27/9/53

"เราเป็น"


พระองค์ทรงเป็น "เราเป็น" สำหรับทุกความจำเป็นของเรา นี่เป็นความมั่นใจที่

คริสเตียนทุกคนควรมี สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์กับความมั่นใจแบบนี้ก็คงรู้ว่า

ความรู้สึกนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน และข้าพเจ้าเชื่อว่าประสบการณ์ของแต่ละคนย่อม

แตกต่างกัน


ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ที่จะแบ่งปัน "พระองค์ทรงเป็น" ในความจำเป็นต่างๆ ของเรา

บางส่วนดังนี้


พระองค์ทรงเป็นพระบิดา เมื่อเราต้องการพ่อ

พระองค์ทรงเป็นการยอมรับ เมื่อเรารู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการ

พระองค์ทรงเป็นความเพียงพอ เมื่อเรารู้สึกไม่เพียงพอ

พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือ เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

พระองค์ทรงเป็นคำตอบ เมื่อเรามีึคำถาม

พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ เมื่อเราสงสัย


พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต เมื่อเราหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

พระองค์ทรงเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส เมื่อเราเดินอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช

พระองค์ทรงเป็นผู้แบกรับภาระ เมื่อเรามีภาระหนัก

พระองค์ทรงเป็นเพื่อน เมื่อเราโดดเดี่ยว


พระองค์ทรงเป็นผู้ป้องกัน เมื่อเราถูกโจมตี

พระองค์ทรงเป็นผู้ปลดปล่อย เมื่อเราถูกพันธนาการ

พระองค์ทรงเป็นผู้เบิกทาง เมื่อเราหมดหนทาง


พระองค์ทรงเป็นรากฐานมั่นคง เมื่อเรารู้สึกคลอนแคลน

พระองค์ทรงเป็นเพื่อนที่สัตย์ซื่อ เมื่อเราผิดหวังในเพื่อน

พระองค์ทรงเป็นความเต็มบริบูรณ์ เมื่อเราว่างเปล่า


พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ใส่พระทัย เมื่อเราท้อแท้

พระองค์ทรงเป็นความรัก เมื่อเรารู้สึกขาดความรัก

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ เมื่อเรารู้สึกถูกทอดทิ้ง

พระองค์ทรงเป็นทางนั้น เมื่อเราหลงทาง

พระองค์ทรงเป็นผู้นำทาง เมื่อเราสับสน


พระองค์ทรงเป็นผู้เยียวยารักษา เมื่อเราถูกร้ายจิตใจ ถูกปฏิเสธ และเจ็บป่วย

พระองค์ทรงเป็นความหวัง เมื่อเราหมดหวัง หดหู่ และยอมแพ้

พระองค์ทรงเป็นความถ่อมใจ (ที่เตือนใจ) เมื่อเราผยองขึ้น


พระองค์ทรงเป็นความชื่นชมยินดี เมื่อเราสลดหดหู่ใจ

พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองและผู้ปกป้อง เมื่อเราเปราะบาง

พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชู เมื่อเราทุกข์ใจและมีความกดดัน


พระองค์ทรงเป็นความเมตตา เมื่อเราถูกปฏิบัติด้วยความโหดร้าย

พระองค์ทรงเป็นกำลัง เมื่อเราอ่อนแรง

พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิม เมื่อเราโลเล

พระองค์ทรงเป็นชัยชนะ เมื่อเราพ่ายแพ้


พระองค์ทรงเป็นองค์สันติราช เมื่อเราขาดสันติสุข

พระองค์ทรงเป็นผู้จัดเตรียม เมื่อเรามีความจำเป็น

พระองค์ทรงเป็นผู้สยบพายุร้าย เมื่อเราปล้ำสู้กับความทุกข์ยาก


พระองค์ทรงเป็นผู้ปรองดอง เมื่อเรามีความขัดแย้ง

พระองค์ทรงเป็นการพำนัก เมื่อเราสิ้นเรี่ยวแรงที่จะไปต่อ

พระองค์ทรงเป็นผู้ฟื้นฟู เมื่อเราถูกทำร้ายและบาดเจ็บ

พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต เมื่อเรากระหาย


นี่เป็นเพียงบางส่วนที่พอจะยกขึ้นมาแบ่งปันเท่านั้น ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านก็มี

รายการของท่านเองสำหรับความมั่นใจใน "เราเป็น" ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน


สิธยา คูหาเสน่ห์

2/8/53

ขั้นตอนต่างๆ ของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

เส้นทางการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามแต่ละขั้นตอนของเส้นทางนั้นควรจะมีอะไรที่เหมือนๆ กัน เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องพบเจอและผ่านเพื่อเติบโตขึ้น

ขั้นตอนริ่มต้นเมื่อเป็นผู้เชื่อใหม่ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้รู้จักหลักการพื้นฐานไว้เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง ชีวิตคริสเตียนจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานดังกล่าว พระองค์ทรงให้รู้ความจริงพื้นฐานเหล่านั้น (พระวจนะของพระองค์) และเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตผ่านทางผู้เชื่อคนอื่นๆ

ต่อมาพระเจ้าทรงให้เรามีโอกาสรับใช้พระองค์ เราทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาให้ทำการดีต่างๆ และความจริงข้อนี้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นคริสเตียนที่เติบโตขึ้นโดยใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานมาซึ่งย่อมแตกต่างกันไปสำหรับผู้เชื่อแต่ละคนในการยกย่องพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 43:7) เพื่อเทิดทูนพระนามของพระองค์ (สดุดี 86:12)

ต่อมาพระเจ้าทรงสอนให้เราพึ่งพาพระองค์ ให้รู้ว่าเราไม่สามารถพึ่งพากำลังและความสามารถของเราเอง ให้รู้ว่าเรา "ไม่เพียงพอ" พระองค์ทรงสอนให้รู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่พึ่งพาการทรงนำและฤทธานุภาพของพระองค์

ขั้นตอนต่อมาพระบิดาจะทรงนำเราให้่เผชิญกับสิ่งที่พันธนาการเราอยู่ซึ่งๆ หน้า เพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เราทั้งหลายมักจะเก็บความเจ็บปวด ความกลัว หรือ "ถุงขยะ" อื่นๆ จากชีวิตในวัยเด็กเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการเหล่านั้นอย่างไร แต่พระเจ้าทรงยอมให้เราปล้ำสู้กับสิ่งเหล่านั้นทีละอย่างด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ เมื่อเรายอมที่จะมอบปัญหาไว้กับพระเจ้าและแสวงหาท่าทีของพระองค์ พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากปัญหาที่เราปล้ำสู้่อยู่

ต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสอนเราให้มีชีวิตที่มีพระคริสต์อยู่ในตัวเรา ดำเนินชีวิตโดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเราและทรงสละพระองค์เองเพื่อเรา (กาลาเทีย 2:20) ตัวบาปของเราได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ และชีวิตขององค์พระผู้ช่วยให้รอดจะสำแดงผ่านตัวเราเมื่อเรายอมจำนนต่อการทรงครอบครองของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ท่านเห็นขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ในเส้นทางการดำเนินชีวิตในฐานะที่เป็นผู้เชื่อคนหนึ่งหรือไม่ บางทีท่านยังต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าในบางเรื่องที่ืท่านยังปล้ำสู้อยู่ก็เป็นได้ มีอะไรหรือที่ขวางมิให้พระคริสต์มีชีวิตในตัวท่าน ท่านจะไม่ยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยท่านให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นกระนั้นหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/7/53

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า

ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ในเดือนพฤษภาคม แต่เมื่อท่านอ่านบทความนี้ก็จะเป็นเดือนกรกฎาคมแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าคงไม่ช้าไปสำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะพูด ขณะที่เขียนบทความนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่นิวยอร์ก ข้าพเจ้ามาพักอยู่กับลูกสาวคนเล็กซึ่งจากบ้านมานานเข้าปีที่เจ็ดแล้ว ทั้งครอบครัวเดินทางมาเยี่ยมในเดือนเมษายนหลังจากที่ไปแวะซานฟรานซิสโกและลอสเอเจิงลิสแล้ว ลูกสาวคนเล็กบินไปเจอกันที่นั่น เมื่ออยู่ที่นั่นก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่เติบโตขึ้นมาในคริสตจักรด้วยกัน ส่วนบางคนที่ไม่ได้พบหน้ากันก็โทรศัพท์พูดคุยกัน หลังจากนั้นก็เดินทางมานิวยอร์ก ข้าพเจ้าอยู่ต่อหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว

เมื่อข้าพเจ้าจากประเทศไทยมานั้นการชุมนุมเรียกร้องของคนเสื้อแดงเริ่มขึ้นแล้ว และคิดว่าไม่นานก็คงจะกลับสู่ความเป็นปกติสุขเหมือนเดิม แต่นี่ก็ล่วงเลยมานานนับเดือนๆ แล้ว เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบเสียทีและดูเหมือนว่าจะรุนแรงและขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้าติดตามข่าวอยู่ที่นี่ด้วยความเป็นห่วงและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างที่เห็นไปได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้อ่านข่าวในรายละเอียดเพราะรู้ว่าข่าวที่นำเสนอมานั้นไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด อ่านทั้งข่าวไทยและข่าวต่างประเทศ แต่ก็รู้มาอีกว่าการนำเสนอข่าวของนักข่าวต่างประเทศนั้นมิได้เสนอตามข้อเท็จจริงอีก เป็นอันว่าข่าวที่ได้ยินนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ไม่อาจบอกได้ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าชาติไทยกำลังจะพินาศ ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้มีสมาชิกครอบครัวอยู่ในประเทศไทยสองคน คนหนึ่งอยู่หาดใหญ่ ส่วนอีกคนอยู่กรุงเทพมหานคร แม้บ้านพักจะอยู่ไกลจากพื้นที่ชุมนุมหรือตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าสนามรบได้กระมัง แต่ที่ทำงานก็อยู่ในเขตอันตรายทีเดียว

