18/1/57

ของขวัญจากใจ

เพิ่งจะผ่านเทศกาลการมอบของขวัญมาหมาดๆ แต่เราเคยคิดบ้างไหมว่าการมอบของขวัญให้ใครสักคนจำเป็นต้องรอให้ถึงเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งด้วยหรือ ทำไมเราไม่ทำให้ทุกวันเป็นโอกาสแห่งการให้เพราะของขวัญบางอย่างไม่ต้องซื้อหาด้วยเงิน มันเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นให้ง่ายๆ สิ่งที่ไม่มีวันเหือดแห้ง สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งมีมาก สิ่งที่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ สิ่งที่สามารถให้ได้ทุกวันไม่ต้องรอโอกาสหรือเทศกาลใดๆ มาดูกันสักหน่อยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้มีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น

1) การฟัง เมื่อมีใครสักคนพูดกับเรา เราต้องตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ อย่าคิดเพ้อฝัน อย่าวางแผนการตอบโต้ แค่ฟังเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับบางคน ข้าพเจ้าพบเจอคนที่ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นบ่อยครั้ง เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็พูดแทรก และมักจะพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องที่อยู่นอกประเด็นการสนทนา กล่าวขึ้นมาโดยไม่มีการถาม เท่าที่สังเกตเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องการจะป่าวประกาศให้คนรู้ ขอพี่น้องอย่าทำเช่นนี้เลย มันไม่น่ารักเอาเสียเลย ให้เราฟังอย่างตั้งใจสักหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครคนนั้นกำลังมีปัญหาต้องการคำปรึกษา ของขวัญชิ้นนี้ไม่ต้องหาซื้อด้วยเงินทอง เพียงแค่ใส่ใจฟังเท่านั้น

2) ความรักใคร่ฉันมิตร ที่แสดงออกด้วยท่าทีที่เหมาะสมในบริบททางสังคมวัฒนธรรม เพราะการแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น สร้างความอบอุ่นให้แก่กัน เป็นของขวัญที่ยิ่งให้มากเท่าไรก็ยิ่งได้รับกลับมามากเท่านั้น และอาจมากกว่าที่ให้ออกไปด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าเป็นคนมีเพื่อนน้อย แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามีความรักฉันมิตรเหลือเฟือที่จะแจกจ่ายออกไปอย่างแน่นอน

3) เสียงหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเรื่องขำขัน เรื่องเปิ่นๆ ที่ทำไป ความโง่เขลาเบาปัญญาในบางเรื่อง ให้เสียงหัวเราะของเราพูดว่า “ให้เรามาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุขเถอะ” มีคำพูดกล่าวไว้ว่า เสียงหัวเราะคือยาวิเศษ บางคนพูดว่าเสียงหัวเราะเหมือนเสียงสวรรค์ ให้เรามอบเสียงหัวเราะแก่กันเถอะ

4) โน้ตสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อขอบคุณ ถามไถ่ทุกข์สุข บอกคิดถึง บอกรัก เป็นต้น เพราะการเขียนด้วยลายมือทำให้ผู้รับรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่จะถูกจดจำไปชั่วชีวิต ให้เราหาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ เขียนโน้ตสั้นๆ ให้แก่ใครสักคนในยุคแห่งเทคโนโลยีกันสักหน่อย ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเขียนหนังสือด้วยลายมือมานานเกินสิบปี เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าใช้คอมพิวเตอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าต้องซ้อมทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องเซ็นชื่อ ให้เราพยายามหาโอกาสเขียนอะไรๆ ด้วยลายมือกันเถอะ

5) คำชม การกล่าวคำชมสั้นๆ ด้วยความจริงใจสามารถนำความสุขมาให้แก่ผู้ฟังได้ (ข้าพเจ้าขอย้ำว่า จริงใจ) เพราะการกล่าวตามมารยาทไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ ถ้าจะกล่าวโดยไม่มีความจริงใจก็เฉยๆ เสียยังจะดีกว่า ข้าพเจ้าก็พบเห็นบ่อยๆ ได้ยินคำชมที่ปราศจากความจริงใจอยู่เสมอ ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ฟังและรับรู้ได้ว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพอยู่ดี แต่ถ้าสามารถรับรู้ว่ากล่าวด้วยความจริงใจก็คงไม่ได้กล่าวอะไรมากกว่าไปคำขอบคุณ แต่แน่ใจได้เลยว่าถ้าท่านได้ยินคำชมจากปากของข้าพเจ้า คำชมนั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง

6) ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่โอกาสอำนวย ให้เราหาโอกาสที่จะทำความดีในแต่ละวันด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แก่คนรอบข้าง แก่สังคมเท่าที่จะพอทำได้ ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสำหรับเราทุกคน

7) ความสันโดษ เราควรที่จะไวต่อความรู้สึกของคนอื่นสักนิดว่าในบางครั้งเขาอาจต้องการที่จะอยู่ตามลำพังบ้าง ปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองเพื่อใช้ความคิดใคร่ครวญบางเรื่องได้อย่างอิสระ อย่าคิดเอาเองว่าเขาต้องการความช่วยเหลือของเรา เพราะความช่วยเหลือที่ให้โดยที่ไม่มีการร้องขอย่อมให้โทษมากกว่าคุณ

8) คำพูดดีๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินทำที่จะพูดกันด้วยคำพูดดีๆ คำพูดไพเราะเสนาะหู ทุกวันนี้เราได้ยินเสียงด่าทอ การพูดเสียดสี การประชดประชัน การให้ร้าย คำโกหก เราคงอยากได้ยินคำพูดดีๆ กันบ้าง อย่าให้ปากที่เรากล่าวสรรเสริญพระเจ้ากล่าวคำด่าออกมาด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ง่ายนักที่จะทำในโลกที่ดูเหมือนจะชั่วร้ายลงเรื่อยๆ แต่เราเป็นชาวสวรรค์ อย่าให้เราปฏิบัติเหมือนอย่างคนในโลกนี้ ให้เรามาหัดพูดภาษาสวรรค์ก่อนเถอะ


ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่ท่านสามารถทำได้ เป็นของขวัญจากใจที่สามารถมอบให้แก่ทุกคน ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้มอบสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นของขวัญจากใจแด่ทุกคน และเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ทุกคนแทนคำขอโทษที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ขอขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่

คงยังไม่สายเกินไปที่จะพูดว่า “สวัสดีปีใหม่ 2557”


สิธยา คูหาเสน่ห์

24/12/56

จุดเริ่มต้นของคริสตสมภพ

เรื่องราวของคริสตสมภพเป็นข่าวดีล้ำเลิศแทบไม่น่าเชื่อที่พระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่กับเราทั้งหลายในองค์พระเยซูคริสต์ เรื่องราวนั้นเริ่มต้นเมื่อพระองค์ทรงสละความมั่งคั่งในสวรรค์ มาประสูติและสวมสภาพมนุษย์เพื่อไถ่บาปชาวโลก และนำไปถึงความรอดนิรันดร์ มนุษยชาติมิได้คิดเรื่องนี่้ขึ้นมาเอง เราทั้งหลายคงไม่เสาะแสวงหาพระเจ้าที่ทำเรื่องเช่นนี้ เราไม่สามารถหาพระเจ้าองค์นี้พบเหมือนที่เราไม่สามารถทำให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างได้ พระเจ้าเสด็จมาหาเราเอง การเสด็จเข้ามาในโลกของพระเจ้าเป็นเหมือนอรุณรุ่งที่สาดส่องเข้ามาในความมืดมิดของโลก เพื่อนำย่างเท้าของเราไปสู่หนทางแห่งสันติสุข เราอาจพลาดไม่เห็นแสงนั้น หากเราไม่ตื่นขึ้นมาดู



พระเจ้าเสด็จมาอยู่กับเราในองค์พระเยซูคริสต์ เราไม่สามารถทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรือควบคุมสิ่งนี้ได้ เราอาจพลาดเรื่องราวทั้งหมดนี้ถ้าเราขาดการฝึกวินัยฝ่ายวิญญาณ ได้แก่ การภาวนาอธิษฐาน การศึกษาพระคัมภีร์ และการนมัสการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถที่จะตื่นอยู่ที่จะมีประสบการณ์กับมันได้



คริสตสมภพที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไถ่บาปซึ่งนำมาถึงความรอดนั้นคือแสงสว่าง พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทั้งหลายจำเป็นต้องมีพระผู้ไถ่ ผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป ดังนั้นพระองค์ทรงสถาปนาแผนงานการไถ่บาปตั้งแต่แรกเริ่ม ความเยี่ยมยอดอยู่ที่ว่าพระผู้ไถ่ทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรู้ความอ่อนแอและความเข้มแข็งของเรา ความล้มเหลวและความสำเร็จของเรา พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดที่เรามี และพระองค์ทรงตระหนักถึงความสุขและความชื่นชมยินดีที่เราได้รับ พระคริสต์ พระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ ทรงประทับอยู่กับเรา พระเจ้าผู้เสด็จมาหาเราและทรงประทับอยู่ในเรานั้นทรงไถ่เราจากความบาป พระองค์ทรงไถ่เราให้เป็นไทแล้ว



เราเฉลิมฉลองการเสด็จมาในโลกของพระเจ้าพระผู้สร้างโลกในเทศกาลคริสต์มาส พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกทรงสวมสภาพมนุษย์ประสูติมาเป็นทารกน้อย เมื่อเป็นข่าวดีเช่นนี้ เราต้องแบ่งปันข่่าวนี้ให้แก่คนอื่นได้รับรู้ ให้เราเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่นำข่าวดีไปแจ้งแก่คนทั่วไป เมื่อเราถูกไถ่จากบาปแล้ว เมื่อเราได้รับการช่วยกู้แล้ว สิ่งที่เราทำได้คือประกาศข่าวดีแห่งความหวัง ความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่นี้กับคนอื่นๆ ให้เรานำข่าวดีออกไปสู่ชุมชนของเรา


พระธรรมในฟิลิปปี 2:5-11 เป็นข้อพระวจนะที่สำคัญมากที่บอกถึงการสมภพของพระคริสต์

ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่กลับได้ทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่าในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบพระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา”

ระยะทางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มนุษย์มองไม่เห็นและนึกไม่ออกว่าจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร พระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำให้เกิดการคืนดีกันได้ นั่นเองเป็นศูนย์กลางของพระคุณของพระเจ้า และพระเจ้าทรงทำให้เกิดการคืนดีกันระหว่างมนุษย์กับพระองค์ขึ้น

การที่มนุษย์จะยอมรับว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ เพราะความคิดนั้นขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์ที่วางพระเจ้าไว้ในตำแหน่งสูงส่ง มนุษย์มีอำนาจในการควบคุมสภาพแวดล้อมของตนอย่างจำกัด เราทั้งหลายต้องการให้พระเจ้าทรงมีอำนาจสูงส่งในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในตำแหน่งที่ถูกวางไว้นั้น ดังนั้นความคิดที่ว่าพระเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลายจึงขัดกับสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างยิ่ง

พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสำแดงความใหญ่ยิ่งและเกรียงไกรของพระองค์ในการเสด็จลงมาและทรงสวมสภาพมนุษย์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทั้งหลายเฉลิมฉลองคริสต์มาสหรือคริสตสมภพกัน

สุขสันต์วันคริสต์มาส 2013




สิธยา คูหาเสน่ห์

12/9/56

มิตรภาพแบบคริสเตียน

มิตรภาพแบบคริสเตียนเป็นอย่างไร ซี. เอส. ลูอิส กล่าวไว้อย่างนี้ว่า “มิตรคือผู้ที่เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน มีแรงบันดาลใจและเป้าประสงค์ที่คล้ายกัน และเกื้อหนุนกันเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ มิตรมิใช่ผู้ที่ดึงเราให้ตกต่ำลง มิใช่ผู้ที่อิจฉาริษยา (แม้ว่าบางครั้งก็เป็นเช่นนั้น) แต่มิตรคือผู้ที่ช่วยเราในการใช้ของประทานจากพระเจ้าด้วยการให้คำแนะนำที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดี และช่วยนำเราให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง”

มิตรภาพแบบคริสเตียนมีการสอน การให้คำปรึกษา การให้คำชี้แนะ เป็นมิตรภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำพันธกิจที่คล้ายกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำต่อพวกสาวกของพระองค์

มิตรแท้มีการห่วงใยและอาทรกันและกัน และมีความปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนา ไม่ใช่การอิจฉาริษยา และการทำลายความฝันและความปรารถนาของบุคคลอื่น มิตรแท้ ทำ มิใช่ พูด มิตรแท้ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน หากจะติก็เพื่อก่อ และการยอมรับคำติก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

มิตรภาพแบบคริสเตียนแท้เกิดขึ้นกับผู้ที่เราเชื่อใจได้ ผู้ที่เราแน่ใจว่าจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของเราไปเผยแพร่ แต่น่าเศร้าใจที่คนมักชอบนินทา ดังนั้นให้แน่ใจว่าผู้ที่เราแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวด้วยเป็นผู้ที่เชื่อใจได้จริงๆ ความเชื่อใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก หากความเชื่อใจนั้นถูกทำลายลงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้มิตรภาพกลับมาดีดังเดิม ในพระธรรม 1 ซามูเอล บทที่ 20 พูดถึงมิตรภาพแบบนี้ระหว่างดาวิดกับโยนาธานเอาไว้

มิตรภาพแท้ยังเกี่ยวข้องกับเวลาในสองมิติ มิติที่หนึ่งคือการใช้เวลาในการสร้างมิตรภาพนั้นขึ้นมา เราคงยอมรับว่าความเชื่อใจมิได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงให้รากแห่งความเชื่อใจหยั่งลึกลงเพื่อให้มิตรภาพนั้นแข็งแรงสามารถต้านทานต่ออุปสรรคและพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตและเกื้อหนุนการดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อด้วยกัน มิติที่สองก็คือการให้เวลาแก่กันและกันในการหนุนน้ำใจกัน ฟังปัญหาของกันและกัน อธิษฐานและศึกษาพระคำด้วยกัน มิตรภาพจะเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้ก็ด้วยการติดสนิทกันอย่างแท้จริง

สุดท้ายที่สำคัญที่สุดและเป็นเรื่องยากมากที่สุดก็คือมิตรภาพแท้ต้องมีการให้อภัยไม่ถือโทษกัน บางครั้งมิตรที่ดีที่สุดอาจสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้แก่เรา และเราก็สงสัยว่ามิตรภาพเกิดขึ้นได้อย่างไรตั้งแต่แรก ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เราเรียกว่ามิตรแท้จะเป็นคนที่นำความเจ็บปวดมาให้เรามากที่สุด แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมต้องมีการให้อภัยกันอย่างแท้จริง เราต้องมองข้ามความผิดไปให้ได้ และไม่ต้องคาดหวังการตอบแทนเมื่อทำดี และนอกจากนั้นต้องพูดความจริง การโกหกหรือพูดความจริงไม่หมดย่อมทำลายมิตรภาพและความสัมพันธ์ (ทุกรูปแบบ) ลงได้

มิตรภาพแท้แบบคริสเตียนย่อมเสริมสร้างกันและกันด้านอารมณ์ ด้านจิตวิญญาณ และด้านกายภาพ เราจะได้รับพลังจากมิตภาพแท้ มิตรแท้ย่อมรักกันอย่างจริงใจ คุยกันด้วยความจริง และร้องไห้ด้วยกันยามทุกข์ หัวเราะด้วยกันยามสุข ฟังปัญหาของกันและกันอย่างใส่ใจและหาทางบรรเทาทุกข์ให้กัน บางครั้งมิตรแท้ต้องพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากได้ยินเพื่อเตือนสติ แต่ในมิตรภาพแท้ย่อมมีหนทางให้คำพูดที่เตือนสติเป็นที่ยอมรับได้ อย่างที่ในพระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้ คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น” และให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อไปด้วยกันและเป็นเหมือนองค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น

ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเป็นมิตรแท้ของกันและกันได้ แม้ยากแต่ก็ทำได้


สิธยา คูหาเสน่ห์




9/8/56

บทบาทของแม่

เมื่อพูดถึง “แม่” ทุกคนคงเข้าใจว่าหมายถึงใคร บทบาทของแม่นั้นมีมากมายหลายอย่าง บางบทบาทก็ถูกกำหนดโดยผู้เป็นลูกนั่นเอง แต่อีกหลายๆ บทบาทเป็นเรื่องราวที่ผู้เป็นแม่ผันตัวเองให้เป็นไปเอง (ตามสภาพความเป็นจริงและบางครั้งตามความตั้งใจดีของตนเอง)  ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกไม่เหมือนกับความสัมพันธ์แบบอื่นๆ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุดในโลก สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิในครรภ์ ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่รองจากความรักของพระเจ้า ความรักของแม่มีอยู่ตลอดกาลไม่เสื่อมคลาย ความรักของแม่ไม่เคยแห้งเหือด ความรักของแม่มีให้ลูกเสมอไม่ว่าลูกจะดีหรือเลว แม่พร้อมที่จะหยิบยื่นความรักให้ลูกเสมอในทุกโอกาส แม่แต่ละคนก็มีรูปแบบและเทคนิคในการเลี้ยงลูกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป หากผู้หญิงคนหนึ่งมีโอกาสเป็นแม่แล้วล่ะก็ อิทธิพลทางความคิดด้านบวกที่มีต่อลูกของตนย่อมทำให้เกิดแก่นสารที่มีค่ายิ่งแห่งความเป็นแม่และการเจริญเติบใหญ่ของลูก

ความเป็นแม่เป็นบทบาทที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดสรรไว้ให้แก่สตรีจำนวนมาก บทบาทสำคัญที่เป็นสากลคือบทบาทของการเป็นต้นแบบ เด็กๆ จะเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใหญ่อยู่แล้วและทำตามอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นบทบาทนี้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญมากต่อชีวิตของลูก เพราะจะมีผลต่อตัวตนของลูก แต่เราต้องตระหนักและยอมรับว่าไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ฉะนั้นทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญแบบอื่นๆ อีก ตัวอย่างเช่น

บทบาทของผู้สอน ผู้ฝึกวินัย ผู้ฝึกอบรม สำหรับแม่บทบาทนี้ไม่มีวันจบสิ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นบทบาทที่เหนื่อยทั้งกายและใจทีเดียว ระดับและวิธีของการสอนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา นอกจากนั้นยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับการไม่เชื่อฟังจากลูกเมื่อเกิดขึ้นอีกด้วย และก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะต้องหาวิธีรับมือกับสิ่งนั้นให้ได้ นับว่าเป็นบทบาทที่เล่นยากอีกบทบาทหนึ่ง

บทบาทของการเป็นนักโภชนาการ ในหลายๆ ครอบครัวแม่จะเป็นผู้ปรุงอาหารหลักสำหรับลูก (ข้าพเจ้าชอบบทบาทนี้ที่สุด) ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าซื้ออาหารนอกบ้านน้อยมากเมื่อลูกยังเล็ก นิสัยนี้ติดตัวมาจนขณะนี้ลูกๆ เติบใหญ่กันหมดแล้ว และจากอาหารที่แม่ปรุงนั่นแหละที่ลูกจะเรียนรู้ที่จะเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แม่ควรปรุงอาหารให้ถูกหลักโภชนาการด้วย

บทบาทของผู้พยาบาลเมื่อลูกเจ็บป่วย บทบาทนี้ก็เล่นไม่สนุกอีกเช่นกัน เป็นบทบาทที่เหน็ดเหนื่อยเอาการทีเดียว ไม่ว่าจะพยาบาลลูกตอนที่ยังเล็กหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม 

ที่กล่าวมานี้เป็นบทบาทใหญ่ๆ ที่ผู้เป็นแม่ต้องเล่นไปตามครรลองชีวิต แต่ในความเป็นจริงยังมีบทบาทย่อยๆ อีกมากมายตามที่ลูกเรียกร้องให้เป็น เช่น ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ ช่างซ่อมรองเท้า ช่างซ่อมกระเบื้องในห้องน้ำ นักกายภาพบำบัด เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้ามิได้ทรงมุ่งหมายให้สตรีทุกคนต้องเป็นแม่ แต่หากว่าใครที่ถูกเรียกให้เป็นแม่แล้วต้องทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด เพราะแม่มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตของลูก อย่าถือว่าความเป็นแม่เป็นงานหรือหน้าที่ แต่ให้นับว่าเป็นเอกสิทธิ์และพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า และลูกก็เป็นพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ดังนั้นแม่จึงต้องดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้

เมื่อถึงเดือนสิงหาคมเรามักจะพูดสดุดีถึง “แม่” เป็นวันที่ให้ทุกคนบอกรักแม่ในวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติ แต่ลูกควรบอกรักแม่เฉพาะในวันแม่เท่านั้นหรือ วันแม่สำหรับลูกมีแค่วันเดียวในรอบหนึ่งปีหรือ เป็นคำถามที่ฝากไว้เอาไปขบคิดสำหรับคนที่ยังมีแม่ไว้ให้บอกรักแล้วกันนะ

