6/12/55

ฟิลิปปี 4:13

ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

เชื่อแน่ว่าข้อพระคัมภีร์นี้คงเป็นที่คุ้นหูของคริสเตียนทุกคนเป็นอย่างดี เราอาจท่องจำได้จนขึ้นใจ สามารถเข้าใจความหมายของพระคำนี้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในยามที่เรามีความยากลำบากและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ เราอาจใช้หนุนใจผู้เชื่อที่กำลังเผชิญปัญหายิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าความหมายของข้อพระวจนะนี้จะหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อตัวเราเองตกอยู่ในภาวะที่ต้องฟันฝ่าเสียเอง หรือเมื่อเราต้องอดทนต่อสู้กับความยากลำบากต่างๆ เมื่อนั้นแหละที่เราจะรู้ว่าการผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังเป็นอย่างไร

ข้าพเข้าขออนุญาตเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ข้าพเจ้าและลูกสาวคนเล็กต้องฟันฝ่ามาด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้ให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความยากลำบากที่เราสู้มาด้วยกันนั้นหนักหนาสากรรจ์แค่ไหนเพราะทุกวันตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่มีปัญหาเราก็ยังสามารถหัวเราะได้ และมีสันติสุขในใจอย่างเต็มเปี่ยม และรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เราไม่ได้รู้สึกกลัวหรือสิ้นหวังเลยแม้ว่าสถานการณ์จะดูเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายที่อาจมาถึงตัวซึ่งเราไม่มีวันรู้ แต่เราเชื่อมั่นใจว่าในสภาพแวดล้อมที่ดูสิ้นหวังนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมและปกปักรักษาคุ้มครองเรา การประเมินและความเข้าใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ทำให้เราขาดสันติสุขแต่อย่างใด เราอาจมีความกังวลใจอยู่บ้าง (ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยก็คงเป็นการโกหก) แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน พระเจ้าทรงอยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงอยู่ด้วย เราจะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้คร่ำครวญกับความยากลำบากของเราเลย และยังใช้ชีวิตประจำวันตามปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

ข้าพเจ้าเดินทางมาเยี่ยมลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่ที่นิวยอร์กทุกปี ปกติจะมาในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของประเทศไทยเพราะหนีอากาศที่ร้อนระอุมาพึ่งความเย็นที่นี่ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ปีนี้เปลี่ยนมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพราะอยากเห็นใบไม้ที่เปลี่ยนสี และอธิษฐานขอให้เห็นหิมะในฤดูหนาวด้วยเพราะจะอยู่จนถึงเวลานั้น พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานและให้ตามที่ขอ ข้าพเจ้ายังได้พายุเฮอริเคนเป็นของแถมมาด้วย ส่วนหิมะก็ให้เห็นพายุหิมะเสียเลยก่อนจะถึงฤดูหนาวด้วยซ้ำไป สรุปการเดินทางคราวนี้ได้ทุกอย่างตามที่ขอ

“แซนดี” พายุเฮอริเคนขนาดยักษ์ที่ถล่มฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล บางคนสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย บางคนสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทรัพย์สินอื่นๆ ในท่ามกลางผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้รวมเรา (ข้าพเจ้ากับลูกสาว) ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็ตาม แต่ผลที่ตามมาก็มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราค่อนข้างมากประมาณสามสัปดาห์ สัปดาห์ที่สองนับว่ายากลำบากที่สุดเพราะปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างถูกตัดหมด ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำ (ต้นสัปดาห์แรกในช่วงสามวันแรกยังมีน้ำเย็นเฉียบให้ใช้ น้ำร้อนถูกตัดก่อนที่พายุจะเข้าด้วยซ้ำไป) แก๊สหุงต้ม และที่สำคัญระบบความร้อนไม่มี (หนาวเหน็บมากในช่วงสองสัปดาห์แรก ต้องแต่งตัวเต็มยศทั้งๆ ที่อยู่ในบ้าน) เราได้ทุกอย่างกลับมาในสัปดาห์ที่สาม เมื่อเราเดินออกไปในละแวกนี้ก็ยิ่งเห็นพระพรของพระเจ้ามากขึ้น บางตึกให้ผู้อาศัยย้ายออกไปชั่วคราวเพราะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมอีกสองเดือนจึงจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ขอบคุณพระเจ้า หนึ่งในบรรดาตึกเหล่านั้นเป็นตึกที่ลูกสาวเคยอยากจะเช่าอยู่ นี่เป็นการทรงนำที่ล้นด้วยพระคุณครั้งที่สองสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้า ครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องงาน ครั้งนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย พระเจ้าทรงแสนดี

เมื่อพายุเข้านิวยอร์กในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2012 นั้น เรางุนงงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในวันนั้นลูกสาวทำงานอยู่ที่บ้านเพราะบริษัทห้ามพนักงานเดินทางไปที่ทำงาน แต่แม้ว่าอยากจะเสี่ยงภัยไปก็ไปไม่ได้เพราะรถไฟใต้ดินรวมทั้งเรือหยุดให้บริการตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เราฟังข่าวกันทั้งวันและรู้ว่าทางการจะตัดไฟตอนบ่ายๆ เมื่อรู้เช่นนั้นลูกสาวก็เร่งทำงานให้เสร็จ ส่วนข้าพเจ้าก็พยายามเตรียมเสบียงที่จะไม่บูดเน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราทำสิ่งที่ตั้งใจเสร็จไฟก็ดับ ขอบคุณพระเจ้า! เราตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ตึกไม่อพยพไปไหนแม้ว่าจะมีคำสั่งจากทางการให้อพยพก็ตาม