บางคนบอกว่าดีแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ประเทศไทย เพราะหากออกจากบ้านไปทำธุระนอกบ้านอาจได้รับอันตรายหรือถูกยิง อยู่ที่นิวยอร์กไปก่อนจนกว่าเหตุการณ์จะเรียบร้อยค่อยกลับมา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ก็ใช่ว่าจะพ้นอันตราย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงได้ยินข่าวการวางระเบิดที่ไทม์แสควร์ ขอบคุณพระเจ้าที่ระเบิดมันไม่ทำงาน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งในมหานครนิวยอร์ก (ที่หลายคนอยากจะมาเหลือเกิน) อีกครั้ง ข้าพเจ้าต้องขอปรบมือให้กับการไล่ล่าผู้ก่อการร้ายของตำรวจนิวยอร์กจริงๆ ไม่กี่วันต่อมาก็จับคนร้ายได้ในขณะที่กำลังจะหนีออกนอกประเทศ ขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางการก็ขึ้นไปจับคนร้ายบนเครื่องบินทีเดียว บนเที่ยวบินนั้นมีคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนของลูกสาวเดินทางไปด้วย จึงได้ทราบว่าผู้โดยสารไม่ได้รับการแจ้งว่ามีการจับกุมคนร้าย รู้แต่ว่าเที่ยวบินนั้นต้องใช้เวลาอีกมากกว่าหกชั่วโมงจึงจะออกเดินทางต่อไปได้ ผู้โดยสารรับทราบข้อเท็จจริงจากการฟังการรายงานข่าวทางทีวีในสนามบินขณะที่กำลังรอขึ้นเครื่องใหม่อีกครั้งนั่นเอง

เมื่อหลายวันก่อนหลังจากที่ออกไปรับประทานอาหารเย็นแล้ว เราก็ไปท่องนิวยอร์กยามค่ำคืนกัน เพราะลูกสาวบอกว่าข้าพเจ้าไม่ยอมออกไปไหนเลย ก็เลยพาไปโน่นไปนี่บ้าง ในที่สุดเราก็ไปถึงไทม์แสควร์ซึ่งมีคนมาเที่ยวและใช้เวลาอยู่ที่นั่นกันมากมายจริงๆ ลูกสาวก็พูดขึ้นมาว่าผู้ก่อการร้ายนี่ใจร้ายมากนะ เพราะถ้าหากระเบิดขึ้นมาจริงๆ ดูสิว่าจะมีคนตายมากมายขนาดไหน เป้าหมายของพวกผู้ก่อการร้ายคือต้องการทำร้ายชาวอเมริกัน แต่คนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นไม่ใช่ชาวอเมริกันทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว เราพูดกันว่าจะกลับมาอีกเพราะไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา จะกลับมาถ่ายรูปกัน ลูกสาวก็พูดกับข้าพเจ้าว่าเราคงต้องเสี่ยงอันตรายกันอีกครั้งนะเพราะไม่รู้ว่าวันที่เราจะมาจะมีผู้จะก่อการร้ายลอบวางระเบิดอีกหรือเปล่า ถ้าท่านจะถามว่ากลัวไหม ข้าพเจ้าคงตอบว่า “ไม่” เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของพระเจ้านั้นทรงฤทธิ์ ไม่ต้องไปไกลถึงเรื่องการก่อการร้ายหรอก เอาแค่การไปไหนมาไหนด้วยรถไฟใต้ดินก็พอ สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น เพราะในบางครั้งรถไฟแน่นมาก ต้องยึดเบียดกัน ถ้าจะคิดถึงเรื่องอันตรายก็มีรอบด้าน ผู้คนที่ใช้บริการบางคนก็สกปรก บางคนหน้าตาน่ากลัว บางคนส่งเสียงดัง ตรงข้ามกับคนส่งเสียงดังก็นั่งหลับอ้าปากแถมยังเอาสัมภาระวางไว้ข้างตัวเปลืองที่นั่งไปหนึ่งที่อีกต่างหาก ไม่น้อยที่ถือกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาด้วย ในนั้นมีระเบิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือบางทีเดินๆ อยู่ก็มีคนเดินมาชนอย่างแรงซึ่งมองดูเหมือนตั้งใจและไม่มีการขอโทษ ชีวิตประจำวันที่นี่ (หากออกจากบ้านไปไหนมาไหน) ก็จะเป็นเช่นนี้

ย้อนกลับมาเรื่องประเทศไทย ข้าพเจ้าอยากให้เรื่องเลวร้ายมันจบลงเสียที แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศสำหรับจัดการกับปัญหาใหญ่หลวงนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คืออธิษฐานทูลวิงวอนพระเมตตาจากพระเจ้า และมอบทุกเรื่องไว้กับพระองค์ พระเจ้าทรงให้ชีวิตมา ก็จงมอบชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดำเนินกับพระองค์วันต่อวัน ชีวิตในโลกนี้มักเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วงต่างๆ มีอะไรมากมายที่เป็นปัญหากวนใจ ทำให้กลัว ทำให้เจ็บปวด เราไม่อาจหลีกหนีความเจ็บป่วย ความผิดหวัง ความกดดันด้านอารมณ์ และความเสียใจ ให้เราเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า ทูลวิงวอนต่อพระองค์ และให้พระองค์ทรงครอบครองชีวิตของเรา ละความกลัวและความกระวนกระวายใจไว้กับพระองค์

พระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเช่นเดียวกับเหตุการณ์สำคัญๆ ในมัทธิว 10:29-30 พระเยซูตรัสว่า “นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินไม่ได้ ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น”

พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้พ้นจาก “หุบเขาเงามัจจุราช” บางครั้งพระหัตถ์นั้นอาจนำเราเข้าไปเฉียดหุบเขาแห่งความตายนั้น แต่ก็ทรงนำเรากลับออกมาได้ แล้วพระหัตถ์นั้นก็จะทรงพาเราผ่าน “หุบเขาเงามัจจุราช” ไปสู่ “ชีวิตนิรันดร์” เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระหัถต์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เราจะไม่กังวลกับสารพันสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เมื่อเราคิดคำนึงถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าทำให้เกิดความกล้าในการกระทำสิ่งต่างๆ มันทำให้ความหวาดกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการถูกทำร้ายหมดไป มันทำให้เกิดความมั่นใจและไม่กลัวในการดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้


สิธยา คูหาเสน่ห์

21/6/53

เชื่อเท่านั้น

มีการกล่าวถึงการทดสอบกำลังด้วยเครื่องวัดพลังงาน ( dynamometer) คนที่ต้องการทดสอบกำลังของตนต้องบีบเครื่องนี้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อบีบแล้วจะมีการวัดและจดบันทึกไว้ หลังจากนั้นคนนั้นก็จะถูกสะกดจิตและถูกบอกกล่าวว่าเขาแข็งแรงมาก เมื่อคนๆ นั้นถูกขอให้บีบเครื่องวัดอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาทำได้ดีกว่าเดิม 40% แท้จริงแล้วกำลังของเขาไม่ได้มีเพิ่มขึ้นเลย แต่ความสามารถในการใช้กำลังต่างหากที่ดีขึ้น

การสะกดจิตก็ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ทำได้ดีขึ้้น แต่มันคือความเชื่อว่าทำได้นั่นเอง เมื่อเราถูกทำให้เชื่อว่าเราแข็งแรงกว่าเดิม เราก็จะตอบสนองตามนั้น มันมีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่เราทำในช่วงชีวิตของเรานั้นอยู่ภายใต้อำนาจการสะกดจิตตัวเองที่เชื่อตามคำบอกเล่าจากผู้อื่นและรวมถึงสิ่งที่เราพร่ำบอกตัวเองด้วย และเราก็ “เชื่อ” ตามนั้น

สิ่งที่้้้เราจำเป็นต้องทำคือการฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราในพระคัมภีร์ เชื่อ และทำตาม พระเยซูตรัสว่า “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” (มาระโก 9:23) และอัครทูตเปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4:13) หมายถึงทุกสิ่งที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงเรียกให้เราทำในสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงเตรียมเราให้พร้อมที่จะทำ (ข้าพเจ้าได้รับประสบการณ์ตรงจากการแปลหนังสือมานับสิบปี) พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายให้เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในการทำงาน และให้สัตย์ซื่อในการเป็นผู้อารักษาสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ด้วย เช่น เวลา ความสามารถ และเงินทอง เป็นต้น

ขอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อย อย่างที่ท่านทั้งหลายคงจะทราบอยู่บ้างว่าการแปลหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ส่วนตัวข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหากไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงเตรียมข้าพเจ้าสำหรับงานรับใช้ด้านนี้แล้ว ด้วยกำลังของข้าพเจ้าเองคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ก่อนที่จะทำงานด้านนี้ก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่างานแปลจะใช้พลังงานมากมายเช่นนี้ แรกๆ รู้สึกลำบากมาก แต่เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็เหมือนอยู่ตัว แต่ตระหนักอยู่เสมอว่าสติปัญญาทั้งมวลมาจากพระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าถ่อมใจลงยอมให้พระองค์ทรงใช้ เมื่อต้องแปลหนังสือเล่มใดก็ตาม พระองค์จะทรงประทานสติปัญญามาให้เพื่อทำให้สำเร็จทุกครั้งไป และในการแปลหนังสือแต่ละเล่มก็ได้รับประสบการณ์กับพระเจ้ามากมาย ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่คิด แต่กลับเป็นพระพรมากมายเหลือเกิน เมื่อข้าพเจ้าเชื่อว่าสามารถทำได้ ข้าพเจ้าก็ทำได้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหนังสือทุกเล่มที่มาถึงมือข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงใช้ พระองค์จะทรงเตรียมข้าพเจ้าให้พร้อมด้วย

ข้าพเจ้าจึงอยากจะหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อท่านคิดว่ายังขาดสติปัญญาความสามารถในการทำสิ่งใด ขอให้ทูลขอจากพระเจ้า แล้วเชื่อว่าได้รับตามที่ขอ แล้วท่านจะทำได้ อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าการเชื่อว่าทำได้สามารถช่วยให้เราทำให้สำเร็จได้

การมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคริสเตียน พระองค์ทรงมีวิธีการที่ลึกล้ำเกินความเข้าใจของมนุษย์จริงๆ สิ่งใดที่เป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในสายตามนุษย์ เมื่อเราวางใจและเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สำเร็จได้ สิ่งนั้นก็จะสำเร็จ ไม่ต้องกลัว ทูลขอสิ่งนั้น แล้วพระองค์จะทรงประทานให้ แต่ถ้าไม่ได้ตามที่ขอ ท่านอาจขอผิด (ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน.. ยากอบ 4:3)