สุขสันต์วันแม่ ขอปรบมือดังๆ ให้แม่ทุกคนในโลกนี้

สิธยา คูหาเสน่ห์






7/6/56

แบกกางเขน

ถ้าจะถามว่าวลี "แบกกางเขน" หมายถึงอะไร อาจจะได้ยินคำตอบแตกต่างกันไป เช่น "กางเขนของฉันน่ะหรือ ก็แม่ของสามีที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นไงล่ะ” หรือ "งานของผม” หรือ "ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะไปไม่รอดของฉัน” หรือ "เจ้านายอารมณ์ร้ายของผม” หรือ "นักเทศน์ที่เทศนาน่าเบื่อสุดๆ คนนั้น” เป็นต้น ที่คำตอบเป็นเช่นนี้เพราะเราคิดว่ากางเขนก็คืออะไรๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากหรือความวุ่นวายในชีวิตนั่นเอง ถ้าจะลองหาความหมายตามพจนานุกรมก็จะพบหมายความดังต่อไปนี้คือ ความข้องคับใจ การทดลอง อุปสรรค ความขัดข้อง และสิ่งกีดขวาง เป็นต้น

แต่จริงๆ แล้วกางเขนมีความหมายมากกว่านั้นมากนัก กางเขนเป็นเครื่องมือแห่งการไถ่ของพระเจ้า อุปกรณ์แห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ การแบกกางเขนจึงเป็นการแบกรับภาระของพระคริสต์เพื่อคนทั้งโลก แม้ว่ากางเขนของเราจะคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีกางเขนใดเหมือนกับอีกอันหนึ่งทุกประการ แต่ละอันมีเอกลักษณ์ของมันเอง แต่ละคนมีกางเขนของตนที่ต้องแบก นั่นเป็นการทรงเรียกของแต่ละคน ขอให้ค้นให้พบงานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ก็จะรู้ว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับความปรารถนาและความสามารถพิเศษและของประทานของคนนั้นๆ ถ้าต้องการที่จะปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ให้พ้นทาง ก็เพียงแค่ยอมรับการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้นเอง

เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้ (1 โครินธ์ 3:5) งานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนคืออะไร การทรงเรียก งานที่กำหนดไว้ และภารกิจของแต่ละคนคืออะไร คำถามสามข้อต่อไปนี้อาจช่วยให้เราหาคำตอบได้ คือ

พระเจ้าทรงนำไปในทิศทางใด
ความจำเป็นอะไรบ้างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้
ความสามารถอะไรที่พระเจ้าทรงประทานให้

ทิศทาง ความจำเป็น ความสามารถ เหล่านี้เป็นสารพันธุกรรมฝ่ายวิญญาณของเราแต่ละคน

เราไม่ได้ถูกเรียกให้แบกรับบาปของคนในโลกนี้เพราะพระเยซูทรงแบกรับบาปนั้นไปแล้ว แต่เราทุกคนสามารถแบกรับภาระของคนในโลกได้

"ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา" (มาระโก 8:34-35) ข้อพระวจนะนี้อาจนับว่าเป็นคำบรรยายที่สำคัญที่สุดของความหมายของการเป็นผู้ติดตามพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด กระนั้นก็ตามเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ความหมายของมัน เราเข้าใจภาพพจน์ของมัน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำตามได้อย่างไร เราไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแบกกางเขนว่าคืออะไร

การแบกกางเขนพอสรุปได้ใจความใหญ่ๆ สามเรื่องคือ

การปฏิเสธตัวเอง คือการปฏิเสธสิ่งใดๆ ที่เราอยากได้หรือแสวงหาที่จะได้ครอบครองซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหากเราอยากได้สิ่งใดแล้วเป็นเรื่องผิด แต่หมายความว่าเราต้องไม่ให้ความอยากได้อยากมีของเราอยู่เหนือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

แบกกางเขนและติดตามพระเยซู หลายคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือการแบกรับภาระและการทนทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเรื่องแน่ที่ว่าบางครั้งย่อมหนีไม่พ้นความยากลำบาก แต่ถ้าเราพิจารณาให้ลึกลงไปเพื่อดูว่ากางเขนมีไว้สำหรับสิ่งใด เราก็จะพบว่ากางเขนไม่ได้เป็นเพียงภาระที่ต้องแบกรับไว้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกางเขนยังเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือสำหรับความตายและการถวายบูชา พระเยซูตรัสว่าให้เราแบกกางเขนและติดตามพระองค์ แต่พระเยซูทรงไปที่แห่งใดเมื่อพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์เล่า พระเยซูยังตรัสอีกว่าให้เรามีชีวิตเพื่อพระองค์ ดังนั้นการแบกกางเขนจึงเล็งถึงการมอบทั้งชีวิตของเราแด่พระเจ้า

มอบชีวิตเพื่อพระเยซู ถ้าบุคคลหนึ่งไม่ยอมปฏิเสธตัวเองและแบกกางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซู ในที่สุดบุคคลนั้นก็จะสูญเสียชีิวิตไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าบุคคลใดยอมมอบชีิวิตเพื่อเห็นแก่พระเยซู ยอมทำงานรับใช้ด้วยการยอมปฏิเสธตัวเองอย่างที่กล่าวข้างต้นล่ะก็ บุคคลนั้นก็จะรอดและได้ชีิวิตนิรันดร์

นี่แหละคือความหมายของการแบกกางเขนและติดตามพระเยซู พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ยอมสู่ความตายเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก ดังนั้นผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ย่อมต้องทำในสิ่งเดียวกันซึ่งเป็นการยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

สิธยา คูหาเสน่ห์




เสียงใครที่ได้ยิน


อย่างน้อยเสียงที่ได้ยินมีอยู่ 3 เสียง ได้แก่
  1. พระสุรเสียงของพระเจ้า
  2. เสียงของซาตาน (เสียงแห่งโลก)
  3. เสียงของเราเอง


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เสียงของซาตาน หรือ เสียงของเราเอง ชีวิตของเราเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่เราไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้จากพระคัมภีร์ เราต่างก็มีแนวคิดเกี่ยวกับความจริง แต่เราจะรู้แน่ชัดได้อย่างไรว่าความคิดต่างๆ มาจากพระเจ้า บางครั้งการแยกแยะระหว่างความคิดของเราเองจากการทรงนำของพระเจ้าเป็นเรื่องยาก แล้วหากการยึดกุมความคิดนั้นมาจากมารและไม่ใช่มาจากพระเจ้าล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไร


พระเจ้าใช้หลายวิธีในการตรัสกับแต่ละบุคคล พระองค์ทรงมีวิธีที่จะเข้าถึงเรา สามวิธีที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้เชื่อ ได้แก่ การอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบางครั้งพระองค์ทรงใช้ผู้เชื่อที่ดำเนินในทางของพระเจ้าเป็นผู้แนะนำ หากพระเจ้าทรงต้องการที่จะพูดกับเรา ไม่มีอะไรสามารถหยุดพระองค์ได้ พระองค์อาจใช้หนึ่งวิธีหรือช่องทางทั้งหมดเพื่อติดต่อกับเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เรามีหน้าที่ฟังและทำตาม


พระเจ้าทรงไม่อยากให้เราล้มเหลว ยิ่งเราฟังพระองค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้จักแยกแยะพระสุรเสียงของพระองค์จากเสียงอื่นๆ ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น พระเยซูซึ่งทรงเป็นสุดยอดผู้เลี้ยงแกะทรงสัญญาว่า “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ยอห์น 10:4 ฉบับมาตรฐาน)


เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์กับตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเสียงใดเป็นเสียงของเราเองและเสียงใดมาจากพระเจ้าหรือซาตาน


เรารู้ได้เพราะ...


พระเจ้าตรัสอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเรา แต่ซาตานพูดอยู่ในจิตใจ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงประทับอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ฉะนั้น จะมีทั้งพระเจ้าและซาตานพร้อมกันไม่ได้ (แต่คนที่ผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตวิญญาณเดียวกับพระองค์ 1 โครินธ์ 6:17 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าอ่อนโยนและโน้มน้าวจิตใจ ไม่มีความกดดัน พระเจ้าตรัสสอนว่าควรทำอะไร ในขณะที่ซาตานตึึงตังและอึกทึกครึกโครม เรียกร้องให้ตอบสนองทันควันเสมอ ซาตานตะโกนใส่เราว่าต้องทำ


พระสุรเสียงของพระเจ้าทำให้เกิดสันติสุขและความรู้สึกอุ่นใจว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม เสียงของซาตานทำให้เกิดความสิ้นหวังและบอกว่าเราสูญสิ้นทุกอย่างไปแล้ว


พระสุรเสียงของพระเจ้าชัดเจนและเด่นชัดเสมอ บอกชัดว่าเราควรเดินไปในทิศทางใด
เสียงของซาตานทำให้เกิดความสับสนและความไม่แน่ใจ ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ในที่สุดก็หลงทาง (เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย ...1 โครินธ์ 14:33 ฉบับมาตรฐาน)
ความวุ่นวายแปลตามตัวอักษรได้ว่า ความไม่สงบสุข ความสับสนอลหม่าน ความไม่มั่นคง เป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่เรายังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป จงรอคอยการทรงนำของพระเจ้าด้วยการวิงวอนอธิษฐาน


พระเจ้าตรัสเมื่อเราแสวงหาและพร้อมที่จะฟังพระองค์ ซาตานจู่โจมเข้าใส่ความคิดของเราโดยไม่ได้ร้องขอ (แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า เยเรมีย์ 29:12-13 ฉบับมาตรฐาน)


พระสุรเสียงของพระเจ้าให้ความแน่ใจแก่เรา เสียงของซาตานทำให้เกิดความกระวนกระวายใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าเป็นคำตอบของสิ่งที่เป็นปัญหาของเรา เสียงของซาตานทำให้เรามืดมนหาคำตอบไม่เจอ


พระสุรเสียงของพระเจ้าหนุนน้ำใจ เสียงของซาตานทำให้หมดกำลังใจ


พระสุรเสียงของพระเจ้าบอกว่า “ควรทำ” เสียงของซาตานชี้นำว่า “ต้องการทำ”


พระสุรเสียงของพระเจ้าดังกังวานอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เสียงของซาตานจางหายไปถ้าเราไม่ฟัง


ดังนั้น หากเราจะรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า เราต้องรู้จักพระองค์ก่อน และสร้างสัมพันธภาพกับพระองค์ มีประสบการณ์กับพระองค์ เมื่อนั้นเราจะได้ยินเสียงที่ถูกต้องที่จะนำเราไปสู่นิรันดร์กาล ไม่ใช่ขุมนรก


สิธยา คูหาเสน่ห์


21/3/56

กองน้ำตา



มีผู้รับใช้คนหนึ่งพูดกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันว่า “ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าแต่ละคนที่คุณพบนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเอง”

ท่่านผู้อ่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม และเข้าใจหรือไม่ว่าหมายถึงอะไร

