6/12/55

ฟิลิปปี 4:13

ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

เชื่อแน่ว่าข้อพระคัมภีร์นี้คงเป็นที่คุ้นหูของคริสเตียนทุกคนเป็นอย่างดี เราอาจท่องจำได้จนขึ้นใจ สามารถเข้าใจความหมายของพระคำนี้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในยามที่เรามีความยากลำบากและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เราอาจใช้หนุนใจผู้เชื่อที่กำลังเผชิญปัญหายิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าความหมายของข้อพระวจนะนี้จะหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเราเองตกอยู่ในภาวะที่ต้องฟันฝ่าเสียเอง หรือเมื่อเราต้องอดทนต่อสู้กับความยากลำบากต่างๆ เมื่อนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าการผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังเป็นอย่างไร

ข้าพเข้าขออนุญาตเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนเล็กต้องฟันฝ่ามาด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้ให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความยากลำบากที่เราสู้มาด้วยกันนั้นหนักหนาสากรรจ์แค่ไหนเพราะทุกวันตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่มีปัญหาเราก็ยังสามารถหัวเราะได้ และมีสันติสุขในใจอย่างเต็มเปี่ยม และรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เราไม่ได้รู้สึกกลัวหรือสิ้นหวังเลยแม้ว่าสถานการณ์จะดูเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายที่อาจมาถึงตัวซึ่งเราไม่มีวันรู้ แต่เราเชื่อมั่นใจว่าในสภาพแวดล้อมที่ดูสิ้นหวังนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมและปกปักรักษาคุ้มครองเรา การประเมินและความเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เราขาดสันติสุขแต่อย่างใด เราอาจมีความกังวลใจอยู่บ้าง (ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงเป็นการโกหก) แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน พระเจ้าทรงอยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงอยู่ด้วย เราจะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้คร่ำครวญกับความยากลำบากของเราเลย และยังใช้ชีวิตประจำวันตามปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

ข้าพเจ้าเดินทางมาเยี่ยมลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่ที่นิวยอร์กทุกปี ปกติจะมาในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของประเทศไทยเพราะหนีอากาศที่ร้อนระอุมาพึ่งความเย็นที่นี่ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ปีนี้เปลี่ยนมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพราะอยากเห็นใบไม้ที่เปลี่ยนสี และอธิษฐานขอให้เห็นหิมะในฤดูหนาวด้วยเพราะจะอยู่จนถึงเวลานั้น พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานและให้ตามที่ขอ ข้าพเจ้ายังได้พายุเฮอริเคนเป็นของแถมมาด้วย ส่วนหิมะก็ให้เห็นพายุหิมะเสียเลยก่อนจะถึงฤดูหนาวด้วยซ้ำไป สรุปการเดินทางคราวนี้ได้ทุกอย่างตามที่ขอ

“แซนดี” พายุเฮอริเคนขนาดยักษ์ที่ถล่มฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล บางคนสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย บางคนสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทรัพย์สินอื่นๆ ในท่ามกลางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้รวมเรา (ข้าพเจ้ากับลูกสาว) ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ผลที่ตามมาก็มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราค่อนข้างมากประมาณสามสัปดาห์ สัปดาห์ที่สองนับว่ายากลำบากที่สุดเพราะปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างถูกตัดหมด ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำ (ต้นสัปดาห์แรกในช่วงสามวันแรกยังมีน้ำเย็นเฉียบให้ใช้ น้ำร้อนถูกตัดก่อนที่พายุจะเข้าด้วยซ้ำไป) แก๊สหุงต้ม และที่สำคัญระบบความร้อนไม่มี (หนาวเหน็บมากในช่วงสองสัปดาห์แรก ต้องแต่งตัวเต็มยศทั้งๆ ที่อยู่ในบ้าน) เราได้ทุกอย่างกลับมาในสัปดาห์ที่สาม เมื่อเราเดินออกไปในละแวกนี้ก็ยิ่งเห็นพระพรของพระเจ้ามากขึ้น บางตึกให้ผู้อาศัยย้ายออกไปชั่วคราวเพราะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมอีกสองเดือนจึงจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ขอบคุณพระเจ้า หนึ่งในบรรดาตึกเหล่านั้นเป็นตึกที่ลูกสาวเคยอยากจะเช่าอยู่ นี่เป็นการทรงนำที่ล้นด้วยพระคุณครั้งที่สองสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องงาน ครั้งนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย พระเจ้าทรงแสนดี

เมื่อพายุเข้านิวยอร์กในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2012 นั้น เรางุนงงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในวันนั้นลูกสาวทำงานอยู่ที่บ้านเพราะบริษัทห้ามพนักงานเดินทางไปที่ทำงาน แต่แม้ว่าอยากจะเสี่ยงภัยไปก็ไปไม่ได้เพราะรถไฟใต้ดินรวมทั้งเรือหยุดให้บริการตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เราฟังข่าวกันทั้งวันและรู้ว่าทางการจะตัดไฟตอนบ่ายๆ เมื่อรู้เช่นนั้นลูกสาวก็เร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนข้าพเจ้าก็พยายามเตรียมเสบียงที่จะไม่บูดเน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราทำสิ่งที่ตั้งใจเสร็จไฟก็ดับ ขอบคุณพระเจ้า! เราตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ตึกไม่อพยพไปไหนแม้ว่าจะมีคำสั่งจากทางการให้อพยพก็ตาม