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/4/53

อีสเตอร์อีกครั้ง

อีกโอกาสหนึ่งที่คริสตชนจะคิดและไตร่ตรองถึงความรักใหญ่ยิ่งหาที่เปรียบมิได้ของพระเจ้าก็เวียนมาถึงในเดือนเมษายน นั่นคือ การเฉลิมฉลองวันคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ น่าเสียดายที่บางคนให้ความสำคัญต่อวันคริสตมาสมากกว่า ข้าพเจ้าคิดว่าอาจเป็นเพราะการเฉลิมฉลองที่น่ารื่นเริงสำหรับเทศกาลนั้นก็เป็นได้ แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าการคืนพระชนม์หรือวันอีสเตอร์น่าจะมีความสำคัญต่อฝ่ายวิญญาณของเรามากกว่า เพราะนั่นเป็นการยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ทรงมีชัยเหนือความตาย การคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นการแสดงถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งทุกคนที่เชื่อจะได้รับ และยังเป็นการชี้บ่งถึงความเป็นจริงของพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำและทรงสั่งสอนในช่วงสามปีแห่งพันธกิจของพระองค์บนโลก ถ้าพระเยซูคริสต์มิได้สิ้นพระชนม์บนกางเขน ถ้าพระองค์มิได้คืนพระชนม์ พระองค์ก็จะทรงถูกนับว่าเป็นเพียงอาจารย์สอนศาสนาคนหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น การคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นการพิสูจน์ที่แย้งไม่ได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระองค์ทรงมีชัยเหนือความตายอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ อีสเตอร์จึงเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุด
ผู้เชื่อจะได้รับชีวิตใหม่หลังจากที่ตายจากโลกนี้แล้ว การเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์เป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อนี้แหละ 
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากจึงเห็นสมควรที่จะแบ่งปันไว้ ณ ที่นี้
สามีคนหนึ่งเล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องราวที่คุณพ่อเล่าให้ฟังเมื่อเขาอายุแปดปีว่า วันหนึ่งเมื่อไปตกปลากับคุณพ่อก็ได้ยินเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับต้นสน คุณพ่อเล่าให้เขาฟังว่าต้นสนรู้ว่าเมื่อใดเป็นเทศกาลอีสเตอร์ ภรรยาก็งงกับคำพูดของสามี จึงเร่งเร้าให้เขาเล่าต่อ
สามีเล่าต่อว่าคุณพ่อบอกเขาว่าต้นสนเริ่มแตกยอดก่อนวันอีสเตอร์หลายสัปดาห์ ถ้าดูยอดต้นสนสองสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ก็จะเห็นยอดอ่อนสีเหลือง เมื่อเข้าใกล้วันอีสเตอร์ ยอดที่สูงที่สุดจะแตกออกเป็นรูปกางเขน เมื่อถึงวันอาทิตย์ที่เป็นการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ ก็จะเห็นต้นสนส่วนใหญ่มียอดอ่อนเป็นรูปกางเขนบนยอดที่สูงที่สุดของมัน 
ต้นสนพร้อมที่จะเฉลิมฉลองวันคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านล่ะพร้อมหรือยัง

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/2/53

พลังแห่งรัก

เดือนกุมภาพันธุ์เวียนมาถึงอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ก็เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลว่าเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก ข้าพเจ้าก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าทำไมนะคนเราจึงจำกัดเวลาที่จะบอกรักกันน้อย เหลือเกิน แต่ในทางกลับกันอยากให้พระเจ้ารักเรามากๆ กระแสโลกก็เป็นแบบนี้แหละ มนุษย์มักอยู่กับความขัดแย้งในหลายๆ ด้าน

ความรักมีพลังยิ่งใหญ่ ความรักเป็นการงานของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ความรักเป็นหนึ่งในเก้าของผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22) แท้จริงเป็นผลแรกที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ทีเดียวไม่เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น ที่เชื่อในพลังแห่งรัก แม้แต่ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องพระเจ้าได้ก็ ยังยอมรับว่าพลังยิ่งใหญ่ของความรักสามารถเปลี่ยนชีวิตได้หากถูกนำมาใช้ใน ทางที่ถูกที่ควร

ความรักมีผลกับคนทั้งโลก ด้วยพลังยิ่งใหญ่แห่งรักนี่แหละที่ทำให้มีชัยเหนือมนุษย์ ชนชาติ และศาสนา รักเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารกันได้ทั่วโลกอย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับของ คนทุกระดับชั้น

ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์จึงมีข้อพระวจนะที่เน้นว่าให้รักพระเจ้า ให้รักกันและกัน และให้รักตัวเอง บางคนอาจมีคำถามในใจว่าก็ในเมื่อรักมีพลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงยังมีสงคราม ความเป็นปรปักษ์ อาชญากรรม และความโหดร้ายป่าเถื่อนให้เห็นกันเป็นประจำวันเล่า ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงบอกเราว่าในยุคสุดท้ายความรักของคนจำนวนมากจะเยือก เย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป (มธ. 24:12 ฉบับมาตรฐาน 2002) ซึ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่ในฐานะคริสเตียน เราทั้งหลายรู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเลวทรามทั้งมวลก็คือการที่ มนุษย์ไม่สามารถรักกันในแบบที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เป็นไป เนื่องจากมนุษย์ได้จมปลักอยู่ในความบาปและด้วยธรรมชาติบาปของเราอันเป็นผล สืบเนื่องมาจากการกระทำของอาดัมและเอวาในสวนเอเดน ด้วยเหตุผลนี้เองที่พระบิดาทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนคนบาป ทั้งปวงเพื่อไถ่คนเหล่านั้นซึ่งเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าให้กลับไปสู่พระ สิรินั้น

แม้แต่ความรักของผู้เชื่อเองก็มีอย่างกระพร่องกระแพร่งเต็มที วิธีที่จะให้ความรักเต็มล้นก็ทำได้ง่ายๆ แค่เรียนรู้ที่จะดึงความรักมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง และวิธีที่จะเข้าถึงความรักอันบริบูรณ์ของพระวิญญาณก็คือความเต็มใจที่รับ การชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นเหมือนพระเยซู คริสต์พระบุตรของพระองค์

มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ไม่มีทางลัดที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง มันต้องเริ่มต้นเมื่อความรักของพระเจ้าเริ่มต้นหลั่งไหลเข้าไปสู่บุคลิก ลักษณะของเราและทำให้เราเริ่มรู้จักที่จะรักพระเจ้า รักตัวเอง และรักผู้อื่นมากพอถึงขนาดที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของ เรา
ความรักจะเป็นความรักได้ก็ต่อเมื่อมีการแสดงออก พระคัมภีร์บอกเราว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” (1 ยอห์น 3:18 ฉบับมาตรฐาน 2002) จุดมุ่งหมายของความรักใน 1 โครินธ์ 13 ไม่ใช่การวิเคราะห์เชิงเทคนิคของความรัก แต่เป็นการทำให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนาดพอคำที่ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ และอาจนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้จริง

ถ้าเช่นนั้น ท่านล่ะ ใช้ความรักของท่านแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว มีการแสดงออกที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือเปล่า จริงๆ แล้วเมื่อความรักถูกหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น ผู้ให้ก็จะได้รับกลับคืนมาเท่านั้นหรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งที่เมื่อทำแล้วมีแต่ได้และได้เท่านั้น ไม่มีการขาดทุน แล้วเราจะหวงความรักไว้ทำไมกันนะ ให้ไปเถอะ ให้เยอะๆ หยิบยื่นให้แก่กันและกันเถอะ แบ่งปันกันแบบใจกว้างๆ ให้เยอะๆ
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อจะมีความรักอย่างเหลือเฟือที่จะ แบ่งปันให้แก่กันทุกเมื่อเชื่อวัน
และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้ (1 โครินธ์ 13:13 ฉบับมาตรฐาน 2002)

สิธยา คูหาเสน่ห์

29/12/52

ของประทานแห่งการให้อภัย

อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน ลูกา 6:37

ลองคิดดูสิว่ามีใครบ้างไหมที่ท่านจำเป็นต้องยกโทษให้

ท่าน ยังไม่ได้ยกโทษให้ใครบางคนหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นชีวิตของท่านจึงไม่มีความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยม ถ้าเช่นนั้น ทำไมไม่ให้พระเจ้าปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความทุกข์ยากนั้นเล่า ทูลขอให้พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่านสิ

การ ให้อภัยทรงอานุภาพ เมื่อท่านเลือกที่จะให้อภัยและยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อท่าน อะไรๆ ที่ถ่วงท่านอยู่ก็ถูกปลดเปลื้อง ความโกรธแค้น ความขุ่นข้องหมองใจ และความกลัวก็จะถูกยกออกไปจากใจด้วยความรักของพระเจ้า

การ ให้อภัยคือการปลดปล่อย การปล่อยวาง เป็นการให้อิสรภาพและการได้รับพระพรจากพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกหรือแม้กระทั่งความเชื่อวางใจ การให้อภัยก็คือการตัดสินใจที่จะปล่อยวางความทุกข์ในใจและมุมมองเรื่องความ ยุติธรรมของเราเองเท่านั้น

ท่าน จะให้วันนี้ของท่านเป็นวันดีที่จะรักใครสักคนไหมล่ะ ความรักนั้นจะสำแดงออกโดยการตกลงปลงใจที่จะให้อภัยและยกโทษคนๆ นั้นโดยไม่หวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง สำนึกผิด กลับใจ สารภาพผิด หรือ กล่าวคำขอบคุณ นี่แหละเป็นความรักที่เราทั้งหลายเห็นประจักษ์แล้วบนกางเขน มันเป็นความรักในแบบของพระเจ้า ความรักของท่านเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

ความรักพูดว่า “ฉันให้อภัยเธอแล้ว ฉันยกโทษให้”


ความ รักสำแดงตัวมันเองด้วยการให้อภัยคนที่ทำผิดก่อนที่คนนั้นจะยอมรับว่าทำผิด บาปโดยไม่คาดหวังว่าคนๆ นั้นจะกลับใจ ยอห์นเข้าใจถ่องแท้ความรักแบบนี้เมื่อกล่าวว่า “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19)

การให้อภัยหรือการยกโทษให้คนอื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ การ ให้อภัยหรือการยกโทษให้แก่กันเป็นการเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก การปล้ำสู้ในใจ เมื่อทำได้จะเป็นอิสระจากอารมณ์ด้านมืดที่เป็นเชิงทำลาย หากไม่ให้อภัยกัน คนที่แบกความเกลียดชังไว้ก็ยังคงแหวกว่ายร่ำไปอยู่ในทะเลแห่งความขมขื่น ความปวดร้าวใจ ความโกรธ

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างให้ฟังสักหน่อยว่าหากท่านยังถือโทษโกรธพี่น้องที่ทำผิดต่อเรา ผลจะเป็นอย่างไร

ครู คนหนึ่งสอนเด็กนักเรียนของเธอให้รู้จักการให้อภัยด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทุกคนนำถุงมาใบหนึ่ง และให้นักเรียนแต่ละคนเขียนชื่อคนที่ทำผิดหรือคนที่เขาเกลียดบนมันฝรั่งแล้ว ใส่ไว้ในถุง แน่นอนที่แต่ละคนย่อมมีมันฝรั่งไม่เท่ากัน และครูให้ทุกคนหิ้วถุงมันฝรั่งใบนั้นไปทุกที่ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อไปห้อง น้ำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่นานก็เริ่มมีเสียงบ่นเพราะมันฝรั่งเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็น ยิ่งกว่านั้นสำหรับบางคนที่มีมันฝรั่งมากก็ต้องหิ้วถุงที่หนักกว่าของคนอื่น

เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ครูก็ถามเด็กนักเรียนทุกคนว่า “รู้สึกยังไงบ้างคะที่ต้องหิ้วถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและเหม็นไปไหนมาไหนตลอดเวลานานหนึ่งสัปดาห์”

ทุกคนก็โอดครวญว่ามันทั้งหนักและเหม็น เมื่อถึงตอนนี้ครูก็อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมครูจึงให้นักเรียนทำเช่นนี้ ครูพูดว่า “การหิ้วถุงมันฝรั่งก็เหมือนกับการเก็บความเกลียดชังไว้ในใจ ความ เกลียดชังที่เก็บไว้ในใจจะทำให้ใจไม่บริสุทธิ์และมันจะเป็นน้ำหนักที่ถ่วง เราอยู่ตลอดเวลา ถ้านักเรียนทนกลิ่นเหม็นของมันฝรั่งไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว ก็ลองคิดดูสิว่าใจของเราจะเป็นมลทินมากเพียงใดที่มีทั้งสิ่งที่เน่าเหม็นน่า สะอิดสะเอียนเต็มไปหมดมาโดยตลอด”

สิ่ง ที่เราสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็คือให้ปล่อยวางสิ่งที่ถ่วงเราอยู่ สิ่งที่เป็นตัวขวางกั้นพระพรจากพระเจ้า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้า เชื่อว่าท่านทำได้ การให้อภัยเป็นท่าที่ที่ถูกต้องที่ควรจะมี เรียนรู้ที่รักคนที่ไม่น่ารักหรือคนที่เราไม่ชอบ จะแบกถุงหนักๆ ไว้ทำไม วางมันลง มิดีกว่าหรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

1/10/52

ปล่อยวางความแค้นเคืองใจ

ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเราอาจเกิดจากเรื่องเล็กน้อย เช่น คำพูดที่พูดออกไปโดยไม่คิด คำวิพากษ์วิจารณ์ การกล่าวหา ความเคืองใจ เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจที่นำไปสู่การแตกแยกแล้ว มันยากที่ประสานรอยร้าวให้กลับมาดีเหมือนเดิม

ทางแก้คือ การปล่อยวาง ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการฝึกปล่อยวางความแค้นเคืองใจเล็กๆ น้อยๆ แต่หากต้องการรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวแล่วล่ะก็ การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ การไม่ยอมให้มีความขมขื่นเกิดขึ้นทำคุณให้อย่างมาก

แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย ทว่าก็ไม่ยากเกินกว่าจะทำ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ อธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้าสิ แล้วท่านจะพบว่ามันเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ความแค้นเคืองใจเกาะกุมจิตใจของเราจนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีไป แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ยังดีกว่าที่จะไม่พยายามเสียเลย

เรื่องราวต่อไปนี้คงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้แง่คิดแก่ท่านได้ อ่านแล้วลองย่อย จากนั้นลองสำรวจดูว่า
ท่านมีความแค้นเคืองใจกับใครบ้างไหม ท่านปล่อยให้มันทำลายความสัมพันธ์มานานแค่ไหนแล้ว ถึงเวลาปล่อยวางหรือยัง

มีเรื่องเล่าว่าพ่อค้าคนหนึ่งมีลูกชายฝาแฝด ลูกทั้งสองคนช่วยธุรกิจในห้างสรรพสินค้าที่พ่อเป็นเจ้าของ เมื่อพ่อตาย ร้านนั้นก็ตกเป็นของลูกชายทั้งสอง

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งธนบัตรใบหนึ่งหายไป เพราะหนึ่งในพี่น้องฝาแฝดคู่นี้วางเงินนั้นไว้ที่เครื่องคิดเงินและเดินออกไปนอกร้านกับลูกค้าคนหนึ่ง เมื่อเขากลับมา ธนบัตรใบนั้นก็หายไปเสียแล้ว

เขาจึงถามคู่แฝดของเขาว่าเห็นเงินที่วางไว้ตรงเครื่องคิดเงินหรือไม่ แต่คู่แฝดของเขาตอบว่าไม่เห็น

แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดซักถาม เขาไม่ยอมปล่อยให้เรื่องผ่านไปแบบนี้ เขาพูดว่าเงินจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร และบอกว่าคู่แฝดของเขาต้องเห็นธนบัตรใบนั้นแน่นอน ในน้ำเสียงของเขาบอกเป็นนัยว่าคู่แฝดนั่นแหละเป็นคนเอาไป ตอนนี้ทั้งสองคนก็ตอบโต้กันด้วยอารมณ์ หลังจากนั้นก็เกิดความแค้นเคืองใจต่อกัน

ไม่นานนักความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ก็ร้าวฉานเกินเยียวยาและไม่พูดกัน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าคงทำงานร่วมกันไม่ได้แล้ว ดังนั้นร้านค้าแห่งนั้นจึงถูกแบ่งเป็นสองร้าน ความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นนานถึงยี่สิบปี ความขมขื่นก็มีมากขึ้นในใจของคนทั้งสองและมีผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชนในวงกว้าง

วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งขับรถยนต์มาจากอีกรัฐหนึ่งมาแวะที่ร้าน เขาเดินเข้าไปในร้านและถามเสมียนประจำร้านว่าอยู่ร้านนี้มานานเท่าไรแล้ว และเมื่อได้รับคำตอบว่าเขาอยู่ที่ร้านนี้มาตลอดชีวิตของเขา เขาจึงเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเขานั่งรถไฟบรรทุกสัมภาระมาที่เมืองนี้ เขาไม่ได้รับประทานอาหารมาสามวันแล้ว และเข้ามาที่ร้านนี้ทางประตูหลังและเห็นธนบัตรใบหนึ่งวางอยู่ที่เครื่องคิดเงิน เขาจึงหยิบมันไป เขาพยายามลืมเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้ว่ามันเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขาต้องกลับมาเพื่อขอการอภัยสำหรับความผิดของเขา

แขกแปลกหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนที่เขาพูดด้วยมีน้ำตาเอ่อคลอตา และบอกว่าให้ไปเล่าเรื่องราวเดียวกันนี้กับชายในร้านที่อยู่ติดกัน เมื่อเขาทำตามคำขอ ความประหลาดใจของเขาก็เพิ่มทวีขึ้นเมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาคล้ายกันมากสองคนกอดกันและร้องไห้

ความร้าวฉานระหว่างพี่น้องคู่นี้ได้รับการแก้ไขเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบปี กำแพงที่แยกทั้งคู่ออกจากกันด้วยความแค้นเคืองใจถูกทำลายลงแล้ว


น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลานานถึงยี่สิบปีสำหรับการคืนดีกัน แต่ก็ยังดีกว่าที่จะแค้นเคืองกันจนตายจากกัน มิใช่หรือ

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/8/52

รากเหง้าความขมขื่น

พระธรรมฮีบรูบอกให้ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ ท่านคงไม่คัดค้านถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่าความขมขื่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถ่วงชีวิตของเราอยู่ ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นหลายคนทนทุกข์ทรมานอยู่กับความขมขื่นในอดีต ไม่น้อยที่ปฏิเสธความบาป แต่ยอมพ่ายแพ้ต่อความขมขื่น อยากจะบอกว่าความขมขื่นก็ทำลายชีวิตได้ไม่แพ้ความบาปทีเดียว อย่าปล่อยให้รากเหง้าแห่งความขมขื่นทำลายชีวิตซึ่งอาจนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อได้

ความขมขื่นเป็นเสมือนสถานีวิทยุกระจายเสียง มันจะส่งผลกระทบในวงกว้างถึงคนที่อยู่รอบข้าง อย่ายอมให้ตัวเองเป็นสื่อส่งต่อความขมขื่น อย่ายอมให้มันถ่วงชีวิตของเราให้ตกต่ำลง อย่าเปิดโอกาสให้มันย่องเข้ามาขโมยความชื่นชมยินดีไปจากชีวิตของเรา อย่าเปิดช่องให้มารเข้ามาควบคุมชีวิตของเรา

ความขมขื่นเป็นเหมือนพิษที่ทำร้ายจิตวิญญาณ ตัวทำลายความสมบูรณ์ของร่างกาย ตัวบีบคั้นจิตใจ ดังนั้น อย่าปล่อยให้มีรากขมขื่น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความขมขื่นหยั่งรากลงในใจแล้ว มันจะมีแรงถ่วงมหาศาล ความขมขื่นที่ถูกเพาะไว้จนเติบใหญ่และหยั่งรากลงแล้วก็เหมือนกับการพยายามว่ายน้ำโดยมีหินก้อนใหญ่หนักมหาศาลถ่วงตัวไว้ นอกจากจะว่ายไม่ได้แล้วยังอาจทำให้รู้สึกเจ็บด้วย เช่นเดียวกัน เมื่อมีความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกในใจแล้ว เราก็จะกลายเป็นนักโทษของมันทันที การดำเนินชีวิตต่อไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้และยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจอีกด้วย จากนั้นพระคุณของพระเจ้าก็จะไม่มีผลกับชีวิตของเราอีกต่อไปเพราะมองไม่เห็นพระคุณนั้น เราจะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้และตายฝ่ายวิญญาณ

ถ้าอยากจะรู้ว่าความขมขื่นที่หยั่งรากลงในใจแล้วมีอำนาจทำลายมากเพียงใดก็ให้ดูต้นไม้ใหญ่สักต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่นั้นก็คือความขมขื่นที่หยั่งรากลงลึกแล้ว แทนที่เราจะมองดูที่พระเจ้า เรากลับสงสัยความประเสริฐของพระองค์ และปล่อยให้ขยะชีวิตค่อยๆ กลายเป็นความขมขื่นและทำให้ความเชื่อของเราแคะแกรนไม่เติบโต และนานวันเข้าความเชื่อของเราก็อาจหดหายตายจากไป เราสามารถเลือกวิธีที่จะตอบสนองสถานการณ์ที่เจ็บปวดได้ เราสามารถเลือกที่จะอยู่ภายใต้แรงถ่วงของความขมขื่น หรือเราจะกำจัดความขมขื่นให้หมดไปอย่างถอนรากถอนโคนด้วยความรักของพระเจ้า เมื่อความขมขื่นมีบทบาทอยู่ในชีวิตของเรานั้นเราก็จะไม่สามารถสัมผัสกับการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าได้

