20/8/57

มอบแผนงานไว้กับพระเจ้า

จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
จงวางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน
สดุดึ 37:5

การวางแผนงานที่ไม่ให้พระเจ้ามีส่วนไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พึงทำ เพราะพระองค์อาจทรงไม่สถาปนาแผนงานนั้น เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงเลือกไว้ เราจะรู้ตัวได้เองว่าความไม่สำเร็จนั้นเกิดจากการที่เราวางแผนโดยไม่มีพระเจ้านั่นเอง บางครั้งเราพบว่าสิ่งที่เราได้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่หลังจากนั้นเราก็จะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า

เราควรให้พระเจ้าทรงนำหน้าในการดำเนินชีวิต เราควรระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำหน้าพระองค์ แต่บางคนอาจแย้งว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงหรือที่จะให้พระเจ้าทรงนำหน้าในทุกเรื่อง ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยหากเราติดสนิทกับพระเจ้า เราทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์ เราฟังพระสุรเสียงของพระองค์ บางคราวอาจเป็นความทุกข์ใจสักหน่อยที่พระเจ้าไม่ทรงประทานสิ่งที่เราอยากได้ บางครั้งเราอาจท้อใจว่าทำไมพระองค์ทรงให้เรารอนานเหลือเกินกว่าคำตอบจะมา ข้าพเจ้าขอบอกตามตรงว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ แต่ "ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:13) ขอให้เราระลึกถึงข้อพระวจนะนี้เมื่อเราต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เห็นความสำเร็จของแผนงานที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางหลายครั้ง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการไม่ย่อท้อต่อการอธิษฐานวิงวอนนั้นมีบำเหน็จที่แสนหวานรออยู่ แต่บางคนอาจไม่อดทนพอที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะได้ลิ้มรสบำเหน็จนั้น แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกในตอนนี้ว่าเมื่อเราผ่านการรอคอยที่ดูแสนเนิ่นนานและบางช่วงอาจมีคำถามผุดขึ้นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไปได้ เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงแสนดียอดเยี่ยม ทุกสิ่งที่ได้มาเป็นการอัศจรรย์ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง แต่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า และเป็นการคัดสรรและการจัดเตรียมของพระองค์ที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความยอดเยี่ยมดีเลิศเกินกว่าที่เราขอไว้แต่แรก เราจะได้ตามที่ขอและได้สิ่งที่ดีกว่านั้นอีกด้วยการมอบแผนงานและชีวิตของเราไว้กับพระเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ เพียงว่าเรา 'ยอม' หรือไม่เท่านั้นเอง

การเชื่อวางใจพระเจ้าเป็นสื่งที่ต้องมีการตัดสินใจ ถ้าเมื่อไรที่เราพบว่าไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้าและอาจถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เพราะเหตุใดพระองค์ทรงไม่จัดเตรียมและประทานสิ่งที่ขอ” เราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อวางใจเรา”

