21/6/53

เชื่อเท่านั้น

มีการกล่าวถึงการทดสอบกำลังด้วยเครื่องวัดพลังงาน ( dynamometer) คนที่ต้องการทดสอบกำลังของตนต้องบีบเครื่องนี้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อบีบแล้วจะมีการวัดและจดบันทึกไว้ หลังจากนั้นคนนั้นก็จะถูกสะกดจิตและถูกบอกกล่าวว่าเขาแข็งแรงมาก เมื่อคนๆ นั้นถูกขอให้บีบเครื่องวัดอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาทำได้ดีกว่าเดิม 40% แท้จริงแล้วกำลังของเขาไม่ได้มีเพิ่มขึ้นเลย แต่ความสามารถในการใช้กำลังต่างหากที่ดีขึ้น

การสะกดจิตก็ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ทำได้ดีขึ้้น แต่มันคือความเชื่อว่าทำได้นั่นเอง เมื่อเราถูกทำให้เชื่อว่าเราแข็งแรงกว่าเดิม เราก็จะตอบสนองตามนั้น มันมีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่เราทำในช่วงชีวิตของเรานั้นอยู่ภายใต้อำนาจการสะกดจิตตัวเองที่เชื่อตามคำบอกเล่าจากผู้อื่นและรวมถึงสิ่งที่เราพร่ำบอกตัวเองด้วย และเราก็ “เชื่อ” ตามนั้น

สิ่งที่้้้เราจำเป็นต้องทำคือการฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราในพระคัมภีร์ เชื่อ และทำตาม พระเยซูตรัสว่า “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” (มาระโก 9:23) และอัครทูตเปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4:13) หมายถึงทุกสิ่งที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงเรียกให้เราทำในสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงเตรียมเราให้พร้อมที่จะทำ (ข้าพเจ้าได้รับประสบการณ์ตรงจากการแปลหนังสือมานับสิบปี) พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายให้เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในการทำงาน และให้สัตย์ซื่อในการเป็นผู้อารักษาสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ด้วย เช่น เวลา ความสามารถ และเงินทอง เป็นต้น

ขอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อย อย่างที่ท่านทั้งหลายคงจะทราบอยู่บ้างว่าการแปลหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ส่วนตัวข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหากไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงเตรียมข้าพเจ้าสำหรับงานรับใช้ด้านนี้แล้ว ด้วยกำลังของข้าพเจ้าเองคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ก่อนที่จะทำงานด้านนี้ก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่างานแปลจะใช้พลังงานมากมายเช่นนี้ แรกๆ รู้สึกลำบากมาก แต่เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็เหมือนอยู่ตัว แต่ตระหนักอยู่เสมอว่าสติปัญญาทั้งมวลมาจากพระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าถ่อมใจลงยอมให้พระองค์ทรงใช้ เมื่อต้องแปลหนังสือเล่มใดก็ตาม พระองค์จะทรงประทานสติปัญญามาให้เพื่อทำให้สำเร็จทุกครั้งไป และในการแปลหนังสือแต่ละเล่มก็ได้รับประสบการณ์กับพระเจ้ามากมาย ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่คิด แต่กลับเป็นพระพรมากมายเหลือเกิน เมื่อข้าพเจ้าเชื่อว่าสามารถทำได้ ข้าพเจ้าก็ทำได้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหนังสือทุกเล่มที่มาถึงมือข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงใช้ พระองค์จะทรงเตรียมข้าพเจ้าให้พร้อมด้วย

ข้าพเจ้าจึงอยากจะหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อท่านคิดว่ายังขาดสติปัญญาความสามารถในการทำสิ่งใด ขอให้ทูลขอจากพระเจ้า แล้วเชื่อว่าได้รับตามที่ขอ แล้วท่านจะทำได้ อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าการเชื่อว่าทำได้สามารถช่วยให้เราทำให้สำเร็จได้

การมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคริสเตียน พระองค์ทรงมีวิธีการที่ลึกล้ำเกินความเข้าใจของมนุษย์จริงๆ สิ่งใดที่เป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในสายตามนุษย์ เมื่อเราวางใจและเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สำเร็จได้ สิ่งนั้นก็จะสำเร็จ ไม่ต้องกลัว ทูลขอสิ่งนั้น แล้วพระองค์จะทรงประทานให้ แต่ถ้าไม่ได้ตามที่ขอ ท่านอาจขอผิด (ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน.. ยากอบ 4:3)

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/4/53

อีสเตอร์อีกครั้ง

อีกโอกาสหนึ่งที่คริสตชนจะคิดและไตร่ตรองถึงความรักใหญ่ยิ่งหาที่เปรียบมิได้ของพระเจ้าก็เวียนมาถึงในเดือนเมษายน นั่นคือ การเฉลิมฉลองวันคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ น่าเสียดายที่บางคนให้ความสำคัญต่อวันคริสตมาสมากกว่า ข้าพเจ้าคิดว่าอาจเป็นเพราะการเฉลิมฉลองที่น่ารื่นเริงสำหรับเทศกาลนั้นก็เป็นได้ แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าการคืนพระชนม์หรือวันอีสเตอร์น่าจะมีความสำคัญต่อฝ่ายวิญญาณของเรามากกว่า เพราะนั่นเป็นการยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ทรงมีชัยเหนือความตาย การคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นการแสดงถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งทุกคนที่เชื่อจะได้รับ และยังเป็นการชี้บ่งถึงความเป็นจริงของพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำและทรงสั่งสอนในช่วงสามปีแห่งพันธกิจของพระองค์บนโลก ถ้าพระเยซูคริสต์มิได้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ถ้าพระองค์มิได้คืนพระชนม์ พระองค์ก็จะทรงถูกนับว่าเป็นเพียงอาจารย์สอนศาสนาคนหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น การคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นการพิสูจน์ที่แย้งไม่ได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระองค์ทรงมีชัยเหนือความตายอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ อีสเตอร์จึงเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุด
ผู้เชื่อจะได้รับชีวิตใหม่หลังจากที่ตายจากโลกนี้แล้ว การเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อนี้แหละ 
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากจึงเห็นสมควรที่จะแบ่งปันไว้ ณ ที่นี้
สามีคนหนึ่งเล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องราวที่คุณพ่อเล่าให้ฟังเมื่อเขาอายุแปดปีว่า วันหนึ่งเมื่อไปตกปลากับคุณพ่อก็ได้ยินเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับต้นสน คุณพ่อเล่าให้เขาฟังว่าต้นสนรู้ว่าเมื่อใดเป็นเทศกาลอีสเตอร์ ภรรยาก็งงกับคำพูดของสามี จึงเร่งเร้าให้เขาเล่าต่อ
สามีเล่าต่อว่าคุณพ่อบอกเขาว่าต้นสนเริ่มแตกยอดก่อนวันอีสเตอร์หลายสัปดาห์ ถ้าดูยอดต้นสนสองสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ก็จะเห็นยอดอ่อนสีเหลือง เมื่อเข้าใกล้วันอีสเตอร์ ยอดที่สูงที่สุดจะแตกออกเป็นรูปกางเขน เมื่อถึงวันอาทิตย์ที่เป็นการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ ก็จะเห็นต้นสนส่วนใหญ่มียอดอ่อนเป็นรูปกางเขนบนยอดที่สูงที่สุดของมัน 
ต้นสนพร้อมที่จะเฉลิมฉลองวันคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านล่ะพร้อมหรือยัง

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/2/53

พลังแห่งรัก

เดือนกุมภาพันธุ์เวียนมาถึงอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ก็เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลว่าเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก ข้าพเจ้าก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าทำไมนะคนเราจึงจำกัดเวลาที่จะบอกรักกันน้อย เหลือเกิน แต่ในทางกลับกันอยากให้พระเจ้ารักเรามากๆ กระแสโลกก็เป็นแบบนี้แหละ มนุษย์มักอยู่กับความขัดแย้งในหลายๆ ด้าน

ความรักมีพลังยิ่งใหญ่ ความรักเป็นการงานของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ความรักเป็นหนึ่งในเก้าของผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22) แท้จริงเป็นผลแรกที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ทีเดียวไม่เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น ที่เชื่อในพลังแห่งรัก แม้แต่ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องพระเจ้าได้ก็ ยังยอมรับว่าพลังยิ่งใหญ่ของความรักสามารถเปลี่ยนชีวิตได้หากถูกนำมาใช้ใน ทางที่ถูกที่ควร

ความรักมีผลกับคนทั้งโลก ด้วยพลังยิ่งใหญ่แห่งรักนี่แหละที่ทำให้มีชัยเหนือมนุษย์ ชนชาติ และศาสนา รักเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารกันได้ทั่วโลกอย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับของ คนทุกระดับชั้น

ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์จึงมีข้อพระวจนะที่เน้นว่าให้รักพระเจ้า ให้รักกันและกัน และให้รักตัวเอง บางคนอาจมีคำถามในใจว่าก็ในเมื่อรักมีพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงยังมีสงคราม ความเป็นปรปักษ์ อาชญากรรม และความโหดร้ายป่าเถื่อนให้เห็นกันเป็นประจำวันเล่า ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงบอกเราว่าในยุคสุดท้ายความรักของคนจำนวนมากจะเยือก เย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป (มธ. 24:12 ฉบับมาตรฐาน 2002) ซึ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่ในฐานะคริสเตียน เราทั้งหลายรู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเลวทรามทั้งมวลก็คือการที่ มนุษย์ไม่สามารถรักกันในแบบที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เป็นไป เนื่องจากมนุษย์ได้จมปลักอยู่ในความบาปและด้วยธรรมชาติบาปของเราอันเป็นผล สืบเนื่องมาจากการกระทำของอาดัมและเอวาในสวนเอเดน ด้วยเหตุผลนี้เองที่พระบิดาทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนคนบาป ทั้งปวงเพื่อไถ่คนเหล่านั้นซึ่งเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าให้กลับไปสู่พระ สิรินั้น

แม้แต่ความรักของผู้เชื่อเองก็มีอย่างกระพร่องกระแพร่งเต็มที วิธีที่จะให้ความรักเต็มล้นก็ทำได้ง่ายๆ แค่เรียนรู้ที่จะดึงความรักมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง และวิธีที่จะเข้าถึงความรักอันบริบูรณ์ของพระวิญญาณก็คือความเต็มใจที่รับ การชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นเหมือนพระเยซู คริสต์พระบุตรของพระองค์

มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ไม่มีทางลัดที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง มันต้องเริ่มต้นเมื่อความรักของพระเจ้าเริ่มต้นหลั่งไหลเข้าไปสู่บุคลิก ลักษณะของเราและทำให้เราเริ่มรู้จักที่จะรักพระเจ้า รักตัวเอง และรักผู้อื่นมากพอถึงขนาดที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของ เรา
ความรักจะเป็นความรักได้ก็ต่อเมื่อมีการแสดงออก พระคัมภีร์บอกเราว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” (1 ยอห์น 3:18 ฉบับมาตรฐาน 2002) จุดมุ่งหมายของความรักใน 1 โครินธ์ 13 ไม่ใช่การวิเคราะห์เชิงเทคนิคของความรัก แต่เป็นการทำให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนาดพอคำที่ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ และอาจนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้จริง

ถ้าเช่นนั้น ท่านล่ะ ใช้ความรักของท่านแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว มีการแสดงออกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือเปล่า จริงๆ แล้วเมื่อความรักถูกหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น ผู้ให้ก็จะได้รับกลับคืนมาเท่านั้นหรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งที่เมื่อทำแล้วมีแต่ได้และได้เท่านั้น ไม่มีการขาดทุน แล้วเราจะหวงความรักไว้ทำไมกันนะ ให้ไปเถอะ ให้เยอะๆ หยิบยื่นให้แก่กันและกันเถอะ แบ่งปันกันแบบใจกว้างๆ ให้เยอะๆ
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อจะมีความรักอย่างเหลือเฟือที่จะ แบ่งปันให้แก่กันทุกเมื่อเชื่อวัน
และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้ (1 โครินธ์ 13:13 ฉบับมาตรฐาน 2002)

สิธยา คูหาเสน่ห์

29/12/52

ของประทานแห่งการให้อภัย

อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน ลูกา 6:37

ลองคิดดูสิว่ามีใครบ้างไหมที่ท่านจำเป็นต้องยกโทษให้

ท่าน ยังไม่ได้ยกโทษให้ใครบางคนหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นชีวิตของท่านจึงไม่มีความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยม ถ้าเช่นนั้น ทำไมไม่ให้พระเจ้าปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความทุกข์ยากนั้นเล่า ทูลขอให้พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่านสิ

การ ให้อภัยทรงอานุภาพ เมื่อท่านเลือกที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่าน อะไรๆ ที่ถ่วงท่านอยู่ก็ถูกปลดเปลื้อง ความโกรธแค้น ความขุ่นข้องหมองใจ และความกลัวก็จะถูกยกออกไปจากใจด้วยความรักของพระเจ้า

