3/3/54

ติดพันกับพระเจ้า


อะไรที่เรียกว่า "ติดพันกับพระเจ้า" ข้าพเจ้าขอนำเสนอความคิดสัก 2-3 ข้อ เพื่อให้มองเห็นภาพว่าการติดพันกับพระเจ้าเป็นอย่างไร

1. ท่านจะติดพันกับพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อท่านอ้าแขนออก ถ้าท่านไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถติดพันกับพระเจ้าได้ พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อโอบอุ้มเรา แต่ท่านต้องเชื่อวางใจพระเจ้าและมีความอดทนและอดกลั้นและรอคอยการช่วยเหลือจากพระองค์
2. เมื่อท่านติดพันกับพระองค์ ท่านจะไปในที่ที่พระองค์เสด็จไปและเดินในเส้นทางของพระองค์
3. การติดพันกับพระเจ้าเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะทำ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราทั้งหลายติดพันกับพระองค์อยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีกำลังและพลังอำนาจมากกว่า เราทั้งหลายเป็นผู้เลือกที่จะติดพันกับพระองค์หรือจะดำเนินชีวิตของเราเองโดยปราศจากพระองค์

ท่านล่ะ ติิดพันกับพระเจ้าหรือเปล่า หรือว่าท่านอยู่โดยปราศจากพระองค์ การดำเนินชีวิตตามลำพังนั้นโดดเดี่ยวและอ่อนล้ากำลัง พระองค์ทรงเป็นพลัง ทำไมไม่พึ่งพาพระองค์ล่ะ

เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง … เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" ยอห์น 15:5

การดำเนินชีวิตของคริสเตียนเป็นวิถีที่ต้องพึี่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่น เหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลอย่างอุดมสมบูรณ์เพราะมีแหล่งน้ำดีที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต คริสเตียนก็ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำแห่งชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งเช่นกัน

เถาองุ่นก็ทำหน้าที่ของเถาองุ่น แขนงเพียงแค่พึ่งพาและรับสิ่งที่เถาองุ่นมอบให้ นั่นแหละ พระเยซูทรงต้องการให้ผู้เชื่อทั้งหลายเข้าใจเช่นนั้น พระคริสต์ทรงปรารถนาให้เราทั้งหลายยอมรับว่ารากฐานของการงานทั้งหมดของเรานั้นอยู่ที่พระองค์ พระองค์จะทรงดูแลกิจการงานทั้งหมดของเรา

เมื่อเราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของเราโดยการส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาช่วยเหลือเราทั้งหลาย พระเยซูทรงต้องการให้เราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ในขณะที่เราทำงานรับใช้พระองค์ ขอเพียงติดสนิทหรือติดพันกับพระองค์ทุกเวลา ดำเนินชีวิตโดยการพึ่งพาพระองค์และรู้ว่าเมื่อแยกจากพระองค์แล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลย

การพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของการงานทั้งหมด เราทั้งหลายไม่มีอำนาจหรือพลังอะไรที่จะทำให้เกิดความสำเร็จได้นอกจากได้รับจากพระองค์เท่านั้น

การพึ่งพาพระเจ้าต้องเป็นการพึ่งพาอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติบาปของมนุษย์ทำให้เกิดความโน้มเอียงที่จะพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราทั้งหลายพ่ายแพ้ต่อการทดลองก็คือการสอนให้รู้ถึงการพึ่งพาพระองค์อย่างสิ้นเชิงเพื่อให้เราสามารถเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์

นอกจากนั้นการล้มลงในความบาปของเราต่อการทดลองยังเป็นการสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาวินัยในการอธิษฐาน ยังเป็นการบังคับเราให้ยอมรับการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยวิธีที่จับต้องได้ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะมันเป็นการยอมรับว่าถ้าปราศจากพระเจ้า เราจะทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองและต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง


แต่ทว่าการยอมรับเช่นนั้นเป็นการค้านธรรมชาติบาปของเราเป็นอย่างมาก ท่านเห็นด้วยหรือไม่
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายจะเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นๆ


สิธยา คูหาเสน่ห์

31/1/54

น่าคิด!


ในช่วงไม่ถึงสองเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับทราบข่าวการจากไปของหลายคน เริ่มต้นด้วยแม่สามีซึ่งหลับไปในขณะดูทีวีรายการสดุดีพระเจ้าอยู่หัว ตามมาด้วยแม่ของเพื่อนที่รู้จักกันออนไลน์ผ่านการสามัคคีธรรมแบบคริสเตียน ท่านจากไปในอ้อมกอดของเพื่อนคนนี้ก่อนวันคริสตมาสเพียงไม่กี่วัน (เพื่อนไม่ได้บอกสาเหตุ เพียงแต่เล่าว่าท่านบ่นว่าเหนื่อย) แลัวก็เป็นการจากไปของเพื่อนสนิทมากที่สุดคนหนึ่ง (กมล พฤกษฑลกุล) เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่แตก เขาจากไปตามลำพังที่บ้านพักของเขาในแอลเอ (แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าทูตสวรรค์นำทางเขากลับบ้านถาวรของเขาอย่างแน่นอน) และสุดท้าย (หวังว่าคงเป็นข่าวสุดท้ายสำหรับในช่วงนี้) พ่อของเพื่อนร่วมงานของลูกสาวคนเล็ก จริงๆ ท่านป่วยมานานด้วยโรคไต และเสียชีวิตลงเป็นการปิดฉากช่วงชีวิตที่ทุกข์ทรมานมานานโดยมีภรรยาและลูกอีกคนอยู่เคียงข้างในเกาหลี

ข่าวเหล่านี้น่าจะบอกอะไรเราได้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการเตือนให้เตรียมตัวให้พร้อมเพราะไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกให้กลับบ้านเมื่อไร เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนในการสามัคคีธรรมช่วงพักดื่มกาแฟที่คริสตจักร มีคนถามข้าพเจ้าว่า "พี่ พร้อมไหมถ้าพระเจ้าจะเรียกพี่กลับบ้านตอนนี้" น่าคิด!

ถ้าเช่นนั้นเราน่าจะรักกันให้มาก จริงๆ แล้วคริสเตียนพูดถึงเรื่องความรักตลอดเวลา แต่พูดอย่างเดียวพอไหม พระคัมภีร์บอกว่า “...อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง" (1 ยอห์น 3:18) ท่านคิดว่าเราทั้งหลายทำตามสิ่งที่พระเจ้าตรัสให้เราทำหรือยัง รักกันด้วยคำพูดคงทำไม่ยาก เพียงพูดคำว่า "รัก" พูดอย่างเดียวหรือว่าหมายความอย่างนั้นจริงๆ เวลาที่พูดว่า "รัก" อีกฝ่ายรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไหม น่าคิด!

ถ้าเช่นนั้นอย่าปล่อยให้ "น่าคิด" อยู่เลย ทำให้มันเป็นรูปธรรมกันดีไหม อย่าได้แต่คิดจะทำ เมื่อคิดแล้วก็ทำเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นท่านจะหมดโอกาสทำเพื่อเป็นการแสดงความรักด้วยการกระทำกับคนที่ท่านรัก บางทีอาจสายไปเพราะเขาเหล่านั้นไม่อยู่กับเราแล้ว การกระทำนั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เพียงสิ่งเล็กๆ ก็อาจมีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับคนๆ นั้นก็ได้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อย อย่างเช่น การโทรศัพท์ไปเยี่ยมเยียนใครสักคน ท่านอาจเดาไม่ออกว่าการโทรศัพท์ของท่านอาจช่วยกู้ใครสักคนให้พ้นจากวิกฤตชีิวิตที่กำลังเผชิญอยู่ก็ได้ ส่วนข้าพเจ้าก็มีสามัคคีธรรมออนไลน์กับคนจำนวนหนึ่ง บางครั้งเมื่อกดส่งก็จะได้รับข้อความกลับมาทันทีเพื่อขอบคุณสำหรับการหนุนใจที่กำลังห่อเหี่ยวท้อแท้ ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แม้มันจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำทุกวัน และข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไร แม้เล็กน้อยทว่ายิ่งใหญ่สำหรับบางคน อีกครั้งที่ น่าคิด! เพราะสิ่งเล็กน้อยที่เราทั้งหลายทำนั้น พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นทุกเรื่อง อย่าลังเลที่จะทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อผู้อื่น อย่าท้อใจเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ตรงที่การเริ่มต้นทำต่างหาก ทำสิ่งเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย และสิ่งเล็กน้อยนั้นถ้าทำอย่างดีย่อมนำไปสู่โอกาสที่ใหญ่กว่า น่าคิด!