ข้าพเจ้าไม่อยากให้มีสักคนเดียวได้ยินพระดำรัสตอบแบบนั้น


สิธยา คูหาเสน่ห์




6/6/57

จงขอแล้วจะได้

เราเป็นเถา‍องุ่นแท้ และพระ‍บิดาของเราทรงเป็นผู้‍ดู‍แลรักษา แขนงทุกแขนงในเราที่ ไม่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออก‍ผล พระ‍องค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออก‍ผลมากขึ้น พวก‍ท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อย‍คำที่เรากล่าว กับท่าน จงติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับพวก‍ท่าน แขนงจะออก‍ผลเองไม่‍ได้ นอก‍จากจติด‍สนิทอยู่กับเถา พวก‍ท่านก็เช่น‍เดียว‍กันจะเกิด‍ผลไม่‍ได้นอก‍จากจะ ติด‍สนิทอยู่กับเรา เราเป็นเถา‍องุ่น พวก‍ท่านเป็นแขนง คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเรา ติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำ สิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำ ของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น พระ‍บิดาของเราทรงได้รับ‍พระ‍เกียรติเพราะ‍เหตุ‍นี้ คือเมื่อพวก‍ท่านเกิด‍ผลมากและ เป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 15:1-8)
พระวจนะตอนนี้มีพระสัญญาที่ไม่ธรรมดาของพระเจ้าอยู่ในนั้น "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น"
พระเยซูกำลังตรัสว่าเมื่อเราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น เหตุผลที่เราได้ตามที่ขอก็เพราะพระเจ้าทรงได้รับเกียรติโดยให้ตามที่ขอ ดังนั้น จงขอแล้วจะได้ นั่นเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
แต่พระสัญญาข้อนี้ของพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถาง และจะทำให้ผู้เชื่อเศร้าเสียใจ ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถางเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญา นั่นเป็นข้ออ้างของพวกเขา แต่ทำไมผู้เชื่อเศร้าเสียใจล่ะ เพราะพวกเขาขอแล้วไม่ได้ ผู้เชื่อบางคนเมื่อขอแล้วไม่ได้จึงทำให้ความเชื่อสั่นคลอน และหันคล้อยตามกับผู้ที่ไม่เชื่อและสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของพวกเขา
แต่ที่ว่า "ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น" มีบางสิ่งที่เล็ดลอดจากความสังเกตของเราไป บางคนอาจคิดว่าเมื่อขอก็ให้ขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า แต่พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนั้นในพระวจนะนี้ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า "ขอ" และ "พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้" และพระองค์จะประทานให้จริงๆ
"ถ้าพวก‍ท่านติด‍สนิทอยู่กับเราและถ้อย‍คำของเราติด‍สนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่ง‍ใดที่ท่านปรารถ‌นาก็จะได้สิ่ง‍นั้น”
เราซึ่งเป็น “แขนง” ต้องติดสนิทอยู่กับพระเยซูซึ่งทรงเป็น “กิ่ง” เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อเราขอสิ่งใดจากพระเจ้าก็จะได้สิ่งนั้นเพราะ
“คนที่ติด‍สนิทอยู่กับเราและเราติด‍สนิทอยู่กับเขา คน‍นั้นจะเกิด‍ผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวก‍ท่านจะทำสิ่ง‍ใดไม่‍ได้เลย”
ถ้าเราไม่ติดสนิทกับพระเยซู เราก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป และสุดท้ายก็จะถูกทำลาย “ถ้าใครไม่‍ได้ติด‍สนิทอยู่กับเรา คน‍นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยว‍แห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผา‍ไฟ”
การเกิดผลเป็นการเชื่อมโยงถึงการได้รับตามที่ขอ พระเจ้าทรงได้รับเกียรติเมื่อเราเกิดผล และเราเกิดผลเมื่อพระเจ้าทรงประทานสิ่งที่เราขอ
แต่บางคนที่ไม่ได้รับตามที่ขออาจกล่าวว่า “ฉันติดสนิทกับพระเจ้า ฉันขอบางสิ่งจากพระเจ้า แต่ฉันไม่เคยได้รับตามที่ขอเลย” นั่นอาจเป็นการกล่าวที่ใช้ไม่ได้ เมื่อคนหนึ่งปลูกต้นส้มวันนี้ คนนั้นคงไม่หวังว่าจะได้กินผลไม้นี้ในวันรุ่งขึ้นเลย มันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจนต้นส้มโตเต็มที่จึงจะผลิดอกออกผลได้ การที่ต้นส้มจะเติบโตได้ก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู เช่นเดียวกัน ผู้เชื่อก็ต้องใช้เวลาในการฟูมฟักให้ความเชื่อแข็งแรงและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อจึงจะได้รับสิ่งที่ขอด้วยความเชื่อและเกิดผลต่อไปได้
ดังนั้น ขอให้เรากลับไปทบทวนใหม่เมื่อเราขอแล้วไม่ได้ว่าเรามีความเชื่อมากพอที่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงตามพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าพระสัญญาข้อนี้เป็นจริง ข้าพเจ้าเห็นพระสัญญาข้อนี้เป็นจริงในชีวิตของข้าพเจ้าและลูกๆ หลายต่อหลายครั้ง และข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะได้เห็นอีกในเวลาข้างหน้า ขอพระเกียรติจงเป็นของพระเจ้า



สิธยา คูหาเสน่ห์

7/5/57

“รอ”