การ ให้อภัยคือการปลดปล่อย การปล่อยวาง เป็นการให้อิสรภาพและการได้รับพระพรจากพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกหรือแม้กระทั่งความเชื่อวางใจ การให้อภัยก็คือการตัดสินใจที่จะปล่อยวางความทุกข์ในใจและมุมมองเรื่องความ ยุติธรรมของเราเองเท่านั้น

ท่าน จะให้วันนี้ของท่านเป็นวันดีที่จะรักใครสักคนไหมล่ะ ความรักนั้นจะสำแดงออกโดยการตกลงปลงใจที่จะให้อภัยและยกโทษคนๆ นั้นโดยไม่หวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง สำนึกผิด กลับใจ สารภาพผิด หรือ กล่าวคำขอบคุณ นี่แหละเป็นความรักที่เราทั้งหลายเห็นประจักษ์แล้วบนกางเขน มันเป็นความรักในแบบของพระเจ้า ความรักของท่านเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

ความรักพูดว่า “ฉันให้อภัยเธอแล้ว ฉันยกโทษให้”


ความ รักสำแดงตัวมันเองด้วยการให้อภัยคนที่ทำผิดก่อนที่คนนั้นจะยอมรับว่าทำผิด บาปโดยไม่คาดหวังว่าคนๆ นั้นจะกลับใจ ยอห์นเข้าใจถ่องแท้ความรักแบบนี้เมื่อกล่าวว่า “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)

การให้อภัยหรือการยกโทษให้คนอื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ การ ให้อภัยหรือการยกโทษให้แก่กันเป็นการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก การปล้ำสู้ในใจ เมื่อทำได้จะเป็นอิสระจากอารมณ์ด้านมืดที่เป็นเชิงทำลาย หากไม่ให้อภัยกัน คนที่แบกความเกลียดชังไว้ก็ยังคงแหวกว่ายร่ำไปอยู่ในทะเลแห่งความขมขื่น ความปวดร้าวใจ ความโกรธ

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างให้ฟังสักหน่อยว่าหากท่านยังถือโทษโกรธพี่น้องที่ทำผิดต่อเรา ผลจะเป็นอย่างไร

ครู คนหนึ่งสอนเด็กนักเรียนของเธอให้รู้จักการให้อภัยด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทุกคนนำถุงมาใบหนึ่ง และให้นักเรียนแต่ละคนเขียนชื่อคนที่ทำผิดหรือคนที่เขาเกลียดบนมันฝรั่งแล้ว ใส่ไว้ในถุง แน่นอนที่แต่ละคนย่อมมีมันฝรั่งไม่เท่ากัน และครูให้ทุกคนหิ้วถุงมันฝรั่งใบนั้นไปทุกที่ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อไปห้อง น้ำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่นานก็เริ่มมีเสียงบ่นเพราะมันฝรั่งเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็น ยิ่งกว่านั้นสำหรับบางคนที่มีมันฝรั่งมากก็ต้องหิ้วถุงที่หนักกว่าของคนอื่น

เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ครูก็ถามเด็กนักเรียนทุกคนว่า “รู้สึกยังไงบ้างคะที่ต้องหิ้วถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและเหม็นไปไหนมาไหนตลอดเวลานานหนึ่งสัปดาห์”

ทุกคนก็โอดครวญว่ามันทั้งหนักและเหม็น เมื่อถึงตอนนี้ครูก็อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมครูจึงให้นักเรียนทำเช่นนี้ ครูพูดว่า “การหิ้วถุงมันฝรั่งก็เหมือนกับการเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ ความ เกลียดชังที่เก็บไว้ในใจจะทำให้ใจไม่บริสุทธิ์และมันจะเป็นน้ำหนักที่ถ่วง เราอยู่ตลอดเวลา ถ้านักเรียนทนกลิ่นเหม็นของมันฝรั่งไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว ก็ลองคิดดูสิว่าใจของเราจะเป็นมลทินมากเพียงใดที่มีทั้งสิ่งที่เน่าเหม็นน่า สะอิดสะเอียนเต็มไปหมดมาโดยตลอด”

สิ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็คือให้ปล่อยวางสิ่งที่ถ่วงเราอยู่ สิ่งที่เป็นตัวขวางกั้นพระพรจากพระเจ้า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้า เชื่อว่าท่านทำได้ การให้อภัยเป็นท่าที่ที่ถูกต้องที่ควรจะมี เรียนรู้ที่รักคนที่ไม่น่ารักหรือคนที่เราไม่ชอบ จะแบกถุงหนักๆ ไว้ทำไม วางมันลง มิดีกว่าหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/10/52

ปล่อยวางความแค้นเคืองใจ

ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเราอาจเกิดจากเรื่องเล็กน้อย เช่น คำพูดที่พูดออกไปโดยไม่คิด คำวิพากษ์วิจารณ์ การกล่าวหา ความเคืองใจ เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจที่นำไปสู่การแตกแยกแล้ว มันยากที่ประสานรอยร้าวให้กลับมาดีเหมือนเดิม

ทางแก้คือ การปล่อยวาง ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการฝึกปล่อยวางความแค้นเคืองใจเล็กๆ น้อยๆ แต่หากต้องการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวแล่วล่ะก็ การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ การไม่ยอมให้มีความขมขื่นเกิดขึ้นทำคุณให้อย่างมาก

แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย ทว่าก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ อธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้าสิ แล้วท่านจะพบว่ามันเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ความแค้นเคืองใจเกาะกุมจิตใจของเราจนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีไป แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ยังดีกว่าที่จะไม่พยายามเสียเลย

เรื่องราวต่อไปนี้คงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้แง่คิดแก่ท่านได้ อ่านแล้วลองย่อย จากนั้นลองสำรวจดูว่า
ท่านมีความแค้นเคืองใจกับใครบ้างไหม ท่านปล่อยให้มันทำลายความสัมพันธ์มานานแค่ไหนแล้ว ถึงเวลาปล่อยวางหรือยัง

มีเรื่องเล่าว่าพ่อค้าคนหนึ่งมีลูกชายฝาแฝด ลูกทั้งสองคนช่วยธุรกิจในห้างสรรพสินค้าที่พ่อเป็นเจ้าของ เมื่อพ่อตาย ร้านนั้นก็ตกเป็นของลูกชายทั้งสอง

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งธนบัตรใบหนึ่งหายไป เพราะหนึ่งในพี่น้องฝาแฝดคู่นี้วางเงินนั้นไว้ที่เครื่องคิดเงินและเดินออกไปนอกร้านกับลูกค้าคนหนึ่ง เมื่อเขากลับมา ธนบัตรใบนั้นก็หายไปเสียแล้ว

เขาจึงถามคู่แฝดของเขาว่าเห็นเงินที่วางไว้ตรงเครื่องคิดเงินหรือไม่ แต่คู่แฝดของเขาตอบว่าไม่เห็น

แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดซักถาม เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องผ่านไปแบบนี้ เขาพูดว่าเงินจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร และบอกว่าคู่แฝดของเขาต้องเห็นธนบัตรใบนั้นแน่นอน ในน้ำเสียงของเขาบอกเป็นนัยว่าคู่แฝดนั่นแหละเป็นคนเอาไป ตอนนี้ทั้งสองคนก็ตอบโต้กันด้วยอารมณ์ หลังจากนั้นก็เกิดความแค้นเคืองใจต่อกัน

ไม่นานนักความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ก็ร้าวฉานเกินเยียวยาและไม่พูดกัน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าคงทำงานร่วมกันไม่ได้แล้ว ดังนั้นร้านค้าแห่งนั้นจึงถูกแบ่งเป็นสองร้าน ความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นนานถึงยี่สิบปี ความขมขื่นก็มีมากขึ้นในใจของคนทั้งสองและมีผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชนในวงกว้าง

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งขับรถยนต์มาจากอีกรัฐหนึ่งมาแวะที่ร้าน เขาเดินเข้าไปในร้านและถามเสมียนประจำร้านว่าอยู่ร้านนี้มานานเท่าไรแล้ว และเมื่อได้รับคำตอบว่าเขาอยู่ที่ร้านนี้มาตลอดชีวิตของเขา เขาจึงเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเขานั่งรถไฟบรรทุกสัมภาระมาที่เมืองนี้ เขาไม่ได้รับประทานอาหารมาสามวันแล้ว และเข้ามาที่ร้านนี้ทางประตูหลังและเห็นธนบัตรใบหนึ่งวางอยู่ที่เครื่องคิดเงิน เขาจึงหยิบมันไป เขาพยายามลืมเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้ว่ามันเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขาต้องกลับมาเพื่อขอการอภัยสำหรับความผิดของเขา

แขกแปลกหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนที่เขาพูดด้วยมีน้ำตาเอ่อคลอตา และบอกว่าให้ไปเล่าเรื่องราวเดียวกันนี้กับชายในร้านที่อยู่ติดกัน เมื่อเขาทำตามคำขอ ความประหลาดใจของเขาก็เพิ่มทวีขึ้นเมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาคล้ายกันมากสองคนกอดกันและร้องไห้

ความร้าวฉานระหว่างพี่น้องคู่นี้ได้รับการแก้ไขเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบปี กำแพงที่แยกทั้งคู่ออกจากกันด้วยความแค้นเคืองใจถูกทำลายลงแล้ว


น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลานานถึงยี่สิบปีสำหรับการคืนดีกัน แต่ก็ยังดีกว่าที่จะแค้นเคืองกันจนตายจากกัน มิใช่หรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/8/52

รากเหง้าความขมขื่น

พระธรรมฮีบรูบอกให้ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ ท่านคงไม่คัดค้านถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่าความขมขื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถ่วงชีวิตของเราอยู่ ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นหลายคนทนทุกข์ทรมานอยู่กับความขมขื่นในอดีต ไม่น้อยที่ปฏิเสธความบาป แต่ยอมพ่ายแพ้ต่อความขมขื่น อยากจะบอกว่าความขมขื่นก็ทำลายชีวิตได้ไม่แพ้ความบาปทีเดียว อย่าปล่อยให้รากเหง้าแห่งความขมขื่นทำลายชีวิตซึ่งอาจนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อได้

ความขมขื่นเป็นเสมือนสถานีวิทยุกระจายเสียง มันจะส่งผลกระทบในวงกว้างถึงคนที่อยู่รอบข้าง อย่ายอมให้ตัวเองเป็นสื่อส่งต่อความขมขื่น อย่ายอมให้มันถ่วงชีวิตของเราให้ตกต่ำลง อย่าเปิดโอกาสให้มันย่องเข้ามาขโมยความชื่นชมยินดีไปจากชีวิตของเรา อย่าเปิดช่องให้มารเข้ามาควบคุมชีวิตของเรา

ความขมขื่นเป็นเหมือนพิษที่ทำร้ายจิตวิญญาณ ตัวทำลายความสมบูรณ์ของร่างกาย ตัวบีบคั้นจิตใจ ดังนั้น อย่าปล่อยให้มีรากขมขื่น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความขมขื่นหยั่งรากลงในใจแล้ว มันจะมีแรงถ่วงมหาศาล ความขมขื่นที่ถูกเพาะไว้จนเติบใหญ่และหยั่งรากลงแล้วก็เหมือนกับการพยายามว่ายน้ำโดยมีหินก้อนใหญ่หนักมหาศาลถ่วงตัวไว้ นอกจากจะว่ายไม่ได้แล้วยังอาจทำให้รู้สึกเจ็บด้วย เช่นเดียวกัน เมื่อมีความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกในใจแล้ว เราก็จะกลายเป็นนักโทษของมันทันที การดำเนินชีวิตต่อไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้และยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจอีกด้วย จากนั้นพระคุณของพระเจ้าก็จะไม่มีผลกับชีวิตของเราอีกต่อไปเพราะมองไม่เห็นพระคุณนั้น เราจะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้และตายฝ่ายวิญญาณ

ถ้าอยากจะรู้ว่าความขมขื่นที่หยั่งรากลงในใจแล้วมีอำนาจทำลายมากเพียงใดก็ให้ดูต้นไม้ใหญ่สักต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่นั้นก็คือความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกแล้ว แทนที่เราจะมองดูที่พระเจ้า เรากลับสงสัยความประเสริฐของพระองค์ และปล่อยให้ขยะชีวิตค่อยๆ กลายเป็นความขมขื่นและทำให้ความเชื่อของเราแคะแกรนไม่เติบโต และนานวันเข้าความเชื่อของเราก็อาจหดหายตายจากไป เราสามารถเลือกวิธีที่จะตอบสนองสถานการณ์ที่เจ็บปวดได้ เราสามารถเลือกที่จะอยู่ภายใต้แรงถ่วงของความขมขื่น หรือเราจะกำจัดความขมขื่นให้หมดไปอย่างถอนรากถอนโคนด้วยความรักของพระเจ้า เมื่อความขมขื่นมีบทบาทอยู่ในชีวิตของเรานั้นเราก็จะไม่สามารถสัมผัสกับการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าได้