บางครั้งเราอาจคิดว่าตัวเราช่างเล็กน้อยไร้ค่าเสียเหลือเกิน จะทำอะไรเพื่อพระเจ้าได้บ้าง พระองค์จะทรงต้องการเราล่ะหรือ และถ้าหากเราคิดเช่นนั้นก็เป็นการผิดมาก

ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงต้องการเลี้ยงอาหารคนเป็นจำนวนมากที่มาฟังคำเทศนาของพระองค์ พวกเขาหิวแล้วและสถานที่นั้นก็อยู่ห่างจากแหล่งอาหารไกลโขทีเดียว สาวกคนหนึ่ง (เปโตร) ทูลพระองค์ว่า "ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว" จากสิ่งเล็กน้อยที่เด็กชายคนนั้นมีพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในการเลี้ยงคนห้าพันคนจนอิ่ม ขอให้จำไว้ว่าไม่ว่าท่านจะเป็นใคร พระเจ้าทรงเห็นว่าท่านเป็นคนสำคัญและสามารถทำการใหญ่จากตัวท่านหรือสิ่งที่ท่านมี จริงที่ว่าเราอยู่ในยุคที่ยกย่องความยิ่งใหญ่ แต่สิ่งใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเล็กน้อย และแผนการของพระเจ้าก็ขึ้นอยู่กับการกระทำ ความคิด และการปฏิบัติหน้าที่เล็กน้อยในแต่ละวันของเรา อย่าคิดว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะจากสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งใหญ่ได้ อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อยเพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านั้นในชีวิตของท่าน และพระราชกิจของพระองค์จะสำเร็จได้จากสิ่งเล็กน้อยที่ท่านมีและที่ท่านเป็น น่าคิด!

ให้สิ่งเล็กน้อยที่ท่านทำเพื่อมนุษย์และเพื่อพระเจ้าเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าองค์ผู้สูงสุด เอเมน

สิธยา คูหาเสน่ห์

21/1/54

ลาก่อน... เพื่อนรัก (บทความพิเศษ)


ลาก่อน... เพื่อนรัก
(เพื่อระลึกถึงคุณกมล พฤกษฑลกุล)

การบอกลากันเป็นเรื่องยาก การบอกลาสำหรับข้าพเจ้ามีสามแบบ หนึ่ง การบอกลาเมื่อพบหน้ากันแล้วและต้องแยกย้ายกันไป สอง การบอกลาเมื่อไปเยี่ยมใครบางคนและต้องเดินทางกลับ (กรณีอยู่กันคนละที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนละประเทศ) และ สาม การบอกลาชั่วนิรันดร์เมื่ออีกคนเดินทางกลับบ้านถาวรของเขา

สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันเป็นเพียงความทรงจำช่วงหนึ่งในชีวิตกับเพื่อนรักที่มีชื่อว่า กมล พฤกษฑลกุล แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเรียกชื่อจริงของเขาเลย เขาคือ "โจ" สำหรับข้าพเจ้าและเพื่อนสนิทบางคนที่มีความทรงจำในวัยเด็กร่วมกัน โจและข้าพเจ้าไปนมัสการที่คริสตจักรเดียวกันเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งเขาย้ายมาปักหลักลงฐานที่สหรัฐอเมริกา เราสนิทกันมาก เป็นเพื่อนบ้านกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง เข้าค่ายโบสถ์ด้วยกัน ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันหลังเลิกเรียน โจเรียกตัวเองว่า "ไอ" และเรียกข้าพเจ้าว่า "ยู" และข้าพเจ้าก็ทำในทำนองเดียวกัน

เนื่องจากโจไม่ใช่คนเทคโนโลยี เราก็เลยไม่ได้ติดต่อกันด้วยอีเมล์ หลังจากที่โจเดินทางมาอยู่ที่แอลเอแล้ว ก็มีโอกาสพบกันเมื่อเขาเดินทางไปประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งการพบแต่ละครั้งก็สั้นๆ เพราะเขามีธุระมาก ทุกครั้งที่พบกันความเป็นเพื่อนก็เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกห่างเหินจากการไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน เขาเป็นคนสม่ำเสมอมาก ในด้านหนึ่งที่บอกได้คือเขาส่งการ์ดอวยพรวันคริสตมาสให้ข้าพเจ้าทุกปี และข้าพเจ้าก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีโดยการไม่ส่งตอบกลับไป (ตอนนี้ก็หมดโอกาสแล้วแม้ว่าจะกลับตัวกลับใจที่จะส่งตอบกลับไปบ้าง) แต่ปีที่ผ่านมา (คริสตมาส 2010) แปลก ไม่ได้รับการ์ดจากโจเลย ได้แต่ของหลานซึ่งเขาไม่รู้ที่อยู่และส่งมาเพื่อให้ข้าพเจ้าส่งต่อเท่านั้น ก็ยังคิดขำๆ ว่าโจคงเบื่อที่จะส่งให้แล้ว เพราะไม่เคยส่งตอบกลับไปเลย (ขอโทษนะ โจ) ต่อไปก็ไม่มีการ์ดจากโจอีกแล้ว

ข้าพเจ้าทราบข่าวการจากไปของโจจากหลานซึ่งได้รับข่าวมาอีกทอดหนึ่ง พวกเราที่ประเทศไทยยังไม่ปักใจเชื่อและสงสัยว่าเป็นการเล่นตลกของใครบางคนหรือเปล่า แต่ข่าวแบบนี้ไม่น่าจะมีใครแผลงเล่นตลก ใจหนึ่งก็เชื่อแล้ว แต่ก็ยังต้องการการยืนยัน ข้าพเจ้าก็พยายามติดต่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่อเมริกาและสนิทกับโจเหมือนกัน เขาก็ไม่รู้เรื่อง และบอกว่ายังคุยโทรศัพท์กับโจเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่เลย แต่หลังจากนั้นก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนที่แอลเอว่าโจจากไปแล้วจริงๆ เราต่างก็พูดไม่ออกกับการจากไปอย่างกระทันหันของเพื่อนรักคนนี้

ข่าวบอกว่าหัวใจวาย แต่ข้าพเจ้าก็ยังได้ข่าวมาอีกหลายกระแสเกี่ยวกับสาเหตุของการจากไปของเขา เพื่อให้แน่ใจข้าพเจ้าจึงพยายามหาทางติดต่อกับพี่ชายของเขา และด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็สามารถติดต่อกับพี่ชายคนที่สองของเขา และก็ได้ทราบว่าผลจากการชันสูตรศพบอกว่าเนื่องจาก ruptured aorta เมื่อโจไม่ได้ไปเล่นเปียโนที่โบสถ์ในเช้าวันที่ 2 มกราคม พี่ชายก็ตามไปดูที่บ้านและพบว่าโจเสียชีวิตแล้วและไม่ทราบว่าเสียชีวิตนานแค่ไหนแล้ว แม้ว่าโจจะจากไปตามลำพัง แต่ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเขาไม่ได้เดินทางกลับบ้านคนเดียวอย่างแน่นอน ทูตสวรรค์ได้นำทางเขากลับไปเพื่อเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และไปพบคุณพ่อคุณแม่ของเขาซึ่งเดินทางล่วงหน้าไปคอยอยู่แล้ว