ในช่วงก่อนไฟดับกระแสลมแรงมาก (สังเกตจากการเคลื่อนไหวของต้นไม้บนดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้าม) และตึกของเราก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวมาก (และดังน่ากลัวแบบนั้นไปตลอดคืน) ฝนเริ่มตกแต่ไม่หนักมาก (ในบริเวณที่เราอยู่) เราก็พูดกันว่า “นี่ขนาดพายุยังไม่เข้ายังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วถ้ามันมาจริงๆ ตึกจะพังมั้ยนะ” เราไม่ได้เตรียมการรับมืออย่างอื่นนอกจากเก็บน้ำไว้สำหรับใช้สอย อาหารแห้ง น้ำดื่ม เราไม่ได้เอาเทปติดกระจกป้องกันการแตกกระจาย แต่ข้าพเจ้าก็วางแผนไว้ว่าถ้ามันรุนแรงจนกระจกแตกจริงๆ เราคงต้องไปอยู่กันในห้องน้ำ เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเสียงก็เงียบไปและมีเพื่อนของลูกสาวติดต่อส่งข่าวมาว่าพายุผ่านพ้นไปแล้ว เราจึงรู้ว่าตอนที่ตึกส่งเสียงน่ากลัวนั้นเป็นช่วงที่พายุโหมกระหน่ำนั่นเอง ตอนนี้เรามีแต่น้ำเย็นเฉียบ ยังมีแก๊สหุงต้มอาหาร เมื่อถึงวันพุธน้ำก็ถูกตัด แต่ยังมีแก๊ส เราอยู่ในความมืดมาเป็นวันที่สามแล้วและไม่รู้ข่าวคราวจากโลกภายนอกเลยจึงตัดสินใจเดินลงไปจากชั้นที่ 22 เมื่อลงไปข้างล่างจึงรู้ว่าน้ำท่วมตึกสูง 1.5 เมตร เมื่อพยายามเดินหาสัญญาณ 3G จนสามารถติดต่อกับครอบครัวและอ่านข่าวสารที่เพื่อนส่งมาให้ก็ต้องปิดมือถือเพื่อประหยัดแบตเตอรี ไม่สามารถหาซื้ออาหารอะไรได้เลยในบริเวณใกล้เคียง แต่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะยังสามารถต้มน้ำลวกบะหมี่สำเร็จรูปได้หากอาหารที่เตรียมไว้หมดลง แต่เราได้แค่คิดเพราะแก๊สถูกตัดในวันศุกร์ ตอนนี้เราเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะอยู่กันอย่างไร เพราะการเดินขึ้นลง 22 ชั้นเพื่อซื้ออาหารไม่ใช่เรื่องสนุก และมือถือก็ต้องการแบตเตอรรี่เพิ่มด้วยจึงตัดสินใจเดินลงไปอีกครั้ง ในที่สุดก็จบลงที่สำนักงานที่ดาวน์เทาน์ของลูกสาว วันนั้นลูกสาวได้ทำงานบ้างที่นั่น และซื้ออาหารกลับขึ้นมา เราได้รับทราบว่าเราจะได้ไฟประมาณวันพุธหน้า (ประมาณอีก 4-5 วัน) ในภาวะนั้นเราคิดหนักเพราะเมื่อไม่มีแก๊สเราก็ไม่สามารถต้มน้ำเพื่อชำระร่างกายได้ วันเสาร์บ่ายหลังจากที่รับประทานอาหารที่ซื้อเมื่อวันศุกร์หมดเราก็เดินทางไปบ้านของเพื่อนของลูกสาวที่อีกฝั่งของเมืองซึ่งไม่มีผลกระทบเหมือนเรา วันอาทิตย์หลังจากไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์แล้วเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาต่อสู้กับความหนาวเย็นและความมืดต่อไป

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เราอยากกลับบ้านทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก เพราะในเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งของเช้าวันจันทร์เราก็ได้ไฟกลับมา ตอนนี้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ข้าพเจ้าปรุงอาหารทุกอย่างในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ต้มน้ำสำหรับชำระร่างกายในเตาไมโครเวฟ ขอบคุณพระเจ้าที่เราเก็บน้ำไว้มากพอ (เพราะเรายังไม่มีน้ำใช้ในตอนนี้) เราได้น้ำสีเหลืองขุ่นๆ กลับมาในวันรุ่งขึ้น เรากรองน้ำเพื่อเอามาใช้ น้ำสำหรับปรุงอาหารก็ใช้น้ำสำหรับดื่ม เพื่อนๆ ของลูกสาวแปลกใจว่าข้าพเจ้าปรุงอาหารด้วยหม้อหุงข้าวได้อย่างไร

หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราเลือกที่จะอยู่อย่างยากลำบากแทนที่จะไปขออาศัยอยู่กับเพื่อน แต่เรารู้ว่าเราอยู่ได้เพราะ
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

สิธยา คูหาเสน่ห์



13/11/55

ความดีไม่สูญหาย

ข้าพเจ้าอ่านพบเรื่องราวนี้และอยากจะแบ่งปันให้อ่านกัน

หญิงคนหนึ่งอบขนมปังสำหรับสมาชิกในครอบครัวทุกวัน เธอจะอบเพิ่มอีกหนึ่งก้อนสำหรับคนหิวโหยที่เดินผ่านไปมาในละแวกบ้านโดยวางไว้บนขอบหน้าต่าง

ทุกวันจะมีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังก้อนนั้นไป แทนที่ชายคนนั้นจะกล่าว “ขอบคุณ” สำหรับความเมตตาที่หยิบยื่นให้ เขากลับบ่นพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า มีชายแก่หลังค่อมมาหยิบขนมปังไปและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หญิงคนนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เธอบ่นกับตัวเองว่า “ไม่ขอบคุณกันสักคำ ชายหลังค่อมพูดประโยคบ้าๆ นี่ทุกวัน เขาหมายถึงอะไรกันนะ”

วันหนึ่งก็มีความคิดชั่วแล่นเข้ามาในหัวของเธอ “ถึงเวลาที่ฉันจะกำจัดชายหลังค่อมอตัญญูคนนี้เสียที” เธอเจือยาพิษลงในขนมปังก้อนที่เธอเตรียมไว้สำหรับชายหลังค่อม เมื่อกำลังจะเอาขนมปังไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างอย่างที่ทำทุกวัน มือของเธอก็สั่น เธอถามตัวเองว่า “นี่ฉันกำลังจะทำอะไร”

ทันใดนั้นเธอก็ขว้างขนมปังก้อนนั้นเข้าไปในเตาผิงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ และเตรียมขนมปังใหม่อีกก้อนหนึ่งและนำไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างเหมือนเคย เหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวัน ชายแก่หลังค่อมเดินมาหยิบขนมปังก้อนนั้นและพึมพำว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

ชายหลังค่อมเดินจากไปโดยไม่รู้ว่าในใจของหญิงที่เตรียมขนมปังให้เขาทุกวันคิดอะไรอยู่ ทุกวันขณะที่หญิงคนนี้วางขนมปังไว้ที่ขอบหน้าต่าง เธออธิษฐานเผื่อลูกชายของเธอที่จากไปแดนไกลเพื่อแสวงโชค หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากเขาเลย เธออธิษฐานขอให้ลูกชายเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย

ค่ำวันนั้นเธอได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน เมื่อเธอเปิดประตูก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นลูกชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างกายของเขาซูบผอมและอิดโรย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เขาหิวโซและไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นแม่ เขาก็พูดว่า “แม่ครับ อัศจรรย์มากเลยที่ผมกลับมาหาแม่ได้ เมื่อผมเดินทางมาเกือบถึงบ้าน ผมก็หิวมากจนเป็นลมไป ผมคงตายไปแล้วหากไม่มีชายแก่หลังค่อมเดินผ่านมา ผมขอเศษอาหารจากเขาเพื่อประทังความหิว แต่เขาใจดีมากและให้ขนมปังทั้งก้อนที่เขามีแก่ผม เมื่อเขายื่นขนมปังให้ผม เขาพูดว่า “นี่คืออาหารที่ลุงกินทุกวัน วันนี้ลุงจะให้ขนมปังก้อนนี้แก่หลานนะ เพราะหลานต้องการมันมากกว่าลุง”

หน้าของหญิงผู้เป็นแม่ถอดสีเมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น เธอซวนเซไปพิงประตูเพื่อไม่ให้ล้ม เธอคิดถึงขนมปังที่เจือด้วยยาพิษที่เธอทำเมื่อเช้านี้ หากเธอไม่ตัดสินใจโยนเข้ากองไฟ ลูกชายของเธอคงเป็นคนที่กินขนมปังก้อนนั้น และคงเสียชีวิตไปแล้ว

ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ชายแก่หลังค่อมพูดว่า “ความชั่วที่ทำจะอยู่กับตัว ความดีที่ทำไม่สูญหาย”

หากเราทำชั่ว ความชั่วนั้นก็จะติดตัวเราไปตลอดและมันจะอยู่ในจิตสำนึกของเรา มันจะตามมาหลอกหลอนความรู้สึกของเราตลอดไป แต่เมื่อเราทำดี ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหน มันจะกลับมาหาเราเอง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าความดีที่ทำไปไม่ได้รับการตอบแทนตามที่เราหวังไว้ก็ตาม

กาลาเทีย 6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร

พระคัมภีร์ยังบอกเราอีกว่า จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ลูกา 6:38

ขอให้เราหมั่นทำดี อย่าท้อถอย ความดีที่ทำไม่สูญหายไปไหนแน่

สิธยา คูหาเสน่ห์





18/10/55

ความฉลาด

ท่านคิดว่าได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้างในชีวิตขณะที่ท่านเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ ท่านคิดว่าฉลาดขึ้นจากเมื่อห้าปีก่อนไหม หรือว่าอีกห้าปีข้างหน้าจะเรียนรู้อะไรมากขึ้นที่จะทำให้ท่านฉลาดกว่าที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบหนักแน่นจากท่านว่า “แน่นอน” คนเราจะฉลาดขึ้นจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ข้าพเจ้าหมายถึงการเรียนรู้สิ่งประเทืองปัญญาที่อาจเปลี่ยนชีวิตของท่านให้ดีขึ้น

ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเรียนรู้ว่า...

... ตราบใดที่มีความเต็มใจที่จะเรียนรู้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ฉลาดขึ้น (ในการดำเนินชีวิต) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้เป็นคนโง่หรือคนไร้ความสามารถ
... ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม ชีวิตและลักษณะนิสัยกำลังอยู่ในขบวนการถูกหล่อหลอมและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และจะมีช่องว่างอยู่เสมอระหว่างตัวตนที่เป็นอยู่กับตัวตนที่อยากจะเป็น

... บุคลิกภาพสำคัญกว่าความสามารถ และคุณค่าสำคัญกว่าความสำเร็จ

... ตัดสินตัวเองด้วยความตั้งใจดีของตน แต่จะถูกตัดสินด้วยการกระทำครั้งสุดท้ายของตน

... มักจะพรางความอะลุ่มอล่วยทางศีลธรรมด้วยหลักเหตุผล คือทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย

... เส้นทางสู่ความสุขคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่สำคัญสัมพันธภาพกับพระเจ้า

... ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น และมันเป็นการเลือกที่จะยอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ที่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน การเรียนรู้ไม่มีการสิ้นสุด และไม่มีใครแก่เกินเรียน ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนมีบทเรียนซ่อนอยู่ ประเด็นอยู่ที่ว่าเรากล้าพอที่จะค้นมันให้พบหรือไม่ และหากพบแล้วกล้าพอที่จะใช้สิ่งที่เรียนรู้มาในการดำเนินชีวิตหรือไม่

ชีวิตอาจเป็นเรื่องยากและลำบากแสนเข็ญ โดยเฉพาะเมื่อประสบกับอุปสรรคขวากหนามและความล้มเหลว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตสอนบางสิ่งบางอย่างแก่เรา และบางครั้งอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะรับมือกับความเศร้าโศกที่ตั้งอยู่บนอัตตา ความรู้สึกสงสารตัวเอง และความโกรธ แต่เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วก็จะพบบทเรียนล้ำค่าและปัญญาที่ทำให้ฉลาดขึ้น

พึงระลึกไว้เสมอว่าขบวนการนี้ใช้เวลามาก เราอาจมองไม่เห็นบทเรียนดีๆ ในทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อพร้อมที่จะรับรู้ก็จะเข้าใจได้ ความเข้าใจลึกซึ้งที่ตามมาจะทำให้ยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ได้ และกล้าพอที่จะละความโกรธและความขมขื่นไว้เบื้องหลัง ด้วยมุมมองที่เป็นกลางเราก็จะสามารถเรียนรู้บทเรียนฉลาดๆ ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น และความรู้ของเราก็เพิ่มพูนขึ้น และก็จะฉลาดขึ้นในการดำเนินชีวิตต่อไป

แต่แท้จริงแล้วความฉลาดคืออะไรกันเล่า หลายคนอยากเป็นคนฉลาด ไม่น้อยที่ยังเข้าใจไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเข้าใจว่าความฉลาดคือการมีความรู้มากๆ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงคิดว่าคนมีความรู้น้อยเป็นคนโง่ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ

ลองมาคิดกันสักนิดไหมว่าแท้จริงมันเป็นเช่นไร ความรู้ก็คือการส่ำสมข้อเท็จจริงต่างๆ สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากโรงเรียน ในพระคัมภีร์ และผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็คือการไปหาความรู้ อ่านพระคัมภีร์ก็ได้ความหยั่งรู้ที่หาที่ไหนไม่ได้ ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตก็เป็นประสบการณ์ที่หาเรียนที่ไหนไม่ได้ แต่ความรู้ต่างๆ เหล่านี้จะหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิงหากไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราสามารถนำความรู้ดังกล่าวข้างต้นมาใช้อย่างถูกต้องในการดำเนินชีวิตก็คือ “การเป็นคนฉลาด” นั่นเอง

และอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความฉลาดหรือสติปัญญาก็คือความยำเกรงพระเจ้า (ความยำเกรงพระยาเวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา สภษ. 9:10 ฉบับมาตรฐาน) และยังอาจกล่าวได้อีกว่าการรู้จักความรักของพระเจ้าคือสติปัญญามากยิ่ง

เรายังเรียนรู้จากพระคัมภีร์อีกว่าความฉลาดไม่ได้เป็นเรื่องทางปัญญาอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องทางศีลธรรมอีกด้วย เช่นนั้น การเป็นคนฉลาดในมุมมองของพระคัมภีร์ก็คือการนำปัญญาและความฉลาดของเรามาใช้อย่างถูกต้องนั่นเอง ความฉลาดคืออำนาจในการมองเห็นและความโน้มเอียงในการเลือกเป้าประสงค์ที่ดีที่สุดและสูงที่สุดได้ และดำเนินไปสู่สิ่งนั้นด้วยวิธีที่แน่นอนที่สุด จึงอาจสรุปจากที่กล่าวมาข้างต้นว่าแท้จริงความฉลาดคือภาคปฏิบัติของความดีงามทางศีลธรรมนั่นเอง

สิธยา คูหาเสน่ห์

14/9/55

การเชื่อวางใจพระเจ้า (เคล็ดลับของการดำเนินชีวิตคริสเตียน)

เคล็ดลับของการดำเนินชีวิตคริสเตียนคือ การเชื่อวางใจพระเจ้า ยอมมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความปรารถนาของเรา ให้การตัดสินใจในทุกเรื่องของเราเป็นการพึ่งพิงพระองค์ด้วยความเชื่อวางใจอย่างที่สุด ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้เป็นแบบอย่างที่พระเยซูทรงกระทำไว้ให้เราทำตามเมื่อพระองค์ทรงยอมตายบนกางเขนและตรัสว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42)

ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ให้แก่เราที่จะเลือกวางชีวิตของเราไว้กับพระองค์เพื่อให้พระองค์สามารถทำงานผ่านชีวิตของเราให้เกิดผลได้


พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเรา และเราต้องเพ่งมองดูพระองค์เสมอ “เพราะพระเจ้าทรงเรียกพวกท่านเพื่อจุดประสงค์นี้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” ... “เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงขู่อาฆาต แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม”


แต่น่าเศร้าที่พวกเรามักจะตัดสินใจผิดพลาดไม่ยอมให้พระเจ้าทรงสำแดงพระประสงค์และชีวิตของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา ด้วยเหตุนี้ “เรา” จึงเป็นคนทำให้การดำเนินชีวิตคริสเตียนในฐานะผู้เชื่อยากลำบาก มิใช่พระเจ้า


“เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต และพวกที่หาพบก็มีน้อย” มัทธิว 7:14


หากเรายอมมอบชีวิตของเราไว้กับพระเจ้าแล้ว การดำเนินชีวิตของเราแม้มีอุปสรรคบ้างก็ไม่น่ายากลำบากมากนัก แล้วเราจะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ดังเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะขอแบ่งปันกับท่านจากคำพยานที่อ่านพบมาจากสังคมคริสเตียนออนไลน์


สตรีคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำธุรกิจต่างเมืองจากเมืองดูแรงโกในรัฐโคโลราโดซึ่งอยู่ห่างไปอย่างน้อย 40 ไมล์ (64.36 กม.) ส่วนนี้ของรัฐโคโลราโดสวยงามมาก แต่ค่อนข้างจะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย และระหว่างสองเมืองนี้ก็

เป็นที่ว่างเปล่าทั้งหมด

สตรีคนนี้ได้รับเทปเกี่ยวกับความรักแบบบิดาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เธอก็ฟังไปบ้างแล้ว แต่คิดว่าการขับรถทางไกลแบบนี้น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะฟังให้จบ และเธอก็ตั้งอกตั้งใจฟังเมื่อพูดถึงการตัดสินใจเชื่อวางใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและไม่ได้สังเกตว่าน้ำมันจวนจะหมดแล้ว และก็ขับรถผ่านปั๊มน้ำมันสุดท้ายที่มีอยู่มาแล้ว และกว่าจะพบปั๊มอีกครั้งก็จะเป็นในเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว ตอนนี้เธอขับมาได้ประมาณครึ่งทางแล้ว และน้ำมันก็หมดถังและไม่สามารถไปต่อได้อีก เธอจึงหลบเข้าข้างทางด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง


เนื่องจากเธอจะเดินทางไปทำธุรกิจจึงแต่งตัวอย่างเป็นทางการและคงไม่เอื้อให้เธอเดินไปไหนได้ไกลนัก แต่หากเธอฮึดสู้เดินจนได้ก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นให้ขอความช่วยเหลือได้ รถที่พอจะมีสัญจรไปมาบ้างก็ไม่น่าจะอยู่ในข่ายที่ขอความช่วยเหลือได้เพราะคนขับเป็นชายหน้าตาดุดันไว้หนวดเครารกรุงรังและมีปืนวางไว้ข้างตัว


ในขณะที่นั่งตรึกตรองว่าจะทำอย่างไรดี พระเจ้าทรงเร้าในใจของเธอถึงสิ่งที่เธอเพิ่งฟังมาเกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยความเชื่อวางใจในพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะดูสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม เธอจึงเข้าใจว่าแม้ในสถานการณ์นี้เธอยังมีโอกาสที่จะเลือกทางเดินได้ เธอเลือกที่จะนั่งรอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง (ซึ่งเธอกำลังสัมผัสอยู่) หรือเธอเลือกที่จะเชื่อวางใจพระเจ้าและมอบให้พระองค์ทรงนำเธอออกจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่


ในที่สุดเธอก็เลือกประการหลังโดยไม่ใช้ “ความรู้สึก” ส่วนตัว เธอเลือกตัดสินใจด้วยความเชื่อ เธอมอบความกลัวและความประหวั่นพรั่นพรึงของเธอไว้กับพระเจ้าและวางใจพระองค์ที่จะปกป้องเธอและนำเธอไปสู่จุดหมายปลายทาง


หลังจากที่เธออธิษฐานด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยมแล้ว เธอก็ลองดูว่าเครื่องยนต์จะติดหรือไม่ ปรากฏว่าเครื่องติดและสามารถขับต่อไปได้ เธอจึงขับรถชิดขวาและค่อยๆ ขับไปตามทาง ยิ่งขับไปก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ เธอดีใจที่ตัดสินใจแบบนั้นซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเธอและพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ให้เธอเห็นตอนนั้นเลย


สตรีคนนั้นขับรถที่ไม่มีนำ้มันเหลืออยู่ในถังเลยเป็นระยะทางประมาณ 20 ไมล์ (ประมาณ 32 กม.) ไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง เมื่อเธอต้องขับข้ามเนินเขา เธอก็แค่เร่งเครื่องด้วยความเชื่อวางใจ ในที่สุดเธอก็ถึงที่หมายและแวะเข้าไปที่ปั๊มน้ำมันแรกที่เจอ พนักงานแปลกใจที่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มใจของเธอ และเป็นโอกาสที่เธอสามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพนักงานคนนั้น เธอได้หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อไว้ในชีวิตของพนักงานคนนั้นแล้ว ต่อจากนั้นก็ขึ้นกับพระเจ้าและการตัดสินใจของคนนั้นว่าจะทำอย่างไรกับเมล็ดแห่งความเชื่อนั้น


สตรีคนนี้ไปทันการนัดหมายสำคัญและได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัตย์ซื่อของพระเจ้า กี่คนท่ามกลางพวกเราที่ลืมไปว่าพระเจ้าทรงพร้อมที่จะช่วยเราจากสถานการณ์เลวร้ายในชีวิต


ท่านล่ะ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ท่านจะตัดสินใจอย่างไร


สิธยา คูหาเสน่ห์







20/8/55

ความเป็นแม่

ความเป็นแม่เริ่มต้นตรงไหนและเมื่อไร และอะไรคือความเป็นแม่ ท่านคิดว่าความเป็นแม่เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ใช่หรือไม่ สำหรับหลายคนเห็นเป็นเช่นนั้น วินาทีที่รู้แน่ชัดว่ากำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงก็เริ่มหัดที่จะดูแลและปกป้องลูกน้อยในครรภ์ นี่คือการฝึกที่จะเป็นแม่แล้วใช่ไหม ที่จริงความเป็นแม่มีขอบเขตกว้างไกลกว่านั้นมากมายนัก



ความเป็นแม่ไม่มีขอบเขตจำกัด ความเป็นแม่อาจทำให้ผู้หญิงมีความสุขและความชื่นนชมยินดีมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่อีกด้านหนึ่งความเป็นแม่ก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดและความทุกข์มากมายเช่นกัน เมื่อลูกได้รับความเจ็บปวด แม่ย่อมรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เมื่อลูกมีความสุข แม่ก็ย่อมสุขด้วย ความเป็นแม่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรงและบางทีเกินขีดจำกัดที่คิดว่าจะเป็นไปได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าไม่มีขีดจำกัด