เราแต่ละคนล้วนนั่งอยู่บนกองน้ำตาของตนเองทั้งสิ้น (ถ้าจะพูดไปแล้วล่ะก็) ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่ากองน้ำตาของแต่ละคนนั้นมีขนาดมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ท่านกำลังอ่านข้อความที่ข้าพเจ้าแบ่งปันตรงนี้ ท่าน (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของท่านเองก็ได้ ในทำนองเดียวกันขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนข้อความนี้ ข้าพเจ้าก็ (อาจ) กำลังนั่งอยู่บนกองน้ำตาของข้าพเจ้าเองเช่นกัน มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากองน้ำตาของบางคนอาจมีขนาดใหญ่จนเป็นบ่อ ของบางคนอาจขุ่นเป็นปลักโคลน ความทุกข์ที่เป็นบ่อเกิดของกองน้ำตานั้นก็แตกต่างกันไป ของบางคนอาจเกิดจากการถูกกระทำจากคนอื่น แต่ของบางคนตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น กองน้ำตาที่เกิดขึ้นเป็นเครืื่องเตือนใจเราให้นึกถึงความทุกข์และความสูญเสียต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งอาจแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่

น้ำตาแห่งความทุกข์ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความเศร้าเสียใจนั้นทำให้เราถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะด้วยความเจ็บปวดเลยทีเดียว หรืออาจเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ความวิตกกังวลที่ตามมาก็ไม่น้อยเช่นกัน บางคนไม่ถึงกับสูญเสียงานแต่เป็นการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งงานที่ทำมาเนิ่นนาน ก็ยังเป็นความทุกข์สำหรับบางคนที่ชินกับงานที่ทำมาประจำอยู่ดี ไม่อยากปรับตัวกับงานใหม่และบรรยากาศใหม่ๆ การสูญเสียหรือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป จิตใจปวดร้าวเต็มไปด้วยความทุกข์และความวิตกกังวล

น้ำตาแห่งความขมขื่น โลกไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว เราคร่ำครวญหาวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็น ยังจะต้องอยู่กับมาตรฐานด้านศีลธรรมที่เสื่อมทรามลงอย่างน่าเศร้าใจ ต้องปวดร้าวกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคารพยำเกรงผู้มีอาวุโสกว่า สำหรับบางคนดูเหมือนว่าโลกหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายในทุกด้าน เราขมขื่นกับการเปลี่ยนแปลงในทางลบแบบนี้และเกิดความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรืออาจเป็นความขมขื่นจากการถูกปฏิเสธ การไม่ได้รับการยอมรับทางสังคม เกิดความสงสารตัวเองและขังตัวเองไว้ในคุกในใจไปตลอดกาล

ที่ยกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความทุกข์อันเป็นบ่อเกิดของกองน้ำตาของเรา แต่มันไม่ได้จบลงด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดเสมอไป ตรงกันข้ามอาจนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้ และทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและเติบโตขึ้นในความเชื่อเมื่อเราสามารถฝ่าฟันสิ่งร้ายๆ เหล่านั้นจนมีชัยในที่สุด และในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต

การฝ่าฟันสิ่งเลวร้ายหรือมรสุมชีวิตไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดและควาปวดร้าวใจนั้น เรายังสามารถมองเห็นความหวังและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เราจะได้รับกำลังที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า ครอบครัว และมิตรสหาย

เราอาจบอกกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ ไปได้อย่างไร” บางทีเราอาจกำลังปล้ำสู้กับความรู้สึกสิ้นหวัง ความปวดร้าวใจ ความสับสน ความกลัว และแม้กระทั่งความโกรธแค้น ความรู้สึกเหล่านี้เป็นการสนองตอบต่อความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าอยากหนุนใจว่าท่ามกลางพายุร้ายและความปวดร้าวต่างๆ เราไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยเสมอ พระองค์ทรงรักเราและทรงห่วงใยเราเสมอ พระองค์ทรงรับรู้ความเจ็บปวดของเรา พระองค์ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเรา ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเข้าใจทุกเรื่องราว

ไม่ว่าเราจะทนทุกข์ยากอย่างไร ความห่วงใยของพระองค์มีพร้อมอยู่เสมอ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด และพระสัญญาของพระองค์แน่นอน ไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรอยู่ หรือว่าทนทุกข์มานานเท่าไรแล้ว พระเมตตาคุณของพระเจ้าสามารถมาถึงเราได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ (อพยพ 6:3) และทรงอยู่ในทุกที่ (เยเรมีย์ 23:23-24) พระองค์ทรงสามารถปกป้อง ส่งเสริม และจัดเตรียมสำหรับเราเมื่อดูเหมือนว่าไ่ม่มีใครสามารถช่วยเราได้แล้ว

พระเจ้าทรงประทับอยู่แม้ในเวลาที่เราไม่สามารถสัมผัสการทรงสถิตอยู่ของพระองค์


สิธยา คูหาเสน่ห์


18/2/56

ขอพูดเรื่อง “ความรัก” อีกสักครา

“ความรัก” ที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงนี้เป็นความรักของแม่มีต่อลูก ความรักแบบนี้ยิ่งใหญ่และไร้เงื่อนไข ความรักแบบนี้ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนและมีขอบเขตสิ้นสุดที่ใด

ความรักของแม่เป็นความรัก
  • ที่ทรงพลัง
  • ที่มีการอุทิศตัวและการเสียสละ
  • ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
  • ที่อดทนได้ทุกกรณี
  • ที่อมตะ (ไม่มีวันตาย)
  • ที่มีการให้อภัยเสมอ
  • ที่ไม่มีวันจืดจาง

แม่เป็นผู้ที่มีความรักให้ลูกเสมอ แม้ว่าใจจะเจ็บปวดสักปานใดก็ไม่มีวันทอดทิ้งลูกอย่างเด็ดขาด แม่เชื่อในตัวลูกเสมอแม้ว่าทั้งโลกจะกร่นด่าก็ตาม

ความรักแบบนี้ลึกล้ำเกินคำอธิบาย ยากต่อการเข้าใจ และเป็นการแสดงถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าอีกทางหนึ่ง หากท่านอยากเข้าใจว่าความรักของพระเจ้าเป็นอย่างไร ก็ขอให้รับการสัมผัสความรักของแม่ นั่นเป็นความรักที่ใกล้เคียงความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาลูกๆ ของพระองค์

ตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้ามีความยากลำบากอยู่ไม่น้อยกับการที่ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งสามคนพร้อมหน้ากัน ลูกสาวคนเล็กอยู่ที่อเมริกา จึงมีลูกอยู่กับข้าพเจ้าสองคนเท่านั้นในประเทศไทย ต่อมาลูกสาวคนโตก็ไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ จึงเหลือลูกชายอยู่กับข้าพเจ้าเพียงคนเดียว มันเป็นเรื่องยากที่มีลูกอยู่กันคนละประเทศและข้าพเจ้าก็สามารถอยู่กับลูกได้ทีละคนเท่านั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปเยี่ยมทุกปีแต่ก็เป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ลูกสาวคนโตกลับมาแล้วก็ยังคงต้องเป็นห่วงและคิดถึงลูกสาวคนเล็กต่อไปเหมือนเดิม หลายๆ คนพูดกับข้าพเจ้าว่าพวกเขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ต้องอยู่ห่างลูกเป็นอย่างไร ความเป็นห่วงที่มีต่อลูกจะมากมายแค่ไหน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ลูกเจ็บป่วย) ข้าพเจ้าก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้พวกเขาเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไร

ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องความรักของแม่มาพูดเพราะได้เจอะเจอเหตุการณ์กับความรักแบบนี้มาสดๆ ร้อนๆ ที่อเมริกา ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในขณะที่แม่สองคนกำลังสูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตานั้นความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ใจจะแตกสลายสักแค่ไหน มันเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้เป็นแม่ที่ต้องเจอะเจอเหตุการณ์แบบนั้น

คนหนึ่งเป็นเพื่อนของลูกสาว เธอพาลูกชายสองคนไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงพอมองเห็นภาพการขึ้นรถไฟใต้ดินได้ เมื่อรถไฟจอดผู้โดยสารที่จะขึ้นต้องรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงออกมาก่อนจึงจะเข้าไปได้ และประตูรถก็เปิดอยู่ไม่นาน ในเวลาที่มีผู้โดยสารมากๆ ก็ต้องรีบกันเลยทีเดียว เพื่อนคนนี้จูงลูกสองคนขึ้นรถไฟ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดลูกชายคนโตขึ้นรถไฟไปแล้วในขณะที่เธอและลูกชายคนเล็กยังอยู่ที่ชานชาลา อาจจะถูกเบียดจนต้องปล่อยมือจากลูกคนโตก็เป็นได้ เมื่อประตูปิดเธอและลูกชายคนเล็กจึงยังไม่สามารถขึ้นไปได้ เธอวิ่งไปยังหัวรถที่มีเจ้าหน้าที่อยู่และบอกให้ช่วยหยุดรถไฟเป็นกรณีฉุกเฉิน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือทั้งๆ ที่สามารถทำได้ ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ว่าในนาทีนั้นผู้เป็นแม่และลูกน้อยที่อยู่บนรถไฟคนเดียวจะตกใจขนาดไหน แต่เธอสอนลูกไว้ว่าในกรณีแบบนี้ให้พยายามเดินหาผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิงที่มีลูกมาด้วยเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็มีผู้ใจดีพาเด็กไปมอบให้ตำรวจและได้พบกับแม่ในที่สุด เป็นการพลัดพรากเพียงชั่วขณะ

อีกกรณีหนึ่งแม่พาลูกน้อยสองคนขับรถหนีพายุแซนดี แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากมาเร็วเหลือเกินจนขับรถต่อไปไม่ได้ จึงตัดสินใจสละรถ เธอหนีบลูกน้อยไว้ใต้แขนข้างละคนฝ่าพายุและกระแสน้ำไปขอความช่วยเหลือ เธอตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น ข้าพเจ้าไม่แน่ชัดว่าไปเคาะกี่บ้าน แต่มีบ้านหนึ่งเปิดประตูมาและบอกให้ไปขอความช่วยเหลือที่อื่นเถอะ (ที่จริงเธอแค่ขอพักหลบพายุเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ช่วย) เมื่อไม่มีใครยินดีต้อนรับให้ความช่วยเหลือก็จำใจต้องเดินหน้าต่อไป แต่กระแสน้ำแรงมากจนต้านไม่อยู่ ลูกน้อยทั้งสองคนก็ถูกน้ำพัดหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เป็นการจากกันชั่วนิรันดร์

กรณีแรกได้ลูกกลับคืนมา แต่กรณีหลังเสียลูกไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมาในคราวเดียวถึงสองคน ท่านลองคิดดูเถอะว่าหัวใจของผู้เป็นแม่จะแตกสลายสักเพียงใด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทำไมคนในยุคนี้จึงใจจืดใจดำเช่นนี้ ทั้งสองกรณีเป็นข่าวใหญ่โตหลายสื่อทีเดียว ข้าพเจ้าใคร่อยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่รถไฟและเจ้าของบ้านคนนั้นเมื่อได้ยินการนำเสนอข่าวแล้วจะรู้สึกผิดบ้างไหม นึกอยากย้อนเวลากลับไปแล้วแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกไหม ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ทั้งสองกรณี