ในช่วงก่อนไฟดับกระแสลมแรงมาก (สังเกตจากการเคลื่อนไหวของต้นไม้บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้าม) และตึกของเราก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวมาก (และดังน่ากลัวแบบนั้นไปตลอดคืน) ฝนเริ่มตกแต่ไม่หนักมาก (ในบริเวณที่เราอยู่) เราก็พูดกันว่า “นี่ขนาดพายุยังไม่เข้ายังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วถ้ามันมาจริงๆ ตึกจะพังมั้ยนะ” เราไม่ได้เตรียมการรับมืออย่างอื่นนอกจากเก็บน้ำไว้สำหรับใช้สอย อาหารแห้ง น้ำดื่ม เราไม่ได้เอาเทปติดกระจกป้องกันการแตกกระจาย แต่ข้าพเจ้าก็วางแผนไว้ว่าถ้ามันรุนแรงจนกระจกแตกจริงๆ เราคงต้องไปอยู่กันในห้องน้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเสียงก็เงียบไปและมีเพื่อนของลูกสาวติดต่อส่งข่าวมาว่าพายุผ่านพ้นไปแล้ว เราจึงรู้ว่าตอนที่ตึกส่งเสียงน่ากลัวนั้นเป็นช่วงที่พายุโหมกระหน่ำนั่นเอง ตอนนี้เรามีแต่น้ำเย็นเฉียบ ยังมีแก๊สหุงต้มอาหาร เมื่อถึงวันพุธน้ำก็ถูกตัด แต่ยังมีแก๊ส เราอยู่ในความมืดมาเป็นวันที่สามแล้วและไม่รู้ข่าวคราวจากโลกภายนอกเลยจึงตัดสินใจเดินลงไปจากชั้นที่ 22 เมื่อลงไปข้างล่างจึงรู้ว่าน้ำท่วมตึกสูง 1.5 เมตร เมื่อพยายามเดินหาสัญญาณ 3G จนสามารถติดต่อกับครอบครัวและอ่านข่าวสารที่เพื่อนส่งมาให้ก็ต้องปิดมือถือเพื่อประหยัดแบตเตอรี ไม่สามารถหาซื้ออาหารอะไรได้เลยในบริเวณใกล้เคียง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะยังสามารถต้มน้ำลวกบะหมี่สำเร็จรูปได้หากอาหารที่เตรียมไว้หมดลง แต่เราได้แค่คิดเพราะแก๊สถูกตัดในวันศุกร์ ตอนนี้เราเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะอยู่กันอย่างไร เพราะการเดินขึ้นลง 22 ชั้นเพื่อซื้ออาหารไม่ใช่เรื่องสนุก และมือถือก็ต้องการแบตเตอรรี่เพิ่มด้วยจึงตัดสินใจเดินลงไปอีกครั้ง ในที่สุดก็จบลงที่สำนักงานที่ดาวน์เทาน์ของลูกสาว วันนั้นลูกสาวได้ทำงานบ้างที่นั่น และซื้ออาหารกลับขึ้นมา เราได้รับทราบว่าเราจะได้ไฟประมาณวันพุธหน้า (ประมาณอีก 4-5 วัน) ในภาวะนั้นเราคิดหนักเพราะเมื่อไม่มีแก๊สเราก็ไม่สามารถต้มน้ำเพื่อชำระร่างกายได้ วันเสาร์บ่ายหลังจากที่รับประทานอาหารที่ซื้อเมื่อวันศุกร์หมดเราก็เดินทางไปบ้านของเพื่อนของลูกสาวที่อีกฝั่งของเมืองซึ่งไม่มีผลกระทบเหมือนเรา วันอาทิตย์หลังจากไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์แล้วเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาต่อสู้กับความหนาวเย็นและความมืดต่อไป

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เราอยากกลับบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก เพราะในเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งของเช้าวันจันทร์เราก็ได้ไฟกลับมา ตอนนี้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ข้าพเจ้าปรุงอาหารทุกอย่างในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้มน้ำสำหรับชำระร่างกายในเตาไมโครเวฟ ขอบคุณพระเจ้าที่เราเก็บน้ำไว้มากพอ (เพราะเรายังไม่มีน้ำใช้ในตอนนี้) เราได้น้ำสีเหลืองขุ่นๆ กลับมาในวันรุ่งขึ้น เรากรองน้ำเพื่อเอามาใช้ น้ำสำหรับปรุงอาหารก็ใช้น้ำสำหรับดื่ม เพื่อนๆ ของลูกสาวแปลกใจว่าข้าพเจ้าปรุงอาหารด้วยหม้อหุงข้าวได้อย่างไร

หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราเลือกที่จะอยู่อย่างยากลำบากแทนที่จะไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน แต่เรารู้ว่าเราอยู่ได้เพราะ
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

สิธยา คูหาเสน่ห์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น