หน้าที่ของแม่ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัวและขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นแม่ในวัฒนธรรมใดก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าแม่มีหน้าที่พื้นฐานที่เหมือนๆ กัน คือ หน้าที่ในการเลี้ยงดูฟูมฟักและปกป้องลูก หน้าที่ของแม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าลูกน้อยจะได้รับอาหารจนอิ่ม ได้รับความรัก และได้รับความปลอดภัย สำหรับแม่หลายคนอาจมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย และพร้อมที่จะให้การดูแลและการปกป้องได้ แต่สำหรับอีกหลายคนต้องดิ้นรนเพื่อที่จะทำเช่นนั้น



แม่มิได้ปกป้องคุ้มครองเฉพาะลูกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงสมาชิกในครอบครัวด้วย ส่วนใหญ่แม่จะเป็นผู้ตัดสินใจแทนลูกเพราะแม่เป็นผู้ที่รู้จักลูกดีที่สุดจึงสามารถรู้ว่าอะไรดีีที่สุดสำหรับลูก



ความเป็นแม่ยังได้ขยายขอบเขตไปถึงลูกของคนอื่นด้วย ความเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงอ่อนไหวในอารมณ์มากขึ้น ภาพยนตร์หรือข่าวที่เมื่อก่อนไม่ได้สร้างความสะเทือนใจหรือเร้าอารมณ์ บัดนี้กลับทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรง เนื่องจากแม่รักลูกมากก็เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นแม่จะรู้สึกรุนแรงกว่าผู้ที่เป็นลูก



แม้ว่าความเป็นแม่อาจทำให้เกิดความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ในความทุกข์ยากแฝงไว้ด้วยบำเหน็จรางวัล ลูกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้เป็นแม่ตั้งแต่ในครรภ์ แม่บางคนกลัวว่าเมื่อลูกออกมาลืมตาดูโลกแล้ว ความสัมพันธ์แบบนั้นจะหมดไป แต่ไม่ต้องกลัว ความรู้สึกผูกพันจะมีมากขึ้นเมื่อได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน ลูกเป็นส่วนหนึ่งของแม่ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นแม่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แท้ที่จริงไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียด้วยซ้ำไป



ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มาก ผู้ที่ยังไม่เป็นแม่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าความรักที่แม่มีต่อลูกเป็นอย่างไรจนกว่าจะมีประสบการณ์แบบนั้นเอง



คนที่ยังไม่เป็นแม่ อยากเป็นแม่แล้วหรือยัง



สิธยา คูหาเสน่ห์

19/7/55

การปล้ำสู้

ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนคงเดยได้ยินเรื่องราวของดักแด้กับผีเสื้อมาแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้ามิเพียงได้ยินเท่านั้นแต่ยังได้เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอีกด้วย แม้ว่าผีเสื้อที่ข้าพเจ้าเคยฟูมฟักมาจะไม่ใช่ผีเสื้อสีสวย แต่เป็นผีเสื้อกลางคืนก็ตาม ทว่าไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อสีสวยหรือผีเสื้อกลางคืนก็เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าพระผู้สร้าง และเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง

เรื่องราวนี้เล่าว่า...

ชายคนหนึ่งพบรังดักแด้รังหนึ่ง วันหนึ่งรังดักแด้นั้นก็เปิดออกเป็นรูเล็กๆ เขาเฝ้ารอดูการปล้ำสู้ของผีเสื้อตัวน้อยที่พยายามจะออกมาจากรังทางรูเล็กๆ นั้นนานหลายชั่วโมง แล้วความพยายามก็หยุดลง ดูเหมือนว่ามันทำได้แค่นั้นเอง ชายคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะช่วยผีเสื้อตัวน้อยให้ออกมาจากรังดักแด้ เขาหยิบกรรไกรมาตัดรังดักแด้ออก เมื่อเปิดกว้างผีเสื้อตัวน้อยก็ออกมาจากรังได้อย่างง่ายดาย แต่ลำตัวของผีเสื้อตัวน้อยบวมเป่งและปีกก็สั่นระริก ชายคนนั้นเฝ้าดูต่อไปเพราะเขาคาดหวังไว้ว่าปีกจะขยายใหญ่ขึ้นและกางออกพร้อมที่จะบิน แต่ไม่มีอะไรตามคาดเกิดขึ้นเลย แท้จริงแล้วผีเสื้อน้อยตัวนี้จะไม่สามารถบินได้ตลอดชีวิตของมัน ทำได้แค่คลานไปด้วยลำตัวที่บวมเป่งและปีกที่สั่นระริกของมันเท่านั้น

สิ่งที่ชายคนนี้คิดว่าเป็นความเมตตาที่ช่วยให้ผีเสื้อตัวน้อยออกจากรังดักแด้เร็วขึ้นคือความไม่เข้าใจของเขา แท้จริงแล้วการที่ผีเสื้อตัวน้อยค่อยๆ ออกจากรังดักแด้ และปล้ำสู้ออกจากรูเล็กๆ นั้นเป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อบีบให้ของเหลวจากร่างกายของผีเสื้อเข้าไปสู่ปีกของมันเป็นการเตรียมพร้อมที่จะบินเมื่อออกจากรังดักแด้
บทเรียนที่ได้จากเรื่องราวนี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ในชีวิตของเรา ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากอุปสรรคหรือการปล้ำสู้ ก็จะเป็นการทำร้ายเรา เราจะไม่เข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ เมื่อเผชิญกับมัน เราจะไม่สามารถบินได้ ยิ่งโลกปัจจุบันที่โฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ด้านด้วยแล้ว เรายิ่งต้องเตรียมพร้อมที่บินสู่โลกกว้างที่โหดร้าย ดังนั้นสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามิได้แค่เกิดขึ้น ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล เรารู้ดีว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ และเป็นพระประสงค์ดี แต่ในขณะที่เกิดขึ้น เราอาจไม่พร้อมที่จะมองด้วยใจวินิจฉัย และสงสัยพระเจ้า ต่อว่าพระองค์ แต่ขอให้จำไว้ว่าเวลาของพระเจ้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด ขอเพียงอดทนรอคอย และเตรียมตัวให้พร้อมที่จะบินเมื่อปีกของเราแข็งแรงพอที่จะพยุงเราไป
ข้าพเจ้ารู้ว่่าการรอคอยไม่ใช่เรื่องง่าย ในช่วงเวลาที่ฟูมฟักผีเสื้ออยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ใจร้อนอยากเห็นผีเสื้อเร็วๆ และการเปลี่ยนแปลงแต่ละขั้นตอนก็ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าพเจ้าดีใจที่มิได้ทำเหมือนชายคนนี้ ที่ไม่ทำเหตุผลหนึ่งก็คือ “กลัว” ในคืนที่มันโผล่ออกจากรังดักแด้นั้น ข้าพเจ้าเตรียมกล้องไว้พร้อมสำหรับจับภาพในวินาทียิ่งใหญ่แห่งความเป็นอิสระ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