ความขมขื่นก็คือการไม่ยอมให้อภัยกัน และความขมขื่นที่เกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความตายฝ่ายวิญญาณและความเจ็บปวดรวดร้าว พระเจ้าทรงมีฤทธิ์เดชที่จะปลดปล่อยทุกคนให้หลุดพ้นจากผลร้ายอันเกิดจากความขมขื่นได้ พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงจัดเตรียมทางไว้ให้แก่เราแล้ว เพื่อให้เราทั้งหลายซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ได้รับปลดปล่อยจากรากเหง้าแห่งความขมขื่น ให้เราเข้าอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ที่จะนำพาเราไปในทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้โดยอย่าเพาะความขมขื่นให้เติบโตและหยั่งรากลงลึกเป็นอันขาด

ท่านล่ะ ลองสำรวจดูสิว่ามีความขมขื่นอะไรบ้างไหม แล้วท่านจะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกาะกินจิตใจของท่านอยู่

สิธยา คูหาเสน่ห์

31/7/52

ยานพาหนะแห่งความเชื่อ

ถ้าท่านกำลังสงสัยว่าความเชื่อคืออะไรอยู่ล่ะก็ ท่านสามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้จากพระธรรมฮีบรู 11:1 ที่เขียนไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง”

คำตอบดังกล่าวเป็นนามธรรม สำหรับบางคนต้องการข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถจับต้องได้ ที่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่ในอีกด้านหนึ่งเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น (2 โครินธ์ 5:7) สำหรับคนที่ปล้ำสู้ที่จะเชื่อด้วยใจว่าสามารถได้สิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้น ขอให้ตัดสินใจยุติการปล้ำสู้นั้นและก้าวออกมาจากความสงสัยและเชื่อเถิด เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ (ฮีบรู 11:6)

ไม่ว่าท่านมีความจำเป็นในด้านใดบ้าง ขอให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยท่านในความจำเป็นด้านนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สุขภาพ ครอบครัว หรือด้านอื่นๆ ขอให้วางใจพระเจ้าที่ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ว่าจะนำสิ่งดียอดเยี่ยมมาให้แก่ท่าน

เมื่อท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งต่างๆ ขอให้แน่ใจในสิ่งที่ท่านขอ และให้ขออย่างเจาะจง ยิ่งท่านขออย่างเจาะจงและด้วยใจกล้ามากเท่าใด ท่านก็จะอธิษฐานอย่างเกิดผลมากเท่านั้น ขอให้แน่ใจว่าท่านไม่ได้ขอสิ่งที่ไร้สาระหรือไม่เหมาะสม แต่เป็นสิ่งที่ไม่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของท่าน

อย่าสงสัย แต่จงเชื่อ เมื่อท่านปักใจอธิษฐานขอความเชื่อมากขึ้นและเชื่อในสิ่งที่ตามองไม่เห็น พระเจ้าจะทรงทำการอัศจรรย์ในชีวิตของท่าน ผู้เชื่อทุกคนควรใช้ความเชื่อเพื่อเข้าถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้สำหรับเขา ขอให้ขับยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านและยอมให้มันพาไปสู่พระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้า

ยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่านจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของท่าน อย่าปล่อยให้ความสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้ามาเป็นอุปสรรคในการสร้างยานพาหนะแห่งความเชื่อของท่าน และอย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความไม่ความแน่ใจมาเป็นเครื่องกีดขวางบนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ท่านดำเนินกับพระเจ้า พระเจ้าทรงสัจจะเสมอ ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว่ว่า …พระองค์…ทรงเป็นผู้สัตย์ธรรมในพระดำรัสทั้งหลายของพระองค์…(โรม 3:4)

ขอให้จำไว้ว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าไม่เคยนำท่านไปในที่ที่พระคุณของพระเจ้าจะไม่คุ้มครองท่านเป็นอันขาด ขอให้เชื่อมั่นเช่นนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์

29/6/52

ชายแก่ผมยุ่ง

เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งได้ประพันธ์ไว้เพื่อเตือนให้เรารู้ว่าพระเจ้าอาจเรียกใช้เราได้ทุกเมื่อ

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งรอขึ้นเครื่องบินอยู่ที่ทางออกในสนามบิน เธอนั่งรวมอยู่กับคนอื่นๆ ที่จะเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกัน เธอหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาและกำลังจะเปิดออกอ่าน ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกราวกับว่าผู้คนที่นั่งอยู่รอบตัวเธอหันมามองเธอ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกำลังมองไปทางด้าน หลังของเธอ

เธอจึงเหลียวหลังไปดูว่าพวกเขากำลังมองดูอะไร แล้วเธอก็เห็นพนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่งกำลังเข็นเก้าอี้รถเข็น ที่มีชายแก่ผมยุ่งหน้าตาหน้าเกลียดคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอคิดว่าคุณลุงคนนี้เป็นคนที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ผมสีขาวบนหัวของชายแก่คนนี้พันกันยุ่ง ใบหน้าเหี่ยวย่น และดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงสนใจชายแก่คนนี้และคิดตั้งแต่แรกที่เห็นว่าพระเจ้าทรง ต้องการให้เธอเป็นพยานกับเขา แต่ในใจของเธอก็มีเสียงพูดว่า “โอ พระเจ้า ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตรงนี้”

ต่อมาเธอไม่สามารถสลัดชายแก่คนนี้ออกไปจากความคิดของเธอ และทันใดนั้นเองเธอก็รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ทำอะไรกับชายแก่คนนี้ เธอน่าจะช่วยหวีผมให้เขานั่นเอง เธอเดินเข้าไปหาชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงข้างหน้าเขาและพูดว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่ตอบว่า “หนูพูดว่าอะไรนะ” เธอคิดว่า “โอ หูตึงเสียด้วย” เธอจึงพูดดังขึ้นว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “ถ้าจะพูดกับลุง หนูต้องพูดดังๆ หน่อย หูของลุงไม่ดี แทบไม่ยินแล้ว”

ดังนั้น การพูดครั้งที่สามจึงเกือบเป็นเสียงตะโกนด้วยประโยคเดิมว่า “คุณลุงคะ ให้หนูได้รับเกียรติช่วยแปรงผมให้คุณลุงดีไหมคะ” ทุกคนกำลังใจจดจ่อว่าชายแก่จะตอบว่าอะไร เขามองดูหญิงสาวอย่างงงๆ และพูดว่า “ก็ได้ ถ้าหนูอยากทำจริงๆ” หญิงสาวตอบว่า “แต่หนูไม่มีแปรงผมสักอันเลยค่ะ ถึงอย่างงั้นก็ยังอยากช่วยอยู่ดี” ชายแก่จึงบอกแก่หญิงสาวว่า “ดูในกระเป๋าที่แขวนอยู่สิ มีแปรงผมอยู่อันหนึ่งในนั้น”

เธอจึงหยิบแปรงผมออกจากกระเป๋าและเริ่มแปรงผมให้แก่เขา (เธอมีลูกสาวตัวน้อยไว้ผมยาวคนหนึ่ง เธอจึงมีประสบการณ์ในการแปรงผมที่พันกันยุ่งได้อย่างนุ่มนวล) เธอใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวในการแปรงผมของชายแก่คนนี้ที่พันกันยุ่งจนเรียบ ร้อย

เมื่อเธอแปรงผมเสร็จก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของชายแก่คนนั้น เธอจึงวางมือไว้บนเข่าทั้งสองข้างของชายแก่คนนั้นและคุกเข่าลงต่อหน้า เธอมองตาของเขาและพูดขึ้นว่า “คุณลุงคะ คุณลุงรู้จักพระเยซูไหมคะ” ชายแก่คนนั้นตอบว่า “รู้จัก สิ เจ้าสาวของลุงบอกว่าถ้าลุงไม่รู้จักพระเยซูก็แต่งงานกับเธอไม่ได้ ลุงจึงเรียนรู้เรื่องราวของพระเยซูและต้อนรับพระองค์นานหลายปีก่อนจะแต่งงาน กับเธอเสียด้วยซ้ำไป”

เขาเล่าต่อว่า “หนูรู้มั้ย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาภรรยาของลุง ลุงมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเสียนาน ลุงต้องรับการผ่าตัดในเมืองนี้ซึ่งไกลจากบ้านของลุงมาก ภรรยาของลุงมากับลุงไม่ได้เพราะร่างกายของเธออ่อนแรงเต็มทีแล้ว ลุงกังวลมากว่าผมของลุงจะไม่เรียบร้อย ลุงไม่อยากให้ภรรยาของลุงเห็นว่าผมของลุงพันกันยุ่ง แต่ลุงจนปัญญาที่จะทำด้วยตัวเอง”

น้ำตาไหลอาบแก้มที่เหี่ยวย่นของชายแก่คนนั้นขณะที่กล่าวคำขอบคุณหญิงสาวที่ช่วย แปรงผมให้ เขาขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวคนนั้นร้องไห้ ผู้คนที่อยู่ตรงบริเวณนั้นก็ร้องไห้ด้วย เมื่อทุกคนกำลังเดินไปขึ้นเครื่องบิน พนักงานหญิงต้อนรับบนเครื่องบินที่เป็นคนเข็นชายแก่คนนั้นซึ่งก็ร้องไห้ด้วย ถามหญิงสาวว่า “ทำไมคุณทำอย่างนั้นคะ”

นั่นเองที่ประตูแห่งโอกาสสำหรับแบ่งปันความรักของพระเจ้าถูกเปิดออก

เราคงไม่เข้าใจทางของพระเจ้าทุกครั้งไปหรอก เป็นไปไม่ได้ด้วยสติปัญญามนุษย์ แต่ขอให้เตรียมพร้อม พระองค์อาจใช้เราเพื่อสนองตอบความจำเป็นของใครบางคนเมื่อใดก็ได้ ดังที่เห็นได้จากตัวอย่างนี้ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของชายแก่คนหนึ่ง และในขณะเดียวกันก็สำแดงความรักของพระองค์ให้จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ยังหลง หายอยู่ได้ประจักษ์ผ่านหญิงสาวคนหนึ่งที่ไวต่อเสียงเรียกของพระเจ้าและยอม เป็นเครื่องมือที่สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

ท่านล่ะ พร้อมไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

4/6/52

การเกิดผลฝ่ายวิญญาณ

ข้าพเจ้าปลูกต้นไม้ไว้หลากหลายพันธุ์ เช้าวันใหม่ของข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกไว้ ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลานั้นเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างของข้าพเจ้า เวลาที่ใช้ในการรดน้ำต้นไม้แต่ละครั้งนานประมาณครึ่งชั่วโมง จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความชื่นชมยินดี การขอบพระคุณ และการทูลขอ บางครั้งข้าพเจ้าก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเท่าที่จำเนื้อเพลงได้ บางคราวก็อธิษฐานทูลขอสำหรับต้นไม้บางต้นที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในการเจริญ เติบโต และหลายโอกาสก็พูดคุยกับต้นไม้ต่างๆ ที่ปลูกไว้ มันเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ให้ทั้งความอิ่มตาและความอิ่มใจ อิ่ม ตาที่ได้เห็นความงามในมวลดอกไม้ที่เป็นพระหัตถกิจชิ้นเอกของพระเจ้า อิ่มใจที่ได้ติดสนิทกับพระผู้สร้างและได้สัมผัสกับความรักที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์


ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นต้องจากบ้านจึงมีห่วงอยู่สองเรื่อง หนึ่ง ต้นไม้ สอง สุนัข แต่ตอนนี้หมดไปหนึ่งห่วงแล้วเพราะเจ้าสุนัขเพื่อนยากที่เป็นส่วนหนึ่งของ ครอบครัวมานานเกือบ 12 ปี ลาจากไปแล้วอย่างกระทันหัน มันป่วยและหัวใจวายไปเฉยๆ ต่อหน้าต่อตาในห้องไอซียูที่โรงพยาบาล ก็เหลืออยู่ห่วงเดียวคือเหล่าต้นหมากรากไม้นานาพันธุ์นี่แหละ


อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าขณะที่รดน้ำต้นไม้ก็จะอธิษฐานสนทนากับพระเจ้าไปด้วย เหมือนกำลังคุยกับพ่อ ข้าพเจ้าแยกประสาทออกเป็นหลายส่วน ทั้งพูดคุย ทั้งชื่นชมความงามที่พระเจ้าทรงสร้างที่มองเห็นได้จากหลากสีสันของมวลไม้ดอก บางครั้งก็มีผีเสื้อสีสวยเป็นตัวประกอบเพิ่มสีสันให้ด้วย ทั้งขอบพระคุณสำหรับสิ่งทรงสร้างที่งดงามเหล่านี้ วันหนึ่งความแตกต่างของการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ปลูกลงดินกับที่ปลูกใน กระถางก็กระทบใจของข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ต้นไม้ลงดินซึ่งรากสามารถดูดธาตุอาหารในดินได้อย่างเต็มที่ย่อมเติบโตและผลิ ดอกออกผลมากกว่าต้นไม้ในกระถาง หรือต้นไม้ที่กินอาหารไม่อิ่มเพราะมีวัชพืชคอยแย่งอาหารของมัน นี่เองที่ทำให้เกิดมุมมองฝ่ายวิญญาณเรื่องการเติบโตฝ่ายวิญญาณและการเกิดผล ของพระวิญญาณ


การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณคือขบวนการที่ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น เมื่อเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเริ่มขบวนการที่จะทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่ง ขึ้น โดยทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์ (2 เปโตร 1:3-8 อธิบายการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณไว้เป็นอย่างดี ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า ด้วย เห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เราที่จะให้มีชีวิตและมีธรรม โดยรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ เพราะเหตุนี้เองท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยของประทานเหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูคริสต์ของเรา) พระเจ้าทรงต้องการให้เราเติบโตขึ้น ให้รู้ความจริงของพระองค์ทั้งหมด และเล่าความจริงนั้นด้วยใจรักในทุกเรื่อง พระบิดาในสวรรค์ทรงปรารถนาให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ ให้มีการแบ่งปันความรักและรับใช้อย่างถ่อมใจ การเติบโตฝ่ายวิญญาณมิได้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ การที่เราจะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้นั้นต้องมีการให้คำมั่นสัญญาว่าต้องการที่จะเติบโต ตกลงใจที่จะโต และเพียรพยายามที่จะเจริญเติบโตขึ้น


ต้นไม้เติบโตและผลิดอกออกผลจากธาตุอาหารและน้ำในดินที่หล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะเติบโตได้ก็ต้องมีอาหารไปหล่อเลี้ยงเช่นกัน อาหารฝ่ายวิญญาณก็คือพระคำของพระเจ้า เราจะได้อาหารไปหล่อเลี้ยงก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ซึ่งเป็นแหล่งอาหารฝ่าย วิญญาณของเรา อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายกายฉันใด พระคำของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น การศึกษาพระคำต้องทุ่มเทอย่างหนัก อย่ายอมให้มีสิ่งใดมาทำให้เราได้อาหารฝ่ายวิญญาณไม่เต็มที่ ขุดลึกเข้าไปให้ถึงแก่นแท้แห่งพระคำของพระเจ้าเหมือนดั่งต้นไม้ที่ใช้รากชอนไชหาน้ำและอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เมื่อเรารู้พระคำอย่างแท้จริง เราก็จะได้ทั้งน้ำแห่งชีวิตและอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอนที่สุด หากเราให้อาหารแก่ชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างเต็มที่เต็มขนาด ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราย่อมเติบโตและเกิดผลอย่างแน่นอน


ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน (กาลาเทีย 5: 22-23)


สิธยา คูหาเสน่ห์

6/5/52

โกหกตัวเอง

ท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าอะไรๆ ที่คนหนึ่งบอกว่าดี จริงๆ แล้วไม่ได้ดีจริงอย่างที่พูด อย่างเช่น “ฉันจริงใจจริงๆ นะ” “ฉันเป็นคนใจถ่อม” “ฉันเป็นคนซื่อตรง” “ฉันมีความสุขมากๆ” และอีกสารพัดสิ่งดีๆ
แท้จริงคงรู้ตัวว่าไม่เป็นจริงดังที่พูดจึงพยายามย้ำกับตัวเองและคนอื่นๆ (จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างถิ่นสรรเสริญ ไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง…สุภาษิต 27:2)

มันน่าแปลกที่พบว่าการโกหกตัวเองและการไม่ยอมรับความจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่เป็นเพียงการหลีกหนีความจริงที่เจ็บปวดเท่านั้นเอง

เราอาจโกหกตัวเองด้วยจิตใต้สำนึกของเรา เพราะสภาพความเป็นจริงนั้นทำให้เรากลัว วิตก กังวล เครียด เจ็บปวด เราโกหกเพราะเราอยากได้ยินสิ่งที่อยากได้ยิน เป็นการปฏิเสธความจริงที่น่าเจ็บปวด การล่อลวงใจให้โกหกมันน่าลิ้มลองจนยากต่อการปฏิเสธ จนในที่สุดเราก็ตกลงในหลุมพรางของมันและนับวันจะยิ่งถลำลึกลงๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น เรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่การเลี่ยงการรับมือกับมันในภายหลังไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือหมดปัญหาไปเลย แต่กลับทำให้เลวร้ายมากขึ้นต่างหาก

ทุกครั้งที่เราโกหกตัวเองเท่ากับเรายอมให้ความกลัวเข้าครอบงำ ถ้าเราทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ การโกหกของเราก็จะกลายเป็นนิสัย และไม่ช้าไม่นานความซื่อสัตย์ของเราก็จะค่อยๆ ลดลงจนถึงกับหมดไปทั้งหมด นอกจากนั้นการไม่ยอมรับมือกับความเป็นจริงก็จะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ อย่างที่เรารู้กันผลก็คือเหตุการณ์จะเลวร้ายเกินเยียวยา

ทำไมเราโกหกตัวเอง ทำไมเรายอมให้ตัวเองเป็นทั้งผู้หลอกลวงและเหยื่อของการหลอกลวง มันเป็นไปได้หรือที่เราจะหลอกแม้กระทั่งตัวเอง

เราอาจไม่รู้ว่าเราโกหกตัวเองไว้มากแค่ไหน การไม่ยอมรับความจริงนั้นทำได้ง่ายเพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเราโกหก เวลาโกหกตัวเอง เราไม่ได้พูดออกมาดังๆ และเราก็ไม่ต้องรายงานตัวต่อใครทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงทำได้ง่ายๆ (เราจึงโกหกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น)

เราโกหกตัวเองก็คือเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด โดยปกติเป็นการปกป้องการเคารพตนเอง มีความคิดบางอย่างที่ไม่เป็นที่ยอมรับของเรา ด้วยเหตุนั้นเราจึงไม่คิดมันให้รกสมอง เราก็ได้แต่หวังว่าไม่นานนักความเป็นจริงก็จะเปลี่ยนไปและคำโกหกก็จะหมดความหมายไปเอง ตัวอย่างเช่น เราอาจไม่ยอมรับว่าเราหดหู่ใจ ปลอบใจตัวเองว่าแล้วมันก็จะหายไปเองน่ะแหละ เราบอกตัวเองอย่างนั้น เราให้เหตุผลว่าถ้ามันหายไปจริงๆ คำโกหกของเราก็จะไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป และเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะรับมือกับความจริงที่เจ็บปวดได้ อย่างไรก็ดี มันไม่เคยเป็นความคิดที่ดีเลยสักนิดที่จะยอมทิ้งความซื่อสัตย์ และก็ไม่เคยเป็นมุมมองที่ถูกต้องเช่นกันที่จะปฏิเสธความจริง การโกหกผู้อื่นทำให้พวกเขาสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเราอย่างไร การโกหกตัวเองก็ประนีประนอมความเชื่อถือของเราเองอย่างนั้น เราจะไม่สามารถเข้าใจตัวเองและไม่อาจแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง

การโกหกตัวเองยังเกี่ยวโยงกับความรู้สึกผิดและการปกปิดความผิดอีกด้วย เหตุผลง่ายๆ คือเราไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นคนผิด การโกหกทำให้เราหลุดพ้นจากการถูกมองแบบนั้น เรายังปลอบใจตัวเองอีกว่าเราไม่ได้โยนความผิดให้ใครนะ เราไม่ได้พูดว่าคนนี้คนโน้นผิด คนคิดกันไปเองต่างหาก ที่โกหกก็เพื่อปกป้องตัวเองจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่โดยมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่จริง

เมื่อเรากล้าพอที่จะหยุดโกหกตัวเองและยอมรับความผิด ความบาป และปัญหาต่างๆ เราก็จะเป็นอิสระจากคำลวงที่พันธนาการเราอยู่ และมิใช่เพื่อทำให้ตัวเองตกต่ำลง แต่เป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากกับดักของการไม่ยอมรับความจริงที่ขุดหลุมพรางไว้ล่อให้ตกลงไปต่างหาก และเติบโตขึ้นเสียทีในความรักและพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะพบว่าความจริงใจและการยอมรับความจริงจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นอย่างประหลาดทั้งกับพระเจ้าและกับคนอื่นๆ เมื่อเราโกหก เราซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากาก (ตัวตนที่เราสร้างขึ้นใหม่) แต่หน้ากากสร้างความสัมพันธ์ไม่ได้ ตัวตนที่แท้จริงของเราเท่านั้นที่ทำได้ และพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เราซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเองและกับพระองค์ มันเป็นทางเดียวที่จะมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์