สำหรับเราซึ่งยังคงจาริกอยู่ในโลกนี้ก็คงจะรู้สึกอาลัยกับการจากไปของโจ แต่มันเป็นการจากไปที่แฝงด้วยความชื่นชมยินดี เพราะที่ที่โจไปอยู่ย่อมดีกว่าที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน สักวันหนึ่งเราก็จะได้พบหน้ากันอีก แล้วพบกันนะเพื่อนรัก

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าการบอกลาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว (2010) จะเป็นการบอกลาแบบที่สองและสามสำหรับโจและข้าพเจ้า ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับโจเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เขาพาพวกเราไปเลี้ยงอาหารและหลังอาหารเขาก็พาสามีและข้าพเจ้าไปที่บ้าน เขาชงชาให้เรา (ซึ่งข้าพเจ้ายังหยอกเล่นว่าทำเป็นด้วยหรือ) เราคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นเวลาที่น่าจดจำอีกช่วงหนึ่งในชีวิต หลังจากนั้นเขาก็ขับรถไปส่งเราที่โรงแรม ข้าพเจ้าเป็นห่วงเพราะเขาขับรถเร็ว ยังเตือนเขาให้ระวังตัวด้วย ข้าพเจ้าบอกเขาว่าจะเดินทางต่อไปนิวยอร์กและจะอยู่ที่นั่นกับลูกสาวคนเล็กสองเดือน ระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ที่นิวยอร์กก็ได้มีโอกาสคุยกับโจหลายครั้งด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้โทรศัพท์ไปบอกเมื่อถึงกำหนดต้องเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อข้าพเจ้าเดินทางกลับมาแล้ว โจก็โทรศัพท์มาที่บ้านเพื่อถามว่าข้าพเจ้าเดินทางกลับมาหรือยัง นี่ก็เป็นความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของเพื่อนรักคนนี้ มีความห่วงใยอยู่เสมอ

ตอนนี้ไม่มีโจแล้ว รู้สึกใจหายที่คนอันเป็นที่รักจากไปอีกคน เราไม่รู้จริงๆ ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเรากลับบ้านเมื่อไหร่ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม พร้อมทั้งด้านกายภาพและด้านจิตวิญญาณ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของโจกับการสูญเสียครั้งนี้ด้วย และก็ร่วมอาลัยกับการจากไปของโจกับเพื่อนๆ และทุกคนที่รู้จักกับเพื่อนรักคนนี้ของข้าพเจ้า มันอาจจะกระทันหันไปนิด แต่เราต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ ให้เราหนุนน้ำใจกันและกัน และให้ความทรงจำของเราแต่ละคนซึ่งต่างกันไปยังคงอยู่ในคลังความคิดของเราตลอดไป

ลาก่อน...เพื่อนรัก จนกว่าจะพบกันอีก

แต่ก่อนที่จบ ข้าพเจ้าคิดว่าโจเพื่อนรักของข้าพเจ้า ครูกมลของนักเรียนทั้งหลาย คุณกมลของเพื่อนๆ น้องกมลของพี่ชายทั้งสอง คงอยากบอกลาเราทุกคน ข้าพเจ้าจึงใช้ความรู้ความสามารถอันน้อยนิดเรียงร้อยถ้อยคำออกมา คิดว่าเขาผู้จากไปคงอยากจะบอกพวกเราว่า


I look down from here and see the people I hold so dear
I wish you'd accept my departure and wipe away the tear
I can see the pain inside your heart that I'm no more awaken
I'm sorry I had to depart , I am sorry it's all too sudden
For now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.


I know how much you miss me, I know you hold me dear in your heart
But I am not so far away and we really aren't apart
Just remember me the way I was, love me still the way you do
Please, my dear ones, know that I do want to be with you
But now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.

I have no words to tell you, how much joy heaven can bring
For it is beyond description, to hear the angels sing
I sent you each a special gift, from my heavenly home above
I sent you each a memory of my friendly love
Please love and keep each other, as you always do
I will count the blessings God gives each one of you
So be happy for me, my dear ones
For now I am here
To be with the Lord and my papa-mama.



สิธยา คูหาเสน่ห์

หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความพิเศษที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นการบอกลาเพื่อนรักของข้าพเจ้าที่พระเจ้าทรงรับกลับบ้านถาวรของเขา และไม่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือข่าวคริสตจักร แต่เขียนเป็นพิเศษให้กับ Peter Dreamland
และได้รับเกียรติลงในหนังสือพิมพ์เสรีชัยซึ่งวางขายทั่วสหรัฐอเมริกาโดยความกรุณาของ คุณปีเตอร์ ปัญญาชน ที่ส่งต้นฉบับไป

6/1/54

ท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน


ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงคุ้นกับคำว่า "หลอดเลือดอุดตัน" สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันก็คือไขมัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ข่าวว่าหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักต้องได้รับการแก้ไขภาวะหลอดเลือดอุดตันด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน ด้วยพระคุณอันล้นเหลือของพระเจ้า ทุกคนปลอดภัยและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ข้าพเจ้าเกิดความคิดเชิงเปรียบเทียบขึ้นมาอย่างนี้ว่า คริสเตียนอาจต้องเผชิญกับอีกภาวะหนึ่งซึ่งคล้ายกับภาวะ "หลอดเลือดอุดตัน" คือ "ท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน" สิ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันขึ้นก็คือขยะชีิวิตซึ่งข้าพเจ้าเปรียบเสมือนไขมันที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันนั่นเอง ขยะที่ว่านี้มีมากมายหลากหลายรูปแบบ เมื่อหลอดเลือดอุดตันเป็นอันตรายต่อชีวิตทางกายภาพฉันใด เมื่อท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตันก็เป็นอันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น เมื่อหลอดเลือดอุดตันเลือดซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตก็ไม่สามารถไหลเวียนอย่างอิสระในหลอดเลือด เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวกย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตอย่างแน่นอน ท่านคงมองเห็นแล้วนะว่าเมื่อท่อน้ำเลี้ยงชีวิตอุดตัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็จะเป็นอันตรายเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตในทำนองเดียวกัน บางครั้งเมื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราไม่เติบโตหรือเจ็บป่วย เรามักจะไม่คิดว่าเกิดการอุดตันขึ้นในท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของเราและทำให้ขาดน้ำหล่อเลี้ยง บ่อยครั้งกลับคิดว่าแหล่งน้ำแห่งชีวิตซึ่งก็คือพระเจ้าแห้งขอดไปเสียแล้ว เมื่อน้ำไม่ไหลจากท่อส่งน้ำไม่ได้หมายความว่าท่อส่งน้ำมีปัญหาหรือแหล่งน้ำแห้งขอด บางครั้งปัญหาอยู่ที่ปลายท่อนั่นเอง สิ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันอาจเป็นตะกรัน ขี้สนิมที่จับกันเป็นก้อน หรือสิ่งปนเปื้อนอย่างอื่น ดังนั้นเมื่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแคระแกร็น ลองสำรวจดูสิว่ามีอะไรที่ทำให้น้ำเลี้ยงชีวิตไหลไม่สะดวกบ้าง เมื่อพบแล้วก็กำจัดทิ้งเสีย แต่หากว่าหาด้วยตัวเองไม่ได้ หาเท่าไรก็ไม่พบ ลองขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี ที่สำคัญที่สุดต้องไม่ลืมที่จะทูลขอการช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วย

