วันหนึ่งข้าพเจ้าอ่านพบเรื่องนี้ในการเฝ้าเดี่ยวและเห็นว่าน่าจะนำมาแบ่งปันกัน
ชายคนหนึ่งเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของคุณยายเพราะคุณแม่ของเขาติดยาเสพติดตลอดชั่วชีวิตของเธอ
คุณยายก็พาเขาไปโบสถ์ตั้งแต่เด็ก
เขาได้เรียนรวีวารศึกษาและไปนมัสการพระเจ้าเป็นประจำเมื่อโตขึ้น
คุณยายอธิษฐานมอบตัวเขาไว้กับพระเจ้าและมีความหวังว่าเขาจะรับใช้พระเจ้าโดยอยากให้เขาเป็นศิษยาภิบาล
แต่เมื่อเขาเติบโตเป็นชายหนุ่มก็เดินทางผิดไปสู่การเสพยา
เป็นนักเลงหัวไม้ และทำผิดกฏหมาย
ทุกเช้าคุณยายจะนั่งบนเก้าอี้สีชมพูเก่าๆ
อ่านพระคัมภีร์และเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัว
บางวันหลานชายเพิ่งกลับบ้านจากการท่องราตรีมาทั้งคืน
ที่จริงคุณยายนั่งรอหลานชายบนเก้าอี้สีชมพูนั้นตั้งแต่เมื่อคืน
คุณยายเฝ้ารอด้วยความกังวลใจและพร่ำอธิษฐานขอการคุ้มครองจากพระเจ้าให้หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย
คุณยายไม่เคยสิ้นหวัง
ในที่สุดด้วยความรักและการเป็นพยานของคุณยาย
หลานชายก็ได้พบกับองค์พระผู้ช่วยให้รอดและถวายตัวรับใช้เป็นศิษยาภิบาล
แต่ชายคนนี้ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่คุณยายของเขาเคยพบมาก่อน
ลูกสาววัยรุ่นของเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
เขาพบว่าตัวเองไม่มีอำนาจที่จะห้ามปรามและกังวลใจเป็นที่สุด
และเขาก็พบว่าเขาก็มี
'เก้าอี้สีชมพูเก่าๆ'
ตัวหนึ่งเหมือนกัน
เขานั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นอ่านพระคัมภีร์และเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวที่นั่น
พร่ำอธิษฐานเผื่อลูกสาว
และรอคอยการกลับมาอย่างปลอดภัยของลูกสาว
และในที่สุดลูกสาวก็เห็นความเชื่ออันมั่นคงของพ่อที่เรียนรู้มาจากคุณยาย
และได้พบทางรอดเช่นกัน
ชายคนนี้กล่าวว่าเขาจะไม่มีวันลืมเก้าอี้สีชมพูตัวเก่าๆ
ของคุณยายและความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ของท่าน
เปาโลเขียนใน
2
ทิโมธี
1:5
ว่า
"ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก
แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน
และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย"
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าหลายคนมี
'เก้าอี้สีชมพู'
ของตัวเอง
จะเก่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
และจะเป็นเก้าอี้สีชมพูจริงๆ
หรือเป็นที่ใดก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน
เพราะที่ที่เราจะนั่งอ่านพระคัมภีร์
มีสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
และอธิษฐานสนทนากับพระองค์
จะเป็นที่ไหนๆ
ก็ได้ที่สงบเงียบและทำให้เราพร้อมที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสผ่านพระคำ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าแต่ละท่านจะมีคนที่ท่านรักและห่วงใยที่อธิษฐานเผื่อ
ด้วยความเชื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่ทูลขอจะได้รับคำตอบ
ข้าพเจ้าขอยืนยันหนักแน่นว่าเป็นเช่นนั้น
ทว่าเวลาที่คำตอบจะมาถึงนั้นสำหรับการขอแต่ละครั้งก็แตกต่างกัน
ขอให้มีความเชื่อมั่นคงและพร่ำอธิษฐานวิงวอนต่อไป
คำตอบจะมาถึงอย่างแน่นอน
ขอให้ท่านหา
'เก้าอี้สีชมพู'
ของตัวเองให้พบ
และอย่าปล่อยให้เก้าอี้ของท่านรอเก้อ
ขอให้ใช้เป็นประจำ
ถ้าใครยังหาไม่พบก็พยายามต่อไปจนพบ
สิธยา
คูหาเสน่ห์
บทความหนุนใจ
23/7/58
20/8/57
มอบแผนงานไว้กับพระเจ้า
จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์
จงวางใจในพระองค์
แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน
สดุดึ
37:5
การวางแผนงานที่ไม่ให้พระเจ้ามีส่วนไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พึงทำ
เพราะพระองค์อาจทรงไม่สถาปนาแผนงานนั้น
เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงเลือกไว้
เราจะรู้ตัวได้เองว่าความไม่สำเร็จนั้นเกิดจากการที่เราวางแผนโดยไม่มีพระเจ้านั่นเอง
บางครั้งเราพบว่าสิ่งที่เราได้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ
แต่หลังจากนั้นเราก็จะตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เราควรให้พระเจ้าทรงนำหน้าในการดำเนินชีวิต
เราควรระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำหน้าพระองค์
แต่บางคนอาจแย้งว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงหรือที่จะให้พระเจ้าทรงนำหน้าในทุกเรื่อง
ข้าพเจ้าอยากจะหนุนใจว่าเป็นสิ่งที่ทำได้จริงๆ
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยหากเราติดสนิทกับพระเจ้า
เราทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์
เราฟังพระสุรเสียงของพระองค์
บางคราวอาจเป็นความทุกข์ใจสักหน่อยที่พระเจ้าไม่ทรงประทานสิ่งที่เราอยากได้
บางครั้งเราอาจท้อใจว่าทำไมพระองค์ทรงให้เรารอนานเหลือเกินกว่าคำตอบจะมา
ข้าพเจ้าขอบอกตามตรงว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิต
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ
แต่
"ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า"
(ฟิลิปปี
4:13)
ขอให้เราระลึกถึงข้อพระวจนะนี้เมื่อเราต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าได้เห็นความสำเร็จของแผนงานที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางหลายครั้ง
ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการไม่ย่อท้อต่อการอธิษฐานวิงวอนนั้นมีบำเหน็จที่แสนหวานรออยู่
แต่บางคนอาจไม่อดทนพอที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะได้ลิ้มรสบำเหน็จนั้น
แต่ข้าพเจ้าสามารถบอกในตอนนี้ว่าเมื่อเราผ่านการรอคอยที่ดูแสนเนิ่นนานและบางช่วงอาจมีคำถามผุดขึ้นว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไปได้
เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงแสนดียอดเยี่ยม
ทุกสิ่งที่ได้มาเป็นการอัศจรรย์
ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง
แต่เป็นพระปัญญาของพระเจ้า
และเป็นการคัดสรรและการจัดเตรียมของพระองค์ที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความยอดเยี่ยมดีเลิศเกินกว่าที่เราขอไว้แต่แรก
เราจะได้ตามที่ขอและได้สิ่งที่ดีกว่านั้นอีกด้วยการมอบแผนงานและชีวิตของเราไว้กับพระเจ้า
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ
เพียงว่าเรา 'ยอม'
หรือไม่เท่านั้นเอง
การเชื่อวางใจพระเจ้าเป็นสื่งที่ต้องมีการตัดสินใจ
ถ้าเมื่อไรที่เราพบว่าไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้าและอาจถามพระองค์ว่า
"พระองค์เจ้าข้า
เพราะเหตุใดพระองค์ทรงไม่จัดเตรียมและประทานสิ่งที่ขอ”
เราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า
"เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อวางใจเรา”
ข้าพเจ้าไม่อยากให้มีสักคนเดียวได้ยินพระดำรัสตอบแบบนั้น
สิธยา
คูหาเสน่ห์
6/6/57
จงขอแล้วจะได้
“เราเป็นเถาองุ่นแท้
และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา
แขนงทุกแขนงในเราที่ ไม่ออกผล
พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย
และแขนงทุกแขนงที่ออกผล
พระองค์ก็ทรงลิด เพื่อให้ออกผลมากขึ้น
พวกท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เรากล่าว กับท่าน
จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน
แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจติดสนิทอยู่กับเถา
พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะ ติดสนิทอยู่กับเรา
เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง
คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเรา ติดสนิทอยู่กับเขา
คนนั้นจะเกิดผลมาก
เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำ สิ่งใดไม่ได้เลย
ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา
คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง
แล้วก็เหี่ยวแห้งไป
และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ
ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำ ของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว
ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้
คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและ เป็นสาวกของเรา"
(ยอห์น
15:1-8)
พระวจนะตอนนี้มีพระสัญญาที่ไม่ธรรมดาของพระเจ้าอยู่ในนั้น
"ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น"
พระเยซูกำลังตรัสว่าเมื่อเราขอสิ่งใด