การรอเป็นเรื่องยาก ไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการรออะไรก็ตาม มันเป็นความล่าช้าที่เราอยากหลีกเลี่ยง เป็นความกังวลใจที่ร้อนรุ่มอยู่ในใจ เป็นภาระหนักที่ต้องแบกไว้ เป็นความทุกข์ใจที่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนคงเคยลิ้มรสแห่งการรอมาแล้วทั้งสิ้น แต่ทว่าการ “รอ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งความเชื่อของเรา
แต่ที่ข้าพเจ้าจะพูดในที่นี้ขอจำกัดวงให้แคบลงมาที่ รอ คำตอบจากพระเจ้า เมื่อเราอธิษฐานทูลขอบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า “จงขอแล้วจะได้” (มัทธิว 7:7พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) ข้าพเจ้าสามารถยืนยันจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นอยากหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อจะอธิษฐานทูลขอสิ่งใดก็ตาม ให้แน่ใจว่าเป็นที่สิ่งที่ท่านปรารถนาจะได้หรืออยากให้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะท่านจะได้สิ่งนั้นอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์
เมื่ออธิษฐานทูลขอ เราจะได้คำตอบสามแบบจากพระเจ้า คือ “ได้” “ไม่ได้” และ “รอ” สำหรับคำตอบแรกไม่ต้องมีคำอธิบาย คำตอบที่สองก็ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่อ่านว่า “ไม่ได้” เพราะพระองค์อาจหมายความถึงคำตอบที่สามก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์จะประทานสิ่งที่ดีกว่าที่ขอไปให้แก่เราก็เป็นได้ ฉะนั้น คำตอบที่สองและที่สามก็หลีกไม่พ้นการ “รอ” เพราะคำตอบจะมาในเวลาของพระองค์เท่านั้น มิใช่เวลาของเรา เวลาของพระเจ้ากับของมนุษย์มีกรอบที่ต่างกัน เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเสมอ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์เสมอ เราอาจมองว่าพระองค์ทรงปฏิเสธไม่สนองตอบคำอธิษฐานสำหรับคำตอบ “ไม่ได้” และ “รอ” แต่แม้ว่าจะเป็น “ไม่ได้” หรือ “รอ” ก็ยังเป็นคำตอบอยู่ดี แม้ว่าความเงียบของพระองค์อาจทำให้เรากระวนกระวายใจ ทนทุกข์ทรมาน เราอาจหมดกำลังใจสงสัยว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานหรือไม่ หรือเราอาจโกรธพระองค์เมื่อเห็นว่าผู้อื่นได้รับการอวยพรอย่างมากมายในสิ่งเดียวกับที่เราขอแล้วยังไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อได้อย่างไรในช่วงที่รอคำตอบจากพระองค์
พระเจ้าทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง เราเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งที่เราขอ ทำไมเราต้องรอ ทำไมเราได้ในสิ่งที่ไม่ได้ขอ ขอให้จำไว้ว่าสิ่งที่เราเห็นว่าดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา ขณะที่รอคำตอบจากพระองค์ ขอให้เราเชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายในการที่พระองค์ทรงล่าช้าในการตอบคำอธิษฐาน ขณะที่เรารอ พระเจ้าทรงกระทำการอยู่เบื้องหลังแทนเรา ให้เราอย่าย่อท้อในการรอเพราะเราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และในที่สุดเราก็จะรู้ว่าการรอที่ยาวนานและแสนทุกข์ทรมานนั้นคุ้มค่าจริงๆ
มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเรารอบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นจะหนีการบ่นไปไม่พ้น มันเป็นเรื่องยากที่เราจะพอใจกับชีวิตในช่วงแห่งการรอนั้น แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามีความพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า “อย่าท้อใจเลย วางใจพระเจ้าสิ” แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขหากเรากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
อย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราบ่นเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง แต่ให้เรารักษาความเชื่อไว้ อย่าขาดการนมัสการพระเจ้าเพราะการนมัสการเป็นการบ่งบอกถึงการยอมจำนนและการถ่อมใจ เพราะเมื่อเรานมัสการพระเจ้า ตัวเราจะพูดว่า “พระองค์ทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” การนมัสการนี่แหละที่จะเป็นแหล่งกำลังของเราในการที่จะอดทนรอต่อไป
เราต้องทูลขอต่อไปจนกว่าคำตอบจะมาถึง ยากอบ 4:2 บอกว่า “ท่านไม่‍มีเพราะไม่‍ได้ขอ” เราต้องไม่กลัวที่จะทูลขอต่อไป ทูลพระองค์ในสิ่งที่เราต้องการขณะที่กำลังรอ ยากอบยังบอกต่อไปว่าที่ไม่ได้เพราะเราขอผิด บางทีเราอาจขอในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัย ขอในสิ่งที่ผิด เราจึงต้องรอ ลองสำรวจดูว่าเราขอผิดหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังการทูลขอของเราอย่างแน่นอน
การท้าทายที่เราต้องเจอคือการเชื่อวางใจ สุภาษิต 3:5, 6 บอกว่า “จงวาง‍ใจในพระ‍ยาห์‌เวห์ด้วยสุด‍ใจของเจ้า และอย่าพึ่ง‍พาความรอบ‍รู้ของตน‍เอง จงยอม‍รับรู้พระ‍องค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระ‍องค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบ‍รื่น” “รอ” ด้วยความเชื่อวางใจ เป็นกุญแจสำคัญ


