ตรงกันข้ามอาจนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ และทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นในความเชื่อเมื่อเราสามารถฝ่าฟันสิ่งร้ายๆ เหล่านั้นจนมีชัยในที่สุด และในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต

การฝ่าฟันสิ่งเลวร้ายหรือมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและควาปวดร้าวใจนั้น เรายังสามารถมองเห็นความหวังและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เราจะได้รับกำลังที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า ครอบครัว และมิตรสหาย

เราอาจบอกกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ ไปได้อย่างไร” บางทีเราอาจกำลังปล้ำสู้กับความรู้สึกสิ้นหวัง ความปวดร้าวใจ ความสับสน ความกลัว และแม้กระทั่งความโกรธแค้น ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการสนองตอบต่อความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าท่ามกลางพายุร้ายและความปวดร้าวต่างๆ เราไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ พระองค์ทรงรักเราและทรงห่วงใยเราเสมอ พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดของเรา พระองค์ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเข้าใจทุกเรื่องราว

ไม่ว่าเราจะทนทุกข์ยากอย่างไร ความห่วงใยของพระองค์มีพร้อมอยู่เสมอ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด และพระสัญญาของพระองค์แน่นอน ไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรอยู่ หรือว่าทนทุกข์มานานเท่าไรแล้ว พระเมตตาคุณของพระเจ้าสามารถมาถึงเราได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ (อพยพ 6:3) และทรงอยู่ในทุกที่ (เยเรมีย์ 23:23-24) พระองค์ทรงสามารถปกป้อง ส่งเสริม และจัดเตรียมสำหรับเราเมื่อดูเหมือนว่าไ่ม่มีใครสามารถช่วยเราได้แล้ว

พระเจ้าทรงประทับอยู่แม้ในเวลาที่เราไม่สามารถสัมผัสการทรงสถิตอยู่ของพระองค์


สิธยา คูหาเสน่ห์


18/2/56

ขอพูดเรื่อง “ความรัก” อีกสักครา

“ความรัก” ที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงนี้เป็นความรักของแม่มีต่อลูก ความรักแบบนี้ยิ่งใหญ่และไร้เงื่อนไข ความรักแบบนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนและมีขอบเขตสิ้นสุดที่ใด

ความรักของแม่เป็นความรัก
  • ที่ทรงพลัง
  • ที่มีการอุทิศตัวและการเสียสละ
  • ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
  • ที่อดทนได้ทุกกรณี
  • ที่อมตะ (ไม่มีวันตาย)
  • ที่มีการให้อภัยเสมอ
  • ที่ไม่มีวันจืดจาง

แม่เป็นผู้ที่มีความรักให้ลูกเสมอ แม้ว่าใจจะเจ็บปวดสักปานใดก็ไม่มีวันทอดทิ้งลูกอย่างเด็ดขาด แม่เชื่อในตัวลูกเสมอแม้ว่าทั้งโลกจะกร่นด่าก็ตาม

ความรักแบบนี้ลึกล้ำเกินคำอธิบาย ยากต่อการเข้าใจ และเป็นการแสดงถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าอีกทางหนึ่ง หากท่านอยากเข้าใจว่าความรักของพระเจ้าเป็นอย่างไร ก็ขอให้รับการสัมผัสความรักของแม่ นั่นเป็นความรักที่ใกล้เคียงความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาลูกๆ ของพระองค์

ตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้ามีความยากลำบากอยู่ไม่น้อยกับการที่ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งสามคนพร้อมหน้ากัน ลูกสาวคนเล็กอยู่ที่อเมริกา จึงมีลูกอยู่กับข้าพเจ้าสองคนเท่านั้นในประเทศไทย ต่อมาลูกสาวคนโตก็ไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ จึงเหลือลูกชายอยู่กับข้าพเจ้าเพียงคนเดียว มันเป็นเรื่องยากที่มีลูกอยู่กันคนละประเทศและข้าพเจ้าก็สามารถอยู่กับลูกได้ทีละคนเท่านั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปเยี่ยมทุกปีแต่ก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ลูกสาวคนโตกลับมาแล้วก็ยังคงต้องเป็นห่วงและคิดถึงลูกสาวคนเล็กต่อไปเหมือนเดิม หลายๆ คนพูดกับข้าพเจ้าว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ต้องอยู่ห่างลูกเป็นอย่างไร ความเป็นห่วงที่มีต่อลูกจะมากมายแค่ไหน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ลูกเจ็บป่วย) ข้าพเจ้าก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้พวกเขาเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไร

ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องความรักของแม่มาพูดเพราะได้เจอะเจอเหตุการณ์กับความรักแบบนี้มาสดๆ ร้อนๆ ที่อเมริกา ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในขณะที่แม่สองคนกำลังสูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตานั้นความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ใจจะแตกสลายสักแค่ไหน มันเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้เป็นแม่ที่ต้องเจอะเจอเหตุการณ์แบบนั้น

คนหนึ่งเป็นเพื่อนของลูกสาว เธอพาลูกชายสองคนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงพอมองเห็นภาพการขึ้นรถไฟใต้ดินได้ เมื่อรถไฟจอดผู้โดยสารที่จะขึ้นต้องรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงออกมาก่อนจึงจะเข้าไปได้ และประตูรถก็เปิดอยู่ไม่นาน ในเวลาที่มีผู้โดยสารมากๆ ก็ต้องรีบกันเลยทีเดียว เพื่อนคนนี้จูงลูกสองคนขึ้นรถไฟ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดลูกชายคนโตขึ้นรถไฟไปแล้วในขณะที่เธอและลูกชายคนเล็กยังอยู่ที่ชานชาลา อาจจะถูกเบียดจนต้องปล่อยมือจากลูกคนโตก็เป็นได้ เมื่อประตูปิดเธอและลูกชายคนเล็กจึงยังไม่สามารถขึ้นไปได้ เธอวิ่งไปยังหัวรถที่มีเจ้าหน้าที่อยู่และบอกให้ช่วยหยุดรถไฟเป็นกรณีฉุกเฉิน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือทั้งๆ ที่สามารถทำได้ ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในนาทีนั้นผู้เป็นแม่และลูกน้อยที่อยู่บนรถไฟคนเดียวจะตกใจขนาดไหน แต่เธอสอนลูกไว้ว่าในกรณีแบบนี้ให้พยายามเดินหาผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิงที่มีลูกมาด้วยเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็มีผู้ใจดีพาเด็กไปมอบให้ตำรวจและได้พบกับแม่ในที่สุด เป็นการพลัดพรากเพียงชั่วขณะ

อีกกรณีหนึ่งแม่พาลูกน้อยสองคนขับรถหนีพายุแซนดี แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากมาเร็วเหลือเกินจนขับรถต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจสละรถ เธอหนีบลูกน้อยไว้ใต้แขนข้างละคนฝ่าพายุและกระแสน้ำไปขอความช่วยเหลือ เธอตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น ข้าพเจ้าไม่แน่ชัดว่าไปเคาะกี่บ้าน แต่มีบ้านหนึ่งเปิดประตูมาและบอกให้ไปขอความช่วยเหลือที่อื่นเถอะ (ที่จริงเธอแค่ขอพักหลบพายุเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ช่วย) เมื่อไม่มีใครยินดีต้อนรับให้ความช่วยเหลือก็จำใจต้องเดินหน้าต่อไป แต่กระแสน้ำแรงมากจนต้านไม่อยู่ ลูกน้อยทั้งสองคนก็ถูกน้ำพัดหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เป็นการจากกันชั่วนิรันดร์

กรณีแรกได้ลูกกลับคืนมา แต่กรณีหลังเสียลูกไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมาในคราวเดียวถึงสองคน ท่านลองคิดดูเถอะว่าหัวใจของผู้เป็นแม่จะแตกสลายสักเพียงใด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมคนในยุคนี้จึงใจจืดใจดำเช่นนี้ ทั้งสองกรณีเป็นข่าวใหญ่โตหลายสื่อทีเดียว ข้าพเจ้าใคร่อยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่รถไฟและเจ้าของบ้านคนนั้นเมื่อได้ยินการนำเสนอข่าวแล้วจะรู้สึกผิดบ้างไหม นึกอยากย้อนเวลากลับไปแล้วแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกไหม ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ทั้งสองกรณี