เราก็จะได้สิ่งนั้น
เหตุผลที่เราได้ตามที่ขอก็เพราะพระเจ้าทรงได้รับเกียรติโดยให้ตามที่ขอ
ดังนั้น จงขอแล้วจะได้
นั่นเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
แต่พระสัญญาข้อนี้ของพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถาง
และจะทำให้ผู้เชื่อเศร้าเสียใจ
ผู้ที่ไม่เชื่อเยาะเย้ยถากถางเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง
ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงทำตามพระสัญญา
นั่นเป็นข้ออ้างของพวกเขา
แต่ทำไมผู้เชื่อเศร้าเสียใจล่ะ
เพราะพวกเขาขอแล้วไม่ได้
ผู้เชื่อบางคนเมื่อขอแล้วไม่ได้จึงทำให้ความเชื่อสั่นคลอน
และหันคล้อยตามกับผู้ที่ไม่เชื่อและสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของพวกเขา
แต่ที่ว่า
"ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น"
มีบางสิ่งที่เล็ดลอดจากความสังเกตของเราไป
บางคนอาจคิดว่าเมื่อขอก็ให้ขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า
แต่พระเยซูมิได้ตรัสเช่นนั้นในพระวจนะนี้
พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า
"ขอ"
และ
"พระเจ้าจะประทานสิ่งนั้นให้"
และพระองค์จะประทานให้จริงๆ
"ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว
ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น”
เราซึ่งเป็น
“แขนง” ต้องติดสนิทอยู่กับพระเยซูซึ่งทรงเป็น
“กิ่ง”
เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อเราขอสิ่งใดจากพระเจ้าก็จะได้สิ่งนั้นเพราะ
“คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา
คนนั้นจะเกิดผลมาก
เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
ถ้าเราไม่ติดสนิทกับพระเยซู
เราก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป
และสุดท้ายก็จะถูกทำลาย
“ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา
คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง
แล้วก็เหี่ยวแห้งไป
และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ”
การเกิดผลเป็นการเชื่อมโยงถึงการได้รับตามที่ขอ
พระเจ้าทรงได้รับเกียรติเมื่อเราเกิดผล
และเราเกิดผลเมื่อพระเจ้าทรงประทานสิ่งที่เราขอ
แต่บางคนที่ไม่ได้รับตามที่ขออาจกล่าวว่า
“ฉันติดสนิทกับพระเจ้า
ฉันขอบางสิ่งจากพระเจ้า
แต่ฉันไม่เคยได้รับตามที่ขอเลย”
นั่นอาจเป็นการกล่าวที่ใช้ไม่ได้
เมื่อคนหนึ่งปลูกต้นส้มวันนี้
คนนั้นคงไม่หวังว่าจะได้กินผลไม้นี้ในวันรุ่งขึ้นเลย
มันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจนต้นส้มโตเต็มที่จึงจะผลิดอกออกผลได้
การที่ต้นส้มจะเติบโตได้ก็ต้องได้รับการเลี้ยงดู
เช่นเดียวกัน
ผู้เชื่อก็ต้องใช้เวลาในการฟูมฟักให้ความเชื่อแข็งแรงและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อจึงจะได้รับสิ่งที่ขอด้วยความเชื่อและเกิดผลต่อไปได้
ดังนั้น ขอให้เรากลับไปทบทวนใหม่เมื่อเราขอแล้วไม่ได้ว่าเรามีความเชื่อมากพอที่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงตามพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่
ดังนั้น ขอให้เรากลับไปทบทวนใหม่เมื่อเราขอแล้วไม่ได้ว่าเรามีความเชื่อมากพอที่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงตามพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าพระสัญญาข้อนี้เป็นจริง
ข้าพเจ้าเห็นพระสัญญาข้อนี้เป็นจริงในชีวิตของข้าพเจ้าและลูกๆ
หลายต่อหลายครั้ง
และข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะได้เห็นอีกในเวลาข้างหน้า
ขอพระเกียรติจงเป็นของพระเจ้า
สิธยา
คูหาเสน่ห์
7/5/57
“รอ”
การรอเป็นเรื่องยาก
ไม่มีใครอยากตกอยู่ในภาวะดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการรออะไรก็ตาม
มันเป็นความล่าช้าที่เราอยากหลีกเลี่ยง
เป็นความกังวลใจที่ร้อนรุ่มอยู่ในใจ
เป็นภาระหนักที่ต้องแบกไว้
เป็นความทุกข์ใจที่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
เป็นต้น
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนคงเคยลิ้มรสแห่งการรอมาแล้วทั้งสิ้น
แต่ทว่าการ “รอ”
ก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งความเชื่อของเรา
แต่ที่ข้าพเจ้าจะพูดในที่นี้ขอจำกัดวงให้แคบลงมาที่