ข้าพเจ้าอยากจะขอพูดถึงขยะต่างๆ ในชีวิตที่อาจทำให้เกิดการอุดตันขึ้นสัก 2-3 อย่าง

หนึ่ง ใจที่สงสัยในพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าความสงสัยนี่แหละเป็นศัตรูตัวฉกาจในการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ ความสงสัยจะนำไปสู่ความพินาศในการดำเนินไปกับพระเจ้าด้วยความเชื่อ สงสัยกระนั้นหรือ สงสัยอะไร ไม่แน่ใจอะไร ข้าพเจ้าขอเน้นว่าพระเจ้าทรงใหญ่ยิ่งและมากล้นด้วยพระคุณ พระองค์ทรงทราบความจำเป็นในทุกๆ ด้าน และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับความจำเป็นนั้นๆ

สอง ชีวิตนอกน้ำพระทัย เราจะเสื่อมทรามลงทันทีหากยอมให้ความบาปย่างเข้ามาในชีวิตของเรา ชีวิตเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน ก่อนที่เราจะรู้ตัวความบาปก็เข้าครอบงำชีวิตของเราแล้ว การหลงหายไปจากทางของพระเจ้าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกิดขึ้นทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว

สาม การไม่เข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นประจำ ผู้เชื่อสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ตลอดเวลา ในทุกที่ การเข้าเฝ้าพระเจ้าก็คือการอ่านพระวจนะ การอธิษฐาน ถ้าผู้เชื่อไม่ทำทั้งสองอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะเติบโตไม่ได้

แหล่งน้ำแห่งชีวิตพร้อมที่จะส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ท่อสำหรับส่งน้ำกลับอุดตัน ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างบางประการเท่านั้น ท่านลองสำรวจดูสิว่าท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของท่านมีอะไรอุดตันที่ทำให้น้ำแห่งชีวิตไหลไม่สะดวกบ้างหรือไม่

ถ้ามี ท่านจะกำจัดมันอย่างไร

ถ้าไม่มี ก็เป็นสิ่งประเสริฐล้ำเลิศ

ข้าพเจ้าหวังว่าผู้เชื่อทั้งหลายจะหมั่นทำความสะอาดท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของท่านให้สะอาด เพื่อจะได้รับน้ำแห่งชีิวิตอย่างเต็มที่เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่าน ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรทุกท่าน

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/12/53

การให้เล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่


..การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ...กิจการ 20:35

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าผู้เชื่อทุกคนคงคุ้นเคยกับพระวจนะข้อนี้ และคงได้รับพระพรผ่านทั้งการให้และการรับมาแล้ว สำหรับส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการยากที่จะวัดว่าพระพรจากการให้มากหรือน้อยกว่าการรับ ข้าพเจ้าคิดว่ามันขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ของแต่ละบุคคลมากกว่า

และถ้าจะพูดถึงโอกาสแห่งการให้ก็คงมีมากมาย และคิดว่าไม่น่าจะจำกัดเฉพาะโอกาสพิเศษหรือวันเทศกาลเท่านั้น เหมือนการบอกรัก เราสามารถทำได้ตลอดเวลา บางครั้งมูลค่าของสิ่งของที่ให้อาจไม่สำคัญเท่าน้ำใจเพราะมันตีเป็นราคาค่างวดไม่ได้ สิ่งของไม่มีมูลค่าเมื่อให้ด้วยใจก็กลายเป็นสิ่งของล้ำค่าในสายตาของผู้รับได้ น่าเสียดายที่ในยุคนี้น้ำใจหาได้ค่อนข้างยากเสียแล้ว และน่าเสียดายยิ่งกว่าเมื่อผู้รับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งของที่ผู้ให้มอบให้

มีเรื่องเล่าว่าทหารอเมริกันคนหน่ึงขณะที่ขับรถกลับไปยังค่ายพักช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองในกรุงลอนดอนก็มองเห็นเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งเอาจมูกแนบกับหน้าต่างกระจกของร้านขายขนมแห่งหนึ่งเพื่อมองเข้าไปในร้าน เด็กชายคนนั้นมองดูทุกอิริยาบถของคนทำขนมในร้านอย่างเงียบๆ ทหารคนนั้นสงสารเด็กชายคนนั้นจับใจ เขาจึงหยุดรถและซื้อขนมโดนัทให้เด็กชายคนนั้นสิบสองชิ้น เมื่อเขายื่นถุงขนมให้ เด็กชายคนนั้นก็จ้องมองด้วยความตะลึงงัน เมื่อทหารคนนั้นหันหลังเดินกลับไปที่รถก็รู้สึกว่ามีคนดึงเสื้อโค้ทของเขา เขาจึงหันไปมองและเห็นเด็กชายคนนั้น เขาถามขึ้นเบาๆ ว่า "คุณคือพระเจ้าหรือครับ"

สิ่งที่ทหารคนนั้นทำไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ทว่ามันยิ่งใหญ่สำหรับเด็กชายคนหนึ่ง จนเขาถามว่า "คุณคือพระเจ้าหรือครับ" ท่านเคยมีประสบการณ์กับการให้เล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้รับบ้างไหม ข้าพเจ้าเคยหลายครั้ง และทุกครั้งก็มีความรู้สึกผิดปนอยู่กับความรู้สึกแปลกใจด้วย ที่แปลกใจเพราะไม่คิดว่าการให้เล็กๆ ของข้าพเจ้าจะยิ่งใหญ่สำหรับผู้รับ ที่รู้สึกผิดเพราะบอกกับตัวเองว่าสมควรที่จะได้รับความชื่นชมขนาดนั้นจริงล่ะหรือ

แต่การให้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสิ่งของที่จับต้องได้เสมอไป ท่านอาจให้เวลา ความคิด แรงกาย แรงใจ และที่สำคัญที่สุด แรงอธิษฐาน ข้าพเจ้าคิดว่าการทูลขอเผื่อผู้อื่นนั้นเป็นการให้รูปแบบหนึ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรทำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่ทั้งเพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมโลกกำลังประสบกับการสูญเสียจากภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ แม้ว่าเราจะไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่จับต้องได้และไม่อาจใช้แรงกายออกไปช่วยเหลือ แต่เราสามารถทำได้ด้วยการอธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น

วันคริสตมาสก็ใกล้เข้ามาอีกแล้ว ถ้าท่านยังคิดไม่ออกว่าจะมอบอะไรเป็นของขวัญแล้วล่ะก็ ลองมอบคำอธิษฐานดูบ้างสิ เวลาที่องค์พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว อย่ามัวชักช้ากันอยู่เลย อธิษฐานให้หนัก ส่งผ่านความรักออกไปให้มาก ช่วยดวงวิญญาณที่ยังหลงหายให้รอดกันเถอะ

นั่นแหละ การให้เล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

สุขสันต์วันคริสตมาส

สิธยา คูหาเสน่ห์

4/11/53

ขอเพียงมุ่งมั่น


ท่านเคยท้อใจตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างเพราะมองเห็นอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้าบ้างไหม บอกกับตัวเองว่า "ฉันทำไม่ได้หรอก" อยากล้มเลิกความตั้งใจ ไม่อยากสู้ ไม่อยากวิ่งให้ถึงเส้นชัย หันหลังหนีแล้วล่ะ แต่ปรากฏว่าระหว่างทางนั้นเองก็มีใครบางคนพูดให้กำลังใจ ทำให้ฉุกคิดอีกทีแล้วก็ฮึดสู้ ลองใหม่อีกครั้ง บอกกับตัวเองอีกครั้งว่า "ฉันต้องทำได้สิ"