รึว่าคนในยุคสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้ เห็นแก่ตัว ไร้ศีลธรรม ไร้ความรู้สึก ความรักโบยบินไปไหนเสียแล้ว

เศร้าจริงๆ เช่นนั้น เราในฐานะลูกของพระเจ้าอย่าทำตามอย่างคนในโลกนี้เลย เราได้รับความรักจากพระเจ้าพระบิดามาอย่างเต็มเปี่ยม ให้เราแบ่งปันความรักนั้นออกไป เพราะการแบ่งปันความรักจะทำให้เราได้รับความรักเพิ่มขึ้น ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับคงเป็นคำพูดที่เป็นจริง อย่าให้เราแสดงความรักกันปีละคนเท่านั้น เราควรแบ่งปันความรักเสมอทุกเวลา พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงสร้างเราทั้งหลายตามพระฉายาของพระองค์ ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พร้อมไหมที่จะให้คนทั้งโลกเห็นว่าเราในฐานะผู้ติดตามพระเจ้าที่ทรงเป็นความรักเป็นความรัก

ท้ายสุดนี้ ข้าพเจ้าขอส่งความรักผ่านข้อความนี้ไปยังท่านผู้อ่านทุกท่าน

สิธยา คูหาเสน่ห์







6/12/55

ฟิลิปปี 4:13

ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

เชื่อแน่ว่าข้อพระคัมภีร์นี้คงเป็นที่คุ้นหูของคริสเตียนทุกคนเป็นอย่างดี เราอาจท่องจำได้จนขึ้นใจ สามารถเข้าใจความหมายของพระคำนี้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในยามที่เรามีความยากลำบากและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เราอาจใช้หนุนใจผู้เชื่อที่กำลังเผชิญปัญหายิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าความหมายของข้อพระวจนะนี้จะหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเราเองตกอยู่ในภาวะที่ต้องฟันฝ่าเสียเอง หรือเมื่อเราต้องอดทนต่อสู้กับความยากลำบากต่างๆ เมื่อนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าการผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังเป็นอย่างไร

ข้าพเข้าขออนุญาตเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนเล็กต้องฟันฝ่ามาด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้ให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความยากลำบากที่เราสู้มาด้วยกันนั้นหนักหนาสากรรจ์แค่ไหนเพราะทุกวันตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่มีปัญหาเราก็ยังสามารถหัวเราะได้ และมีสันติสุขในใจอย่างเต็มเปี่ยม และรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เราไม่ได้รู้สึกกลัวหรือสิ้นหวังเลยแม้ว่าสถานการณ์จะดูเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายที่อาจมาถึงตัวซึ่งเราไม่มีวันรู้ แต่เราเชื่อมั่นใจว่าในสภาพแวดล้อมที่ดูสิ้นหวังนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมและปกปักรักษาคุ้มครองเรา การประเมินและความเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เราขาดสันติสุขแต่อย่างใด เราอาจมีความกังวลใจอยู่บ้าง (ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงเป็นการโกหก) แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน พระเจ้าทรงอยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงอยู่ด้วย เราจะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้คร่ำครวญกับความยากลำบากของเราเลย และยังใช้ชีวิตประจำวันตามปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

ข้าพเจ้าเดินทางมาเยี่ยมลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่ที่นิวยอร์กทุกปี ปกติจะมาในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของประเทศไทยเพราะหนีอากาศที่ร้อนระอุมาพึ่งความเย็นที่นี่ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ปีนี้เปลี่ยนมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพราะอยากเห็นใบไม้ที่เปลี่ยนสี และอธิษฐานขอให้เห็นหิมะในฤดูหนาวด้วยเพราะจะอยู่จนถึงเวลานั้น พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานและให้ตามที่ขอ ข้าพเจ้ายังได้พายุเฮอริเคนเป็นของแถมมาด้วย ส่วนหิมะก็ให้เห็นพายุหิมะเสียเลยก่อนจะถึงฤดูหนาวด้วยซ้ำไป สรุปการเดินทางคราวนี้ได้ทุกอย่างตามที่ขอ

“แซนดี” พายุเฮอริเคนขนาดยักษ์ที่ถล่มฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล บางคนสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย บางคนสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทรัพย์สินอื่นๆ ในท่ามกลางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้รวมเรา (ข้าพเจ้ากับลูกสาว) ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ผลที่ตามมาก็มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราค่อนข้างมากประมาณสามสัปดาห์ สัปดาห์ที่สองนับว่ายากลำบากที่สุดเพราะปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างถูกตัดหมด ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำ (ต้นสัปดาห์แรกในช่วงสามวันแรกยังมีน้ำเย็นเฉียบให้ใช้ น้ำร้อนถูกตัดก่อนที่พายุจะเข้าด้วยซ้ำไป) แก๊สหุงต้ม และที่สำคัญระบบความร้อนไม่มี (หนาวเหน็บมากในช่วงสองสัปดาห์แรก ต้องแต่งตัวเต็มยศทั้งๆ ที่อยู่ในบ้าน) เราได้ทุกอย่างกลับมาในสัปดาห์ที่สาม เมื่อเราเดินออกไปในละแวกนี้ก็ยิ่งเห็นพระพรของพระเจ้ามากขึ้น บางตึกให้ผู้อาศัยย้ายออกไปชั่วคราวเพราะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมอีกสองเดือนจึงจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ขอบคุณพระเจ้า หนึ่งในบรรดาตึกเหล่านั้นเป็นตึกที่ลูกสาวเคยอยากจะเช่าอยู่ นี่เป็นการทรงนำที่ล้นด้วยพระคุณครั้งที่สองสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องงาน ครั้งนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย พระเจ้าทรงแสนดี

เมื่อพายุเข้านิวยอร์กในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2012 นั้น เรางุนงงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในวันนั้นลูกสาวทำงานอยู่ที่บ้านเพราะบริษัทห้ามพนักงานเดินทางไปที่ทำงาน แต่แม้ว่าอยากจะเสี่ยงภัยไปก็ไปไม่ได้เพราะรถไฟใต้ดินรวมทั้งเรือหยุดให้บริการตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เราฟังข่าวกันทั้งวันและรู้ว่าทางการจะตัดไฟตอนบ่ายๆ เมื่อรู้เช่นนั้นลูกสาวก็เร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนข้าพเจ้าก็พยายามเตรียมเสบียงที่จะไม่บูดเน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราทำสิ่งที่ตั้งใจเสร็จไฟก็ดับ ขอบคุณพระเจ้า! เราตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ตึกไม่อพยพไปไหนแม้ว่าจะมีคำสั่งจากทางการให้อพยพก็ตาม

ในช่วงก่อนไฟดับกระแสลมแรงมาก (สังเกตจากการเคลื่อนไหวของต้นไม้บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้าม) และตึกของเราก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวมาก (และดังน่ากลัวแบบนั้นไปตลอดคืน) ฝนเริ่มตกแต่ไม่หนักมาก (ในบริเวณที่เราอยู่) เราก็พูดกันว่า “นี่ขนาดพายุยังไม่เข้ายังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วถ้ามันมาจริงๆ ตึกจะพังมั้ยนะ” เราไม่ได้เตรียมการรับมืออย่างอื่นนอกจากเก็บน้ำไว้สำหรับใช้สอย อาหารแห้ง น้ำดื่ม เราไม่ได้เอาเทปติดกระจกป้องกันการแตกกระจาย แต่ข้าพเจ้าก็วางแผนไว้ว่าถ้ามันรุนแรงจนกระจกแตกจริงๆ เราคงต้องไปอยู่กันในห้องน้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเสียงก็เงียบไปและมีเพื่อนของลูกสาวติดต่อส่งข่าวมาว่าพายุผ่านพ้นไปแล้ว เราจึงรู้ว่าตอนที่ตึกส่งเสียงน่ากลัวนั้นเป็นช่วงที่พายุโหมกระหน่ำนั่นเอง ตอนนี้เรามีแต่น้ำเย็นเฉียบ ยังมีแก๊สหุงต้มอาหาร เมื่อถึงวันพุธน้ำก็ถูกตัด แต่ยังมีแก๊ส เราอยู่ในความมืดมาเป็นวันที่สามแล้วและไม่รู้ข่าวคราวจากโลกภายนอกเลยจึงตัดสินใจเดินลงไปจากชั้นที่ 22 เมื่อลงไปข้างล่างจึงรู้ว่าน้ำท่วมตึกสูง 1.5 เมตร เมื่อพยายามเดินหาสัญญาณ 3G จนสามารถติดต่อกับครอบครัวและอ่านข่าวสารที่เพื่อนส่งมาให้ก็ต้องปิดมือถือเพื่อประหยัดแบตเตอรี ไม่สามารถหาซื้ออาหารอะไรได้เลยในบริเวณใกล้เคียง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะยังสามารถต้มน้ำลวกบะหมี่สำเร็จรูปได้หากอาหารที่เตรียมไว้หมดลง แต่เราได้แค่คิดเพราะแก๊สถูกตัดในวันศุกร์ ตอนนี้เราเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะอยู่กันอย่างไร เพราะการเดินขึ้นลง 22 ชั้นเพื่อซื้ออาหารไม่ใช่เรื่องสนุก และมือถือก็ต้องการแบตเตอรรี่เพิ่มด้วยจึงตัดสินใจเดินลงไปอีกครั้ง ในที่สุดก็จบลงที่สำนักงานที่ดาวน์เทาน์ของลูกสาว วันนั้นลูกสาวได้ทำงานบ้างที่นั่น และซื้ออาหารกลับขึ้นมา เราได้รับทราบว่าเราจะได้ไฟประมาณวันพุธหน้า (ประมาณอีก 4-5 วัน) ในภาวะนั้นเราคิดหนักเพราะเมื่อไม่มีแก๊สเราก็ไม่สามารถต้มน้ำเพื่อชำระร่างกายได้ วันเสาร์บ่ายหลังจากที่รับประทานอาหารที่ซื้อเมื่อวันศุกร์หมดเราก็เดินทางไปบ้านของเพื่อนของลูกสาวที่อีกฝั่งของเมืองซึ่งไม่มีผลกระทบเหมือนเรา วันอาทิตย์หลังจากไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์แล้วเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาต่อสู้กับความหนาวเย็นและความมืดต่อไป