สิธยา คูหาเสน่ห์

8/2/57

การยึดติด-การปล่อยวาง

ข้าพเจ้าคิดว่าการปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดติดมานานแล้วสำหรับบางคนเป็นเรื่องยากมาก การปล่อยวางเป็นกระบวนการของการเรียนรู้อย่างหนึ่งซึ่งต้องอาศัยทั้งความตั้งใจและความตระหนักรู้ เราต้องเรียนรู้ที่จะถอยหลังมาและมองดูสิ่งที่เรายึดติดหรือกุมไว้ไม่ยอมปล่อย การถอยหลังออกมาจากสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรามองอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ถ้าเรายอมที่จะปล่อยวางสิ่งที่นำความเจ็บปวดมาให้จะช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น แต่แทนที่เราจะปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เราเครียด เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน เรากลับยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เรากอดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มีคนกล่าวไว้อย่างนี้ว่า “ถ้าเราปล่อยวางเพียงเล็กน้อย เราก็จะมีสันติสุขเพียงเล็กน้อย หากเราปล่อยวางมาก เราจะมีสันติสุขมาก” ข้าพเจ้าเห็นอย่างยิ่งด้วยกับคำกล่าวนี้
ท่านล่ะ เห็นด้วยหรือไม่
ท่านล่ะ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พร้อมที่จะปล่อยมือจากสิ่งที่กุมไว้หรือยัง

บางทีที่เราไม่ยอมปล่อยวางเพราะการยึดติดให้ความรู้สึกแห่งอัตลักษณ์ เราหวนนึกถึงความผิดพลาดในอดีตซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในห้วงอารมณ์ของความอับอายและความทุกข์ระทมใจและยอมให้ความรู้สึกนั้นเป็นตัวกำหนดการกระทำของเราในปัจจุบัน หรือพูดง่ายๆ ว่า ยอมให้อดีตกำหนดปัจจุบัน เราปล่อยให้ตัวเองกังวลเกี่ยวกับอนาคต เราทำให้ตัวเองเครียดและในที่สุดก็นำไปสู่ปัญหามากมายหลายด้าน

เรามักจะยึดสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตติดตัวอยู่ตลอดเวลา ให้สิ่งเหล่านั้นมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา เรายอมให้มันโลดแล่นอยู่ในหัวของเราเหมือนเปิดเทปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจดจำสิ่งต่างๆ ในอดีตทั้งที่ดีและไม่ดี ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน การยึดติดกับอดีตทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ยอมรับการท้าทายใหม่ๆ แม้ว่าการยอมรับสิ่งใหม่จะนำเราไปสู่ชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้าก็ตาม ในที่สุดเราก็ยอมที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล

ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง บางทีท่านอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ฟังอีกสักครั้งคงไม่เป็นไร

เรื่องเล่าว่าในอินเดียมีชายคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อมาจับลิงเอาไปขายให้แก่สวนสัตว์ แต่ลิงฉลาดเกินกว่าที่จะตกเป็นเหยื่อ มีเด็กชายคนหนึ่งยิ้มเยาะในความพยายามที่ล้มเหลวของชายคนนี้

ชายคนนั้นพูดกับเด็กคนนั้นว่า “ถ้าเจ้าสามารถจับลิงให้สักตัว ฉันจะให้เงินเจ้า” (เงินที่เสนอให้ค่อนข้างสูงทีเดียว)

เด็กชายกลับบ้านและเอาหม้อดินคอคอดมาใบหนึ่ง แล้วเอาถั่วใส่ลงไป 2-3 เม็ด เอาหม้อผูกไว้กับต้นไม้และบอกชายคนนั้นว่า “เราน่าจะจับลิงได้สักตัวในไม่ช้า ให้เราไปรอในหมู่บ้านกันเถอะ ลิงจะส่งเสียงบอกเราเองเมื่อมันติดกับที่เราวางไว้”

สักพักฝูงลิงก็พบหม้อดินที่มีถั่วอยู่ข้างใน ลิงตัวหนึ่งล้วงมือลงไปหยิบถั่ว แต่มันชักมือออกมาไม่ได้เพราะกำถั่วไว้ ลิงตกใจกลัวลนลานและเริ่มส่งเสียงร้องดังลั่น ลิงตัวอื่นกรูกันเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่อาจช่วยได้