รึว่าคนในยุคสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้ เห็นแก่ตัว ไร้ศีลธรรม ไร้ความรู้สึก ความรักโบยบินไปไหนเสียแล้ว

เศร้าจริงๆ เช่นนั้น เราในฐานะลูกของพระเจ้าอย่าทำตามอย่างคนในโลกนี้เลย เราได้รับความรักจากพระเจ้าพระบิดามาอย่างเต็มเปี่ยม ให้เราแบ่งปันความรักนั้นออกไป เพราะการแบ่งปันความรักจะทำให้เราได้รับความรักเพิ่มขึ้น ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับคงเป็นคำพูดที่เป็นจริง อย่าให้เราแสดงความรักกันปีละคนเท่านั้น เราควรแบ่งปันความรักเสมอทุกเวลา พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงสร้างเราทั้งหลายตามพระฉายาของพระองค์ ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พร้อมไหมที่จะให้คนทั้งโลกเห็นว่าเราในฐานะผู้ติดตามพระเจ้าที่ทรงเป็นความรักเป็นความรัก

ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้าขอส่งความรักผ่านข้อความนี้ไปยังท่านผู้อ่านทุกท่าน

สิธยา คูหาเสน่ห์







6/12/55

ฟิลิปปี 4:13

ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

เชื่อแน่ว่าข้อพระคัมภีร์นี้คงเป็นที่คุ้นหูของคริสเตียนทุกคนเป็นอย่างดี เราอาจท่องจำได้จนขึ้นใจ สามารถเข้าใจความหมายของพระคำนี้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในยามที่เรามีความยากลำบากและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เราอาจใช้หนุนใจผู้เชื่อที่กำลังเผชิญปัญหายิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าความหมายของข้อพระวจนะนี้จะหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเราเองตกอยู่ในภาวะที่ต้องฟันฝ่าเสียเอง หรือเมื่อเราต้องอดทนต่อสู้กับความยากลำบากต่างๆ เมื่อนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าการผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังเป็นอย่างไร

ข้าพเข้าขออนุญาตเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนเล็กต้องฟันฝ่ามาด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้ให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความยากลำบากที่เราสู้มาด้วยกันนั้นหนักหนาสากรรจ์แค่ไหนเพราะทุกวันตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่มีปัญหาเราก็ยังสามารถหัวเราะได้ และมีสันติสุขในใจอย่างเต็มเปี่ยม และรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เราไม่ได้รู้สึกกลัวหรือสิ้นหวังเลยแม้ว่าสถานการณ์จะดูเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายที่อาจมาถึงตัวซึ่งเราไม่มีวันรู้ แต่เราเชื่อมั่นใจว่าในสภาพแวดล้อมที่ดูสิ้นหวังนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมและปกปักรักษาคุ้มครองเรา การประเมินและความเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เราขาดสันติสุขแต่อย่างใด เราอาจมีความกังวลใจอยู่บ้าง (ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงเป็นการโกหก) แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน พระเจ้าทรงอยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงอยู่ด้วย เราจะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้คร่ำครวญกับความยากลำบากของเราเลย และยังใช้ชีวิตประจำวันตามปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

ข้าพเจ้าเดินทางมาเยี่ยมลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่ที่นิวยอร์กทุกปี ปกติจะมาในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของประเทศไทยเพราะหนีอากาศที่ร้อนระอุมาพึ่งความเย็นที่นี่ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ปีนี้เปลี่ยนมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพราะอยากเห็นใบไม้ที่เปลี่ยนสี และอธิษฐานขอให้เห็นหิมะในฤดูหนาวด้วยเพราะจะอยู่จนถึงเวลานั้น พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานและให้ตามที่ขอ ข้าพเจ้ายังได้พายุเฮอริเคนเป็นของแถมมาด้วย ส่วนหิมะก็ให้เห็นพายุหิมะเสียเลยก่อนจะถึงฤดูหนาวด้วยซ้ำไป สรุปการเดินทางคราวนี้ได้ทุกอย่างตามที่ขอ