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เราอยากกลับบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก เพราะในเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งของเช้าวันจันทร์เราก็ได้ไฟกลับมา ตอนนี้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ข้าพเจ้าปรุงอาหารทุกอย่างในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้มน้ำสำหรับชำระร่างกายในเตาไมโครเวฟ ขอบคุณพระเจ้าที่เราเก็บน้ำไว้มากพอ (เพราะเรายังไม่มีน้ำใช้ในตอนนี้) เราได้น้ำสีเหลืองขุ่นๆ กลับมาในวันรุ่งขึ้น เรากรองน้ำเพื่อเอามาใช้ น้ำสำหรับปรุงอาหารก็ใช้น้ำสำหรับดื่ม เพื่อนๆ ของลูกสาวแปลกใจว่าข้าพเจ้าปรุงอาหารด้วยหม้อหุงข้าวได้อย่างไร

หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราเลือกที่จะอยู่อย่างยากลำบากแทนที่จะไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน แต่เรารู้ว่าเราอยู่ได้เพราะ
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

สิธยา คูหาเสน่ห์



13/11/55

ความดีไม่สูญหาย

ข้าพเจ้าอ่านพบเรื่องราวนี้และอยากจะแบ่งปันให้อ่านกัน

หญิงคนหนึ่งอบขนมปังสำหรับสมาชิกในครอบครัวทุกวัน เธอจะอบเพิ่มอีกหนึ่งก้อนสำหรับคนหิวโหยที่เดินผ่านไปมาในละแวกบ้านโดยวางไว้บนขอบหน้าต่าง

ทุกวันจะมีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังก้อนนั้นไป แทนที่ชายคนนั้นจะกล่าว “ขอบคุณ” สำหรับความเมตตาที่หยิบยื่นให้ เขากลับบ่นพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า มีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังไปและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หญิงคนนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เธอบ่นกับตัวเองว่า “ไม่ขอบคุณกันสักคำ ชายหลังค่อมพูดประโยคบ้าๆ นี่ทุกวัน เขาหมายถึงอะไรกันนะ”

วันหนึ่งก็มีความคิดชั่วแล่นเข้ามาในหัวของเธอ “ถึงเวลาที่ฉันจะกำจัดชายหลังค่อมอตัญญูคนนี้เสียที” เธอเจือยาพิษลงในขนมปังก้อนที่เธอเตรียมไว้สำหรับชายหลังค่อม เมื่อกำลังจะเอาขนมปังไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างอย่างที่ทำทุกวัน มือของเธอก็สั่น เธอถามตัวเองว่า “นี่ฉันกำลังจะทำอะไร”

ทันใดนั้นเธอก็ขว้างขนมปังก้อนนั้นเข้าไปในเตาผิงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ และเตรียมขนมปังใหม่อีกก้อนหนึ่งและนำไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างเหมือนเคย เหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวัน ชายแก่หลังค่อมเดินมาหยิบขนมปังก้อนนั้นและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

ชายหลังค่อมเดินจากไปโดยไม่รู้ว่าในใจของหญิงที่เตรียมขนมปังให้เขาทุกวันคิดอะไรอยู่ ทุกวันขณะที่หญิงคนนี้วางขนมปังไว้ที่ขอบหน้าต่าง เธออธิษฐานเผื่อลูกชายของเธอที่จากไปแดนไกลเพื่อแสวงโชค หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากเขาเลย เธออธิษฐานขอให้ลูกชายเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย

ค่ำวันนั้นเธอได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน เมื่อเธอเปิดประตูก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นลูกชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายของเขาซูบผอมและอิดโรย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เขาหิวโซและไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นแม่ เขาก็พูดว่า “แม่ครับ อัศจรรย์มากเลยที่ผมกลับมาหาแม่ได้ เมื่อผมเดินทางมาเกือบถึงบ้าน ผมก็หิวมากจนเป็นลมไป ผมคงตายไปแล้วหากไม่มีชายแก่หลังค่อมเดินผ่านมา ผมขอเศษอาหารจากเขาเพื่อประทังความหิว แต่เขาใจดีมากและให้ขนมปังทั้งก้อนที่เขามีแก่ผม เมื่อเขายื่นขนมปังให้ผม เขาพูดว่า “นี่คืออาหารที่ลุงกินทุกวัน วันนี้ลุงจะให้ขนมปังก้อนนี้แก่หลานนะ เพราะหลานต้องการมันมากกว่าลุง”

หน้าของหญิงผู้เป็นแม่ถอดสีเมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น เธอซวนเซไปพิงประตูเพื่อไม่ให้ล้ม เธอคิดถึงขนมปังที่เจือด้วยยาพิษที่เธอทำเมื่อเช้านี้ หากเธอไม่ตัดสินใจโยนเข้ากองไฟ ลูกชายของเธอคงเป็นคนที่กินขนมปังก้อนนั้น และคงเสียชีวิตไปแล้ว

ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ชายแก่หลังค่อมพูดว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หากเราทำชั่ว ความชั่วนั้นก็จะติดตัวเราไปตลอดและมันจะอยู่ในจิตสำนึกของเรา มันจะตามมาหลอกหลอนความรู้สึกของเราตลอดไป แต่เมื่อเราทำดี ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหน มันจะกลับมาหาเราเอง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าความดีที่ทำไปไม่ได้รับการตอบแทนตามที่เราหวังไว้ก็ตาม

กาลาเทีย 6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร

พระคัมภีร์ยังบอกเราอีกว่า จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ลูกา 6:38

ขอให้เราหมั่นทำดี อย่าท้อถอย ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหนแน่

สิธยา คูหาเสน่ห์





18/10/55

ความฉลาด

ท่านคิดว่าได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้างในชีวิตขณะที่ท่านเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ ท่านคิดว่าฉลาดขึ้นจากเมื่อห้าปีก่อนไหม หรือว่าอีกห้าปีข้างหน้าจะเรียนรู้อะไรมากขึ้นที่จะทำให้ท่านฉลาดกว่าที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบหนักแน่นจากท่านว่า “แน่นอน” คนเราจะฉลาดขึ้นจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ข้าพเจ้าหมายถึงการเรียนรู้สิ่งประเทืองปัญญาที่อาจเปลี่ยนชีวิตของท่านให้ดีขึ้น

ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเรียนรู้ว่า...

... ตราบใดที่มีความเต็มใจที่จะเรียนรู้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ฉลาดขึ้น (ในการดำเนินชีวิต) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้เป็นคนโง่หรือคนไร้ความสามารถ
... ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม ชีวิตและลักษณะนิสัยกำลังอยู่ในขบวนการถูกหล่อหลอมและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และจะมีช่องว่างอยู่เสมอระหว่างตัวตนที่เป็นอยู่กับตัวตนที่อยากจะเป็น

... บุคลิกภาพสำคัญกว่าความสามารถ และคุณค่าสำคัญกว่าความสำเร็จ

... ตัดสินตัวเองด้วยความตั้งใจดีของตน แต่จะถูกตัดสินด้วยการกระทำครั้งสุดท้ายของตน

... มักจะพรางความอะลุ่มอล่วยทางศีลธรรมด้วยหลักเหตุผล คือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย

... เส้นทางสู่ความสุขคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่สำคัญสัมพันธภาพกับพระเจ้า

... ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น และมันเป็นการเลือกที่จะยอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ที่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน การเรียนรู้ไม่มีการสิ้นสุด และไม่มีใครแก่เกินเรียน ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนมีบทเรียนซ่อนอยู่ ประเด็นอยู่ที่ว่าเรากล้าพอที่จะค้นมันให้พบหรือไม่ และหากพบแล้วกล้าพอที่จะใช้สิ่งที่เรียนรู้มาในการดำเนินชีวิตหรือไม่

ชีวิตอาจเป็นเรื่องยากและลำบากแสนเข็ญ โดยเฉพาะเมื่อประสบกับอุปสรรคขวากหนามและความล้มเหลว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตสอนบางสิ่งบางอย่างแก่เรา และบางครั้งอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะรับมือกับความเศร้าโศกที่ตั้งอยู่บนอัตตา ความรู้สึกสงสารตัวเอง และความโกรธ แต่เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วก็จะพบบทเรียนล้ำค่าและปัญญาที่ทำให้ฉลาดขึ้น

พึงระลึกไว้เสมอว่าขบวนการนี้ใช้เวลามาก เราอาจมองไม่เห็นบทเรียนดีๆ ในทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อพร้อมที่จะรับรู้ก็จะเข้าใจได้ ความเข้าใจลึกซึ้งที่ตามมาจะทำให้ยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ได้ และกล้าพอที่จะละความโกรธและความขมขื่นไว้เบื้องหลัง ด้วยมุมมองที่เป็นกลางเราก็จะสามารถเรียนรู้บทเรียนฉลาดๆ ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น และความรู้ของเราก็เพิ่มพูนขึ้น และก็จะฉลาดขึ้นในการดำเนินชีวิตต่อไป

แต่แท้จริงแล้วความฉลาดคืออะไรกันเล่า หลายคนอยากเป็นคนฉลาด ไม่น้อยที่ยังเข้าใจไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเข้าใจว่าความฉลาดคือการมีความรู้มากๆ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงคิดว่าคนมีความรู้น้อยเป็นคนโง่ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ

ลองมาคิดกันสักนิดไหมว่าแท้จริงมันเป็นเช่นไร ความรู้ก็คือการส่ำสมข้อเท็จจริงต่างๆ สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากโรงเรียน ในพระคัมภีร์ และผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็คือการไปหาความรู้ อ่านพระคัมภีร์ก็ได้ความหยั่งรู้ที่หาที่ไหนไม่ได้ ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตก็เป็นประสบการณ์ที่หาเรียนที่ไหนไม่ได้ แต่ความรู้ต่างๆ เหล่านี้จะหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิงหากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราสามารถนำความรู้ดังกล่าวข้างต้นมาใช้อย่างถูกต้องในการดำเนินชีวิตก็คือ “การเป็นคนฉลาด” นั่นเอง

และอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความฉลาดหรือสติปัญญาก็คือความยำเกรงพระเจ้า (ความยำเกรงพระยาเวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา สภษ. 9:10 ฉบับมาตรฐาน) และยังอาจกล่าวได้อีกว่าการรู้จักความรักของพระเจ้าคือสติปัญญามากยิ่ง

เรายังเรียนรู้จากพระคัมภีร์อีกว่าความฉลาดไม่ได้เป็นเรื่องทางปัญญาอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องทางศีลธรรมอีกด้วย เช่นนั้น การเป็นคนฉลาดในมุมมองของพระคัมภีร์ก็คือการนำปัญญาและความฉลาดของเรามาใช้อย่างถูกต้องนั่นเอง ความฉลาดคืออำนาจในการมองเห็นและความโน้มเอียงในการเลือกเป้าประสงค์ที่ดีที่สุดและสูงที่สุดได้ และดำเนินไปสู่สิ่งนั้นด้วยวิธีที่แน่นอนที่สุด จึงอาจสรุปจากที่กล่าวมาข้างต้นว่าแท้จริงความฉลาดคือภาคปฏิบัติของความดีงามทางศีลธรรมนั่นเอง