ข้าพเจ้าเพิ่งผ่านพ้นประสบการณ์นี้มาเมื่อไม่นานนี้เอง ข้าพเจ้าอยากไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส และอีกใจหนึ่งก็ไม่อยากไปประเทศจีนเพราะกิตติศัพท์เลื่องลือเรื่องห้องน้ำนี่แหละ (ก็เจอสิ่งที่กลัวจริงๆ แต่ไม่ใช่ที่ปักกิ่ง แต่ที่จังหวัดหนึ่ง ข้าพเจ้ายังขยาดจนทุกวันนี้) แต่พระเจ้าทรงเมตตาจริงๆ อยากจะขอย้ำว่าอะไรก็ตามที่ลูกของพระองค์ปรารถนา พระองค์ทรงประทานให้ บ่อยครั้งโดยไม่ต้องทูลขอ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่จะขึ้นไปถึงส่วนที่เป็นกำแพงเมืองจีนนั้นต้องเดินขึ้นบันไดนับพันขั้น
(จุดที่ลูกสาวพาไปต้องขึ้น 1,001 ขั้น) เมื่อเริ่มต้นเดินขึ้นไปได้เพียงไม่กี่ขั้น ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกว่ามันแสนลำบากจริงๆ เมื่อมองขึ้นไปเห็นบันไดสุดลูกหูลูกตา ก็ถามตัวเองว่า "ฉันจะทำได้หรือ" แต่ก็ยังเดินต่อไป สักพักเริ่มคิดไปต่างต่างนานา ในที่สุดก็พูดกับลูกสาวสองคนและสามีว่าไม่อยากเดินขึ้นแล้ว เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพแล้วจะเป็นภาระต่อพวกเขา ในที่สุดก็หันหลังกลับเพื่อจะไปใช้กระเช้า แต่ในระหว่างที่เดินลงไปนั้นเองก็มีแม่ค้าชาวจีนที่ขายของอยู่ระหว่างทางให้กำลังใจบอกว่าใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีเท่านั้นเอง พวกเขาเดินขึ้นทุกวัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกับตัวเองอีกว่า "ถ้าใช้กระเช้าจะได้ประสบการณ์อะไรกับการดั้นด้นมาคราวนี้ล่ะ มันต้องเดินขึ้นไปสิ คงไม่กลับมาเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะ การเดินทางก็ค่อนข้างลำบากขนาดนี้ เดินเถอะน่ะ" และในระหว่างที่เดินขึ้นไปนั้นก็ยังได้รับการให้กำลังใจจากชาวจีนอีก 2-3 คนซึ่งมาเป็นครั้งที่สองแล้ว และเมื่อเดินขึ้นไปถึงที่หมายแล้วก็รู้ว่าตัดสินใจถูกแล้วจริงๆ เพราะมันก็ไม่ได้เกินกำลังที่จะทำได้ ขอเพียงมุ่งมั่น!

จากเรื่องนี้เองก็ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงการจาริกบนเส้นทางฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลาย บ่อยครั้งที่เราท้อแท้ใจตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง ดูมันมีอุปสรรคไปเสียทุกด้าน อยากล้มเลิกความตั้งใจ ไม่อยากฟันฝ่าปัญหาใดๆ ข้าพเจ้าเชื่อแน่่ว่าหลายคนล้มลงบนเส้นทางนั้นเองและหมดแรงที่จะลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า แต่หลายคนอาจได้รับการหนุนน้ำใจและพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง และเดินเข้าเส้นชัยอย่างสง่างาม ถ้าจะถามว่ามันยากไหมที่จะฮึดสู้หลังจากที่ท้อจนหมดแรงแล้ว ข้าพเจ้าคงตอบท่านได้ว่า ไม่ยากเลย ขอเพียงมุ่งมั่น!

หากข้าพเจ้าไม่ตัดสินใจเดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองจีน ไม่เฉพาะข้าพเจ้าคนเดียวที่สูญเสียโอกาสที่จะได้ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีิวิตแบบนั้น ทั้งครอบครัว (ขาดก็แต่ลูกชายที่เดินทางกลับไปแล้ว) ที่ไปด้วยกันก็คงสูญเสียโอกาสที่จะได้ประสบการณ์แบบนั้นไปด้วย เพราะพวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งกระเช้าขึ้นไปคนเดียวเป็นแน่ ไม่ใช่ว่าไปคนเดียวไม่ได้ แต่พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าไปคนเดียวแน่ๆ เมื่อมาด้วยกัน ก็ไปด้วยกัน เช่นเดียวกัน หากท่านท้อที่จะเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางจาริกของท่าน อาจมีหลายคนที่ต้องหมดโอกาสที่จะได้ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณพร้อมกับท่านก็เป็นได้ ข้าพเจ้าจึงอยากหนุนใจใครก็ตามที่กำลังพบกับปัญหาในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าปัญหาของท่านจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม อย่าเพิ่งท้อใจ ข้าพเจ้าก็เชื่อต่อไปอีกว่ามีหลายคนพร้อมที่จะหนุนน้ำใจท่าน ช่วยเสริมกำลังให้ท่านสู้ต่อไป บางคนอาจพร้อมที่เดินไปพร้อมกับท่าน ขอเพียงมุ่งมั่น!

ข้าพเจ้ามั่นใจว่าความมุ่งมั่นของท่านจะนำท่านไปพบกับสิ่งล้ำค่าที่จะช่วยให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านได้รับการหล่อเลี้ยงให้เจริญขึ้น ได้เห็นพระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน และพระพรที่ท่านได้รับก็จะกลายเป็นพรสำหรับคนอื่นๆ ต่อไป

ขอเพียงมุ่งมั่น … แล้วท่านจะเห็นพระพรนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์

3/10/53

สามัคคีธรรมของคริสเตียน


ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านได้ยินคำว่า "สามัคคีธรรม" บ่อยๆ เรามักได้ยินคนพูดว่าสิ่งที่เราต้องการคือการมีสามัคคีธรรมมากขึ้น แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่าสามัคคีธรรมของคริสเตียนในโลกสมัยใหม่คงไม่เหมือนในยุคพระคัมภีร์ใหม่อย่างแน่นอน สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ที่เรียกกันว่า "สามัคคีธรรม" นั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทักทายกันอย่างผิวเผินในช่วงพักดื่มกาแฟ ถ้าดูกันแบบตื้นๆ ก็คงเป็นการสามัคคีธรรมในแบบที่เราทำกันในยุคนี้ แต่มันคงไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานตามที่กล่าวในพระคัมภีร์และคงไม่ใช่ตามความหมายดั้งเดิมอย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าคงไม่สามารถเจาะลึกลงไปถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สามัคคีธรรม" ตามความหมายในพระคัมภีร์ แต่ข้าพเจ้าจะพูดในอีกแง่หนึ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่ เป็นสามัคคีธรรมในความเข้าใจของข้าพเจ้า หากว่าความคิดเห็นของข้าพเจ้าผิดเพีัยนไปจากหลักศาสนศาสตร์ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย

เคยมีคนถามข้าพเจ้าว่าทำไมต้องไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ทำที่บ้านไม่ได้หรือ เพราะเราสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกเวลาในทุกที่ ตามความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้าก็ตอบไปว่าก็ผู้เชื่อต้องสามัคคีธรรมกันนี่ ถ้านมัสการพระเจ้าคนเดียวที่บ้านแล้วจะสามัคคีธรรมกับใครล่ะ ครอบครัวของข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ขาดโบสถ์ เมื่อไปต่างประเทศก็ต้องหาที่พักที่มีโบสถ์อยู่ใกล้ๆ เสมอ แต่ในบางครั้งก็หาไม่ได้ เราก็อธิษฐานขอการอภัยจากพระเจ้าสำหรับการขาดการนมัสการเป็นครั้งๆ ไป และเป็นเรื่องตลกสำหรับครอบครัวที่บางครั้งเราก็ทำอะไรแผลงๆ ในวันอาทิตย์ที่หาโบสถ์ไปไม่ได้ ก็จะพูดกันว่าไม่ไปโบสถ์แล้วยังทำอะไรแบบนี้อีก ก็เป็นเรื่องขำๆ ที่จะกลายเป็นความทรงจำตลอดไปสำหรับครอบครัวของเรา หลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าทรงเมตตาให้ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ (ทั้งครอบครัว แต่ในบางครั้งก็ไม่ครบทั้งหมด) ขณะนี้ลูกสาวสองคนของข้าพเจ้าทำงานอยู่ต่างประเทศ คนโตอยู่ประเทศจีนที่เซี่ยงไฮ้ ส่วนคนเล็กอยู่อเมริกาที่นิวยอร์ก แต่เราพยายามจัดเวลาที่จะพบกันเป็นครอบครัวปีละครั้งแล้วแต่โอกาสว่าจะเป็นที่ใด (ไม่เจาะจงว่าเป็นประเทศไทย ประเทศจีน หรือที่อเมริกา) เฉพาะปีนี้ก็มีโอกาสสองครั้งแล้วสำหรับทั้งครอบครัวที่จะพบกันในอเมริกาและจีน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีโอกาสไปนมัสการพร้อมกับลูกสาวที่โบสถ์ที่พวกเขานมัสการเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็พบเห็น "สามัคคีธรรม" อย่างที่ข้าพเจ้าเห็นในบ้านเรานั่นแหละ ก็จะขอถือโอกาสนี้แบ่งปันก็แล้วกัน