ในการปล้ำสู้กับชีวิต ให้เราทูลขอสติปัญญาและกำลังจากพระเจ้าเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้
สิธยา คูหาเสน่ห์

22/6/55

ความกระวนกระวายใจ

ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ย่างเข้าครึ่งปีหลังเสียแล้ว ที่เขาพูดว่าเวลาผ่านไปเหมือนติดปีก (ใหญ่ๆ เสียด้วย) เห็นจะจริง สำหรับข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะป่วยเสียเดือนกว่า (เมื่อเร็วๆ นี้) ไม่ทราบเหมือนกันว่าสาเหตุจริงๆ คืออะไร ไม่ได้ป่วยมานานโข จู่ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ร่างกายผ่ายผอมจนคนทัก แพทย์ก็เดาว่าเป็นโน่นเป็นนี่ หรือว่าร่างกายจะประท้วงเพราะเดี๋ยวก็ไปอยู่ในที่ที่หนาวจัดจนมือเท้าชาไร้ความรู้สึก ยังไม่ทันปรับตัวอย่างเต็มที่ก็กลับมาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนระอุราวกับเตาไฟ แต่ไม่ว่าอาการป่วยของข้าพเจ้าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม พระเจ้าก็ทรงรักษาให้หายแล้ว ตอนนี้ก็สบายดีแล้วจึงได้กลับมาขีดๆ เขียนๆ เหมือนเดิม (แต่จะพูดว่าขีดๆ เขียนๆ เห็นจะไม่ถูกนัก เพราะสมัยนี้เทคโนโลยีล้ำหน้า คงไม่มีใครเขียนกันแล้ว)

โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ในหลายๆ ด้าน ไม่น่าแปลกที่คนในโลกปัจจุบันจะมีความกระวนกระวายใจมากมายหลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องความขัดแย้ง สุขภาพที่ย่ำแย่ สถานการณ์อันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ ความตายที่คืบใกล้เข้ามา ความจำเป็นในชีวิตที่ยังขาดอยู่ ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่อ่อนแอ ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คุกคามอยู่ ฯลฯ แต่พระคัมภีร์บอกว่า “อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์ (ฟิลิปปี 4:6-7 ฉบับมาตรฐาน) ฉะนั้น หากท่านมีความกระวนกระวายใจในเรื่องใด จงทูลต่อพระเจ้าเถิด พระองค์ทรงสดับฟังการร้องทูลของท่าน ขอบพระคุณแม้ว่าคำตอบหรือทางออกยังมาไม่ถึง อีกครั้งที่พระคัมภีร์ย้ำว่า “จงละความกังวลทุกอย่างของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 เปโตร 5:7 ฉบับมาตรฐาน)

ดังนั้น คงไม่มีอะไรผิดที่จะยอมรับและพยายามรับมือกับปัญาต่างๆ ในชีวิต การไม่ยอมรับรู้เป็นเรื่องโง่เขลาและไม่ถูกต้อง แต่การวิตกกังวลเกินเหตุก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง สิ่งที่ควรทำคือทูลเรื่องราวความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอน พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยท่านจากความกลัวหรือความกังวลต่างๆ และทรงช่วยให้ท่านสามารถจัดการกับความจำเป็นในชีวิตและสงครามฝ่ายวิญญาณได้ตามความเป็นจริง

บางทีสาเหตุที่ทำให้บางคนวิตกกังวลและกลัว กระวายใจ อาจเป็นผลของความบาปและความรู้สึกผิดของคนนั้น ถ้าท่านทำบาปหรือทำสิ่งที่ผิด ท่านอาจกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับพระเจ้า มโนธรรมอาจกำลังพยายามทำให้ท่านสนใจกับสิ่งที่ทำไป สิ่งที่ท่านต้องทำคือ กลับใจ สารภาพบาป และทูลขอให้พระเจ้าทรงอภัย และแก้ใขสิ่งผิดและทำสิ่งที่ถูกต้อง นอกจากนั้นลองสำรวจดูสิว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ โดยทั่วไปมนุษย์ต้องการการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 8-9 ชั่วโมงต่อวัน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทำให้กระวนกระวายใจได้ ถ้านอนไม่หลับ ท่านอาจทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรือไม่ก็ไปพบแพทย์

หัดเป็นคนสมเหตุสมผลมากขึ้น คนมากมายมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงและไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง และทำวันนี้ให้ดีที่สุด จงมีชีวิตอยู่วันต่อวัน ติดสนิทกับพระเจ้า และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลองหาเวลาฟังดนตรีเบาๆ เพลงคริสเตียนซึ่งสามารถช่วยท่านให้มุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าและทิ้งความกลัวและความวิตกกังวลไว้เบื้องหลังมีอยู่มากมาย (จากประสบการณ์ส่วนตัว เพลงบรรเลงคริสเตียนสามารถช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ)

เมื่อมีความวิตกกังวล อย่าเก็บไว้ในใจ หาใครสักคนที่ไว้ใจได้และพูดคุยแบ่งปันกัน การพูดปัญหาต่างๆ ออกมาน่าจะช่วยให้คลายกังวลไปได้บ้าง แต่เพื่อนที่ดีที่สุดและสามารถรับฟังได้ทุกเรื่องก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นสหายเลิศของเรานั่นเอง (2 เธสะโลนิกา 2:16-17 ฉบับมาตรฐาน “ขอให้องค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ทรงรักเราและประทานให้เรามีความชูใจนิรันดร์ และความหวังดีโดยพระคุณ ทรงชูใจและทรงเสริมท่านให้มั่นคง ในการกระทำและในวาจาอันดีทุกอย่าง”)

ความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลมีผลต่อความเชื่อ ขณะที่กำลังทุกข์ใจกับปัญหาต่างๆ ท่านอาจสงสัยพระเจ้า อาจมีคำถามมากมายผุดขึ้นในความนึกคิด อาจไม่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังคำร้องทูลจริงหรือ ทำไมคำตอบมาไม่ถึงเสียที ขอแล้วทำไมไม่ได้ เมื่อตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ อย่าสงสัยพระเจ้า

ความวิตกกังวลทำให้ความรู้สึกมั่นคงลดลงเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อกัน เมื่อชีวิตดำเนินไปตามแผนและรู้สึกมั่นคง ความวิตกกังวลก็จะค่อยๆ หมดไป ในทำนองเดียวกัน ความวิตกกังวลมีมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคาม ชีวิตไม่มั่นคง หรือเมื่อหมกมุ่นอยู่กับผลลัพธ์บางอย่าง ผู้เชื่อต้องรู้จักที่จะละความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลของตนไว้กับองค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอนต่อพระองค์ การกระทำเช่นนี้ทำให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์มากขึ้น และทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น นี่เป็นวิธีขจัดความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลสำหรับผู้เชื่อ

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอหนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลและความเชื่อเริ่มสั่นคลอนว่า จงวางใจพระเจ้า ไม่มีปัญหาใดใหญ่เกินกว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์ คร่ำครวญต่อพระองค์ และสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตคริสเตียน

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร

สิธยา คูหาเสน่ห์

25/4/55

ข่าวประเสริฐของพระเจ้า

“เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด” โรม 1:16

คำว่า “ข่าวประเสริฐ” ก็คือข่าวดี เป็นข่าวยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียวเพราะเป็นข่าวประเสริฐ (ข่าวดี) ของพระเจ้า เพราะถ้าปราศจากข่าวนี้แล้ว มนุษยชาติก็จะถูกตัดสินให้รับโทษชั่วนิรันดร์ และถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้เป็นผู้ลิขิตความรักและชีวิต

แต่ทำไมข่าวประเสริฐของพระเจ้าจึงเป็นข่าวดีล่ะ

ประการแรก ข่าวประเสริฐไม่ใช่ข่าวสารเกี่ยวกับศาสนา แต่เป็นข้อความที่พูดถึงเรื่องความรักและจุดประสงค์สำหรับมนุษย์ของพระเจ้า ศาสนาเป็นการแก้ไขเราจากภายนอก พระเจ้าทรงต้องการแก้ไขเราจะข้างในออกมา ศาสนาอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จนกลายเป็นภาระหนัก ส่วนความรักและข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นสิ่งที่นำเสรีภาพมาสู่เรา เป็นข้อความที่บอกเราว่าพระเจ้าทรงรักเรามากพอที่จะวายพระชนม์เพื่อให้เราได้รับความรอดและหลุดพ้นจากสิ่งพันธนาการต่างๆ

นอกจากนั้นยังต้องรู้อีกว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรไปหรือยังไม่ได้ทำอะไร พระเจ้าก็ยังทรงรักเราด้วยความรักนิรันดร์ของพระองค์และยังทรงมีพระประสงค์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับชีวิตของเรา (ทั้งชีวิตบนโลกนี้และชีวิตชั่วนิรันดร์) ดังที่พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร” (ยอห์น 3:16) และอีกครั้งว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)

ประการที่สอง ข่าวประเสริฐเป็นข่าวสารเกี่ยวกับบาป เรื่องที่เราทำผิด พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” โรม 3:23 บาปไม่ใช่แค่เรื่องการกระทำที่ร้ายกาจเท่านั้น แต่เป็นทุกเรื่องที่ไม่ถึงมาตรฐานแห่งความสมบูรณ์พร้อมของพระเจ้าที่พระองค์ทรงอยากให้เราทำ บาปรวมถึงจิตใจที่ไม่ยอมให้อภัย ความหยิ่งยโส ความอิจฉาริษยา แรงจูงใจผิดๆ ฯลฯ พวกเราส่วนมากยังทำบาปเรื่องไม่ทำสิ่งที่ควรหรือสามารถทำได้อีกด้วย (เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงบาป ยากอบ 4:17)

แต่ยังมีความเข้าใจผิดทั่วไปเกี่ยวกับพระเจ้าที่ว่าพระองค์ทรงไม่ได้ลงโทษเราเพราะบาปของเราหรอก ความจริงคือเรานั่นแหละที่นำการลงโทษของบาปมาสู่ตัวเองเพราะบาปมีผลที่ตามมาตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพยายามลบล้างกฎแห่่งแรงโน้มถ่วม เราทำไม่ได้หรอก มันจะทำลายล้างเราในที่สุด ในทำนองเดียวกัน เราก็ไม่สามารถทำลายล้างกฎสากลทางศีลธรรมของพระเจ้าเช่นกัน หากเราพยายามที่จะทำลาย กฎนั้นก็จะทำลายเราเสียเอง และนอกจากผลกระทบที่น่าเจ็บปวดในโลกนี้ซึ่งรวมถึง การทนทุกข์ทรมาน ความโศกเศร้า ความเศร้าใจ ความเจ็บป่วย และความตายฝ่ายวิญญาณ ผลน่าเศร้าที่ตามมาก็คือความตายนิรันดร์และการแยกจากพระเจ้า (เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย โรม 6:23)

ประการที่สาม ข่าวประเสริฐเป็นข่าวสารเกี่ยวกับการเยียวยาของพระเจ้า เพราะบาปทำให้เราแยกหรือขาดการติดต่อกับพระเจ้า เราถูกตัดขาดด้วยสูญญากาศที่มีรูปร่างเหมือนพระเจ้าหรือด้วยความว่างเปล่าภายใน ดังที่เซนต์ออกันตินเขียนไว้ว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสรา้งเราขึ้นมาเพื่อพระองค์เอง และใจของเราไม่สงบนิ่งจนกว่าจะได้พำนักในพระองค์” ศาสนามากมายในโลกนี้เป็นพยานหลักฐานแห่งการเสาะหาพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งของมนุษย์และพยายามจะทำให้สูญญากาศนั้นหมดไป แต่เพราะพระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย พระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ปราศจากบาปของพระองค์มาเพื่อช่วยเราให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายของเรา การวายพระชนม์บนกางเขนของพระเยซูคริสต์เป็นการตายแทนเรา การวายพระชนม์ของพระองค์เป็นค่าไถ่บาปทั้งสิ้นของเรา พระองค์ทรงเป็นทางเดียวที่จะนำเรากลับไปหาพระเจ้าและเป็นประตูบานเดียวสู่ชีวิตนิรันดร์ (พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6)

ประการสุดท้าย ข่าวประเสริฐเป็นการเรียกสู่ความเชื่อและการกลับใจ ถ้าพบว่าท่านทำผิดร้ายแรงและถูกลงโทษถึงตาย ท่านจะรับข้อเสนอที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไหม หากว่ามีการเสนอให้ เนื่องจากพระเยซูทรงตายแทนท่าน ดังนั้นพระเจ้าทรงกำลังเสนอการยกโทษ การให้อภัย และชีวิติรันดร์ให้แก่ท่าน สิ่งที่ท่านต้องทำคือสารภาพบาปและกลับใจ เลิกการทำชั่วที่เคยทำ เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงตายแทนบาปของท่าน และยอมรับพระองค์เข้าในชีวิตของท่านในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้า

ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าและให้เปล่าๆ เพียงแค่ตัดสินใจรับเท่านั้น

สุขสันต์วันอีสเตอร์ (อีกครั้ง)

สิธยา คูหาเสน่ห์

22/3/55

แผนงานล้ำเลิศของพระเจ้า

พระยาเวห์ตรัสว่า 'เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า'”
เยเรมีย์ 29:11

พระเจ้าทรงมีแผนงานล้ำเลิศสำหรับผู้เชื่อทุกคน ทว่าบางคนอาจไม่ค่อยแน่ใจหรือไม่เชื่อเช่นนั้นก็เป็นได้ ลูกของพระเจ้าทุกคนต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีแผนงานสำหรับทุกคนตามพระสัญญาที่ตรัสไว้ในข้อพระวจนะข้างต้น และทุกคนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนั้น ถ้าหากไม่เชื่อ ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อการใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะค้นหาว่าเราควรไปไหน เราควรทำอะไร และควรอยู่กับใคร พระเจ้าตรัสแก่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า “เราได้รู้จัักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ” (เยเรมีย์ 1:5) การทรงเรียกของเราอาจไม่เหมือนกับการทรงเรียกของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีแผนงานอย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้แผนงานนั้นสำเร็จ พระเจ้ามิได้ทรงเรียกให้เลียนแบบใครคนใดคนหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้แต่ละคนเป็นอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่แรกสร้างเราขึ้นมา เมื่อเรามอบให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิตของเรา ให้พระองค์ทรงครอบครองทั้งชีวิตของเรา พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยแผนงานของพระองค์ทีละขั้นทีละตอน พระเจ้าอาจมิได้ทรงเผยให้เห็น “ภาพใหญ่” ทั้งหมดในทันทีเพราะบางทีเราอาจกลัว หรือมีท่าทีต่อพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองแล้ว” แต่พระเจ้าทรงทราบว่าเรายังต้องการความช่วยเหลือของพระองค์อยู่เสมอ ดังนั้นพระองค์จึงทรงปลุกเร้าให้เราพึ่งพาพระองค์

ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุใดจึงมีผู้เชื่อจำนวนมากกลัวที่มอบตัวเองให้พระเจ้าทรงครอบครองเล่า บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าพระองค์จะทรงเรียกร้องให้พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้เพื่อความสำเร็จในชีวิต จริงๆ แล้ว เราไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือมีความสุขจริงๆ ได้เลยหากทำนอกเหนือแผนงานของพระเจ้าที่ทรงตั้งไว้ เช่น พระเจ้าทรงสร้างคนหนึ่งไว้ให้เป็นครู พระองค์ทรงจัดเตรียมตามความจำเป็นของคนนั้นได้ และทรงเติมเต็มชีวิตของคนนั้นด้วยจุดมุ่งหมายและความหมายแห่งชีวิตได้ในทุกด้านในฐานะครูคนหนึ่ง เพราะนั่นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าสำหรับคนนั้น แต่สมมุติว่าคนนั้นตัดสินใจว่าไม่อยากเป็นครูกลับอยากเป็นนักธุรกิจ จึงพยายามหาช่องทางที่จะเป็นนักธุรกิจชื่อดังให้ได้ แต่กลับพบว่าไม่เคยมีสันติสุข ความชื่นชมยินดี หรือความพึงพอใจจริงๆ ในชีวิตเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้แต่แรก ในแต่ละวันรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป แก่นแท้ของความจริงคือพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นครู และพระองค์ทรงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมที่จะให้เป็นครู และแม้ว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่า “มันไม่มีอะไรผิดหรอก” ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนเดินออกนอกกรอบแผนงานของพระเจ้าเพียงเพราะทำตามที่คนอื่นพูดหรือคิดเท่านั้น และก็สงสัยไม่หายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ได้รับชีวิตที่เต็มบริบูรณ์

เอเฟซัส 2:10 กล่าวว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” เมื่อพระเจ้าทรงสร้างคนๆ หนึ่ง พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินตามแผนงานที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมาให้พร้อม มีทั้งสติปัญญา ของประทาน และพระองค์ยังทรงพร้อมที่จะช่วยในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ตลอดชีวิตด้วย ถ้าทูลถามว่ามีอะไรบ้าง พระองค์ก็จะทรงสำแดงให้รู้ ด้วยวิธีการของพระองค์อาจเป็นการนำให้ได้รับการอบรมหรือการศึกษาพิเศษบางอย่าง หรือพระองค์อาจทรงไม่ทำอะไรเลยก็ได้ กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนงานของพระเจ้าคือการแสวงหาพระองค์ในแต่ละวัน อย่ารอจนเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วจึงแสวงหาพระองค์ ถ้าไม่มีการแสวงหาในแต่ละวัน โอกาสเป็นไปได้มากที่จะได้รับบำเหน็จล่าช้า ฮีบรู 11:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ถ้าดำรงชีวิตโดยการพึ่งพาพระสติปัญญา การทรงนำ และพระคุณของพระเจ้าในแต่ละวันแล้วล่ะก็ ท่านก็สามารถพึ่งพาพระองค์ในการนำท่านให้อยู่บนเส้นทางแห่งพระพรยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว นี่เป็นความจริงที่ต้องยึดถือ และรอวันที่จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับท่าน

อย่ารอช้าอยู่เลย ให้รับรีบเร่งไปรับบำเหน็จของเรากันเถิด

*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

สิธยา คูหาเสน่ห์






13/2/55

'รัก' คำสั้นๆ

พระคัมภีร์ย้ำว่าชีวิตของเราต้องตั้งอยู่บนความรัก พระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราพบในพระคัมภีร์คือให้รักพระเจ้าและรักกันและกัน

มัทธิว 22:37-40 กล่าวว่า พระเยซูทรงตอบเขาว่า 'จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน' และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ 'จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง' ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้

พระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีกให้รักเพื่อนบ้าน กาลาเทีย 5:14 บอกว่า เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง 
 
ยอห์น 13:33-35...ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้ เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือ ให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา

คริสเตียนมีประสบการณ์ชีวิตผ่านทางความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเน้นเรื่องความรักว่าเป็นพลังที่เป็นตัวกำหนดธรรมชาติของเรา

จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่าความรักเกิดขึ้นเองอย่างไม่ตั้งใจหรือว่าเกิดขึ้นตามการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแน่ กระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่าไม่มีอะไรที่น่าเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก แต่คนก็ตระหนักว่าความรักนั้นสำคัญ มิเช่นนั้นคงไม่มีการเรียกร้องหาความรักกัน เราคงรับรู้ถึงความหิวโหยความรักได้จากบทเพลง ภาพยนตร์ และนวนิยายต่างๆ

แต่พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าความรักเป็นประสบการณ์การเรียนรู้และให้คำแนะนำไว้มากมายเกี่ยวกับ 'ความรัก' บางทีข้อพระวจนะที่พูดถึงความรักได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคงเป็น 1 โครินธ์ 13:4-7 ที่เขียนไว้ว่า ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ

จากข้อพระวจนะข้างต้นจะเห็นว่าผู้ที่รักต้องอยากให้ผู้ที่ถูกรักได้สิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าการให้นั้นหมายถึงการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนก็ตาม ขอให้สังเกตข้อ 4 และ5 เป็นพิเศษ ความรักนั้นก็อดทนนาน และมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง

พระคริสต์ทรงให้แบบอย่างของความถ่อมใจที่กอปรด้วยความรักไว้ในวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา พระองค์ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่างซึ่งปรากฏอยู่ใน ยอห์น 13:14, 15 เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ทานก็ควรล้างเท้าของกันและกันด้วย

พระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าย้ำให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระองค์และชี้ให้เห็นว่าความถ่อมใจเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ต่อการแสดงออกถึงความรัก ความถ่อมพระทัยของพระองค์มองข้ามการเป็นมนุษย์และการถูกตรึงที่กางเขน ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่ ไร้ขีดจำกัด และมีพร้อมอยู่เสมอ พระองค์ทรงเป็นความรัก

พระองค์ทรงรักโลก พระองค์ทรงรักสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง พระองค์ทรงรักท่าน พระองค์ทรงรักทุกคน เมื่อเราได้รับความรักจากพระองค์เช่นนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเราทุกคนมีความรักของพระองค์มากพอที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งได้รับมาก นี่เป็นการท้าทายของข้าพเจ้า ลองทำดูสิ!

*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

สิธยา คูหาเสน่ห์