ความขมขื่นก็คือการไม่ยอมให้อภัยกัน และความขมขื่นที่เกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความตายฝ่ายวิญญาณและความเจ็บปวดรวดร้าว พระเจ้าทรงมีฤทธิ์เดชที่จะปลดปล่อยทุกคนให้หลุดพ้นจากผลร้ายอันเกิดจากความขมขื่นได้ พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงจัดเตรียมทางไว้ให้แก่เราแล้ว เพื่อให้เราทั้งหลายซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ได้รับปลดปล่อยจากรากเหง้าแห่งความขมขื่น ให้เราเข้าอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ที่จะนำพาเราไปในทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้โดยอย่าเพาะความขมขื่นให้เติบโตและหยั่งรากลงลึกเป็นอันขาด

ท่านล่ะ ลองสำรวจดูสิว่ามีความขมขื่นอะไรบ้างไหม แล้วท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกาะกินจิตใจของท่านอยู่

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/7/52

ยานพาหนะแห่งความเชื่อ

ถ้าท่านกำลังสงสัยว่าความเชื่อคืออะไรอยู่ล่ะก็ ท่านสามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้จากพระธรรมฮีบรู 11:1 ที่เขียนไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง”

คำตอบดังกล่าวเป็นนามธรรม สำหรับบางคนต้องการข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถจับต้องได้ ที่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่ในอีกด้านหนึ่งเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น (2 โครินธ์ 5:7) สำหรับคนที่ปล้ำสู้ที่จะเชื่อด้วยใจว่าสามารถได้สิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้น ขอให้ตัดสินใจยุติการปล้ำสู้นั้นและก้าวออกมาจากความสงสัยและเชื่อเถิด เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ (ฮีบรู 11:6)

ไม่ว่าท่านมีความจำเป็นในด้านใดบ้าง ขอให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยท่านในความจำเป็นด้านนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สุขภาพ ครอบครัว หรือด้านอื่นๆ ขอให้วางใจพระเจ้าที่ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ว่าจะนำสิ่งดียอดเยี่ยมมาให้แก่ท่าน

เมื่อท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งต่างๆ ขอให้แน่ใจในสิ่งที่ท่านขอ และให้ขออย่างเจาะจง ยิ่งท่านขออย่างเจาะจงและด้วยใจกล้ามากเท่าใด ท่านก็จะอธิษฐานอย่างเกิดผลมากเท่านั้น ขอให้แน่ใจว่าท่านไม่ได้ขอสิ่งที่ไร้สาระหรือไม่เหมาะสม แต่เป็นสิ่งที่ไม่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของท่าน

อย่าสงสัย แต่จงเชื่อ เมื่อท่านปักใจอธิษฐานขอความเชื่อมากขึ้นและเชื่อในสิ่งที่ตามองไม่เห็น พระเจ้าจะทรงทำการอัศจรรย์ในชีวิตของท่าน ผู้เชื่อทุกคนควรใช้ความเชื่อเพื่อเข้าถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้สำหรับเขา ขอให้ขับยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านและยอมให้มันพาไปสู่พระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้า

ยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของท่าน อย่าปล่อยให้ความสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้ามาเป็นอุปสรรคในการสร้างยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่าน และอย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความไม่ความแน่ใจมาเป็นเครื่องกีดขวางบนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ท่านดำเนินกับพระเจ้า พระเจ้าทรงสัจจะเสมอ ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว่ว่า …พระองค์…ทรงเป็นผู้สัตย์ธรรมในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์…(โรม 3:4)

ขอให้จำไว้ว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าไม่เคยนำท่านไปในที่ที่พระคุณของพระเจ้าจะไม่คุ้มครองท่านเป็นอันขาด ขอให้เชื่อมั่นเช่นนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์

29/6/52

ชายแก่ผมยุ่ง

เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งได้ประพันธ์ไว้เพื่อเตือนให้เรารู้ว่าพระเจ้าอาจเรียกใช้เราได้ทุกเมื่อ

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งรอขึ้นเครื่องบินอยู่ที่ทางออกในสนามบิน เธอนั่งรวมอยู่กับคนอื่นๆ ที่จะเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกัน เธอหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาและกำลังจะเปิดออกอ่าน ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกราวกับว่าผู้คนที่นั่งอยู่รอบตัวเธอหันมามองเธอ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกำลังมองไปทางด้าน หลังของเธอ

เธอจึงเหลียวหลังไปดูว่าพวกเขากำลังมองดูอะไร แล้วเธอก็เห็นพนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่งกำลังเข็นเก้าอี้รถเข็น ที่มีชายแก่ผมยุ่งหน้าตาหน้าเกลียดคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอคิดว่าคุณลุงคนนี้เป็นคนที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ผมสีขาวบนหัวของชายแก่คนนี้พันกันยุ่ง ใบหน้าเหี่ยวย่น และดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงสนใจชายแก่คนนี้และคิดตั้งแต่แรกที่เห็นว่าพระเจ้าทรง ต้องการให้เธอเป็นพยานกับเขา แต่ในใจของเธอก็มีเสียงพูดว่า “โอ พระเจ้า ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตรงนี้”

ต่อมาเธอไม่สามารถสลัดชายแก่คนนี้ออกไปจากความคิดของเธอ และทันใดนั้นเองเธอก็รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ทำอะไรกับชายแก่คนนี้ เธอน่าจะช่วยหวีผมให้เขานั่นเอง เธอเดินเข้าไปหาชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงข้างหน้าเขาและพูดว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่ตอบว่า “หนูพูดว่าอะไรนะ” เธอคิดว่า “โอ หูตึงเสียด้วย” เธอจึงพูดดังขึ้นว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “ถ้าจะพูดกับลุง หนูต้องพูดดังๆ หน่อย หูของลุงไม่ดี แทบไม่ยินแล้ว”

ดังนั้น การพูดครั้งที่สามจึงเกือบเป็นเสียงตะโกนด้วยประโยคเดิมว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ทุกคนกำลังใจจดจ่อว่าชายแก่จะตอบว่าอะไร เขามองดูหญิงสาวอย่างงงๆ และพูดว่า “ก็ได้ ถ้าหนูอยากทำจริงๆ” หญิงสาวตอบว่า “แต่หนูไม่มีแปรงผมสักอันเลยค่ะ ถึงอย่างงั้นก็ยังอยากช่วยอยู่ดี” ชายแก่จึงบอกแก่หญิงสาวว่า “ดูในกระเป๋าที่แขวนอยู่สิ มีแปรงผมอยู่อันหนึ่งในนั้น”

เธอจึงหยิบแปรงผมออกจากกระเป๋าและเริ่มแปรงผมให้แก่เขา (เธอมีลูกสาวตัวน้อยไว้ผมยาวคนหนึ่ง เธอจึงมีประสบการณ์ในการแปรงผมที่พันกันยุ่งได้อย่างนุ่มนวล) เธอใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวในการแปรงผมของชายแก่คนนี้ที่พันกันยุ่งจนเรียบ ร้อย

เมื่อเธอแปรงผมเสร็จก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของชายแก่คนนั้น เธอจึงวางมือไว้บนเข่าทั้งสองข้างของชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงต่อหน้า เธอมองตาของเขาและพูดขึ้นว่า “คุณลุงคะ คุณลุงรู้จักพระเยซูไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “รู้จัก สิ เจ้าสาวของลุงบอกว่าถ้าลุงไม่รู้จักพระเยซูก็แต่งงานกับเธอไม่ได้ ลุงจึงเรียนรู้เรื่องราวของพระเยซูและต้อนรับพระองค์นานหลายปีก่อนจะแต่งงาน กับเธอเสียด้วยซ้ำไป”

เขาเล่าต่อว่า “หนูรู้มั้ย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาภรรยาของลุง ลุงมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเสียนาน ลุงต้องรับการผ่าตัดในเมืองนี้ซึ่งไกลจากบ้านของลุงมาก ภรรยาของลุงมากับลุงไม่ได้เพราะร่างกายของเธออ่อนแรงเต็มทีแล้ว ลุงกังวลมากว่าผมของลุงจะไม่เรียบร้อย ลุงไม่อยากให้ภรรยาของลุงเห็นว่าผมของลุงพันกันยุ่ง แต่ลุงจนปัญญาที่จะทำด้วยตัวเอง”

น้ำตาไหลอาบแก้มที่เหี่ยวย่นของชายแก่คนนั้นขณะที่กล่าวคำขอบคุณหญิงสาวที่ช่วย แปรงผมให้ เขาขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวคนนั้นร้องไห้ ผู้คนที่อยู่ตรงบริเวณนั้นก็ร้องไห้ด้วย เมื่อทุกคนกำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน พนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินที่เป็นคนเข็นชายแก่คนนั้นซึ่งก็ร้องไห้ด้วย ถามหญิงสาวว่า “ทำไมคุณทำอย่างนั้นคะ”

นั่นเองที่ประตูแห่งโอกาสสำหรับแบ่งปันความรักของพระเจ้าถูกเปิดออก

เราคงไม่เข้าใจทางของพระเจ้าทุกครั้งไปหรอก เป็นไปไม่ได้ด้วยสติปัญญามนุษย์ แต่ขอให้เตรียมพร้อม พระองค์อาจใช้เราเพื่อสนองตอบความจำเป็นของใครบางคนเมื่อใดก็ได้ ดังที่เห็นได้จากตัวอย่างนี้ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของชายแก่คนหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็สำแดงความรักของพระองค์ให้จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ยังหลง หายอยู่ได้ประจักษ์ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไวต่อเสียงเรียกของพระเจ้าและยอม เป็นเครื่องมือที่สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

ท่านล่ะ พร้อมไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

4/6/52

การเกิดผลฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้าปลูกต้นไม้ไว้หลากหลายพันธุ์ เช้าวันใหม่ของข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกไว้ ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลานั้นเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างของข้าพเจ้า เวลาที่ใช้ในการรดน้ำต้นไม้แต่ละครั้งนานประมาณครึ่งชั่วโมง จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความชื่นชมยินดี การขอบพระคุณ และการทูลขอ บางครั้งข้าพเจ้าก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเท่าที่จำเนื้อเพลงได้ บางคราวก็อธิษฐานทูลขอสำหรับต้นไม้บางต้นที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในการเจริญ เติบโต และหลายโอกาสก็พูดคุยกับต้นไม้ต่างๆ ที่ปลูกไว้ มันเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ให้ทั้งความอิ่มตาและความอิ่มใจ อิ่ม ตาที่ได้เห็นความงามในมวลดอกไม้ที่เป็นพระหัตถกิจชิ้นเอกของพระเจ้า อิ่มใจที่ได้ติดสนิทกับพระผู้สร้างและได้สัมผัสกับความรักที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์


ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นต้องจากบ้านจึงมีห่วงอยู่สองเรื่อง หนึ่ง ต้นไม้ สอง สุนัข แต่ตอนนี้หมดไปหนึ่งห่วงแล้วเพราะเจ้าสุนัขเพื่อนยากที่เป็นส่วนหนึ่งของ ครอบครัวมานานเกือบ 12 ปี ลาจากไปแล้วอย่างกระทันหัน มันป่วยและหัวใจวายไปเฉยๆ ต่อหน้าต่อตาในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล ก็เหลืออยู่ห่วงเดียวคือเหล่าต้นหมากรากไม้นานาพันธุ์นี่แหละ


อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าขณะที่รดน้ำต้นไม้ก็จะอธิษฐานสนทนากับพระเจ้าไปด้วย เหมือนกำลังคุยกับพ่อ ข้าพเจ้าแยกประสาทออกเป็นหลายส่วน ทั้งพูดคุย ทั้งชื่นชมความงามที่พระเจ้าทรงสร้างที่มองเห็นได้จากหลากสีสันของมวลไม้ดอก บางครั้งก็มีผีเสื้อสีสวยเป็นตัวประกอบเพิ่มสีสันให้ด้วย ทั้งขอบพระคุณสำหรับสิ่งทรงสร้างที่งดงามเหล่านี้ วันหนึ่งความแตกต่างของการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ปลูกลงดินกับที่ปลูกใน กระถางก็กระทบใจของข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ต้นไม้ลงดินซึ่งรากสามารถดูดธาตุอาหารในดินได้อย่างเต็มที่ย่อมเติบโตและผลิ ดอกออกผลมากกว่าต้นไม้ในกระถาง หรือต้นไม้ที่กินอาหารไม่อิ่มเพราะมีวัชพืชคอยแย่งอาหารของมัน นี่เองที่ทำให้เกิดมุมมองฝ่ายวิญญาณเรื่องการเติบโตฝ่ายวิญญาณและการเกิดผล ของพระวิญญาณ


การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณคือขบวนการที่ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น เมื่อเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเริ่มขบวนการที่จะทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่ง ขึ้น โดยทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์ (2 เปโตร 1:3-8 อธิบายการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณไว้เป็นอย่างดี ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า ด้วย เห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เราที่จะให้มีชีวิตและมีธรรม โดยรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ เพราะเหตุนี้เองท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยของประทานเหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูคริสต์ของเรา) พระเจ้าทรงต้องการให้เราเติบโตขึ้น ให้รู้ความจริงของพระองค์ทั้งหมด และเล่าความจริงนั้นด้วยใจรักในทุกเรื่อง พระบิดาในสวรรค์ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ ให้มีการแบ่งปันความรักและรับใช้อย่างถ่อมใจ การเติบโตฝ่ายวิญญาณมิได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ การที่เราจะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้นั้นต้องมีการให้คำมั่นสัญญาว่าต้องการที่จะเติบโต ตกลงใจที่จะโต และเพียรพยายามที่จะเจริญเติบโตขึ้น


ต้นไม้เติบโตและผลิดอกออกผลจากธาตุอาหารและน้ำในดินที่หล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะเติบโตได้ก็ต้องมีอาหารไปหล่อเลี้ยงเช่นกัน อาหารฝ่ายวิญญาณก็คือพระคำของพระเจ้า เราจะได้อาหารไปหล่อเลี้ยงก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารฝ่าย วิญญาณของเรา อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายกายฉันใด พระคำของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น การศึกษาพระคำต้องทุ่มเทอย่างหนัก อย่ายอมให้มีสิ่งใดมาทำให้เราได้อาหารฝ่ายวิญญาณไม่เต็มที่ ขุดลึกเข้าไปให้ถึงแก่นแท้แห่งพระคำของพระเจ้าเหมือนดั่งต้นไม้ที่ใช้รากชอนไชหาน้ำและอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เมื่อเรารู้พระคำอย่างแท้จริง เราก็จะได้ทั้งน้ำแห่งชีวิตและอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอนที่สุด หากเราให้อาหารแก่ชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างเต็มที่เต็มขนาด ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราย่อมเติบโตและเกิดผลอย่างแน่นอน


ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย 5: 22-23)


สิธยา คูหาเสน่ห์

6/5/52

โกหกตัวเอง

ท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าอะไรๆ ที่คนหนึ่งบอกว่าดี จริงๆ แล้วไม่ได้ดีจริงอย่างที่พูด อย่างเช่น “ฉันจริงใจจริงๆ นะ” “ฉันเป็นคนใจถ่อม” “ฉันเป็นคนซื่อตรง” “ฉันมีความสุขมากๆ” และอีกสารพัดสิ่งดีๆ
แท้จริงคงรู้ตัวว่าไม่เป็นจริงดังที่พูดจึงพยายามย้ำกับตัวเองและคนอื่นๆ (จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง…สุภาษิต 27:2)

มันน่าแปลกที่พบว่าการโกหกตัวเองและการไม่ยอมรับความจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่เป็นเพียงการหลีกหนีความจริงที่เจ็บปวดเท่านั้นเอง

เราอาจโกหกตัวเองด้วยจิตใต้สำนึกของเรา เพราะสภาพความเป็นจริงนั้นทำให้เรากลัว วิตก กังวล เครียด เจ็บปวด เราโกหกเพราะเราอยากได้ยินสิ่งที่อยากได้ยิน เป็นการปฏิเสธความจริงที่น่าเจ็บปวด การล่อลวงใจให้โกหกมันน่าลิ้มลองจนยากต่อการปฏิเสธ จนในที่สุดเราก็ตกลงในหลุมพรางของมันและนับวันจะยิ่งถลำลึกลงๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น เรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่การเลี่ยงการรับมือกับมันในภายหลังไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือหมดปัญหาไปเลย แต่กลับทำให้เลวร้ายมากขึ้นต่างหาก

ทุกครั้งที่เราโกหกตัวเองเท่ากับเรายอมให้ความกลัวเข้าครอบงำ ถ้าเราทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ การโกหกของเราก็จะกลายเป็นนิสัย และไม่ช้าไม่นานความซื่อสัตย์ของเราก็จะค่อยๆ ลดลงจนถึงกับหมดไปทั้งหมด นอกจากนั้นการไม่ยอมรับมือกับความเป็นจริงก็จะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ อย่างที่เรารู้กันผลก็คือเหตุการณ์จะเลวร้ายเกินเยียวยา

ทำไมเราโกหกตัวเอง ทำไมเรายอมให้ตัวเองเป็นทั้งผู้หลอกลวงและเหยื่อของการหลอกลวง มันเป็นไปได้หรือที่เราจะหลอกแม้กระทั่งตัวเอง

เราอาจไม่รู้ว่าเราโกหกตัวเองไว้มากแค่ไหน การไม่ยอมรับความจริงนั้นทำได้ง่ายเพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเราโกหก เวลาโกหกตัวเอง เราไม่ได้พูดออกมาดังๆ และเราก็ไม่ต้องรายงานตัวต่อใครทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงทำได้ง่ายๆ (เราจึงโกหกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น)

เราโกหกตัวเองก็คือเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด โดยปกติเป็นการปกป้องการเคารพตนเอง มีความคิดบางอย่างที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเรา ด้วยเหตุนั้นเราจึงไม่คิดมันให้รกสมอง เราก็ได้แต่หวังว่าไม่นานนักความเป็นจริงก็จะเปลี่ยนไปและคำโกหกก็จะหมดความหมายไปเอง ตัวอย่างเช่น เราอาจไม่ยอมรับว่าเราหดหู่ใจ ปลอบใจตัวเองว่าแล้วมันก็จะหายไปเองน่ะแหละ เราบอกตัวเองอย่างนั้น เราให้เหตุผลว่าถ้ามันหายไปจริงๆ คำโกหกของเราก็จะไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป และเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะรับมือกับความจริงที่เจ็บปวดได้ อย่างไรก็ดี มันไม่เคยเป็นความคิดที่ดีเลยสักนิดที่จะยอมทิ้งความซื่อสัตย์ และก็ไม่เคยเป็นมุมมองที่ถูกต้องเช่นกันที่จะปฏิเสธความจริง การโกหกผู้อื่นทำให้พวกเขาสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเราอย่างไร การโกหกตัวเองก็ประนีประนอมความเชื่อถือของเราเองอย่างนั้น เราจะไม่สามารถเข้าใจตัวเองและไม่อาจแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง

การโกหกตัวเองยังเกี่ยวโยงกับความรู้สึกผิดและการปกปิดความผิดอีกด้วย เหตุผลง่ายๆ คือเราไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นคนผิด การโกหกทำให้เราหลุดพ้นจากการถูกมองแบบนั้น เรายังปลอบใจตัวเองอีกว่าเราไม่ได้โยนความผิดให้ใครนะ เราไม่ได้พูดว่าคนนี้คนโน้นผิด คนคิดกันไปเองต่างหาก ที่โกหกก็เพื่อปกป้องตัวเองจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่โดยมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่จริง

เมื่อเรากล้าพอที่จะหยุดโกหกตัวเองและยอมรับความผิด ความบาป และปัญหาต่างๆ เราก็จะเป็นอิสระจากคำลวงที่พันธนาการเราอยู่ และมิใช่เพื่อทำให้ตัวเองตกต่ำลง แต่เป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากกับดักของการไม่ยอมรับความจริงที่ขุดหลุมพรางไว้ล่อให้ตกลงไปต่างหาก และเติบโตขึ้นเสียทีในความรักและพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะพบว่าความจริงใจและการยอมรับความจริงจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นอย่างประหลาดทั้งกับพระเจ้าและกับคนอื่นๆ เมื่อเราโกหก เราซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากาก (ตัวตนที่เราสร้างขึ้นใหม่) แต่หน้ากากสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงของเราเท่านั้นที่ทำได้ และพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เราซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเองและกับพระองค์ มันเป็นทางเดียวที่จะมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์

ถึงเวลาที่เราจะถอดหน้ากากออกหรือยัง หยุดคิดสักนิดว่าอะไรคือสาเหตุของสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วหาทางรับมือกับมันทันที และหลีกเลี่ยงที่จะยอมให้มีการคาดเดา การปฏิเสธความจริง การหลอกลวง หรือการข่มควมรู้สึก เราคงทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเราเอง อย่าทิ้งพระเจ้าไว้ที่ไหนสักแห่ง ร้องทูลต่อพระองค์สิ ร้องขอให้พระองค์ทรงช่วยกู้เราจากวังวนแห่งคำลวง ร้องทูลสิว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา จากลิ้นที่หลอกลวง” (สดุดี 120:2) และระลึกถึงและเชื่อในสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์ในฟิลิปปี 4:13 ว่า ข้าพเจ้า (ฉัน) ผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์ในวันนี้ ขอทรงเสริมกำลังข้าพระองค์ให้ผจญทุกสิ่งได้ และขอทรงนำข้าพระองค์ให้เดินในทางที่ถูกและทำในสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ เอเมน


สิธยา คูหาเสน่ห์

2/4/52

‘คนนั้น’

ปัจจุบันชนชั้นที่ทำงานรับจ้างไม่ว่าจะในระดับใดก็ตามเผชิญความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ การเป็น ‘คนนั้น’

เช้าวันหนึ่งเมื่อไปถึงที่ทำงาน ชายคนหนึ่งก็ได้เป็น ‘คนนั้น’ เจ้าของกิจการบอกกับพนักงานทั้งหมดว่าเขาจำเป็นต้องปลดคนงานออกห้าคนเนื่องจากธุรกิจถดถอยซบเซาลงมาก ข่าวนี้ทำให้ชายคนนี้ (ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนที่ต้องถูกปลดจากงานนั่นแหละ) ถึงกับช๊อกทีเดียว เพราะเขากลายเป็นคนว่างงานไปอย่างกระทันหัน เขาคิดทันทีว่าต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อความอยู่รอด แต่ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เขาหวังไว้แทบจะเป็นไปไม่ได้

ข้าพเจ้าคิดว่าอาการผวาที่จะเป็น ‘คนนั้น’ คงจะหลอกหลอนความรู้สึกของคนทำงานไม่น้อย แต่สำหรับผู้เชื่อแล้ว เราต้องวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะตอบสนองความจำเป็นของเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์ แต่ถ้าใครจะบอกว่าไม่มีความกังวลเลยก็คงจะไม่ได้พูดความจริง เราต้องเชื่อวางใจพระเจ้า แต่ในยามอับจนหนทางก็อาจจะมองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ วิธีเพิ่มความเชื่อทางเดียวที่แน่ๆ คือการถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าสำหรับความจริงที่ว่า “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์…โรม 8:28” เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเรา และละความกระวนกระวายไว้กับพระองค์ (1 เปโตร 5:7)
นอกจากนั้นข้อพระวจนะในมัทธิว 6:33-34 ที่กล่าวว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” ยังพอเป็นแสงที่ส่องสว่างให้แก่เราได้ในวันที่ดูเหมือนมืดมิดและมีการปล้ำสู้เกิดขึ้น ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แล้วความกระวนกระวายใจก็จะหมดไป พระองค์ทรงรู้ความจำเป็นของเราทั้งหลายก่อนที่เราจะทูลขอจากพระองค์เสียอีก เมื่อเราวางใจพระเจ้า ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจของเราก็จะน้อยลง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็มีโอกาสรับรู้บรรยากาศที่ตึงเครียดดังกล่าวจากลูกทั้งสามคน ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีคนจากที่ทำงานของลูกต้องกลายเป็นคน ‘คนนั้น’ มันมีความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คืออธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะบอกลูกๆ ให้อธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปแล้วนั้นด้วย

สำหรับคนหนุ่มสาวที่จะต้องหางานทำใหม่ยังพอมีแสงเรืองรองอยู่บ้าง แต่สำหรับชายคนนั้นที่ต้องเล่นบทบาท ‘คนนั้น’ อย่างไม่เต็มใจดูเหมือนจะริบหรี่เต็มทน เขาอายุ 62 ปีแล้ว แต่เขาเป็นผู้เชื่อที่วางใจพระเจ้า ดังนั้น เขาจะไม่สิ้นหวังเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเขา และรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

เพื่อนร่วมงานหลายคนของลูกสาวคนเล็กที่ทำงานอยู่ในองค์กรหนึ่งในสหรัฐอเมริกาถูกยัดเยียดบทบาท ‘คนนั้น’ ให้อย่างตั้งตัวไม่ติด ระลอกแรกลูกสาวบอกข้าพเจ้าว่าอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สัมผัสมือกับคนที่ต้องเดินจากไปแบบงงๆ เศร้าลึกๆ แต่ไม่กลัว หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายระลอกตามมา การถูกปลดจากงานในประเทศนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจเจอะเจอได้เป็นเรื่องธรรมดา วันหนึ่งมีคนถามลูกสาวและเพื่อนอีกสองคนว่า “ทำงานแถวดาวน์ทาวน์กันเหรอ เอ๊ะ ยังมีงานทำกันอยู่เหรอนี่” มันไม่ใช่การแดกดัน แต่เป็นความประหลาดใจมากกว่า เพราะย่านนั้นมีการปลดคนงานออกจำนวนมาก