สิธยา คูหาเสน่ห์

14/9/55

การเชื่อวางใจพระเจ้า (เคล็ดลับของการดำเนินชีวิตคริสเตียน)

เคล็ดลับของการดำเนินชีวิตคริสเตียนคือ การเชื่อวางใจพระเจ้า ยอมมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความปรารถนาของเรา ให้การตัดสินใจในทุกเรื่องของเราเป็นการพึ่งพิงพระองค์ด้วยความเชื่อวางใจอย่างที่สุด ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้เป็นแบบอย่างที่พระเยซูทรงกระทำไว้ให้เราทำตามเมื่อพระองค์ทรงยอมตายบนกางเขนและตรัสว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42)

ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ให้แก่เราที่จะเลือกวางชีวิตของเราไว้กับพระองค์เพื่อให้พระองค์สามารถทำงานผ่านชีวิตของเราให้เกิดผลได้


พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเรา และเราต้องเพ่งมองดูพระองค์เสมอ “เพราะพระเจ้าทรงเรียกพวกท่านเพื่อจุดประสงค์นี้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” ... “เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงขู่อาฆาต แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม”


แต่น่าเศร้าที่พวกเรามักจะตัดสินใจผิดพลาดไม่ยอมให้พระเจ้าทรงสำแดงพระประสงค์และชีวิตของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา ด้วยเหตุนี้ “เรา” จึงเป็นคนทำให้การดำเนินชีวิตคริสเตียนในฐานะผู้เชื่อยากลำบาก มิใช่พระเจ้า


“เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:14


หากเรายอมมอบชีวิตของเราไว้กับพระเจ้าแล้ว การดำเนินชีวิตของเราแม้มีอุปสรรคบ้างก็ไม่น่ายากลำบากมากนัก แล้วเราจะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ดังเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะขอแบ่งปันกับท่านจากคำพยานที่อ่านพบมาจากสังคมคริสเตียนออนไลน์


สตรีคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำธุรกิจต่างเมืองจากเมืองดูแรงโกในรัฐโคโลราโดซึ่งอยู่ห่างไปอย่างน้อย 40 ไมล์ (64.36 กม.) ส่วนนี้ของรัฐโคโลราโดสวยงามมาก แต่ค่อนข้างจะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และระหว่างสองเมืองนี้ก็

เป็นที่ว่างเปล่าทั้งหมด

สตรีคนนี้ได้รับเทปเกี่ยวกับความรักแบบบิดาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เธอก็ฟังไปบ้างแล้ว แต่คิดว่าการขับรถทางไกลแบบนี้น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะฟังให้จบ และเธอก็ตั้งอกตั้งใจฟังเมื่อพูดถึงการตัดสินใจเชื่อวางใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและไม่ได้สังเกตว่าน้ำมันจวนจะหมดแล้ว และก็ขับรถผ่านปั๊มน้ำมันสุดท้ายที่มีอยู่มาแล้ว และกว่าจะพบปั๊มอีกครั้งก็จะเป็นในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว ตอนนี้เธอขับมาได้ประมาณครึ่งทางแล้ว และน้ำมันก็หมดถังและไม่สามารถไปต่อได้อีก เธอจึงหลบเข้าข้างทางด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง


เนื่องจากเธอจะเดินทางไปทำธุรกิจจึงแต่งตัวอย่างเป็นทางการและคงไม่เอื้อให้เธอเดินไปไหนได้ไกลนัก แต่หากเธอฮึดสู้เดินจนได้ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นให้ขอความช่วยเหลือได้ รถที่พอจะมีสัญจรไปมาบ้างก็ไม่น่าจะอยู่ในข่ายที่ขอความช่วยเหลือได้เพราะคนขับเป็นชายหน้าตาดุดันไว้หนวดเครารกรุงรังและมีปืนวางไว้ข้างตัว


ในขณะที่นั่งตรึกตรองว่าจะทำอย่างไรดี พระเจ้าทรงเร้าในใจของเธอถึงสิ่งที่เธอเพิ่งฟังมาเกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยความเชื่อวางใจในพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะดูสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม เธอจึงเข้าใจว่าแม้ในสถานการณ์นี้เธอยังมีโอกาสที่จะเลือกทางเดินได้ เธอเลือกที่จะนั่งรอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง (ซึ่งเธอกำลังสัมผัสอยู่) หรือเธอเลือกที่จะเชื่อวางใจพระเจ้าและมอบให้พระองค์ทรงนำเธอออกจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่


ในที่สุดเธอก็เลือกประการหลังโดยไม่ใช้ “ความรู้สึก” ส่วนตัว เธอเลือกตัดสินใจด้วยความเชื่อ เธอมอบความกลัวและความประหวั่นพรั่นพรึงของเธอไว้กับพระเจ้าและวางใจพระองค์ที่จะปกป้องเธอและนำเธอไปสู่จุดหมายปลายทาง


หลังจากที่เธออธิษฐานด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยมแล้ว เธอก็ลองดูว่าเครื่องยนต์จะติดหรือไม่ ปรากฏว่าเครื่องติดและสามารถขับต่อไปได้ เธอจึงขับรถชิดขวาและค่อยๆ ขับไปตามทาง ยิ่งขับไปก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ เธอดีใจที่ตัดสินใจแบบนั้นซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเธอและพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ให้เธอเห็นตอนนั้นเลย


สตรีคนนั้นขับรถที่ไม่มีนำ้มันเหลืออยู่ในถังเลยเป็นระยะทางประมาณ 20 ไมล์ (ประมาณ 32 กม.) ไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง เมื่อเธอต้องขับข้ามเนินเขา เธอก็แค่เร่งเครื่องด้วยความเชื่อวางใจ ในที่สุดเธอก็ถึงที่หมายและแวะเข้าไปที่ปั๊มน้ำมันแรกที่เจอ พนักงานแปลกใจที่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มใจของเธอ และเป็นโอกาสที่เธอสามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพนักงานคนนั้น เธอได้หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อไว้ในชีวิตของพนักงานคนนั้นแล้ว ต่อจากนั้นก็ขึ้นกับพระเจ้าและการตัดสินใจของคนนั้นว่าจะทำอย่างไรกับเมล็ดแห่งความเชื่อนั้น


สตรีคนนี้ไปทันการนัดหมายสำคัญและได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัตย์ซื่อของพระเจ้า กี่คนท่ามกลางพวกเราที่ลืมไปว่าพระเจ้าทรงพร้อมที่จะช่วยเราจากสถานการณ์เลวร้ายในชีวิต


ท่านล่ะ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ท่านจะตัดสินใจอย่างไร


สิธยา คูหาเสน่ห์







20/8/55

ความเป็นแม่

ความเป็นแม่เริ่มต้นตรงไหนและเมื่อไร และอะไรคือความเป็นแม่ ท่านคิดว่าความเป็นแม่เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ใช่หรือไม่ สำหรับหลายคนเห็นเป็นเช่นนั้น วินาทีที่รู้แน่ชัดว่ากำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงก็เริ่มหัดที่จะดูแลและปกป้องลูกน้อยในครรภ์ นี่คือการฝึกที่จะเป็นแม่แล้วใช่ไหม ที่จริงความเป็นแม่มีขอบเขตกว้างไกลกว่านั้นมากมายนัก



ความเป็นแม่ไม่มีขอบเขตจำกัด ความเป็นแม่อาจทำให้ผู้หญิงมีความสุขและความชื่นนชมยินดีมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่อีกด้านหนึ่งความเป็นแม่ก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดและความทุกข์มากมายเช่นกัน เมื่อลูกได้รับความเจ็บปวด แม่ย่อมรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เมื่อลูกมีความสุข แม่ก็ย่อมสุขด้วย ความเป็นแม่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรงและบางทีเกินขีดจำกัดที่คิดว่าจะเป็นไปได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าไม่มีขีดจำกัด



หน้าที่ของแม่ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัวและขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นแม่ในวัฒนธรรมใดก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าแม่มีหน้าที่พื้นฐานที่เหมือนๆ กัน คือ หน้าที่ในการเลี้ยงดูฟูมฟักและปกป้องลูก หน้าที่ของแม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าลูกน้อยจะได้รับอาหารจนอิ่ม ได้รับความรัก และได้รับความปลอดภัย สำหรับแม่หลายคนอาจมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย และพร้อมที่จะให้การดูแลและการปกป้องได้ แต่สำหรับอีกหลายคนต้องดิ้นรนเพื่อที่จะทำเช่นนั้น



แม่มิได้ปกป้องคุ้มครองเฉพาะลูกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงสมาชิกในครอบครัวด้วย ส่วนใหญ่แม่จะเป็นผู้ตัดสินใจแทนลูกเพราะแม่เป็นผู้ที่รู้จักลูกดีที่สุดจึงสามารถรู้ว่าอะไรดีีที่สุดสำหรับลูก



ความเป็นแม่ยังได้ขยายขอบเขตไปถึงลูกของคนอื่นด้วย ความเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงอ่อนไหวในอารมณ์มากขึ้น ภาพยนตร์หรือข่าวที่เมื่อก่อนไม่ได้สร้างความสะเทือนใจหรือเร้าอารมณ์ บัดนี้กลับทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรง เนื่องจากแม่รักลูกมากก็เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นแม่จะรู้สึกรุนแรงกว่าผู้ที่เป็นลูก



แม้ว่าความเป็นแม่อาจทำให้เกิดความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ในความทุกข์ยากแฝงไว้ด้วยบำเหน็จรางวัล ลูกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้เป็นแม่ตั้งแต่ในครรภ์ แม่บางคนกลัวว่าเมื่อลูกออกมาลืมตาดูโลกแล้ว ความสัมพันธ์แบบนั้นจะหมดไป แต่ไม่ต้องกลัว ความรู้สึกผูกพันจะมีมากขึ้นเมื่อได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน ลูกเป็นส่วนหนึ่งของแม่ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นแม่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แท้ที่จริงไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียด้วยซ้ำไป



ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มาก ผู้ที่ยังไม่เป็นแม่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าความรักที่แม่มีต่อลูกเป็นอย่างไรจนกว่าจะมีประสบการณ์แบบนั้นเอง



คนที่ยังไม่เป็นแม่ อยากเป็นแม่แล้วหรือยัง



สิธยา คูหาเสน่ห์

19/7/55

การปล้ำสู้

ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนคงเดยได้ยินเรื่องราวของดักแด้กับผีเสื้อมาแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้ามิเพียงได้ยินเท่านั้นแต่ยังได้เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอีกด้วย แม้ว่าผีเสื้อที่ข้าพเจ้าเคยฟูมฟักมาจะไม่ใช่ผีเสื้อสีสวย แต่เป็นผีเสื้อกลางคืนก็ตาม ทว่าไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อสีสวยหรือผีเสื้อกลางคืนก็เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าพระผู้สร้าง และเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง

เรื่องราวนี้เล่าว่า...