“แซนดี” พายุเฮอริเคนขนาดยักษ์ที่ถล่มฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล บางคนสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย บางคนสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทรัพย์สินอื่นๆ ในท่ามกลางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้รวมเรา (ข้าพเจ้ากับลูกสาว) ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ผลที่ตามมาก็มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราค่อนข้างมากประมาณสามสัปดาห์ สัปดาห์ที่สองนับว่ายากลำบากที่สุดเพราะปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างถูกตัดหมด ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำ (ต้นสัปดาห์แรกในช่วงสามวันแรกยังมีน้ำเย็นเฉียบให้ใช้ น้ำร้อนถูกตัดก่อนที่พายุจะเข้าด้วยซ้ำไป) แก๊สหุงต้ม และที่สำคัญระบบความร้อนไม่มี (หนาวเหน็บมากในช่วงสองสัปดาห์แรก ต้องแต่งตัวเต็มยศทั้งๆ ที่อยู่ในบ้าน) เราได้ทุกอย่างกลับมาในสัปดาห์ที่สาม เมื่อเราเดินออกไปในละแวกนี้ก็ยิ่งเห็นพระพรของพระเจ้ามากขึ้น บางตึกให้ผู้อาศัยย้ายออกไปชั่วคราวเพราะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมอีกสองเดือนจึงจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ขอบคุณพระเจ้า หนึ่งในบรรดาตึกเหล่านั้นเป็นตึกที่ลูกสาวเคยอยากจะเช่าอยู่ นี่เป็นการทรงนำที่ล้นด้วยพระคุณครั้งที่สองสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องงาน ครั้งนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย พระเจ้าทรงแสนดี

เมื่อพายุเข้านิวยอร์กในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2012 นั้น เรางุนงงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในวันนั้นลูกสาวทำงานอยู่ที่บ้านเพราะบริษัทห้ามพนักงานเดินทางไปที่ทำงาน แต่แม้ว่าอยากจะเสี่ยงภัยไปก็ไปไม่ได้เพราะรถไฟใต้ดินรวมทั้งเรือหยุดให้บริการตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เราฟังข่าวกันทั้งวันและรู้ว่าทางการจะตัดไฟตอนบ่ายๆ เมื่อรู้เช่นนั้นลูกสาวก็เร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนข้าพเจ้าก็พยายามเตรียมเสบียงที่จะไม่บูดเน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราทำสิ่งที่ตั้งใจเสร็จไฟก็ดับ ขอบคุณพระเจ้า! เราตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ตึกไม่อพยพไปไหนแม้ว่าจะมีคำสั่งจากทางการให้อพยพก็ตาม