โบสถ์ที่นิวยอร์กใหญ่มาก และเป็นธรรมดาที่คนที่ไปนมัสการในโบสถ์ใหญ่มักไม่รู้จักกันทุกคน เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นลูกสาวก็เลือกไปนมัสการรอบเย็นซึ่งเป็นรูปแบบที่เขาชอบมากกว่ารอบเช้า แต่ถ้าไปรอบเย็นก็จะไม่พบเพื่อน ดังนั้นลูกสาวก็เหมือนถูกบังคับกลายๆ ต้องไปรอบเช้า แต่เมื่อมีข้าพเจ้าอยู่ด้วย เราจึงเลือกไปรอบเย็นด้วยกัน เกือบสามเดือนที่ไปนมัสการที่โบสถ์นั้นก็เห็นว่าผู้คนที่ไปพูดคุยกันเฉพาะกลุ่มที่รู้จักกัน บางครั้งคนที่นั่งข้างๆ ยังไม่อยากจะทักกับเราด้วยซ้ำไป แต่ข้าพเจ้าชินเสียแล้วกับสถานการณ์แบบนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกอะไร แต่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าทำไมนะชุมชนคริสเตียนจึงไม่เป็นมิตรกันมากกว่านี้ ทุกคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่คนในครอบครัวไม่ทักทายกัน ไม่ยิ้มให้กัน มันก็ทำให้อดเศร้าใจไ่ม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกสาวคนเล็กไปโบสถ์สม่ำเสมอ (แม้ว่าจะไม่รู้สึกอบอุ่น) และต้องไปให้ทันด้วย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ไปโบสถ์สายเลย (ถ้าไปสายต้องนั่งเก้าอี้เสริม) เนื่องจากงานรัดตัวลูกสาวคนเล็กจึงไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มย่อยใดๆ เลย เพราะมันไม่ต่อเนื่อง ตลอดเวลาที่ไปนมัสการที่นั่น ข้าพเจ้าเห็นสามีภรรยาคู่่หนึ่งที่มักนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเรา แต่กว่าจะทักทายกันด้วยรอยยิ้มก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่นิวยอร์กเสียแล้ว ถ้าปีหน้ายังพบกัน ข้าพเจ้าหวังว่ามิตรภาพของเราจะเบ่งบานกว่านี้

โบสถ์ที่เซี่ยงไฮ้ก็ใหญ่เหมือนกัน และถ้าไปสายก็ต้องนั่งเก้าอี้เสริมเช่นกัน รอบนมัสการที่ไปเป็นรอบเฉพาะสำหรับคนต่างชาติ (คนที่ไม่ได้ถือพาสปอร์ตจีน) บรรยากาศก็ไม่ต่างจากโบสถ์ที่นิวยอร์ก แต่ลูกสาวคนโตบอกว่ารู้สึกแย่มากๆ ที่เมื่อไปโบสถ์นี้ครั้งแรกแล้วไม่มีใครทักทายเลย แต่ตอนนี้มีเพื่อนและมีกลุ่มย่อยที่เข้าร่วมแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปร่วมกับกลุ่ยย่อยครั้งหนึ่ง (ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ข้าพเจ้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้) เจ้าของบ้านเป็นหญิงชาวอเมริกันที่ยินดีเปิดบ้านสำหรับกลุ่มเซลนี้ วันที่ไปเจ้าของบ้านเป็นพยานว่าขณะนี้สามีซึ่งปกติเป็นผู้นำกลุ่มต้องเดินทางกลับไปทำงานที่อเมริกาหลายเดือน แต่เขาไม่ตามไปด้วยเพราะตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ที่ประเทศจีน และเหตุผลสำคัญที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพราะที่นี่มีสามัคคีธรรมของคริสเตียน ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ว่าสามัคคีธรรมในความหมายของหญิงคนนี้คืออะไร แต่เท่าที่รู้จากลูกสาวกลุ่มนี้พบกันทุกวันศุกร์ (ซึ่งลูกสาวไปสายเป็นประจำเพราะที่ทำงานอยู่ไกล ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมงและออกจากที่ทำงานช้า) กลุ่มนี้ก็จะมีการศึกษาพระคัมภีร์และมีการแบ่งปันกัน ทุกคนจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทั้งนั้น จึงได้รับการหนุนน้ำใจผ่านกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้นบางคนในกลุ่มก็ทำงานรับใช้เต็มเวลาและบางคนก็ทำงานรับใช้แบบอาสาสมัคร ซึ่งลูกสาวของข้าพเจ้าก็กำลังจะไปช่วยชาวไร่เก็บมันในเดือนหน้าในจังหวัดหนึ่งใกล้มองโกเลีย (ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และเจ้าของบ้านก็บอกว่าจะนำเงินไปช่วยชาวนาที่ยากจนด้วย) นี่คงเป็นสามัคคีธรรมในความหมายของเจ้าของบ้าน ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำลูกสาวของข้าพเจ้าให้เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้ อย่างน้อยก็มีพี่น้องคริสเตียนช่วยหนุนใจและได้มีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์เพื่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

ส่วนตัวข้าพเจ้าสามัคคีธรรมกับชุมชนออนไลน์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จะเรียกว่าสามัคคีธรรมก็คงไม่ถูกนัก เพราะไม่มีการศึกษาพระคัมภีร์หรืออธิษฐานร่วมกัน มีก็แต่การแบ่งปัน แต่ข้าพเจ้าขอเรียกก็แล้วกันอย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้น สิ่งที่ข้าพเจ้าแบ่งปันนั้นมีส่วนช่วยหนุนใจบางคนในเวลาที่เขาต้องการการหนุนใจหรือการยืนยันจากพระเจ้าในสิ่งที่เขาสงสัยเป็นที่สุด เพราะข้าพเจ้าจะได้รับข้อความกลับมาว่านั่นเป็นคำตอบที่เขากำลังรอจากพระเจ้า และสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่เป็นประจำนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร มีคอมพิวเตอร์สักตัวก็สื่อสารกันได้แล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าแบ่งปันก็มาจากสิ่งที่ข้าพเจ้าอ่านทุกวันนั่นเอง

สิธยา คูหาเสน่ห์

27/9/53

"เราเป็น"


พระองค์ทรงเป็น "เราเป็น" สำหรับทุกความจำเป็นของเรา นี่เป็นความมั่นใจที่

คริสเตียนทุกคนควรมี สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์กับความมั่นใจแบบนี้ก็คงรู้ว่า

ความรู้สึกนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน และข้าพเจ้าเชื่อว่าประสบการณ์ของแต่ละคนย่อม

แตกต่างกัน


ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ที่จะแบ่งปัน "พระองค์ทรงเป็น" ในความจำเป็นต่างๆ ของเรา