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกวันนี้หลายคนคงใช้เวลามากขึ้นในการคุกเข่าอธิษฐาน คำอธิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการทูลขอพระเจ้าว่าอย่าให้ต้องตกงานเลย นั่นเป็นการทูลของมนุษย์ (แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ …สุภาษิต 16:1ก) แต่พระเจ้าทรงมีคำตอบของพระองค์ (แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า … สุภาษิต 16:1ข) พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า … เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า (เยเรมีย์ 29:11, 13)

เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า “ฉันแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของฉันหรือยัง” ฉันเชื่ออย่างนี้หรือไม่ว่า “สิ่งสารพัดซึ่งฉันอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ฉันจะได้” (มัทธิว 21:22) “ฉันวางใจพระเจ้าแค่ไหน”
ให้เราอธิษฐานให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระทัยของพระองค์มิใช่ตามความปรารถนาของเรากันเถอะ
ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อ ‘คนนั้น’ ทุกคน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/3/52

เสียงหนึ่งที่ได้ยิน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่บอกว่าฉันเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เป็น ประกาศพระคำก็ไม่ได้ เมื่อมองดูพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีของประทานแล้ว ยิ่งเห็นว่าตัวเองใช้การไม่ได้จริงๆ

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตอกย้ำว่าฉันไม่ดีพอสำหรับพระเจ้าหรอก เสียงนั้นพูดซ้ำๆ ถึงความผิดต่างๆ ที่ฉันได้ทำ ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่จริง ความรู้สึกไร้ค่าติดตามฉันไปเมื่อฉันอธิษฐาน และทำให้ฉันแสงหาพระพักตร์ของพระเจ้ายากจริงๆ มันทำให้ฉันไม่สามารถสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตัดสินว่าฉันถูกลงโทษสำหรับทุกสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียนที่สมควรกับพระบุตรของพระเจ้า ฉันถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ฉันมองไม่เห็นแสงสว่างของพระเจ้าเพราะความรู้สึกที่ท่วมท้นเป็นเหมือนเมฆดำที่บดบังแสงนั้นจนมิด

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่เย้ยหยันว่าฉันจะพยายามต่อไปทำไมกันเล่า ก็พยายามมาอย่างหนักแล้วนี่นา มันก็ยังผิดอยู่ดี ไม่มีใครเข้าใจหรือซาบซึ้งกับสิ่งที่ฉันทำสักนิด แม้แต่คนที่เรียกกันว่า ‘คริสเตียน’ ยังไม่ยอมรับเลย

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่พูดกับฉันชัดๆ ว่า ‘ลูกเอ๋ย จงฟังเรา พระบุตรของเราได้แบกรับบาปทั้งหมดของเจ้าไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังยอมตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเจ้า บัดนี้ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเจ้าเป็นลูกของเราแล้ว เจ้าสวมความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า’

‘เสียงกระซิบที่ตอกย้ำความผิดนั้นมาจากซาตานซึ่งจะคอยช่วงชิงสันติสุขไปจากเจ้า แต่เจ้าอย่าฟัง เพราะโดยพระคุณของเรา เจ้าจะถูกปลดปล่อย คำโกหก คำลวง คำเย้ยหยันของซาตานเป็นลูกดอกเพลิงที่มันยิงออกมา’

‘แต่เมื่อเจ้าใช้ความเชื่อเป็นโล่ เปลวเพลิงก็จะมอดดับลง พระบุตรของเรามีชัยชนะเหนือซาตาน มันหมดสิทธิอำนาจแล้ว เพราะพระเยซูทรงบดขยี้หัวของมันจนแหลกเมื่อชีวิตของเจ้าถูกซื้อไว้แล้วสำหรับเรา’

‘ซาตานอาจกล่าวโทษเจ้า แต่เราจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะแม้ขณะที่เราทำให้เจ้ารู้สำนึกความผิดบาป เราก็ยังรักเจ้าเช่นเดิม ซาตานจะทำให้เจ้าขาดความมั่นใจ หมดความชื่นบาน และไม่มีสันติสุขในเรา แต่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้ายอมให้มันมีอำนาจเหนือเจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะ ลูกเอ๋ย ฤทธิ์อำนาจและสิทธิอำนาจของพระบุตรอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ขอให้จดจำคำสัญญาต่างๆ ของเราให้ดี และยืนหยัดมั่นคงเพื่อเรา และโดยฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตที่หลั่งบนกางเขน เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะ แต่เจ้าต้องปิดหูไม่ฟังเสียงของซาตาน แต่ฟังเสียงของเรา’


ท่านล่ะ …

ท่านเป็นคนหนึ่งที่เปิดหูได้ยินเสียงที่ตอกย้ำนั่นหรือเปล่า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าตลอดชีวิตการเป็นคริสเตียนที่ดำเนินกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคงเคยได้ยินเสียงกระซิบนั่นเป็นบางครั้งบางคราว ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อเสียงนั้นแว่วเข้าหูและดังก้องในใจ เราเชื่อตามนั้นหรือเปล่า

ท่านได้ยินเสียงกระซิบที่ตอกย้ำ กล่าวโทษ เย้ยหยันเสียงเดียวเท่านั้นหรือ แล้วอีกเสียงที่พูดชัดๆ ล่ะ เคยได้ยินบ้างไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/2/52

ความงามที่สัมผัสได้

มีคำกล่าวว่าความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง แต่ละคนย่อมเห็นแตกต่างกันไป สิ่งที่คนหนึ่งเห็นว่างาม อีกคนหนึ่งอาจเห็นว่าไม่ใช่ ที่พูดถึงนี้คือความงามที่มองเห็นเป็นรูปธรรมด้วยตา แต่ความงามมิได้เห็นได้ด้วยตาอย่างเดียว ความงามยังมีอีกมิติหนึ่งที่สัมผัสได้ด้วย

หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งผิดหวังกับชีวิตที่ไม่ได้ดำเนินไปตามที่คาดหวังไว้นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เธออยากอยู่ตามลำพังเพราะไม่พร้อมที่จะพบปะผู้คน แต่ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่เธอด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเล่นสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนั้นยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนั้นและพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ดูสิครับว่าผมพบอะไร”

ในมือของเด็กน้อยมีดอกไม้เหี่ยวดอกหนึ่ง หญิงสาวอยากให้เด็กชายคนั้นไปเสีย แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป แทนที่เด็กชายคนนั้นจะเดินจากไปกลับนั่งลงข้างๆ เธอและยกดอกไม้ขึ้นดมและพูดว่า “หอมจังครับ และสวยด้วย ผมจึงเก็บมันมาไงครับ และผมขอมอบให้คุณครับ”

แต่ดอกไม้ที่เห็นตรงหน้าไม่สวยงามอย่างที่ว่า มันเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา ไร้สีสรร แต่เธอรู้ว่าต้องรับมันไว้ หาไม่แล้วเด็กชายคนนั้นจะไม่ยอมจากไปแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงยื่นมือเพื่อรับดอกไม้และพูดว่า “ฉันกำลังอยากได้อยู่พอดี” แต่แทนที่เด็กชายจะวางดอกไม้ไว้บนมือของเธอ เขากลับชูมันขึ้นกลางอากาศ นั่นเองที่ทำให้เธอรู้ว่าเด็กชายคนนั้นตาบอด เธอได้ยินเสียงตัวเองพูดกับเด็กน้อยอย่างสั่นเครือและน้ำตาไหลอาบแก้มว่า “ขอบใจมากจ้ะสำหรับดอกไม้ที่สวยที่สุดดอกนี้” เด็กชายยิ้มและพูดว่า “ยินดีครับ” แล้วก็วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนี้ได้สร้างผลกระทบค่อนข้างมากไว้กับหญิงสาวคนนั้น

หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ที่นั่นต่อและสงสัยว่าเด็กชายตาบอดคนนั้นเห็นได้อย่างไรว่ามีหญิงสาวใจห่อเหี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นและต้องการให้ใครสักคนมาปลอบใจ บางทีเขาอาจมองเห็นด้วยใจ ในที่สุดเธอก็มองเห็นปัญหาของเธอผ่านเด็กชายตาบอดคนหนึ่งว่าเธอเองนั่นเองที่เป็นตัวปัญหา และตลอดเวลาที่ผ่านมาตาของเธอก็มืดบอดสนิท จนกระทั่งเวลานี้ที่เธอได้สติและตั้งใจว่าต่อไปจะมองความงามที่อยู่รอบตัวและเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่ผ่านไป เธอยกดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นขึ้นดมและสูดกลิ่นหอมของมัน ในความนึกคิดของเธอได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบงาม และยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายคนนั้นกำลังจะทำให้ชีวิตของชายแก่คนหนึ่งเปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่เธอได้รับ

ความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง ท่านคงเห็นด้วยและเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ กี่ครั้งที่เรามองไม่เห็นความงามของสิ่งทรงสร้างที่อยู่รอบตัวเราทั้งๆ ที่ตามองเห็น กี่หนที่เราปล่อยให้ความทุกข์ขโมยความชื่นชมยินดีของเราไป

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายมองให้เห็นพระพรในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน อยากให้ท่านเห็นความงามของสิ่งทรงสร้างด้วยประสาทสัมผัสเหมือนอย่างที่เด็กชายตาบอดตัวน้อยนั้น แม้ว่าตาของเขาจะบอดมองไม่เห็น แต่เขาสามารถเห็นความงามด้วยมิติที่ลึกเกินว่าที่คนตาดีจะเข้าใจได้ เมื่อมีปัญหารุมเร้า อย่ามัวไปครุ่นคิดถึงแต่ตัวปัญหา แต่ให้หันมามองตัวเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วคงจะย้อนเวลากลับไปแก้มันไม่ได้ แต่ที่อาจทำได้คือแก้ไขตัวเอง เชื่อพึ่งพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ แล้วท่านจะเห็นทางออก

สิธยา คูหาเสน่ห์

27/12/51

คำสัญญาของพ่อ

แผ่นดินไหว 8.2 ริคเตอร์ในปี 1989 แทบจะถล่มอาร์เมเนียจนราบและยังได้คร่าชีวิตคนไปกว่าสามหมื่นในชั่วระยะเวลาเพียง 4 นาที มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดรวดร้าว และความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นได้ โลกของคนมากมายถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและชีวิตมากหลายถูกทำลาย แต่หายนะเช่นนี้เองที่ทำให้เห็นส่วนดีๆ ในผู้คน อย่างน้อยก็มีหลืบให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของแต่ละคน เรื่องที่จะแบ่งปันต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของพ่อคนหนึ่งที่มีหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อลูกชายของเขา

เขาวิ่งตรงไปที่โรงเรียนของลูกชายท่ามกลางความโกลาหลด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เมื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะเห็นโรงเรียนกลับเห็นเศษหินเศษปูนกองโตอยู่ตรงหน้า ลองจินตนาการดูสิว่าอะไรที่โลดแล่นอยู่ในความคิดของเขาในขณะนั้น อะไรที่ผุดขึ้นในความคิดของท่านในขณะนี้ บางทีท่านอาจจะตกอยู่ในสภาวะช็อกเหมือนกับพ่อแม่อีกหลายๆ คนที่กำลังเดินหาลูกของตนพร้อมร้องเรียกชื่อของพวกเขา แต่สำหรับพ่อคนนี้ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าไม่อาจทำลายความหวังของเขาลงแม้แต่น้อย เขาวิ่งตรงไปยังบริเวณที่เป็นห้องเรียนของลูกชายและมองหาตรงที่เป็นที่นั่งของลูกชาย เขาเริ่มลงมือขุดเศษหินเศษปูนที่กองอยู่ตรงหน้า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขายังมีความหวังอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือ โอกาสที่ลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ยังมีอีกหรือ เขารู้แต่ว่าเขาได้สัญญากับลูกชายไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือ คำสัญญานี้เองที่ทำให้เขาขุดต่อไปเรื่อยๆ และยังมีความหวังว่าจะเห็นลูกชายของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้หวังดีพยายามดึงเขาออกไปในขณะที่เขาพยายามใช้มือขุดหาลูกชายและพูดกับเขาว่า “มันสายไปแล้วล่ะ ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ได้หรอกในสภาพการณ์แบบนี้ คุณช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ กลับบ้านเถอะ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพยายามฉุดเขาออกไปและพูดว่า “มีไฟลุกและการระเบิดทั่วบริเวณนี้ คุณจะได้รับอันตราย กลับบ้านเถอะครับ” สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาพูดกับเขาว่า “คุณกำลังโกรธ ว้าวุ่นใจ แต่มันจบลงแล้ว กลับบ้านเสีย” แต่พ่อคนนี้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับลูกชายและเขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