ในช่วงก่อนไฟดับกระแสลมแรงมาก (สังเกตจากการเคลื่อนไหวของต้นไม้บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้าม) และตึกของเราก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวมาก (และดังน่ากลัวแบบนั้นไปตลอดคืน) ฝนเริ่มตกแต่ไม่หนักมาก (ในบริเวณที่เราอยู่) เราก็พูดกันว่า “นี่ขนาดพายุยังไม่เข้ายังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วถ้ามันมาจริงๆ ตึกจะพังมั้ยนะ” เราไม่ได้เตรียมการรับมืออย่างอื่นนอกจากเก็บน้ำไว้สำหรับใช้สอย อาหารแห้ง น้ำดื่ม เราไม่ได้เอาเทปติดกระจกป้องกันการแตกกระจาย แต่ข้าพเจ้าก็วางแผนไว้ว่าถ้ามันรุนแรงจนกระจกแตกจริงๆ เราคงต้องไปอยู่กันในห้องน้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเสียงก็เงียบไปและมีเพื่อนของลูกสาวติดต่อส่งข่าวมาว่าพายุผ่านพ้นไปแล้ว เราจึงรู้ว่าตอนที่ตึกส่งเสียงน่ากลัวนั้นเป็นช่วงที่พายุโหมกระหน่ำนั่นเอง ตอนนี้เรามีแต่น้ำเย็นเฉียบ ยังมีแก๊สหุงต้มอาหาร เมื่อถึงวันพุธน้ำก็ถูกตัด แต่ยังมีแก๊ส เราอยู่ในความมืดมาเป็นวันที่สามแล้วและไม่รู้ข่าวคราวจากโลกภายนอกเลยจึงตัดสินใจเดินลงไปจากชั้นที่ 22 เมื่อลงไปข้างล่างจึงรู้ว่าน้ำท่วมตึกสูง 1.5 เมตร เมื่อพยายามเดินหาสัญญาณ 3G จนสามารถติดต่อกับครอบครัวและอ่านข่าวสารที่เพื่อนส่งมาให้ก็ต้องปิดมือถือเพื่อประหยัดแบตเตอรี ไม่สามารถหาซื้ออาหารอะไรได้เลยในบริเวณใกล้เคียง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะยังสามารถต้มน้ำลวกบะหมี่สำเร็จรูปได้หากอาหารที่เตรียมไว้หมดลง แต่เราได้แค่คิดเพราะแก๊สถูกตัดในวันศุกร์ ตอนนี้เราเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะอยู่กันอย่างไร เพราะการเดินขึ้นลง 22 ชั้นเพื่อซื้ออาหารไม่ใช่เรื่องสนุก และมือถือก็ต้องการแบตเตอรรี่เพิ่มด้วยจึงตัดสินใจเดินลงไปอีกครั้ง ในที่สุดก็จบลงที่สำนักงานที่ดาวน์เทาน์ของลูกสาว วันนั้นลูกสาวได้ทำงานบ้างที่นั่น และซื้ออาหารกลับขึ้นมา เราได้รับทราบว่าเราจะได้ไฟประมาณวันพุธหน้า (ประมาณอีก 4-5 วัน) ในภาวะนั้นเราคิดหนักเพราะเมื่อไม่มีแก๊สเราก็ไม่สามารถต้มน้ำเพื่อชำระร่างกายได้ วันเสาร์บ่ายหลังจากที่รับประทานอาหารที่ซื้อเมื่อวันศุกร์หมดเราก็เดินทางไปบ้านของเพื่อนของลูกสาวที่อีกฝั่งของเมืองซึ่งไม่มีผลกระทบเหมือนเรา วันอาทิตย์หลังจากไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์แล้วเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาต่อสู้กับความหนาวเย็นและความมืดต่อไป

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เราอยากกลับบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก เพราะในเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งของเช้าวันจันทร์เราก็ได้ไฟกลับมา ตอนนี้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ข้าพเจ้าปรุงอาหารทุกอย่างในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้มน้ำสำหรับชำระร่างกายในเตาไมโครเวฟ ขอบคุณพระเจ้าที่เราเก็บน้ำไว้มากพอ (เพราะเรายังไม่มีน้ำใช้ในตอนนี้) เราได้น้ำสีเหลืองขุ่นๆ กลับมาในวันรุ่งขึ้น เรากรองน้ำเพื่อเอามาใช้ น้ำสำหรับปรุงอาหารก็ใช้น้ำสำหรับดื่ม เพื่อนๆ ของลูกสาวแปลกใจว่าข้าพเจ้าปรุงอาหารด้วยหม้อหุงข้าวได้อย่างไร

หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราเลือกที่จะอยู่อย่างยากลำบากแทนที่จะไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน แต่เรารู้ว่าเราอยู่ได้เพราะ
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

สิธยา คูหาเสน่ห์



13/11/55

ความดีไม่สูญหาย

ข้าพเจ้าอ่านพบเรื่องราวนี้และอยากจะแบ่งปันให้อ่านกัน

หญิงคนหนึ่งอบขนมปังสำหรับสมาชิกในครอบครัวทุกวัน เธอจะอบเพิ่มอีกหนึ่งก้อนสำหรับคนหิวโหยที่เดินผ่านไปมาในละแวกบ้านโดยวางไว้บนขอบหน้าต่าง

ทุกวันจะมีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังก้อนนั้นไป แทนที่ชายคนนั้นจะกล่าว “ขอบคุณ” สำหรับความเมตตาที่หยิบยื่นให้ เขากลับบ่นพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า มีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังไปและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หญิงคนนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เธอบ่นกับตัวเองว่า “ไม่ขอบคุณกันสักคำ ชายหลังค่อมพูดประโยคบ้าๆ นี่ทุกวัน เขาหมายถึงอะไรกันนะ”

วันหนึ่งก็มีความคิดชั่วแล่นเข้ามาในหัวของเธอ “ถึงเวลาที่ฉันจะกำจัดชายหลังค่อมอตัญญูคนนี้เสียที” เธอเจือยาพิษลงในขนมปังก้อนที่เธอเตรียมไว้สำหรับชายหลังค่อม เมื่อกำลังจะเอาขนมปังไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างอย่างที่ทำทุกวัน มือของเธอก็สั่น เธอถามตัวเองว่า “นี่ฉันกำลังจะทำอะไร”

ทันใดนั้นเธอก็ขว้างขนมปังก้อนนั้นเข้าไปในเตาผิงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ และเตรียมขนมปังใหม่อีกก้อนหนึ่งและนำไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างเหมือนเคย เหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวัน ชายแก่หลังค่อมเดินมาหยิบขนมปังก้อนนั้นและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

ชายหลังค่อมเดินจากไปโดยไม่รู้ว่าในใจของหญิงที่เตรียมขนมปังให้เขาทุกวันคิดอะไรอยู่ ทุกวันขณะที่หญิงคนนี้วางขนมปังไว้ที่ขอบหน้าต่าง เธออธิษฐานเผื่อลูกชายของเธอที่จากไปแดนไกลเพื่อแสวงโชค หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากเขาเลย เธออธิษฐานขอให้ลูกชายเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย

ค่ำวันนั้นเธอได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน เมื่อเธอเปิดประตูก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นลูกชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายของเขาซูบผอมและอิดโรย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เขาหิวโซและไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นแม่ เขาก็พูดว่า “แม่ครับ อัศจรรย์มากเลยที่ผมกลับมาหาแม่ได้ เมื่อผมเดินทางมาเกือบถึงบ้าน ผมก็หิวมากจนเป็นลมไป ผมคงตายไปแล้วหากไม่มีชายแก่หลังค่อมเดินผ่านมา ผมขอเศษอาหารจากเขาเพื่อประทังความหิว แต่เขาใจดีมากและให้ขนมปังทั้งก้อนที่เขามีแก่ผม เมื่อเขายื่นขนมปังให้ผม เขาพูดว่า “นี่คืออาหารที่ลุงกินทุกวัน วันนี้ลุงจะให้ขนมปังก้อนนี้แก่หลานนะ เพราะหลานต้องการมันมากกว่าลุง”

หน้าของหญิงผู้เป็นแม่ถอดสีเมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น เธอซวนเซไปพิงประตูเพื่อไม่ให้ล้ม เธอคิดถึงขนมปังที่เจือด้วยยาพิษที่เธอทำเมื่อเช้านี้ หากเธอไม่ตัดสินใจโยนเข้ากองไฟ ลูกชายของเธอคงเป็นคนที่กินขนมปังก้อนนั้น และคงเสียชีวิตไปแล้ว

ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ชายแก่หลังค่อมพูดว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หากเราทำชั่ว ความชั่วนั้นก็จะติดตัวเราไปตลอดและมันจะอยู่ในจิตสำนึกของเรา มันจะตามมาหลอกหลอนความรู้สึกของเราตลอดไป แต่เมื่อเราทำดี ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหน มันจะกลับมาหาเราเอง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าความดีที่ทำไปไม่ได้รับการตอบแทนตามที่เราหวังไว้ก็ตาม

กาลาเทีย 6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร

พระคัมภีร์ยังบอกเราอีกว่า จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ลูกา 6:38

ขอให้เราหมั่นทำดี อย่าท้อถอย ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหนแน่

สิธยา คูหาเสน่ห์