ถึงเวลาที่เราจะถอดหน้ากากออกหรือยัง หยุดคิดสักนิดว่าอะไรคือสาเหตุของสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วหาทางรับมือกับมันทันที และหลีกเลี่ยงที่จะยอมให้มีการคาดเดา การปฏิเสธความจริง การหลอกลวง หรือการข่มควมรู้สึก เราคงทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเราเอง อย่าทิ้งพระเจ้าไว้ที่ไหนสักแห่ง ร้องทูลต่อพระองค์สิ ร้องขอให้พระองค์ทรงช่วยกู้เราจากวังวนแห่งคำลวง ร้องทูลสิว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากริมฝีปากมุสา จากลิ้นที่หลอกลวง” (สดุดี 120:2) และระลึกถึงและเชื่อในสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์ในฟิลิปปี 4:13 ว่า ข้าพเจ้า (ฉัน) ผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์ในวันนี้ ขอทรงเสริมกำลังข้าพระองค์ให้ผจญทุกสิ่งได้ และขอทรงนำข้าพระองค์ให้เดินในทางที่ถูกและทำในสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ เอเมน


สิธยา คูหาเสน่ห์

2/4/52

‘คนนั้น’

ปัจจุบันชนชั้นที่ทำงานรับจ้างไม่ว่าจะในระดับใดก็ตามเผชิญความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ การเป็น ‘คนนั้น’

เช้าวันหนึ่งเมื่อไปถึงที่ทำงาน ชายคนหนึ่งก็ได้เป็น ‘คนนั้น’ เจ้าของกิจการบอกกับพนักงานทั้งหมดว่าเขาจำเป็นต้องปลดคนงานออกห้าคนเนื่องจากธุรกิจถดถอยซบเซาลงมาก ข่าวนี้ทำให้ชายคนนี้ (ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนที่ต้องถูกปลดจากงานนั่นแหละ) ถึงกับช๊อกทีเดียว เพราะเขากลายเป็นคนว่างงานไปอย่างกระทันหัน เขาคิดทันทีว่าต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อความอยู่รอด แต่ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่เขาหวังไว้แทบจะเป็นไปไม่ได้

ข้าพเจ้าคิดว่าอาการผวาที่จะเป็น ‘คนนั้น’ คงจะหลอกหลอนความรู้สึกของคนทำงานไม่น้อย แต่สำหรับผู้เชื่อแล้ว เราต้องวางใจพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะตอบสนองความจำเป็นของเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์ แต่ถ้าใครจะบอกว่าไม่มีความกังวลเลยก็คงจะไม่ได้พูดความจริง เราต้องเชื่อวางใจพระเจ้า แต่ในยามอับจนหนทางก็อาจจะมองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ วิธีเพิ่มความเชื่อทางเดียวที่แน่ๆ คือการถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้าสำหรับความจริงที่ว่า “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์…โรม 8:28” เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเรา และละความกระวนกระวายไว้กับพระองค์ (1 เปโตร 5:7)
นอกจากนั้นข้อพระวจนะในมัทธิว 6:33-34 ที่กล่าวว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” ยังพอเป็นแสงที่ส่องสว่างให้แก่เราได้ในวันที่ดูเหมือนมืดมิดและมีการปล้ำสู้เกิดขึ้น ขอให้มั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แล้วความกระวนกระวายใจก็จะหมดไป พระองค์ทรงรู้ความจำเป็นของเราทั้งหลายก่อนที่เราจะทูลขอจากพระองค์เสียอีก เมื่อเราวางใจพระเจ้า ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจของเราก็จะน้อยลง

แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็มีโอกาสรับรู้บรรยากาศที่ตึงเครียดดังกล่าวจากลูกทั้งสามคน ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีคนจากที่ทำงานของลูกต้องกลายเป็นคน ‘คนนั้น’ มันมีความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในหัวของข้าพเจ้า สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คืออธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะบอกลูกๆ ให้อธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปแล้วนั้นด้วย

สำหรับคนหนุ่มสาวที่จะต้องหางานทำใหม่ยังพอมีแสงเรืองรองอยู่บ้าง แต่สำหรับชายคนนั้นที่ต้องเล่นบทบาท ‘คนนั้น’ อย่างไม่เต็มใจดูเหมือนจะริบหรี่เต็มทน เขาอายุ 62 ปีแล้ว แต่เขาเป็นผู้เชื่อที่วางใจพระเจ้า ดังนั้น เขาจะไม่สิ้นหวังเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยเขา และรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

เพื่อนร่วมงานหลายคนของลูกสาวคนเล็กที่ทำงานอยู่ในองค์กรหนึ่งในสหรัฐอเมริกาถูกยัดเยียดบทบาท ‘คนนั้น’ ให้อย่างตั้งตัวไม่ติด ระลอกแรกลูกสาวบอกข้าพเจ้าว่าอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สัมผัสมือกับคนที่ต้องเดินจากไปแบบงงๆ เศร้าลึกๆ แต่ไม่กลัว หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายระลอกตามมา การถูกปลดจากงานในประเทศนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจเจอะเจอได้เป็นเรื่องธรรมดา วันหนึ่งมีคนถามลูกสาวและเพื่อนอีกสองคนว่า “ทำงานแถวดาวน์ทาวน์กันเหรอ เอ๊ะ ยังมีงานทำกันอยู่เหรอนี่” มันไม่ใช่การแดกดัน แต่เป็นความประหลาดใจมากกว่า เพราะย่านนั้นมีการปลดคนงานออกจำนวนมาก

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าทุกวันนี้หลายคนคงใช้เวลามากขึ้นในการคุกเข่าอธิษฐาน คำอธิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเห็นจะเป็นการทูลขอพระเจ้าว่าอย่าให้ต้องตกงานเลย นั่นเป็นการทูลของมนุษย์ (แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ …สุภาษิต 16:1ก) แต่พระเจ้าทรงมีคำตอบของพระองค์ (แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า … สุภาษิต 16:1ข) พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า … เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า (เยเรมีย์ 29:11, 13)

เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า “ฉันแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของฉันหรือยัง” ฉันเชื่ออย่างนี้หรือไม่ว่า “สิ่งสารพัดซึ่งฉันอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ฉันจะได้” (มัทธิว 21:22) “ฉันวางใจพระเจ้าแค่ไหน”
ให้เราอธิษฐานให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระทัยของพระองค์มิใช่ตามความปรารถนาของเรากันเถอะ
ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อ ‘คนนั้น’ ทุกคน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/3/52

เสียงหนึ่งที่ได้ยิน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่บอกว่าฉันเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เป็น ประกาศพระคำก็ไม่ได้ เมื่อมองดูพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีของประทานแล้ว ยิ่งเห็นว่าตัวเองใช้การไม่ได้จริงๆ

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตอกย้ำว่าฉันไม่ดีพอสำหรับพระเจ้าหรอก เสียงนั้นพูดซ้ำๆ ถึงความผิดต่างๆ ที่ฉันได้ทำ ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่จริง ความรู้สึกไร้ค่าติดตามฉันไปเมื่อฉันอธิษฐาน และทำให้ฉันแสงหาพระพักตร์ของพระเจ้ายากจริงๆ มันทำให้ฉันไม่สามารถสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่ตัดสินว่าฉันถูกลงโทษสำหรับทุกสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียนที่สมควรกับพระบุตรของพระเจ้า ฉันถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ฉันมองไม่เห็นแสงสว่างของพระเจ้าเพราะความรู้สึกที่ท่วมท้นเป็นเหมือนเมฆดำที่บดบังแสงนั้นจนมิด

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่เย้ยหยันว่าฉันจะพยายามต่อไปทำไมกันเล่า ก็พยายามมาอย่างหนักแล้วนี่นา มันก็ยังผิดอยู่ดี ไม่มีใครเข้าใจหรือซาบซึ้งกับสิ่งที่ฉันทำสักนิด แม้แต่คนที่เรียกกันว่า ‘คริสเตียน’ ยังไม่ยอมรับเลย

ฉันได้ยินเสียงหนึ่งที่พูดกับฉันชัดๆ ว่า ‘ลูกเอ๋ย จงฟังเรา พระบุตรของเราได้แบกรับบาปทั้งหมดของเจ้าไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังยอมตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเจ้า บัดนี้ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเจ้าเป็นลูกของเราแล้ว เจ้าสวมความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า’

‘เสียงกระซิบที่ตอกย้ำความผิดนั้นมาจากซาตานซึ่งจะคอยช่วงชิงสันติสุขไปจากเจ้า แต่เจ้าอย่าฟัง เพราะโดยพระคุณของเรา เจ้าจะถูกปลดปล่อย คำโกหก คำลวง คำเย้ยหยันของซาตานเป็นลูกดอกเพลิงที่มันยิงออกมา’

‘แต่เมื่อเจ้าใช้ความเชื่อเป็นโล่ เปลวเพลิงก็จะมอดดับลง พระบุตรของเรามีชัยชนะเหนือซาตาน มันหมดสิทธิอำนาจแล้ว เพราะพระเยซูทรงบดขยี้หัวของมันจนแหลกเมื่อชีวิตของเจ้าถูกซื้อไว้แล้วสำหรับเรา’

‘ซาตานอาจกล่าวโทษเจ้า แต่เราจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะแม้ขณะที่เราทำให้เจ้ารู้สำนึกความผิดบาป เราก็ยังรักเจ้าเช่นเดิม ซาตานจะทำให้เจ้าขาดความมั่นใจ หมดความชื่นบาน และไม่มีสันติสุขในเรา แต่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะเจ้ายอมให้มันมีอำนาจเหนือเจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะ ลูกเอ๋ย ฤทธิ์อำนาจและสิทธิอำนาจของพระบุตรอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ขอให้จดจำคำสัญญาต่างๆ ของเราให้ดี และยืนหยัดมั่นคงเพื่อเรา และโดยฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตที่หลั่งบนกางเขน เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นผู้ชนะ แต่เจ้าต้องปิดหูไม่ฟังเสียงของซาตาน แต่ฟังเสียงของเรา’


ท่านล่ะ …

ท่านเป็นคนหนึ่งที่เปิดหูได้ยินเสียงที่ตอกย้ำนั่นหรือเปล่า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าตลอดชีวิตการเป็นคริสเตียนที่ดำเนินกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคงเคยได้ยินเสียงกระซิบนั่นเป็นบางครั้งบางคราว ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อเสียงนั้นแว่วเข้าหูและดังก้องในใจ เราเชื่อตามนั้นหรือเปล่า