บางส่วนดังนี้


พระองค์ทรงเป็นพระบิดา เมื่อเราต้องการพ่อ

พระองค์ทรงเป็นการยอมรับ เมื่อเรารู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการ

พระองค์ทรงเป็นความเพียงพอ เมื่อเรารู้สึกไม่เพียงพอ

พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือ เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

พระองค์ทรงเป็นคำตอบ เมื่อเรามีึคำถาม

พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ เมื่อเราสงสัย


พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต เมื่อเราหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

พระองค์ทรงเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส เมื่อเราเดินอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช

พระองค์ทรงเป็นผู้แบกรับภาระ เมื่อเรามีภาระหนัก

พระองค์ทรงเป็นเพื่อน เมื่อเราโดดเดี่ยว


พระองค์ทรงเป็นผู้ป้องกัน เมื่อเราถูกโจมตี

พระองค์ทรงเป็นผู้ปลดปล่อย เมื่อเราถูกพันธนาการ

พระองค์ทรงเป็นผู้เบิกทาง เมื่อเราหมดหนทาง


พระองค์ทรงเป็นรากฐานมั่นคง เมื่อเรารู้สึกคลอนแคลน

พระองค์ทรงเป็นเพื่อนที่สัตย์ซื่อ เมื่อเราผิดหวังในเพื่อน

พระองค์ทรงเป็นความเต็มบริบูรณ์ เมื่อเราว่างเปล่า


พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ใส่พระทัย เมื่อเราท้อแท้

พระองค์ทรงเป็นความรัก เมื่อเรารู้สึกขาดความรัก

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ เมื่อเรารู้สึกถูกทอดทิ้ง

พระองค์ทรงเป็นทางนั้น เมื่อเราหลงทาง

พระองค์ทรงเป็นผู้นำทาง เมื่อเราสับสน


พระองค์ทรงเป็นผู้เยียวยารักษา เมื่อเราถูกร้ายจิตใจ ถูกปฏิเสธ และเจ็บป่วย

พระองค์ทรงเป็นความหวัง เมื่อเราหมดหวัง หดหู่ และยอมแพ้

พระองค์ทรงเป็นความถ่อมใจ (ที่เตือนใจ) เมื่อเราผยองขึ้น


พระองค์ทรงเป็นความชื่นชมยินดี เมื่อเราสลดหดหู่ใจ

พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองและผู้ปกป้อง เมื่อเราเปราะบาง

พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชู เมื่อเราทุกข์ใจและมีความกดดัน


พระองค์ทรงเป็นความเมตตา เมื่อเราถูกปฏิบัติด้วยความโหดร้าย

พระองค์ทรงเป็นกำลัง เมื่อเราอ่อนแรง

พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิม เมื่อเราโลเล

พระองค์ทรงเป็นชัยชนะ เมื่อเราพ่ายแพ้


พระองค์ทรงเป็นองค์สันติราช เมื่อเราขาดสันติสุข

พระองค์ทรงเป็นผู้จัดเตรียม เมื่อเรามีความจำเป็น

พระองค์ทรงเป็นผู้สยบพายุร้าย เมื่อเราปล้ำสู้กับความทุกข์ยาก


พระองค์ทรงเป็นผู้ปรองดอง เมื่อเรามีความขัดแย้ง

พระองค์ทรงเป็นการพำนัก เมื่อเราสิ้นเรี่ยวแรงที่จะไปต่อ

พระองค์ทรงเป็นผู้ฟื้นฟู เมื่อเราถูกทำร้ายและบาดเจ็บ

พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต เมื่อเรากระหาย


นี่เป็นเพียงบางส่วนที่พอจะยกขึ้นมาแบ่งปันเท่านั้น ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านก็มี

รายการของท่านเองสำหรับความมั่นใจใน "เราเป็น" ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน


สิธยา คูหาเสน่ห์

2/8/53

ขั้นตอนต่างๆ ของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

เส้นทางการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามแต่ละขั้นตอนของเส้นทางนั้นควรจะมีอะไรที่เหมือนๆ กัน เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องพบเจอและผ่านเพื่อเติบโตขึ้น

ขั้นตอนริ่มต้นเมื่อเป็นผู้เชื่อใหม่ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้รู้จักหลักการพื้นฐานไว้เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง ชีวิตคริสเตียนจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานดังกล่าว พระองค์ทรงให้รู้ความจริงพื้นฐานเหล่านั้น (พระวจนะของพระองค์) และเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตผ่านทางผู้เชื่อคนอื่นๆ

ต่อมาพระเจ้าทรงให้เรามีโอกาสรับใช้พระองค์ เราทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาให้ทำการดีต่างๆ และความจริงข้อนี้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นคริสเตียนที่เติบโตขึ้นโดยใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานมาซึ่งย่อมแตกต่างกันไปสำหรับผู้เชื่อแต่ละคนในการยกย่องพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 43:7) เพื่อเทิดทูนพระนามของพระองค์ (สดุดี 86:12)

ต่อมาพระเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาพระองค์ ให้รู้ว่าเราไม่สามารถพึ่งพากำลังและความสามารถของเราเอง ให้รู้ว่าเรา "ไม่เพียงพอ" พระองค์ทรงสอนให้รู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่พึ่งพาการทรงนำและฤทธานุภาพของพระองค์

ขั้นตอนต่อมาพระบิดาจะทรงนำเราให้่เผชิญกับสิ่งที่พันธนาการเราอยู่ซึ่งๆ หน้า เพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เราทั้งหลายมักจะเก็บความเจ็บปวด ความกลัว หรือ "ถุงขยะ" อื่นๆ จากชีวิตในวัยเด็กเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการเหล่านั้นอย่างไร แต่พระเจ้าทรงยอมให้เราปล้ำสู้กับสิ่งเหล่านั้นทีละอย่างด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ เมื่อเรายอมที่จะมอบปัญหาไว้กับพระเจ้าและแสวงหาท่าทีของพระองค์ พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากปัญหาที่เราปล้ำสู้่อยู่

ต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสอนเราให้มีชีวิตที่มีพระคริสต์อยู่ในตัวเรา ดำเนินชีวิตโดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเราและทรงสละพระองค์เองเพื่อเรา (กาลาเทีย 2:20) ตัวบาปของเราได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ และชีวิตขององค์พระผู้ช่วยให้รอดจะสำแดงผ่านตัวเราเมื่อเรายอมจำนนต่อการทรงครอบครองของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ท่านเห็นขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ในเส้นทางการดำเนินชีวิตในฐานะที่เป็นผู้เชื่อคนหนึ่งหรือไม่ บางทีท่านยังต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าในบางเรื่องที่ืท่านยังปล้ำสู้อยู่ก็เป็นได้ มีอะไรหรือที่ขวางมิให้พระคริสต์มีชีวิตในตัวท่าน ท่านจะไม่ยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยท่านให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นกระนั้นหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/7/53

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า

ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ในเดือนพฤษภาคม แต่เมื่อท่านอ่านบทความนี้ก็จะเป็นเดือนกรกฎาคมแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าคงไม่ช้าไปสำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะพูด ขณะที่เขียนบทความนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่นิวยอร์ก ข้าพเจ้ามาพักอยู่กับลูกสาวคนเล็กซึ่งจากบ้านมานานเข้าปีที่เจ็ดแล้ว ทั้งครอบครัวเดินทางมาเยี่ยมในเดือนเมษายนหลังจากที่ไปแวะซานฟรานซิสโกและลอสเอเจิงลิสแล้ว ลูกสาวคนเล็กบินไปเจอกันที่นั่น เมื่ออยู่ที่นั่นก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่เติบโตขึ้นมาในคริสตจักรด้วยกัน ส่วนบางคนที่ไม่ได้พบหน้ากันก็โทรศัพท์พูดคุยกัน หลังจากนั้นก็เดินทางมานิวยอร์ก ข้าพเจ้าอยู่ต่อหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว

เมื่อข้าพเจ้าจากประเทศไทยมานั้นการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดงเริ่มขึ้นแล้ว และคิดว่าไม่นานก็คงจะกลับสู่ความเป็นปกติสุขเหมือนเดิม แต่นี่ก็ล่วงเลยมานานนับเดือนๆ แล้ว เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบเสียทีและดูเหมือนว่าจะรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้าติดตามข่าวอยู่ที่นี่ด้วยความเป็นห่วงและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างที่เห็นไปได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้อ่านข่าวในรายละเอียดเพราะรู้ว่าข่าวที่นำเสนอมานั้นไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด อ่านทั้งข่าวไทยและข่าวต่างประเทศ แต่ก็รู้มาอีกว่าการนำเสนอข่าวของนักข่าวต่างประเทศนั้นมิได้เสนอตามข้อเท็จจริงอีก เป็นอันว่าข่าวที่ได้ยินนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ไม่อาจบอกได้ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าชาติไทยกำลังจะพินาศ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้มีสมาชิกครอบครัวอยู่ในประเทศไทยสองคน คนหนึ่งอยู่หาดใหญ่ ส่วนอีกคนอยู่กรุงเทพมหานคร แม้บ้านพักจะอยู่ไกลจากพื้นที่ชุมนุมหรือตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าสนามรบได้กระมัง แต่ที่ทำงานก็อยู่ในเขตอันตรายทีเดียว

บางคนบอกว่าดีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ประเทศไทย เพราะหากออกจากบ้านไปทำธุระนอกบ้านอาจได้รับอันตรายหรือถูกยิง อยู่ที่นิวยอร์กไปก่อนจนกว่าเหตุการณ์จะเรียบร้อยค่อยกลับมา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ก็ใช่ว่าจะพ้นอันตราย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงได้ยินข่าวการวางระเบิดที่ไทม์แสควร์ ขอบคุณพระเจ้าที่ระเบิดมันไม่ทำงาน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งในมหานครนิวยอร์ก (ที่หลายคนอยากจะมาเหลือเกิน) อีกครั้ง ข้าพเจ้าต้องขอปรบมือให้กับการไล่ล่าผู้ก่อการร้ายของตำรวจนิวยอร์กจริงๆ ไม่กี่วันต่อมาก็จับคนร้ายได้ในขณะที่กำลังจะหนีออกนอกประเทศ ขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางการก็ขึ้นไปจับคนร้ายบนเครื่องบินทีเดียว บนเที่ยวบินนั้นมีคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนของลูกสาวเดินทางไปด้วย จึงได้ทราบว่าผู้โดยสารไม่ได้รับการแจ้งว่ามีการจับกุมคนร้าย รู้แต่ว่าเที่ยวบินนั้นต้องใช้เวลาอีกมากกว่าหกชั่วโมงจึงจะออกเดินทางต่อไปได้ ผู้โดยสารรับทราบข้อเท็จจริงจากการฟังการรายงานข่าวทางทีวีในสนามบินขณะที่กำลังรอขึ้นเครื่องใหม่อีกครั้งนั่นเอง

เมื่อหลายวันก่อนหลังจากที่ออกไปรับประทานอาหารเย็นแล้ว เราก็ไปท่องนิวยอร์กยามค่ำคืนกัน เพราะลูกสาวบอกว่าข้าพเจ้าไม่ยอมออกไปไหนเลย ก็เลยพาไปโน่นไปนี่บ้าง ในที่สุดเราก็ไปถึงไทม์แสควร์ซึ่งมีคนมาเที่ยวและใช้เวลาอยู่ที่นั่นกันมากมายจริงๆ ลูกสาวก็พูดขึ้นมาว่าผู้ก่อการร้ายนี่ใจร้ายมากนะ เพราะถ้าหากระเบิดขึ้นมาจริงๆ ดูสิว่าจะมีคนตายมากมายขนาดไหน เป้าหมายของพวกผู้ก่อการร้ายคือต้องการทำร้ายชาวอเมริกัน แต่คนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นไม่ใช่ชาวอเมริกันทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว เราพูดกันว่าจะกลับมาอีกเพราะไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา จะกลับมาถ่ายรูปกัน ลูกสาวก็พูดกับข้าพเจ้าว่าเราคงต้องเสี่ยงอันตรายกันอีกครั้งนะเพราะไม่รู้ว่าวันที่เราจะมาจะมีผู้จะก่อการร้ายลอบวางระเบิดอีกหรือเปล่า ถ้าท่านจะถามว่ากลัวไหม ข้าพเจ้าคงตอบว่า “ไม่” เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของพระเจ้านั้นทรงฤทธิ์ ไม่ต้องไปไกลถึงเรื่องการก่อการร้ายหรอก เอาแค่การไปไหนมาไหนด้วยรถไฟใต้ดินก็พอ สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น เพราะในบางครั้งรถไฟแน่นมาก ต้องยึดเบียดกัน ถ้าจะคิดถึงเรื่องอันตรายก็มีรอบด้าน ผู้คนที่ใช้บริการบางคนก็สกปรก บางคนหน้าตาน่ากลัว บางคนส่งเสียงดัง ตรงข้ามกับคนส่งเสียงดังก็นั่งหลับอ้าปากแถมยังเอาสัมภาระวางไว้ข้างตัวเปลืองที่นั่งไปหนึ่งที่อีกต่างหาก ไม่น้อยที่ถือกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาด้วย ในนั้นมีระเบิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือบางทีเดินๆ อยู่ก็มีคนเดินมาชนอย่างแรงซึ่งมองดูเหมือนตั้งใจและไม่มีการขอโทษ ชีวิตประจำวันที่นี่ (หากออกจากบ้านไปไหนมาไหน) ก็จะเป็นเช่นนี้

ย้อนกลับมาเรื่องประเทศไทย ข้าพเจ้าอยากให้เรื่องเลวร้ายมันจบลงเสียที แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศสำหรับจัดการกับปัญหาใหญ่หลวงนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คืออธิษฐานทูลวิงวอนพระเมตตาจากพระเจ้า และมอบทุกเรื่องไว้กับพระองค์ พระเจ้าทรงให้ชีวิตมา ก็จงมอบชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดำเนินกับพระองค์วันต่อวัน ชีวิตในโลกนี้มักเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วงต่างๆ มีอะไรมากมายที่เป็นปัญหากวนใจ ทำให้กลัว ทำให้เจ็บปวด เราไม่อาจหลีกหนีความเจ็บป่วย ความผิดหวัง ความกดดันด้านอารมณ์ และความเสียใจ ให้เราเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า ทูลวิงวอนต่อพระองค์ และให้พระองค์ทรงครอบครองชีวิตของเรา ละความกลัวและความกระวนกระวายใจไว้กับพระองค์

พระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเช่นเดียวกับเหตุการณ์สำคัญๆ ในมัทธิว 10:29-30 พระเยซูตรัสว่า “นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินไม่ได้ ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น”

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้พ้นจาก “หุบเขาเงามัจจุราช” บางครั้งพระหัตถ์นั้นอาจนำเราเข้าไปเฉียดหุบเขาแห่งความตายนั้น แต่ก็ทรงนำเรากลับออกมาได้ แล้วพระหัตถ์นั้นก็จะทรงพาเราผ่าน “หุบเขาเงามัจจุราช” ไปสู่ “ชีวิตนิรันดร์” เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระหัถต์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เราจะไม่กังวลกับสารพันสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เมื่อเราคิดคำนึงถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าทำให้เกิดความกล้าในการกระทำสิ่งต่างๆ มันทำให้ความหวาดกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการถูกทำร้ายหมดไป มันทำให้เกิดความมั่นใจและไม่กลัวในการดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้


สิธยา คูหาเสน่ห์