ความรักที่มีต่อลูกชายของพ่อคนนี้ทำให้เขาสามารถขุดหาลูกชายนานถึงสามวัน…36 ชั่วโมง และในชั่วโมงที่ 38 เขาก็ยกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นและได้ยินเสียงลูกชายร้องขอความช่วยเหลือ เขาตะโกนเรียกชื่อของลูกชายทันที และเขาก็ได้ยินลูกชายเรียกเขา “คุณพ่อ! ผมบอกเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ว่าถ้าพ่อยังไม่ตาย พ่อจะมาช่วยผม พ่อสัญญากับผมไว้ พ่อบอกว่าพ่อจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ แล้วพ่อก็ทำตามสัญญาจริงๆ”
พ่อที่ไม่ยอมแพ้ คำสัญญาที่รักษาไว้ และหินที่ถูกกลิ้งออกไปช่วยกู้ชีวิตไว้ได้

เรื่องนี้นำเราย้อนกลับไปที่อีสเตอร์แรกเมื่อพระบิดาในสวรรค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ด้วยการกลิ้งหินที่มีนัยสำคัญยิ่งกว่าออกไป จากการที่หินก้อนนั้นถูกกลิ้งออกไปจึงทำให้เราทั้งหลายได้ชีวิตนิรันดร์และเสรีภาพในพระคริสต์ และพระบิดาของเรายังทรงกลิ้งหินอยู่แม้ในขณะนี้

อะไรบ้างที่เป็นหินในชีวิตของท่าน ไม่ว่าหินของท่านจะก้อนใหญ่หรือเล็กก็ตาม พระบิดาทรงกำลังมองหาท่านอยู่ พระองค์ทรงกำลังหาตัวท่านจากเศษหินเศษปูนกองโตและซากปรักหักพังในชีวิตของคนที่ไม่ได้อยู่เพื่อพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการที่จะกลิ้งหินแห่งความสิ้นหวัง โขดหินแห่งการสำนึกผิด พันธนาการแห่งการผูกมัดออกไปจากชีวิตของท่าน ขอให้ท่านระลึกถึงหรือสำหรับบางคนค้นพบเป็นครั้งแรกว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาทั้งหมดของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักษาพระสัญญานั้นที่ทรงให้ไว้กับพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เมื่อสองพันปีมาแล้ว

กิจการ 13:37-38 “แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้เป็นขึ้นมานั้น มิได้ประสบความเน่าเปื่อยเลย เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย และโดยพระองค์นั้นทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง..”

เรียบเรียงจากบทความที่เขียนโดยมาร์ก แฮนเซน

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/12/51

ทำไมต้องฉลองวันคริสตมาส

ท่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมพร้ะเยซูต้องมาบังเกิดในโลกนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนอาจยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน และหลายคนอยากย้ำเตือนคำตอบที่มีอยู่แล้ว

พระองค์ทรงให้คำตอบไว้แล้วว่า “…เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ...” (ยอห์น 18:37ข)

พระเยซูมิได้ตรัสว่าพระองค์ทรงบังเกิดมาเพื่อเทศนาหรือรักษาโรค แต่พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานให้แก่สัจจะ

พระเยซูยังทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต…และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 14:6ก; 8:32)

พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกโดยนำข้อความที่มีความสำคัญยิ่งยวดมา นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระผู้ค้ำจุน และพระผู้ไถ่ จะเห็นพระบิดาได้ เราต้องมองที่พระบุตรของพระองค์

ฉะนั้น ที่พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกก็เพื่อให้เรารู้จักพระเจ้า นี่เองที่เป็นเหตุผลของฉลองวันคริสตมาสด้วยความชื่นชมยินดีปีแล้วปีเล่า

จากข้อความยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงนำมานั้น พระองค์ทรงมอบความรับผิดชอบให้แก่เราที่จะแบ่งปันกับคนอื่นๆ “ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา… จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8ข) วิญญาณนับล้านๆ ดวงต้องการข้อความที่ให้ชีวิตนั้น…ข่าวประเสริฐ

คริสตมาสเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่เราแต่ละคน วิธีที่เราสามารถทำได้อย่างดีที่สุดคือการมอบของขวัญให้แก่พระเยซู—ของขวัญแห่งความรักและการขอบพระคุณ มันเป็นเวลาที่เราสามารถหยุดและระลึกถึงผู้ที่ถูกลืมบ่อยครั้ง เราสามารถที่จะออกไปช่วยเหลือเขาเหล่านั้นซึ่งมีความขาดแคลนในหลายๆ ด้าน…การแบ่งปัน

สิ่งเหล่านี้มิเพียงทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความพึงพอใจเป็นอย่างมากด้วย คริสตมาสมิได้มีความพิเศษด้วยของขวัญต่างๆ ที่มอบให้แก่กัน การตกแต่งประดับประดาอย่างงดงาม และงานเลี้ยงรื่นเริงต่างๆ แต่ด้วยสิ่งที่เรามอบแด่พระเยซูและผู้อื่นจากใจของเราต่างหาก การให้ด้วยใจแสดงให้เห็นการรู้คุณที่แท้จริงและความซาบซึ้งใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย

ที่พระเยซูมาบังเกิดนั้นเพราะพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย พระองค์ทรงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงมีทั้งพระอำนาจ พระสิริ และความโอ่อ่าตระการของสวรรค์เพื่อมาไถ่บาปของมนุษยชาติและช่วยให้รอดเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงมุ่งหวังจะได้รับของขวัญที่มีค่ายิ่งจากเรา นั่นคือ ความรักของเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นมนุษย์ จอมกษัตริย์และทาสผู้รับใช้ พระองค์ทรงสละบัลลังก์นิรันดร์บนสวรรค์และทรงสวมสภาพมนุษย์อย่างต่ำต้อยบนโลก พระองค์ทรงดำเนินชีวิตท่ามกลางเราทั้งหลายเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดและได้ชีวิตนิรันดร์

พระองค์ทรงเริ่มต้นโซ่แห่งความรักไว้นานแล้วตั้งแต่วันคริสตมาสแรก และพระองค์ทรงพึ่งพาเราให้สานต่อการส่งต่อความรักนั้น ความรอดซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้านั้นมีไว้เพื่อทุกคนที่รับไว้ และพระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนบนโลกนี้รู้จักพระองค์และรู้ว่าพระองค์ทรงรักพวกเขา ข่าวประเสริฐเรื่องความรักนี้จะต้องส่งต่อไปด้วยการบอกปากต่อปาก ด้วยการออกไปประกาศให้รู้โดยทั่วกัน อย่ายอมให้โซ่แห่งความรักนั้นขาดสะบั้นลง ให้เราต่อโซ่ออกไปให้ยาวที่สุด เราทำได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อเราได้รับความรักของพระองค์ก็ขอให้แบ่งปันความรักนั้นแก่คนอื่นๆ เพื่อเป็นการประกาศความหมายที่แท้จริงของคริสตมาส คนเป็นจำนวนมากต้องการข่าวประเสริฐเรื่องความรอด ดังนั้นขอให้มอบความหมาย ‘ที่แท้จริง’ ของวันคริสตมาสให้แก่พวกเขาด้วยการนำสันติสุขและความสุขและความชื่นชมยินดีแห่งความรักขององค์พระเยซูคริสต์ไปให้

สุขสันต์วันคริสตมาส

สิธยา คูหาเสน่ห์

12/10/51

กลัวเกรงพระเจ้า

ข้าพเจ้าต้องขออนุญาตแบ่งปันพยานส่วนตัวอีกสักวาระหนึ่ง อย่างที่รู้ๆ กันว่าหากจะนับพระพรในชีวิตของเราคงเป็นไปได้ยากที่จะนับได้ครบถ้วน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นพระพรยิ่งใหญ่ที่น่าจะนำมาแบ่งปันเพื่อเป็นการหนุนจิตชูใจพี่น้องในพระคริสต์ อย่างน้อยสำหรับผู้ที่ยังสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน ทำไมพระองค์ทรงให้รอ ทำไมเมื่อทูลขอสิ่งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงประทานอีกสิ่งหนึ่ง ขอให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

ด้วยพระเมตตาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้ามีโอกาสได้ฝึกงานที่บริษัทใหญ่ (มาก) แห่งหนึ่งเมื่อเรียนอยู่เทอมสุดท้ายของการเรียนขั้นปริญญาโท ขั้นตอนการคัดสรรนักศึกษาเพื่อไปฝึกงานของบริษัทใหญ่ๆ ดุเดือดเอาการ (ข้าพเจ้าไม่ทราบเกี่ยวกับขั้นตอนในที่อื่นๆ ที่กล่าวถึงนี้คือรัฐนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา) เมื่อการสัมภาษณ์รอบแรกโดยบุคลากรของบริษัทนั้นๆ ซึ่งมาดำเนินการที่มหาวิทยาลัยเลยเสร็จสิ้นลงก็ต้องรอดูว่าจะผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่ ถ้าผ่านก็จะได้รับการเชิญให้ไปรับการสัมภาษณ์รอบสองที่บริษัทซึ่งสุดโหดจริงๆ เท่าที่จำได้จากคำบอกเล่าของลูกสาวนั้นมีผู้บริหารจำนวน 5 คนเป็นผู้สัมภาษณ์ แต่ไม่ใช่นั่งเป็นคณะกรรมการการสัมภาษณ์พร้อมกันทั้งหมด ผู้ได้รับเลือกให้เข้ารับการสัมภาษณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์ครั้งละครึ่งชั่วโมงทีละคนในห้องทำงานของผู้บริหารแต่ละคน รวมเวลาทั้งหมดเกือบสามชั่วโมง (โดยไม่มีการพัก เมื่อออกจากห้องหนึ่งก็ต้องตรงเข้าไปอีกห้องหนึ่งเลยทันที) ท่านคงพอเดาได้ว่าความเครียดจะมากมายมหาศาลสักเพียงใด คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ก็มีหลากหลายรวมถึงการทดสอบทางเทคนิคขั้นสูง (สำหรับผู้สมัครเป็นโปรแกรมเมอร์) การให้คะแนนการสัมภาษณ์เริ่มตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปจนกระทั่งเปิดประตูออกไป ทุกอิริยาบทเป็นส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ เมื่อสอบสัมภาษณ์เสร็จก็ถึงเวลาแห่งการรอคอยคำตอบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานสุดๆ แต่ความกระวนกระวายใจก็ถึงจุดสิ้นสุดเมื่อได้รับโทรศัพท์ในอีกสองวันต่อมาว่าให้มาฝึกงานได้ ลูกสาวของข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์นั้นด้วย

เมื่อการฝึกงานสิ้นสุดลงก็จะมีการประเมินผลการทำงาน ปกติแล้วนักศึกษาที่ถูกประเมินว่าทำงานดีจะได้รับข้อเสนอให้มาร่วมงานด้วยหลังจบการศึกษา ลูกสาวของข้าพเจ้าถูกประเมินว่าทำงานดี ดังนั้นจึงคาดหวังว่าจะได้รับข้อเสนอ นั่นหมายความว่าจะมีงานทำอย่างแน่นอนเมื่อเรียนจบแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่าลูกสาวของข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานอีกครั้งด้วยความกระวนกระวายใจอย่างยิ่งในการรอคอยข้อเสนอจากบริษัทนั้น หลังจากที่รอมาสักพักและได้ข่าวว่ามีเพื่อนนักศึกษาบางคนได้รับข้อเสนอแล้ว ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างแน่ใจว่าลูกสาวของข้าพเจ้าจะไม่ได้รับข้อเสนออย่างแน่นอน ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ทำงานที่นั่น ข้าพเจ้ามักมีความรู้สึกเช่นนี้ทุกครั้งที่ลูกๆ ของข้าพเจ้าสมัครเรียนหรือสมัครงานว่าจะได้รับคำตอบอย่างไร เหมือนเป็นเสียงตรัสเบาๆ ในใจของข้าพเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการหรือน้ำพระทัยอย่างไร ส่วนใหญ่จะไม่ผิดพลาด แต่ข้าพเจ้าคงไม่สามารถบอกกับลูกสาวตรงๆ อย่างนั้นในภาวะว้าวุ่นใจเช่นนั้น ในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าทรงไม่ประสงค์ให้ลูกสาวของข้าพเจ้าได้งานที่บริษัทแห่งนั้นทั้งๆ ที่ทุกอย่างดูดีไปหมด ข้าพเจ้าบอกลูกสาวว่าถ้าไม่ได้งานก็หมายความว่าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ในที่สุดก็มีการยืนยันแน่ชัดว่าไม่มีข้อเสนอให้ร่วมงานสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าคงไม่ต้องบอกว่าลูกสาวของข้าพเจ้าผิดหวังและทุกข์ใจพอประมาณเพราะนั่นหมายความว่าต้องสมัครงานใหม่และต้องผ่านขั้นตอนหฤโหดของการสัมภาษณ์อีกครั้ง แต่เราก็แน่ใจว่าพระเจ้าทรงมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ที่เห็นชัดในตอนนั้นคือลูกสาวของข้าพเจ้าต้องดูหนังสืออย่างหนัก ผลก็คือได้ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้วและมีความมั่นใจมากขึ้นในการตอบคำถามด้านเทคนิค ข้าพเจ้าก็ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าอีกแล้วว่าพระองค์จะทรงประทานงานให้ในคราวนี้ คราวนี้ลูกสาวของข้าพเจ้ารอคอยคำตอบอย่างสงบเพราะวางใจพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ และรู้ว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงเสมอ เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะให้งานนี้ พระองค์ทรงประทานให้ ลูกสาวของข้าพเจ้าได้งานทำเป็นโปรแกรมเมอร์ที่อยากทำ

ในตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงประทานงานให้แก่ลูกสาวของข้าพเจ้าอีกแห่งหนึ่ง มันไม่ใช่การทดสอบความเชื่ออย่างแน่นอน พระองค์ทรงสัพพัญญู ฉะนั้นหมายความว่ามันต้องมีอะไรที่ล้ำลึกกว่านั้น แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว อย่างที่เรารู้กันดีว่าขณะนี้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาตกต่ำอย่างที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนไม่น้อยต้องปิดตัวลง ผู้คนจำนวนมากต้องตกงาน บริษัทที่ลูกสาวของข้าพเจ้าไปฝึกงานก็รวมอยู่ในข่ายนี้ด้วย พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบริษัทแห่งนี้ พระองค์จึงทรงกันลูกสาวของข้าพเจ้าให้พ้นจากความพินาศนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ข่าวนี้จากลูกสาวของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีอาการขนลุกด้วยความกลัวเกรงพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด ส่วนความรู้สึกของลูกสาวของข้าพเจ้านั้นมีมิติที่ลึกยิ่งกว่า

ข้าพเจ้าใคร่อยากหนุนใจผู้ที่กำลังรอคอยคำตอบจากพระเจ้า แต่ยังมามาถึงสักที ขอให้อดทนอีกสักนิด คำตอบมาถึงอย่างแน่นอน แต่มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หวังไว้ แต่ขอให้แน่ใจเถอะว่าคำตอบที่มาถึงนั้นเป็นสิ่งที่ดียอดเยี่ยมที่สุด

ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงสงวนสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มอบการเลือกสรรไว้กับพระองค์

สิธยา คูหาเสน่ห์

10/10/51

พระเจ้าผู้ทรงให้อภัย

“No one is perfect” คิดว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินคำกล่าวนี้ซึ่งมีความหมายว่า ไม่มีใครดีพร้อม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดที่เราจะทำผิด ความบาปมีมาตั้งแต่เรายังไม่ถือกำเนิดมาในโลกนี้ “ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป” (สดด. 51:5) ดังนั้นจึงไม่มีสักคนเดียวที่ไม่เคยทำบาป (ดู 1 พกษ. 8:46) เพราะฝ่ายเนื้อหนังของเราอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย” (1 ยน. 5:19) และ “เพราะว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตตามทางโลก ตัณหาชั่วที่ธรรมบัญญัติเร้าให้เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้อวัยวะของเราก่อกรรมชั่วไปสู่ความตาย” (รม. 7:5) และแน่นอนถ้าเรายังทำตามความต้องการฝ่ายเนื้อหนังอยู่ก็จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้เลย (ดู รม. 8:7)

แต่การที่จะหลีกเลี่ยงจากการไม่ทำบาปก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะ “บาปก็หมอบอยู่ที่ประตูอยากตะครุบเจ้า” (ปฐก. 4:7) จากข้อพระวจนะข้างต้นจะเห็นว่าโอกาสที่เราจะทำบาปมีอยู่ตลอดเวล ถ้าเราไม่ระวังตัวให้ดี เมื่อตกอยู่ในการทดลองและพ่ายแพ้ บางครั้งเราอาจจะทำบาปไปโดยไม่รู้ตัวหรือโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรู้ตัวว่าได้ทำบาปแล้ว ต้องสารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า และพระองค์จะทรงให้อภัยแก่เรา ดังที่กล่าวไว้ใน 1 ยน. 1:9 ว่า ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราแม้เราจะทำบาป ไม่เชื่อฟังพระองค์ แม้ว่าความบาปของเราจะหนักสักเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็ทรงให้อภัยและจะไม่จดจำไว้ “……..ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดงก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ” (อสย. 1:18) พระองค์จะนับหนึ่งเสมอสำหรับความบาปของเรา แต่ที่สำคัญคือ เราต้องสารภาพและสัญญากับพระองค์ว่าจะไม่ทำความผิดเช่นนั้นอีก และต้องกลับใจใหม่

นอกจากนั้น เรายังต้งให้อภัยตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้ภาพในอดีตกลับมาหลอกหลอนเราอีก นั่นแสดงว่าเราไม่ยอมรับการทรงให้อภัยของพระเจ้า แม้ว่าการลืมภาพต่างๆ เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะต้องใช้เวลานานสักเท่าใดก็ตาม ก็ขอให้เราอดทนและเอาชัยชนะมาให้ได้ และเข้าสู่อ้อมกอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตาของเรา อย่าห่วงว่าเราจะทนความเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรื่องร้ายๆ ในอดีตไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม และทรงรักเราอย่างมากมาย และ “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่านนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (1 คธ. 10:13)

ดังนั้นขอให้เรามีความอดนให้ถึงที่สุด แล้วเราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ (ดู 2 ทธ. 2:12) และท้ายที่สุดให้เราให้อภัยกันและกัน เพื่อชูพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นสูงสุด และความขมขื่น ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด จะกลายเป็นพระพรที่ไหลมาสู่เราอย่างไม่ขาดสาย

สิธยา คูหาเสน่ห์

องค์มหัศจรรย์!!!

ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาอังกฤษคงจะเป็น Amazing God ปี 2514 เป็นปี อะเมซิ่ง ของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรก็ตามมักจะมีคำว่า อะเมซิ่ง ห้อยตามด้วยเสมอ เป็นปีฉลองความมหัศจรรย์หลายแง่มุมของประเทศไทย

แต่สำหรับคริสเตียน ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทุกนาที ทุกวินาที เป็นเวลาแห่งความมหัศจรรย์เสมอ เพราะพระเจ้าของเราเป็นองค์มหัศจรรย์ พระเจ้าแห่งความยิ่งใหญ่ทั้งมวล

พระสัญญาทุกข้อของพระเจ้าเป็นความมหัศจรรย์ที่เกินความข้าใจของเรา พระเจ้าทรงขอสิ่งเดียวจากเราเท่านั้นในงานส่วนของพระองค์ที่จะให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จ คือ ความเชื่อวางใจ และต้องเป็นความเชื่อที่มั่นคงไม่เคลือบแฝงด้วยความสงสัยหรือความไม่แน่ใจ

“…จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่…” (2 พศด. 20:20) ถ้าเรามีความเชื่อวางใจในพระคุณอันล้ำเลิศของพระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ปล่อยให้เราทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวหรอก สิ่งที่ดีที่สุดสิ่งเดียวที่เราควรทำคือ การอธิษฐาน “มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ยก. 5:13) แต่เราอาจพบว่าตัวเองไม่สามารถจะรับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ยังตกใจไม่หาย และไม่ได้เตรียมใจไว้ ซึ่งความขมขื่นที่เต็มล้นอยู่นั้นเป็นผลพวงมาจากการดำรงชีวิตของเราในความบาป แต่ถ้าเราคุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นที่พึ่งแหล่งเดียวของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เรา (ดู ฟป. 4:13) ให้ชีวิตใหม่แก่เรา เสริมพลังใหม่ให้แก่เรา และหล่อหลอมเราด้วยความสามารถใหม่ๆ เราจะเข้มแข็งขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวด ความปวดร้าว และความทุกข์ทรมานของเรา พระเจ้าทรงหยิบยื่นความเล้าโลมใจมาให้ และพระเมตตาคุณของพระเจ้าจะทรงรักษาบาดแผลของเราให้หาย (ดู สดด. 147:3) และเอาความชอกช้ำระกำใจไปจากเรา และทรงเติมความว่างเปล่าในจิตใจของเราด้วยความรักซึ่งไม่มีเงื่อนไขของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ และให้เรารู้ว่าเมื่อความมืดมนแห่งความระทมใจผ่านไป ก็จะตามมาด้วยความสว่างแห่งการเรียนรู้ และการตระหนักถึงการปลดปล่อยที่เกิดขึ้น แล้วเราจะยืนหยัดยิ้มสู้ชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง … อย่างเข้มแข็ง … มหัศจรรย์!!!

“เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (มธ. 6:8) พระสัญญาข้อนี้ก็มหัศจรรย์อีกเช่นกัน เมื่ออธิษฐาทูลขอสิ่งใดด้วยความเชื่อ เราจะได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ ขอให้พิจารณาข้อพระวจนะใน ยก. 4:3 ที่ว่า “ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัญหาของท่าน” ดังนั้นท่าทีในการขอของเราขอให้ถูกต้อง และถึงแม้ว่าในบางครั้งเรายังไม่ทันจะขอด้วยซ้ำ พระเจ้าก็ประทานให้แล้ว เพราะพระองค์ทรงทราบก่อนที่เราจะทูลขอเสียอีก

อยากจะขอเป็นพยานส่วนตัวสักนิดเกี่ยวกับการอธิษฐาน ข้าพเจ้าเคยสอนภาษาอังกฤษเป็นงานบางเวลาทั้งที่โรงเรียนสอนภาษาและที่บ้าน แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยเมื่อเดือนกันยายน 2540 ก็ทำให้การเดินไม่ค่อยสะดวก ในช่วงนั้นก็เลยหยุดสอนไป แต่ตอนนี้พระเจ้าทรงรักษาให้หายแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะกลับไปสอนอีก จึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่า อยากได้งานแปลหนังสือซึ่งก็เคยทำอยู่แล้ว แต่ขอให้เป็นงานรับใช้พระเจ้า มหัศจรรย์! พระเจ้าก็ประทานมาให้อย่างรวดเร็วทันใจและให้มาอย่างมากมายจริงๆ ขอบพระคุณพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็มีปัญหากับเครื่องมือทำมาหากินคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ เจ้าเพื่อนยากที่ใช้งานมานานเกิดเป็นอันต้องบอกลาข้าพเจ้าเสียแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงข้าพเจ้าก็กำลังจะซื้อเครื่องใหม่ที่ทันสมัยกว่าเครื่องที่ใช้อยู่พอดี เพราะการใช้งานช้ามากไม่ทันกับจำนวนงานที่ข้าพเจ้าต้องทำ นี่เพียงแค่คิดพระเจ้าก็ทรงให้ข้าพเจ้าได้เครื่องใหม่ด้วยวิธีการที่แปลกและรวดเร็วจริงๆ ที่ว่าแปลกเพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ของข้าพเจ้าเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมาในขณะที่มีงานต้องเร่งส่งและงานบางส่วนข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้จัดเก็บลงแผ่นดิสก์ เศร้า! นอกจากจะต้องทำงานใหม่แล้วยังต้องไปขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของพี่ชายอีก เป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร แล้วปัญหาอีกประการหนึ่งก็ตามมา ในเมื่อต้องซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่แล้วก็ต้องซื้อรุ่นที่มีซอฟแวร์ใหม่ล่าสุด นั่นหมายความว่าจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายก็สูงมิใช่เล่น (ถึงแม้ว่าราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์จะลดลงมามากแล้วก็ตาม) แต่พระเจ้าของเราก็ช่างน่ารักเสียจริงๆ พระองค์ก็ประทานงานแปลที่ไม่ใช่งานรับใช้มาให้ด้วยโดยที่ไม่ได้ขอ เพราะงานประเภทนี้ค่าแปลก็จะแตกต่างจากงานรับใช้อย่างมาก และนอกจากนั้นข้าพเจ้าก็แน่ใจว่าเป็นการยืนยันจากพระเจ้าว่า ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าจะได้เรียนภาควิชาคณิตศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าเป็นพยานกับลูก เพราะตัวลูกเองยังไม่ค่อยแน่ใจในการเลือกสาขาวิชาสักเท่าใด มหัศจรรย์!!!

ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกท่านต้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าไม่มากก็น้อยในเรื่องนี้ และคงจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าที่จะกล่าวสรรเสริญพระเจ้าของเราว่าเป็น องค์มหัศจรรย์!!!