เด็กชายและชายคนนั้นได้ยินเสียงลิงร้องจึงหยิบกระสอบมาเพื่อจับลิง เมื่อเข้าใกล้ฝูงลิงก็วิ่งหนีกระเจิงไปทิ้งตัวที่ติดอยู่ไว้ตามลำพัง เด็กชายก็เข้าไปจับลิงได้โดยง่ายดาย ชายคนนั้นจึงถามเคล็ดลับจากเด็กชายว่า “ทำไมลิงล้วงมือลงไปในหม้อได้อย่างง่ายดายแต่ดึงมือออกมาไม่ได้”

เด็กชายหัวเราะและบอกว่า “ลิงดึงมือออกมาได้ไม่ยากหรอกถ้ามันยอมปล่อยถั่วที่กำไว้ แต่มันเสียดายถั่ว ไม่ยอมปล่อย มันจึงดึงมือออกมาไม่ได้”

เราได้บทเรียนจากเรื่องเล่านี้ คนเรายอมตกเป็นเหยื่อด้วยการยึดติดกับสิ่งต่างๆ ที่จริงๆ แล้วน่าจะปล่อยวางเสีย อันที่จริงเรื่องนี้มุ่งเน้นสอนเรื่องความโลภ แต่ยังมีมิติอื่นที่เรื่องนี้สอนเกี่ยวกับสิ่งที่เรากุมไว้ไม่ยอมปล่อยอีกด้วย เช่น ความโกรธ ความเสียใจ ความเคียดแค้น ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่พันธนาการเราไว้ ที่เป็นเสมือนคุกในใจที่คุมขังเราไว้ เรายอมให้อดีตอยู่ต่อหน้าเรา ไม่ยอมทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า “...ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

การปล่อยวางจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็นเรื่องง่าย แต่ทำยาก แต่สำหรับเราซึ่งเป็นผู้เชื่อไม่ใช่แค่ปล่อยวางเท่านั้น แต่เราต้องยอมให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราด้วย

สิธยา คูหาเสน่ห์


18/1/57

ของขวัญจากใจ

เพิ่งจะผ่านเทศกาลการมอบของขวัญมาหมาดๆ แต่เราเคยคิดบ้างไหมว่าการมอบของขวัญให้ใครสักคนจำเป็นต้องรอให้ถึงเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งด้วยหรือ ทำไมเราไม่ทำให้ทุกวันเป็นโอกาสแห่งการให้เพราะของขวัญบางอย่างไม่ต้องซื้อหาด้วยเงิน มันเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นให้ง่ายๆ สิ่งที่ไม่มีวันเหือดแห้ง สิ่งที่ยิ่งให้ก็ยิ่งมีมาก สิ่งที่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ สิ่งที่สามารถให้ได้ทุกวันไม่ต้องรอโอกาสหรือเทศกาลใดๆ มาดูกันสักหน่อยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้มีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น

1) การฟัง เมื่อมีใครสักคนพูดกับเรา เราต้องตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะ อย่าคิดเพ้อฝัน อย่าวางแผนการตอบโต้ แค่ฟังเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับบางคน ข้าพเจ้าพบเจอคนที่ไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นบ่อยครั้ง เมื่อข้าพเจ้าพูด เขาก็พูดแทรก และมักจะพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องที่อยู่นอกประเด็นการสนทนา กล่าวขึ้นมาโดยไม่มีการถาม เท่าที่สังเกตเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องการจะป่าวประกาศให้คนรู้ ขอพี่น้องอย่าทำเช่นนี้เลย มันไม่น่ารักเอาเสียเลย ให้เราฟังอย่างตั้งใจสักหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครคนนั้นกำลังมีปัญหาต้องการคำปรึกษา ของขวัญชิ้นนี้ไม่ต้องหาซื้อด้วยเงินทอง เพียงแค่ใส่ใจฟังเท่านั้น

2) ความรักใคร่ฉันมิตร ที่แสดงออกด้วยท่าทีที่เหมาะสมในบริบททางสังคมวัฒนธรรม เพราะการแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้เป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น สร้างความอบอุ่นให้แก่กัน เป็นของขวัญที่ยิ่งให้มากเท่าไรก็ยิ่งได้รับกลับมามากเท่านั้น และอาจมากกว่าที่ให้ออกไปด้วยซ้ำไป ข้าพเจ้าเป็นคนมีเพื่อนน้อย แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามีความรักฉันมิตรเหลือเฟือที่จะแจกจ่ายออกไปอย่างแน่นอน

3) เสียงหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันเรื่องขำขัน เรื่องเปิ่นๆ ที่ทำไป ความโง่เขลาเบาปัญญาในบางเรื่อง ให้เสียงหัวเราะของเราพูดว่า “ให้เรามาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุขเถอะ” มีคำพูดกล่าวไว้ว่า เสียงหัวเราะคือยาวิเศษ บางคนพูดว่าเสียงหัวเราะเหมือนเสียงสวรรค์ ให้เรามอบเสียงหัวเราะแก่กันเถอะ

4) โน้ตสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อขอบคุณ ถามไถ่ทุกข์สุข บอกคิดถึง บอกรัก เป็นต้น เพราะการเขียนด้วยลายมือทำให้ผู้รับรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่จะถูกจดจำไปชั่วชีวิต ให้เราหาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ เขียนโน้ตสั้นๆ ให้แก่ใครสักคนในยุคแห่งเทคโนโลยีกันสักหน่อย ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเขียนหนังสือด้วยลายมือมานานเกินสิบปี เพราะทุกวันนี้ข้าพเจ้าใช้คอมพิวเตอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าต้องซ้อมทุกครั้งที่รู้ว่าจะต้องเซ็นชื่อ ให้เราพยายามหาโอกาสเขียนอะไรๆ ด้วยลายมือกันเถอะ

5) คำชม การกล่าวคำชมสั้นๆ ด้วยความจริงใจสามารถนำความสุขมาให้แก่ผู้ฟังได้ (ข้าพเจ้าขอย้ำว่า จริงใจ) เพราะการกล่าวตามมารยาทไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ ถ้าจะกล่าวโดยไม่มีความจริงใจก็เฉยๆ เสียยังจะดีกว่า ข้าพเจ้าก็พบเห็นบ่อยๆ ได้ยินคำชมที่ปราศจากความจริงใจอยู่เสมอ ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ฟังและรับรู้ได้ว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพอยู่ดี แต่ถ้าสามารถรับรู้ว่ากล่าวด้วยความจริงใจก็คงไม่ได้กล่าวอะไรมากกว่าไปคำขอบคุณ แต่แน่ใจได้เลยว่าถ้าท่านได้ยินคำชมจากปากของข้าพเจ้า คำชมนั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง

6) ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่โอกาสอำนวย ให้เราหาโอกาสที่จะทำความดีในแต่ละวันด้วยการให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แก่คนรอบข้าง แก่สังคมเท่าที่จะพอทำได้ ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสำหรับเราทุกคน

7) ความสันโดษ เราควรที่จะไวต่อความรู้สึกของคนอื่นสักนิดว่าในบางครั้งเขาอาจต้องการที่จะอยู่ตามลำพังบ้าง ปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองเพื่อใช้ความคิดใคร่ครวญบางเรื่องได้อย่างอิสระ อย่าคิดเอาเองว่าเขาต้องการความช่วยเหลือของเรา เพราะความช่วยเหลือที่ให้โดยที่ไม่มีการร้องขอย่อมให้โทษมากกว่าคุณ

8) คำพูดดีๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินทำที่จะพูดกันด้วยคำพูดดีๆ คำพูดไพเราะเสนาะหู ทุกวันนี้เราได้ยินเสียงด่าทอ การพูดเสียดสี การประชดประชัน การให้ร้าย คำโกหก เราคงอยากได้ยินคำพูดดีๆ กันบ้าง อย่าให้ปากที่เรากล่าวสรรเสริญพระเจ้ากล่าวคำด่าออกมาด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ง่ายนักที่จะทำในโลกที่ดูเหมือนจะชั่วร้ายลงเรื่อยๆ แต่เราเป็นชาวสวรรค์ อย่าให้เราปฏิบัติเหมือนอย่างคนในโลกนี้ ให้เรามาหัดพูดภาษาสวรรค์ก่อนเถอะ


ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนที่ท่านสามารถทำได้ เป็นของขวัญจากใจที่สามารถมอบให้แก่ทุกคน ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้มอบสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นของขวัญจากใจแด่ทุกคน และเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ทุกคนแทนคำขอโทษที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ขอขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่

คงยังไม่สายเกินไปที่จะพูดว่า “สวัสดีปีใหม่ 2557”


สิธยา คูหาเสน่ห์