ท่านได้ยินเสียงกระซิบที่ตอกย้ำ กล่าวโทษ เย้ยหยันเสียงเดียวเท่านั้นหรือ แล้วอีกเสียงที่พูดชัดๆ ล่ะ เคยได้ยินบ้างไหม

สิธยา คูหาเสน่ห์

2/2/52

ความงามที่สัมผัสได้

มีคำกล่าวว่าความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง แต่ละคนย่อมเห็นแตกต่างกันไป สิ่งที่คนหนึ่งเห็นว่างาม อีกคนหนึ่งอาจเห็นว่าไม่ใช่ ที่พูดถึงนี้คือความงามที่มองเห็นเป็นรูปธรรมด้วยตา แต่ความงามมิได้เห็นได้ด้วยตาอย่างเดียว ความงามยังมีอีกมิติหนึ่งที่สัมผัสได้ด้วย

หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งผิดหวังกับชีวิตที่ไม่ได้ดำเนินไปตามที่คาดหวังไว้นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เธออยากอยู่ตามลำพังเพราะไม่พร้อมที่จะพบปะผู้คน แต่ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่เธอด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเล่นสนุกสนานกับเพื่อน เด็กคนนั้นยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนั้นและพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ดูสิครับว่าผมพบอะไร”

ในมือของเด็กน้อยมีดอกไม้เหี่ยวดอกหนึ่ง หญิงสาวอยากให้เด็กชายคนั้นไปเสีย แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป แทนที่เด็กชายคนนั้นจะเดินจากไปกลับนั่งลงข้างๆ เธอและยกดอกไม้ขึ้นดมและพูดว่า “หอมจังครับ และสวยด้วย ผมจึงเก็บมันมาไงครับ และผมขอมอบให้คุณครับ”

แต่ดอกไม้ที่เห็นตรงหน้าไม่สวยงามอย่างที่ว่า มันเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา ไร้สีสรร แต่เธอรู้ว่าต้องรับมันไว้ หาไม่แล้วเด็กชายคนนั้นจะไม่ยอมจากไปแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงยื่นมือเพื่อรับดอกไม้และพูดว่า “ฉันกำลังอยากได้อยู่พอดี” แต่แทนที่เด็กชายจะวางดอกไม้ไว้บนมือของเธอ เขากลับชูมันขึ้นกลางอากาศ นั่นเองที่ทำให้เธอรู้ว่าเด็กชายคนนั้นตาบอด เธอได้ยินเสียงตัวเองพูดกับเด็กน้อยอย่างสั่นเครือและน้ำตาไหลอาบแก้มว่า “ขอบใจมากจ้ะสำหรับดอกไม้ที่สวยที่สุดดอกนี้” เด็กชายยิ้มและพูดว่า “ยินดีครับ” แล้วก็วิ่งกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนี้ได้สร้างผลกระทบค่อนข้างมากไว้กับหญิงสาวคนนั้น

หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ที่นั่นต่อและสงสัยว่าเด็กชายตาบอดคนนั้นเห็นได้อย่างไรว่ามีหญิงสาวใจห่อเหี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นและต้องการให้ใครสักคนมาปลอบใจ บางทีเขาอาจมองเห็นด้วยใจ ในที่สุดเธอก็มองเห็นปัญหาของเธอผ่านเด็กชายตาบอดคนหนึ่งว่าเธอเองนั่นเองที่เป็นตัวปัญหา และตลอดเวลาที่ผ่านมาตาของเธอก็มืดบอดสนิท จนกระทั่งเวลานี้ที่เธอได้สติและตั้งใจว่าต่อไปจะมองความงามที่อยู่รอบตัวและเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่ผ่านไป เธอยกดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นขึ้นดมและสูดกลิ่นหอมของมัน ในความนึกคิดของเธอได้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบงาม และยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายคนนั้นกำลังจะทำให้ชีวิตของชายแก่คนหนึ่งเปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่เธอได้รับ

ความงามขึ้นอยู่กับผู้มอง ท่านคงเห็นด้วยและเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ กี่ครั้งที่เรามองไม่เห็นความงามของสิ่งทรงสร้างที่อยู่รอบตัวเราทั้งๆ ที่ตามองเห็น กี่หนที่เราปล่อยให้ความทุกข์ขโมยความชื่นชมยินดีของเราไป

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายมองให้เห็นพระพรในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน อยากให้ท่านเห็นความงามของสิ่งทรงสร้างด้วยประสาทสัมผัสเหมือนอย่างที่เด็กชายตาบอดตัวน้อยนั้น แม้ว่าตาของเขาจะบอดมองไม่เห็น แต่เขาสามารถเห็นความงามด้วยมิติที่ลึกเกินว่าที่คนตาดีจะเข้าใจได้ เมื่อมีปัญหารุมเร้า อย่ามัวไปครุ่นคิดถึงแต่ตัวปัญหา แต่ให้หันมามองตัวเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วคงจะย้อนเวลากลับไปแก้มันไม่ได้ แต่ที่อาจทำได้คือแก้ไขตัวเอง เชื่อพึ่งพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ แล้วท่านจะเห็นทางออก

สิธยา คูหาเสน่ห์

27/12/51

คำสัญญาของพ่อ

แผ่นดินไหว 8.2 ริคเตอร์ในปี 1989 แทบจะถล่มอาร์เมเนียจนราบและยังได้คร่าชีวิตคนไปกว่าสามหมื่นในชั่วระยะเวลาเพียง 4 นาที มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดรวดร้าว และความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นได้ โลกของคนมากมายถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและชีวิตมากหลายถูกทำลาย แต่หายนะเช่นนี้เองที่ทำให้เห็นส่วนดีๆ ในผู้คน อย่างน้อยก็มีหลืบให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจของแต่ละคน เรื่องที่จะแบ่งปันต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของพ่อคนหนึ่งที่มีหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อลูกชายของเขา

เขาวิ่งตรงไปที่โรงเรียนของลูกชายท่ามกลางความโกลาหลด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่เมื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะเห็นโรงเรียนกลับเห็นเศษหินเศษปูนกองโตอยู่ตรงหน้า ลองจินตนาการดูสิว่าอะไรที่โลดแล่นอยู่ในความคิดของเขาในขณะนั้น อะไรที่ผุดขึ้นในความคิดของท่านในขณะนี้ บางทีท่านอาจจะตกอยู่ในสภาวะช็อกเหมือนกับพ่อแม่อีกหลายๆ คนที่กำลังเดินหาลูกของตนพร้อมร้องเรียกชื่อของพวกเขา แต่สำหรับพ่อคนนี้ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าไม่อาจทำลายความหวังของเขาลงแม้แต่น้อย เขาวิ่งตรงไปยังบริเวณที่เป็นห้องเรียนของลูกชายและมองหาตรงที่เป็นที่นั่งของลูกชาย เขาเริ่มลงมือขุดเศษหินเศษปูนที่กองอยู่ตรงหน้า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น เขายังมีความหวังอะไรหลงเหลืออยู่อีกหรือ โอกาสที่ลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ยังมีอีกหรือ เขารู้แต่ว่าเขาได้สัญญากับลูกชายไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือ คำสัญญานี้เองที่ทำให้เขาขุดต่อไปเรื่อยๆ และยังมีความหวังว่าจะเห็นลูกชายของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้หวังดีพยายามดึงเขาออกไปในขณะที่เขาพยายามใช้มือขุดหาลูกชายและพูดกับเขาว่า “มันสายไปแล้วล่ะ ไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ได้หรอกในสภาพการณ์แบบนี้ คุณช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ กลับบ้านเถอะ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” หัวหน้าพนักงานดับเพลิงพยายามฉุดเขาออกไปและพูดว่า “มีไฟลุกและการระเบิดทั่วบริเวณนี้ คุณจะได้รับอันตราย กลับบ้านเถอะครับ” สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาพูดกับเขาว่า “คุณกำลังโกรธ ว้าวุ่นใจ แต่มันจบลงแล้ว กลับบ้านเสีย” แต่พ่อคนนี้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับลูกชายและเขาจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

ความรักที่มีต่อลูกชายของพ่อคนนี้ทำให้เขาสามารถขุดหาลูกชายนานถึงสามวัน…36 ชั่วโมง และในชั่วโมงที่ 38 เขาก็ยกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นและได้ยินเสียงลูกชายร้องขอความช่วยเหลือ เขาตะโกนเรียกชื่อของลูกชายทันที และเขาก็ได้ยินลูกชายเรียกเขา “คุณพ่อ! ผมบอกเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ว่าถ้าพ่อยังไม่ตาย พ่อจะมาช่วยผม พ่อสัญญากับผมไว้ พ่อบอกว่าพ่อจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ แล้วพ่อก็ทำตามสัญญาจริงๆ”
พ่อที่ไม่ยอมแพ้ คำสัญญาที่รักษาไว้ และหินที่ถูกกลิ้งออกไปช่วยกู้ชีวิตไว้ได้

เรื่องนี้นำเราย้อนกลับไปที่อีสเตอร์แรกเมื่อพระบิดาในสวรรค์ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ด้วยการกลิ้งหินที่มีนัยสำคัญยิ่งกว่าออกไป จากการที่หินก้อนนั้นถูกกลิ้งออกไปจึงทำให้เราทั้งหลายได้ชีวิตนิรันดร์และเสรีภาพในพระคริสต์ และพระบิดาของเรายังทรงกลิ้งหินอยู่แม้ในขณะนี้

อะไรบ้างที่เป็นหินในชีวิตของท่าน ไม่ว่าหินของท่านจะก้อนใหญ่หรือเล็กก็ตาม พระบิดาทรงกำลังมองหาท่านอยู่ พระองค์ทรงกำลังหาตัวท่านจากเศษหินเศษปูนกองโตและซากปรักหักพังในชีวิตของคนที่ไม่ได้อยู่เพื่อพระองค์ และพระองค์ทรงต้องการที่จะกลิ้งหินแห่งความสิ้นหวัง โขดหินแห่งการสำนึกผิด พันธนาการแห่งการผูกมัดออกไปจากชีวิตของท่าน ขอให้ท่านระลึกถึงหรือสำหรับบางคนค้นพบเป็นครั้งแรกว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาทั้งหมดของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักษาพระสัญญานั้นที่ทรงให้ไว้กับพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เมื่อสองพันปีมาแล้ว

กิจการ 13:37-38 “แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงให้เป็นขึ้นมานั้น มิได้ประสบความเน่าเปื่อยเลย เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่ท่านทั้งหลาย และโดยพระองค์นั้นทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง..”

เรียบเรียงจากบทความที่เขียนโดยมาร์ก แฮนเซน

สิธยา คูหาเสน่ห์