ชายคนหนึ่งพบรังดักแด้รังหนึ่ง วันหนึ่งรังดักแด้นั้นก็เปิดออกเป็นรูเล็กๆ เขาเฝ้ารอดูการปล้ำสู้ของผีเสื้อตัวน้อยที่พยายามจะออกมาจากรังทางรูเล็กๆ นั้นนานหลายชั่วโมง แล้วความพยายามก็หยุดลง ดูเหมือนว่ามันทำได้แค่นั้นเอง ชายคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะช่วยผีเสื้อตัวน้อยให้ออกมาจากรังดักแด้ เขาหยิบกรรไกรมาตัดรังดักแด้ออก เมื่อเปิดกว้างผีเสื้อตัวน้อยก็ออกมาจากรังได้อย่างง่ายดาย แต่ลำตัวของผีเสื้อตัวน้อยบวมเป่งและปีกก็สั่นระริก ชายคนนั้นเฝ้าดูต่อไปเพราะเขาคาดหวังไว้ว่าปีกจะขยายใหญ่ขึ้นและกางออกพร้อมที่จะบิน แต่ไม่มีอะไรตามคาดเกิดขึ้นเลย แท้จริงแล้วผีเสื้อน้อยตัวนี้จะไม่สามารถบินได้ตลอดชีวิตของมัน ทำได้แค่คลานไปด้วยลำตัวที่บวมเป่งและปีกที่สั่นระริกของมันเท่านั้น

สิ่งที่ชายคนนี้คิดว่าเป็นความเมตตาที่ช่วยให้ผีเสื้อตัวน้อยออกจากรังดักแด้เร็วขึ้นคือความไม่เข้าใจของเขา แท้จริงแล้วการที่ผีเสื้อตัวน้อยค่อยๆ ออกจากรังดักแด้ และปล้ำสู้ออกจากรูเล็กๆ นั้นเป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อบีบให้ของเหลวจากร่างกายของผีเสื้อเข้าไปสู่ปีกของมันเป็นการเตรียมพร้อมที่จะบินเมื่อออกจากรังดักแด้
บทเรียนที่ได้จากเรื่องราวนี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ในชีวิตของเรา ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากอุปสรรคหรือการปล้ำสู้ ก็จะเป็นการทำร้ายเรา เราจะไม่เข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ เมื่อเผชิญกับมัน เราจะไม่สามารถบินได้ ยิ่งโลกปัจจุบันที่โฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ด้านด้วยแล้ว เรายิ่งต้องเตรียมพร้อมที่บินสู่โลกกว้างที่โหดร้าย ดังนั้นสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามิได้แค่เกิดขึ้น ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล เรารู้ดีว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ และเป็นพระประสงค์ดี แต่ในขณะที่เกิดขึ้น เราอาจไม่พร้อมที่จะมองด้วยใจวินิจฉัย และสงสัยพระเจ้า ต่อว่าพระองค์ แต่ขอให้จำไว้ว่าเวลาของพระเจ้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด ขอเพียงอดทนรอคอย และเตรียมตัวให้พร้อมที่จะบินเมื่อปีกของเราแข็งแรงพอที่จะพยุงเราไป
ข้าพเจ้ารู้ว่่าการรอคอยไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วงเวลาที่ฟูมฟักผีเสื้ออยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ใจร้อนอยากเห็นผีเสื้อเร็วๆ และการเปลี่ยนแปลงแต่ละขั้นตอนก็ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าดีใจที่มิได้ทำเหมือนชายคนนี้ ที่ไม่ทำเหตุผลหนึ่งก็คือ “กลัว” ในคืนที่มันโผล่ออกจากรังดักแด้นั้น ข้าพเจ้าเตรียมกล้องไว้พร้อมสำหรับจับภาพในวินาทียิ่งใหญ่แห่งความเป็นอิสระ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

ในการปล้ำสู้กับชีวิต ให้เราทูลขอสติปัญญาและกำลังจากพระเจ้าเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้
สิธยา คูหาเสน่ห์

22/6/55

ความกระวนกระวายใจ

ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ย่างเข้าครึ่งปีหลังเสียแล้ว ที่เขาพูดว่าเวลาผ่านไปเหมือนติดปีก (ใหญ่ๆ เสียด้วย) เห็นจะจริง สำหรับข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะป่วยเสียเดือนกว่า (เมื่อเร็วๆ นี้) ไม่ทราบเหมือนกันว่าสาเหตุจริงๆ คืออะไร ไม่ได้ป่วยมานานโข จู่ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ร่างกายผ่ายผอมจนคนทัก แพทย์ก็เดาว่าเป็นโน่นเป็นนี่ หรือว่าร่างกายจะประท้วงเพราะเดี๋ยวก็ไปอยู่ในที่ที่หนาวจัดจนมือเท้าชาไร้ความรู้สึก ยังไม่ทันปรับตัวอย่างเต็มที่ก็กลับมาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนระอุราวกับเตาไฟ แต่ไม่ว่าอาการป่วยของข้าพเจ้าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม พระเจ้าก็ทรงรักษาให้หายแล้ว ตอนนี้ก็สบายดีแล้วจึงได้กลับมาขีดๆ เขียนๆ เหมือนเดิม (แต่จะพูดว่าขีดๆ เขียนๆ เห็นจะไม่ถูกนัก เพราะสมัยนี้เทคโนโลยีล้ำหน้า คงไม่มีใครเขียนกันแล้ว)

โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ในหลายๆ ด้าน ไม่น่าแปลกที่คนในโลกปัจจุบันจะมีความกระวนกระวายใจมากมายหลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องความขัดแย้ง สุขภาพที่ย่ำแย่ สถานการณ์อันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ ความตายที่คืบใกล้เข้ามา ความจำเป็นในชีวิตที่ยังขาดอยู่ ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่อ่อนแอ ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คุกคามอยู่ ฯลฯ แต่พระคัมภีร์บอกว่า “อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์ (ฟิลิปปี 4:6-7 ฉบับมาตรฐาน) ฉะนั้น หากท่านมีความกระวนกระวายใจในเรื่องใด จงทูลต่อพระเจ้าเถิด พระองค์ทรงสดับฟังการร้องทูลของท่าน ขอบพระคุณแม้ว่าคำตอบหรือทางออกยังมาไม่ถึง อีกครั้งที่พระคัมภีร์ย้ำว่า “จงละความกังวลทุกอย่างของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 เปโตร 5:7 ฉบับมาตรฐาน)

ดังนั้น คงไม่มีอะไรผิดที่จะยอมรับและพยายามรับมือกับปัญาต่างๆ ในชีวิต การไม่ยอมรับรู้เป็นเรื่องโง่เขลาและไม่ถูกต้อง แต่การวิตกกังวลเกินเหตุก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง สิ่งที่ควรทำคือทูลเรื่องราวความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอน พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยท่านจากความกลัวหรือความกังวลต่างๆ และทรงช่วยให้ท่านสามารถจัดการกับความจำเป็นในชีวิตและสงครามฝ่ายวิญญาณได้ตามความเป็นจริง

บางทีสาเหตุที่ทำให้บางคนวิตกกังวลและกลัว กระวายใจ อาจเป็นผลของความบาปและความรู้สึกผิดของคนนั้น ถ้าท่านทำบาปหรือทำสิ่งที่ผิด ท่านอาจกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับพระเจ้า มโนธรรมอาจกำลังพยายามทำให้ท่านสนใจกับสิ่งที่ทำไป สิ่งที่ท่านต้องทำคือ กลับใจ สารภาพบาป และทูลขอให้พระเจ้าทรงอภัย และแก้ใขสิ่งผิดและทำสิ่งที่ถูกต้อง นอกจากนั้นลองสำรวจดูสิว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ โดยทั่วไปมนุษย์ต้องการการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 8-9 ชั่วโมงต่อวัน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทำให้กระวนกระวายใจได้ ถ้านอนไม่หลับ ท่านอาจทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรือไม่ก็ไปพบแพทย์

หัดเป็นคนสมเหตุสมผลมากขึ้น คนมากมายมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงและไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง และทำวันนี้ให้ดีที่สุด จงมีชีวิตอยู่วันต่อวัน ติดสนิทกับพระเจ้า และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลองหาเวลาฟังดนตรีเบาๆ เพลงคริสเตียนซึ่งสามารถช่วยท่านให้มุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าและทิ้งความกลัวและความวิตกกังวลไว้เบื้องหลังมีอยู่มากมาย (จากประสบการณ์ส่วนตัว เพลงบรรเลงคริสเตียนสามารถช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ)

เมื่อมีความวิตกกังวล อย่าเก็บไว้ในใจ หาใครสักคนที่ไว้ใจได้และพูดคุยแบ่งปันกัน การพูดปัญหาต่างๆ ออกมาน่าจะช่วยให้คลายกังวลไปได้บ้าง แต่เพื่อนที่ดีที่สุดและสามารถรับฟังได้ทุกเรื่องก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นสหายเลิศของเรานั่นเอง (2 เธสะโลนิกา 2:16-17 ฉบับมาตรฐาน “ขอให้องค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ทรงรักเราและประทานให้เรามีความชูใจนิรันดร์ และความหวังดีโดยพระคุณ ทรงชูใจและทรงเสริมท่านให้มั่นคง ในการกระทำและในวาจาอันดีทุกอย่าง”)

ความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลมีผลต่อความเชื่อ ขณะที่กำลังทุกข์ใจกับปัญหาต่างๆ ท่านอาจสงสัยพระเจ้า อาจมีคำถามมากมายผุดขึ้นในความนึกคิด อาจไม่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังคำร้องทูลจริงหรือ ทำไมคำตอบมาไม่ถึงเสียที ขอแล้วทำไมไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ อย่าสงสัยพระเจ้า

ความวิตกกังวลทำให้ความรู้สึกมั่นคงลดลงเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อกัน เมื่อชีวิตดำเนินไปตามแผนและรู้สึกมั่นคง ความวิตกกังวลก็จะค่อยๆ หมดไป ในทำนองเดียวกัน ความวิตกกังวลมีมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคาม ชีวิตไม่มั่นคง หรือเมื่อหมกมุ่นอยู่กับผลลัพธ์บางอย่าง ผู้เชื่อต้องรู้จักที่จะละความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลของตนไว้กับองค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอนต่อพระองค์ การกระทำเช่นนี้ทำให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์มากขึ้น และทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น นี่เป็นวิธีขจัดความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลสำหรับผู้เชื่อ

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอหนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลและความเชื่อเริ่มสั่นคลอนว่า จงวางใจพระเจ้า ไม่มีปัญหาใดใหญ่เกินกว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์ คร่ำครวญต่อพระองค์ และสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตคริสเตียน

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร

สิธยา คูหาเสน่ห์