ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านได้ยินคำว่า "สามัคคีธรรม" บ่อยๆ เรามักได้ยินคนพูดว่าสิ่งที่เราต้องการคือการมีสามัคคีธรรมมากขึ้น แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่าสามัคคีธรรมของคริสเตียนในโลกสมัยใหม่คงไม่เหมือนในยุคพระคัมภีร์ใหม่อย่างแน่นอน สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ที่เรียกกันว่า "สามัคคีธรรม" นั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทักทายกันอย่างผิวเผินในช่วงพักดื่มกาแฟ ถ้าดูกันแบบตื้นๆ ก็คงเป็นการสามัคคีธรรมในแบบที่เราทำกันในยุคนี้ แต่มันคงไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานตามที่กล่าวในพระคัมภีร์และคงไม่ใช่ตามความหมายดั้งเดิมอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าคงไม่สามารถเจาะลึกลงไปถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สามัคคีธรรม" ตามความหมายในพระคัมภีร์ แต่ข้าพเจ้าจะพูดในอีกแง่หนึ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่ เป็นสามัคคีธรรมในความเข้าใจของข้าพเจ้า หากว่าความคิดเห็นของข้าพเจ้าผิดเพีัยนไปจากหลักศาสนศาสตร์ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย
เคยมีคนถามข้าพเจ้าว่าทำไมต้องไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ทำที่บ้านไม่ได้หรือ เพราะเราสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกเวลาในทุกที่ ตามความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้าก็ตอบไปว่าก็ผู้เชื่อต้องสามัคคีธรรมกันนี่ ถ้านมัสการพระเจ้าคนเดียวที่บ้านแล้วจะสามัคคีธรรมกับใครล่ะ ครอบครัวของข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ขาดโบสถ์ เมื่อไปต่างประเทศก็ต้องหาที่พักที่มีโบสถ์อยู่ใกล้ๆ เสมอ แต่ในบางครั้งก็หาไม่ได้ เราก็อธิษฐานขอการอภัยจากพระเจ้าสำหรับการขาดการนมัสการเป็นครั้งๆ ไป และเป็นเรื่องตลกสำหรับครอบครัวที่บางครั้งเราก็ทำอะไรแผลงๆ ในวันอาทิตย์ที่หาโบสถ์ไปไม่ได้ ก็จะพูดกันว่าไม่ไปโบสถ์แล้วยังทำอะไรแบบนี้อีก ก็เป็นเรื่องขำๆ ที่จะกลายเป็นความทรงจำตลอดไปสำหรับครอบครัวของเรา หลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าทรงเมตตาให้ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ (ทั้งครอบครัว แต่ในบางครั้งก็ไม่ครบทั้งหมด) ขณะนี้ลูกสาวสองคนของข้าพเจ้าทำงานอยู่ต่างประเทศ คนโตอยู่ประเทศจีนที่เซี่ยงไฮ้ ส่วนคนเล็กอยู่อเมริกาที่นิวยอร์ก แต่เราพยายามจัดเวลาที่จะพบกันเป็นครอบครัวปีละครั้งแล้วแต่โอกาสว่าจะเป็นที่ใด (ไม่เจาะจงว่าเป็นประเทศไทย ประเทศจีน หรือที่อเมริกา) เฉพาะปีนี้ก็มีโอกาสสองครั้งแล้วสำหรับทั้งครอบครัวที่จะพบกันในอเมริกาและจีน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีโอกาสไปนมัสการพร้อมกับลูกสาวที่โบสถ์ที่พวกเขานมัสการเป็นประจำ ข้าพเจ้าก็พบเห็น "สามัคคีธรรม" อย่างที่ข้าพเจ้าเห็นในบ้านเรานั่นแหละ ก็จะขอถือโอกาสนี้แบ่งปันก็แล้วกัน
โบสถ์ที่นิวยอร์กใหญ่มาก และเป็นธรรมดาที่คนที่ไปนมัสการในโบสถ์ใหญ่มักไม่รู้จักกันทุกคน เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นลูกสาวก็เลือกไปนมัสการรอบเย็นซึ่งเป็นรูปแบบที่เขาชอบมากกว่ารอบเช้า แต่ถ้าไปรอบเย็นก็จะไม่พบเพื่อน ดังนั้นลูกสาวก็เหมือนถูกบังคับกลายๆ ต้องไปรอบเช้า แต่เมื่อมีข้าพเจ้าอยู่ด้วย เราจึงเลือกไปรอบเย็นด้วยกัน เกือบสามเดือนที่ไปนมัสการที่โบสถ์นั้นก็เห็นว่าผู้คนที่ไปพูดคุยกันเฉพาะกลุ่มที่รู้จักกัน บางครั้งคนที่นั่งข้างๆ ยังไม่อยากจะทักกับเราด้วยซ้ำไป แต่ข้าพเจ้าชินเสียแล้วกับสถานการณ์แบบนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกอะไร แต่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าทำไมนะชุมชนคริสเตียนจึงไม่เป็นมิตรกันมากกว่านี้ ทุกคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่คนในครอบครัวไม่ทักทายกัน ไม่ยิ้มให้กัน มันก็ทำให้อดเศร้าใจไ่ม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกสาวคนเล็กไปโบสถ์สม่ำเสมอ (แม้ว่าจะไม่รู้สึกอบอุ่น) และต้องไปให้ทันด้วย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ไปโบสถ์สายเลย (ถ้าไปสายต้องนั่งเก้าอี้เสริม) เนื่องจากงานรัดตัวลูกสาวคนเล็กจึงไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มย่อยใดๆ เลย เพราะมันไม่ต่อเนื่อง ตลอดเวลาที่ไปนมัสการที่นั่น ข้าพเจ้าเห็นสามีภรรยาคู่่หนึ่งที่มักนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเรา แต่กว่าจะทักทายกันด้วยรอยยิ้มก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่นิวยอร์กเสียแล้ว ถ้าปีหน้ายังพบกัน ข้าพเจ้าหวังว่ามิตรภาพของเราจะเบ่งบานกว่านี้
โบสถ์ที่เซี่ยงไฮ้ก็ใหญ่เหมือนกัน และถ้าไปสายก็ต้องนั่งเก้าอี้เสริมเช่นกัน รอบนมัสการที่ไปเป็นรอบเฉพาะสำหรับคนต่างชาติ (คนที่ไม่ได้ถือพาสปอร์ตจีน) บรรยากาศก็ไม่ต่างจากโบสถ์ที่นิวยอร์ก แต่ลูกสาวคนโตบอกว่ารู้สึกแย่มากๆ ที่เมื่อไปโบสถ์นี้ครั้งแรกแล้วไม่มีใครทักทายเลย แต่ตอนนี้มีเพื่อนและมีกลุ่มย่อยที่เข้าร่วมแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปร่วมกับกลุ่ยย่อยครั้งหนึ่ง (ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ข้าพเจ้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้) เจ้าของบ้านเป็นหญิงชาวอเมริกันที่ยินดีเปิดบ้านสำหรับกลุ่มเซลนี้ วันที่ไปเจ้าของบ้านเป็นพยานว่าขณะนี้สามีซึ่งปกติเป็นผู้นำกลุ่มต้องเดินทางกลับไปทำงานที่อเมริกาหลายเดือน แต่เขาไม่ตามไปด้วยเพราะตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ที่ประเทศจีน และเหตุผลสำคัญที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพราะที่นี่มีสามัคคีธรรมของคริสเตียน ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ว่าสามัคคีธรรมในความหมายของหญิงคนนี้คืออะไร แต่เท่าที่รู้จากลูกสาวกลุ่มนี้พบกันทุกวันศุกร์ (ซึ่งลูกสาวไปสายเป็นประจำเพราะที่ทำงานอยู่ไกล ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมงและออกจากที่ทำงานช้า) กลุ่มนี้ก็จะมีการศึกษาพระคัมภีร์และมีการแบ่งปันกัน ทุกคนจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทั้งนั้น จึงได้รับการหนุนน้ำใจผ่านกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้นบางคนในกลุ่มก็ทำงานรับใช้เต็มเวลาและบางคนก็ทำงานรับใช้แบบอาสาสมัคร ซึ่งลูกสาวของข้าพเจ้าก็กำลังจะไปช่วยชาวไร่เก็บมันในเดือนหน้าในจังหวัดหนึ่งใกล้มองโกเลีย (ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และเจ้าของบ้านก็บอกว่าจะนำเงินไปช่วยชาวนาที่ยากจนด้วย) นี่คงเป็นสามัคคีธรรมในความหมายของเจ้าของบ้าน ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำลูกสาวของข้าพเจ้าให้เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้ อย่างน้อยก็มีพี่น้องคริสเตียนช่วยหนุนใจและได้มีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์เพื่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ส่วนตัวข้าพเจ้าสามัคคีธรรมกับชุมชนออนไลน์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จะเรียกว่าสามัคคีธรรมก็คงไม่ถูกนัก เพราะไม่มีการศึกษาพระคัมภีร์หรืออธิษฐานร่วมกัน มีก็แต่การแบ่งปัน แต่ข้าพเจ้าขอเรียกก็แล้วกันอย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้น สิ่งที่ข้าพเจ้าแบ่งปันนั้นมีส่วนช่วยหนุนใจบางคนในเวลาที่เขาต้องการการหนุนใจหรือการยืนยันจากพระเจ้าในสิ่งที่เขาสงสัยเป็นที่สุด เพราะข้าพเจ้าจะได้รับข้อความกลับมาว่านั่นเป็นคำตอบที่เขากำลังรอจากพระเจ้า และสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอยู่เป็นประจำนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร มีคอมพิวเตอร์สักตัวก็สื่อสารกันได้แล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าแบ่งปันก็มาจากสิ่งที่ข้าพเจ้าอ่านทุกวันนั่นเอง
สิธยา คูหาเสน่ห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น