ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเรียนรู้ว่า...
...
ตราบใดที่มีความเต็มใจที่จะเรียนรู้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ ที่ทำให้ฉลาดขึ้น
(ในการดำเนินชีวิต)
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้เป็นคนโง่หรือคนไร้ความสามารถ
... ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม
ชีวิตและลักษณะนิสัยกำลังอยู่ในขบวนการถูกหล่อหลอมและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
และจะมีช่องว่างอยู่เสมอระหว่างตัวตนที่เป็นอยู่กับตัวตนที่อยากจะเป็น
... บุคลิกภาพสำคัญกว่าความสามารถ และคุณค่าสำคัญกว่าความสำเร็จ
... ตัดสินตัวเองด้วยความตั้งใจดีของตน
แต่จะถูกตัดสินด้วยการกระทำครั้งสุดท้ายของตน
... มักจะพรางความอะลุ่มอล่วยทางศีลธรรมด้วยหลักเหตุผล คือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย
... มักจะพรางความอะลุ่มอล่วยทางศีลธรรมด้วยหลักเหตุผล คือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย
...
เส้นทางสู่ความสุขคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
และที่สำคัญสัมพันธภาพกับพระเจ้า
... ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น
และมันเป็นการเลือกที่จะยอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ที่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน
การเรียนรู้ไม่มีการสิ้นสุด
และไม่มีใครแก่เกินเรียน
ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนมีบทเรียนซ่อนอยู่
ประเด็นอยู่ที่ว่าเรากล้าพอที่จะค้นมันให้พบหรือไม่
และหากพบแล้วกล้าพอที่จะใช้สิ่งที่เรียนรู้มาในการดำเนินชีวิตหรือไม่
ชีวิตอาจเป็นเรื่องยากและลำบากแสนเข็ญ
โดยเฉพาะเมื่อประสบกับอุปสรรคขวากหนามและความล้มเหลว
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตสอนบางสิ่งบางอย่างแก่เรา
และบางครั้งอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะรับมือกับความเศร้าโศกที่ตั้งอยู่บนอัตตา
ความรู้สึกสงสารตัวเอง
และความโกรธ แต่เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ
เหล่านี้แล้วก็จะพบบทเรียนล้ำค่าและปัญญาที่ทำให้ฉลาดขึ้น
พึงระลึกไว้เสมอว่าขบวนการนี้ใช้เวลามาก
เราอาจมองไม่เห็นบทเรียนดีๆ
ในทันที
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อพร้อมที่จะรับรู้ก็จะเข้าใจได้
ความเข้าใจลึกซึ้งที่ตามมาจะทำให้ยอมรับสถานการณ์ต่างๆ
ได้ และกล้าพอที่จะละความโกรธและความขมขื่นไว้เบื้องหลัง
ด้วยมุมมองที่เป็นกลางเราก็จะสามารถเรียนรู้บทเรียนฉลาดๆ
ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น
และความรู้ของเราก็เพิ่มพูนขึ้น
และก็จะฉลาดขึ้นในการดำเนินชีวิตต่อไป
แต่แท้จริงแล้วความฉลาดคืออะไรกันเล่า
หลายคนอยากเป็นคนฉลาด
ไม่น้อยที่ยังเข้าใจไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะเข้าใจว่าความฉลาดคือการมีความรู้มากๆ
ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงคิดว่าคนมีความรู้น้อยเป็นคนโง่
มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
ลองมาคิดกันสักนิดไหมว่าแท้จริงมันเป็นเช่นไร
ความรู้ก็คือการส่ำสมข้อเท็จจริงต่างๆ
สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากโรงเรียน
ในพระคัมภีร์ และผ่านเรื่องราวต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็คือการไปหาความรู้
อ่านพระคัมภีร์ก็ได้ความหยั่งรู้ที่หาที่ไหนไม่ได้
ผ่านเรื่องราวต่างๆ
ในชีวิตก็เป็นประสบการณ์ที่หาเรียนที่ไหนไม่ได้
แต่ความรู้ต่างๆ
เหล่านี้จะหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิงหากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง
เมื่อเป็นเช่นนั้น
การที่เราสามารถนำความรู้ดังกล่าวข้างต้นมาใช้อย่างถูกต้องในการดำเนินชีวิตก็คือ
“การเป็นคนฉลาด” นั่นเอง
และอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความฉลาดหรือสติปัญญาก็คือความยำเกรงพระเจ้า
(ความยำเกรงพระยาเวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
สภษ. 9:10 ฉบับมาตรฐาน)
และยังอาจกล่าวได้อีกว่าการรู้จักความรักของพระเจ้าคือสติปัญญามากยิ่ง
เรายังเรียนรู้จากพระคัมภีร์อีกว่าความฉลาดไม่ได้เป็นเรื่องทางปัญญาอย่างเดียว
แต่ยังเป็นเรื่องทางศีลธรรมอีกด้วย
เช่นนั้น
การเป็นคนฉลาดในมุมมองของพระคัมภีร์ก็คือการนำปัญญาและความฉลาดของเรามาใช้อย่างถูกต้องนั่นเอง
ความฉลาดคืออำนาจในการมองเห็นและความโน้มเอียงในการเลือกเป้าประสงค์ที่ดีที่สุดและสูงที่สุดได้
และดำเนินไปสู่สิ่งนั้นด้วยวิธีที่แน่นอนที่สุด
จึงอาจสรุปจากที่กล่าวมาข้างต้นว่าแท้จริงความฉลาดคือภาคปฏิบัติของความดีงามทางศีลธรรมนั่นเอง
สิธยา
คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น