สิธยา คูหาเสน่ห์

พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ

หลายครั้งหลายคราในการดำรงชีวิตของเรามักจะพบกับคำถามมากมาย และบ่อยครั้งเราไม่สามารถจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้เลย แม้ว่าเราจะใช้เวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่ง่ายๆ และคำตอบที่ได้จะชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น วิธีที่ว่านี้มีข้อแม้อยู่ประการเดียวคือ ต้องเชื่อว่าผู้ที่ท่านนำคำถามไปขอคำตอบนั้นจะช่วยท่านได้จริงๆ แน่นอนข้าพเจ้าหมายถึง พระเจ้าของเรานั่นเอง พระเจ้าทรงเป็นคำตอบเสมอ

ท่านเคยรู้สึกอยากให้มีใครอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือไม่เมื่อท่านรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา และอยากจะคุยกับใครสักคน ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเวลาที่เราต้องอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านเคยรู้สึกแบบนี้ในขณะที่ท่านอยู่ท่ามกลางคนมากมายหรือไม่ ฟังดูค่อนข้างจะเข้าใจยากสักหน่อย ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง บางท่านอาจจะเข้าใจดีขึ้นเพราะมีความรู้สึกเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แต่บางคนจะยิ่งสับสนมากขึ้นเพราะวาดภาพไม่ออกเลยว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

ข้าพเจ้ารักทะเลเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่มีคนชวนไปเที่ยวทะเลมักจะไม่ค่อยพลาด ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าชอบเล่นน้ำทะเล บางครั้งเมื่อไปเที่ยวทะเลไม่ได้แม้แต่จะเดินลงไปที่ชายหาดด้วยซ้ำไป แต่ข้าพเจ้าก็พอใจและมีความสุขลึกๆ ในใจ ข้าพเจ้าชอบมองดูทะเล โดยเฉพาะเวลาที่ไม่มีคนเล่นน้ำอยู่และทะเลค่อนข้างสงบ ยามนั้นข้าพเจ้าจะรู้สึกเศร้า ว้าเหว่ และอ้างว้าง แต่ลึกๆ ในใจสุขอย่างไม่สามารถจะอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคำพูด (ถ้าข้าพเจ้าสามารถเล่นดนตรีได้ ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงดนตรีคงสามารถจะสื่อให้เข้าใจความรู้สึกดังกล่าวได้ดีกว่าตัวหนังสือ) และมีความรู้สึกเจ็บปวดปนอยู่ด้วย เจ็บปวดกับความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต บางครั้งอยากให้เวลาหมุนกลับมาใหม่แล้วขอทำใหม่อีกครั้ง เคยถามตัวเองว่าถ้าเป็นไปได้จริงๆ จะเลือกวิถีทางใหม่หรือไม่ เคยคุยกับเพื่อนที่เป็นนักเขียนคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาบอกว่าถ้าเป็นไปได้จริงๆ คนเราก็จะยังคงเลือกทางเดิมนั่นแหละ จริงล่ะหรือ ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบ แต่พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ท่านเคยรู้สึกว่ายิ่งใกล้เวลาที่พระเจ้าจะเสด็จมา มนุษย์ก็ยิ่งแสดงความชั่วร้ายต่างๆ ให้ห็น ข้าพเจ้าจะไม่เสียใจนักถ้าหากว่าเป็นคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ที่ข้าพเจ้าเศร้าใจเพราะเป็นคนต่างๆ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน บางคนยังพูดอีกว่าเป็นคริสเตียนที่กลับใจใหม่แล้วเสียด้วย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีใครเคยพบคริสเตียนที่อ้างตัวดังกล่าวพูดกับท่านด้วยวาจาที่ไม่ได้มีความรักของพระเจ้าอยู่เลย พูดด้วยท่าทีอย่างที่กล่าวไว้ใน มธ. 15:18 ที่ว่า “แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” และยังมีการกล่าวโทษผู้อื่นด้วยเป็นนัยว่าตัวเองไม่เคยผิดเลย คงจะลืมพระคำของพระเจ้าที่ว่า “อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน” (มธ. 7:1) แต่พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ ให้เพ่งมองที่พระเจ้าแล้วท่านจะยืนหยัดอยู่ได้ในโลกที่เบี้ยวใบนี้

ท่านเคยเห็นพี่น้องคริสเตียนที่พูดสรรเสริญพระเจ้าเสมอ ร้อนรนในการรับใช้พระเจ้า และมักจะถวายเงินในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ท่านทราบว่าคริสเตียนคนเดียวกันนั้นไม่ให้โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียนคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าตน ถึงแม้ว่าความช่วยเหลือที่สามารถให้นั้นไม่ได้ยากเย็นหรือก่อความเดือดร้อนเลย แต่การกระทำของเขาหมายถึงความเดือดร้อนแสนสาหัสของพี่น้องคริสเตียนที่เขาปฎิเสธไม่ยอมให้ความช่วยเหลือนั้น ท่านจะทำอย่างไร พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ “มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ยก. 5:13) สิ่งที่ท่านทำได้ดีที่สุดคือหนุนใจให้อธิษฐาน ไม่เพียงแต่อธิษฐานสำหรับตนเองที่จะไม่กล่าวโทษคนอื่น แต่อธิษฐานเผื่อคนนั้นที่ถูกปฎิเสธที่จะพึ่งพระเจ้ามากขึ้นและให้อภัยและสามารถอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเขาด้วย

ท่านเคยมีความรู้สึกไม่อยากไปนมัสการที่คริสตจักรในวันอาทิตย์บ้างหรือไม่ รู้สึกว่าไม่ได้มีความกระตือรือร้นอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆ อย่างที่เคยเป็น และมักจะหาข้ออ้างที่ขาดน้ำหนักในการขาดโบสถ์อยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะรู้สึกสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดของสมาชิกบางคน มีคำถามไม่เข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นทำหรือพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เอาพระเจ้าไปไว้ที่ไหน ความรักตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์อันตรธานไปไหน เหลือไว้แต่ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งยโส ความเสแสร้ง ความไม่จริงใจ การรอโอกาสที่จะทำร้ายกันและกัน และที่ร้ายที่สุดมิตรภาพบินหายไป แต่กลับมีความเกลียดชังแบบศัตรูเข้ามาแทนที่ ท่านเคยรู้สึกอย่างนั้นบ้างไหม ท่านทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ คิดว่าคำตอบคงจะแตกต่างกันไป แต่ควรจะมีวิธีสุดท้ายที่ดีที่สุดถ้าทุกคนรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นคำตอบ เราต้องบอกตัวเองว่าเราไม่ได้ไปโบสถ์เพื่อไปพบใครเป็นพิเศษ เราไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พระบิดา ต่างหาก ดังนั้นให้เพ่งมองดูที่กางเขน ให้มุ่งไปที่พระเจ้า มิใช่มนุษย์ ท่านเห็นด้วยไหม

ท่านเคยรู้สึกผิดต่อพระเจ้าบ้างไหม ท่านปฎิเสธงานรับใช้ที่ทางคริสตจักรมอบหมายให้เพราะท่านทราบว่าเบื้องหลังการทำงานนั้นไม่โปร่งใสสักเท่าไร แต่ครั้นจะก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างขาดสันติสุขก็ออกจะเป็นเรื่องยากที่จะทำ ดูเหมือนว่าทางสองแพร่งนี้จะยากต่อการตัดสินใจเสียจริงๆ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ทูลทุกสิ่งในใจต่อพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นคำตอบ (สดด. 62:8)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมิใช่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้าเองทั้งหมด แต่รวบรวมมาจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน เหล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ท่านทั้งหลายทราบดีว่าความจริงแล้วยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายแง่มุม ข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนท่านทั้งหลายให้ช่วยอธิษฐานเผื่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกันมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสุดท้ายดังในยุคนี้ เราจะได้เห็นความบาปอีกมากมายจากพี่น้องคริสเตียนด้วยกันนี่แหละ อย่าเน้นแต่การประกาศนอกคริสตจักรกันอย่างเดียวเลย ขอให้ห่วงใยพี่น้องคริสเตียนในคริสตจักรกันบ้าง ข้าพเจ้าขอวิงวอน

ทุกสิ่งจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะพระเจ้าทรงเป็นคำตอบ

สิธยา คูหาเสน่ห์

ความรักที่ว่านั้น … ฉันใด

“ความรักก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” (1 โครินธ์ 13:4-7)
คิดว่านิยามความรักข้างต้นคงเป็นที่คุ้นเคยของคริสตชนทุกคน และคิดว่าคงมีคนไม่น้อยที่สามารถท่องจำข้อพระวจนะนี้ได้ แต่ข้าพเจ้ายังแคลงใจว่าบรรดาผู้ตระหนักดีทั้งหลายเหล่านั้นจะมีสักกี่คนเชียวหนอที่สามารถปฏิบัติตามได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้สักประเด็นเดียว ข้าพเจ้าต้องทูลขอการทรงอภัยจากพระเจ้าถ้าจะขอกล่าวว่าในยุคนี้ (ซึ่งหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะเป็นยุคสุดท้ายแล้วจริงๆ จากหมายสำคัญหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น) ช่างหาความรักได้น้อยเต็มทนแม้แต่จากสมาชิกในครอบครัวของเราเอง มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความบาปและพร้อมที่จะทำบาปทุกขณะเมื่อตกอยู่ในการทดลองถ้าจิตวิญญาณไม่เข้มแข็งพอ ไม่เว้นแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ผู้ปกครอง ผู้ที่ดำเนินชีวิจด้วยความชอบธรรม ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อตลอดมา ถ้าดูอย่างผิวเผินจะเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ติดสนิทกับพระเจ้าตลอดเวลา มองไม่เห็นทางเลยว่าจะพ่ายแพ้การทดลองได้อย่างไร แต่เราต้องไม่ลืมว่ายิ่งเราเข้มแข็งกับพระเจ้ามากเท่าใด มาร ก็ต้องทำงานหนักที่จะคอยทำลายเรามากขึ้นเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความผิดเกิดขึ้น พระองค์ต้องมีพระประสงค์อย่างแน่นอน และเป็นการยืนยันสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “เพราะไม่มีคนเป็นคนใดที่ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระองค์” (สดด. 143:2ข) และ “แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลกที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย” (ปญจ. 7:20) สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดคือสารภาพความผิดบาปของเรากับพระเจ้า ทูลขอการทรงอภัย กลับใจใหม่และจะไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดๆ อีก และอธิษฐานรอคอยคำตอบจากพระองค์ด้วยความอดทน เพราะมนุษย์เกิดมาในสภาพที่แตกสลาย ที่มนุษย์ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่เปรียบเสมือนกาววิเศษที่ปะติดปะต่อชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกันเมื่อใครคนใดคนหนึ่งหลงทางทำผิดไป เมื่อรู้สึกตัวแล้วขวัญและกำลังใจที่ขาดสะบั้นนั้นนอกจากพระเจ้าแล้วยังเป็นความเอื้ออาทรที่สมาชิกในครอบครัวควรจะหยิบยื่นให้ เรียกขวัญและกำลังใจเหล่านั้นให้กลับฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ช่วยลบความผิดนั้นให้จางลงและให้รอยแผลนั้นค่อยๆ หายไปจากจิตใจด้วยความรัก มิใช่ด้วยการตอกย้ำไม่ยอมลืม ถ้าเช่นนั้นนิยามความรักข้างต้นจะมีความหมายอะไร ไม่มีใครสามารถจะทำได้ดีกว่าคนในครอบครัวเพราะรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ความจริงบางประการก็ไม่สามารถให้คนอื่นรับรู้ได้ทั้งหมด ดังนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนให้คริสเตียนทั้งหลายทบทวนบทบาทของตนเองใหม่อีกสักครั้งว่าการดำเนินชีวิตและวาจาของเราสอดคล้องกับพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่ หรือมีการดำเนินชีวิจที่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่
ความรักก็เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ต้องการความเอาใจใส่ดูแลทำนุบำรุงจึงจะสามารถเจริญเติบโตผลิดอกออกผลได้ พระเจ้าให้เรารักและเป็นห่วงซึ่งกันและกัน ต้นรักในใจของเราเป็นต้นรักชนิดที่เหี่ยวเฉาเพราะขาดการดูแลได้น้ำบ้างไม่ได้บ้าง หรือเป็นต้นรักที่อยู่ริมน้ำเขียวชอุ่มทั้งปีแผ่กิ่งก้านสาขาออกกว้างให้ร่มเงาที่น่าร่มรื่น หรือแม้จะไม่ได้อยู่ริมน้ำแต่ก็มีการพรวนดินใส่ปุ๋ยให้น้ำอย่างอุดมสมบูรณ์
ท่านผู้อ่านที่รัก ต้นรักในใจของท่านเป็นชนิดใด
ความเชื่อ ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้
ความหวัง ทำให้ทุกสิ่งสดใส
ความรัก ทำให้ทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย
พระเจ้าทรงเริ่มต้นการดีของพระองค์แล้วโดยทำให้จักรวาลนี้ไร้พรมแดน ท่านล่ะ ปลูกต้นไม้ให้งอกงามจนมีความรักมากพอที่จะเทให้แก่มนุษย์บนโลกนี้ ทำให้อาณาจักรอันปราศจากเขนแดนนี้เต็มไปด้วยความรักแบบพระคริสต์ ท่านอยากเห็นภาพที่ทุกคนบนพิภพนี้จับมือกันแล้วร้องเพลง “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” ให้ก้องโลกหรือไม่!!!

สิธยา คูหาเสน่ห์