“รอ”
คำตอบจากพระเจ้า
เมื่อเราอธิษฐานทูลขอบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์
พระคัมภีร์บอกเราว่า
“จงขอแล้วจะได้” (มัทธิว
7:7พระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน)
ข้าพเจ้าสามารถยืนยันจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ดังนั้นอยากหนุนใจพี่น้องว่าเมื่อจะอธิษฐานทูลขอสิ่งใดก็ตาม
ให้แน่ใจว่าเป็นที่สิ่งที่ท่านปรารถนาจะได้หรืออยากให้เกิดขึ้นจริงๆ
เพราะท่านจะได้สิ่งนั้นอย่างแน่นอนในเวลาของพระองค์
เมื่ออธิษฐานทูลขอ
เราจะได้คำตอบสามแบบจากพระเจ้า
คือ “ได้” “ไม่ได้” และ “รอ”
สำหรับคำตอบแรกไม่ต้องมีคำอธิบาย
คำตอบที่สองก็ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรที่อ่านว่า
“ไม่ได้” เพราะพระองค์อาจหมายความถึงคำตอบที่สามก็ได้
หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์จะประทานสิ่งที่ดีกว่าที่ขอไปให้แก่เราก็เป็นได้
ฉะนั้น คำตอบที่สองและที่สามก็หลีกไม่พ้นการ
“รอ” เพราะคำตอบจะมาในเวลาของพระองค์เท่านั้น
มิใช่เวลาของเรา
เวลาของพระเจ้ากับของมนุษย์มีกรอบที่ต่างกัน
เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเสมอ
พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์เสมอ
เราอาจมองว่าพระองค์ทรงปฏิเสธไม่สนองตอบคำอธิษฐานสำหรับคำตอบ
“ไม่ได้” และ “รอ” แต่แม้ว่าจะเป็น
“ไม่ได้” หรือ “รอ”
ก็ยังเป็นคำตอบอยู่ดี
แม้ว่าความเงียบของพระองค์อาจทำให้เรากระวนกระวายใจ
ทนทุกข์ทรมาน
เราอาจหมดกำลังใจสงสัยว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานหรือไม่
หรือเราอาจโกรธพระองค์เมื่อเห็นว่าผู้อื่นได้รับการอวยพรอย่างมากมายในสิ่งเดียวกับที่เราขอแล้วยังไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้
เราจะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อได้อย่างไรในช่วงที่รอคำตอบจากพระองค์
พระเจ้าทรงสัพพัญญู
พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง
เราเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งที่เราขอ
ทำไมเราต้องรอ ทำไมเราได้ในสิ่งที่ไม่ได้ขอ
ขอให้จำไว้ว่าสิ่งที่เราเห็นว่าดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะประทานให้แก่เรา
ขณะที่รอคำตอบจากพระองค์
ขอให้เราเชื่อวางใจว่าพระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายในการที่พระองค์ทรงล่าช้าในการตอบคำอธิษฐาน
ขณะที่เรารอ
พระเจ้าทรงกระทำการอยู่เบื้องหลังแทนเรา
ให้เราอย่าย่อท้อในการรอเพราะเราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้
และในที่สุดเราก็จะรู้ว่าการรอที่ยาวนานและแสนทุกข์ทรมานนั้นคุ้มค่าจริงๆ
มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเรารอบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นจะหนีการบ่นไปไม่พ้น
มันเป็นเรื่องยากที่เราจะพอใจกับชีวิตในช่วงแห่งการรอนั้น
แต่จริงๆ
แล้วพระองค์ทรงปรารถนาให้เรามีความพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า
“อย่าท้อใจเลย วางใจพระเจ้าสิ”
แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขหากเรากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
อย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราบ่นเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง
แต่ให้เรารักษาความเชื่อไว้
อย่าขาดการนมัสการพระเจ้าเพราะการนมัสการเป็นการบ่งบอกถึงการยอมจำนนและการถ่อมใจ
เพราะเมื่อเรานมัสการพระเจ้า
ตัวเราจะพูดว่า
“พระองค์ทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า”
การนมัสการนี่แหละที่จะเป็นแหล่งกำลังของเราในการที่จะอดทนรอต่อไป
เราต้องทูลขอต่อไปจนกว่าคำตอบจะมาถึง
ยากอบ 4:2
บอกว่า
“ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ขอ”
เราต้องไม่กลัวที่จะทูลขอต่อไป
ทูลพระองค์ในสิ่งที่เราต้องการขณะที่กำลังรอ
ยากอบยังบอกต่อไปว่าที่ไม่ได้เพราะเราขอผิด
บางทีเราอาจขอในสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัย
ขอในสิ่งที่ผิด เราจึงต้องรอ
ลองสำรวจดูว่าเราขอผิดหรือไม่
ขอให้มั่นใจว่าพระองค์ทรงสดับฟังการทูลขอของเราอย่างแน่นอน
การท้าทายที่เราต้องเจอคือการเชื่อวางใจ
สุภาษิต 3:5,
6 บอกว่า
“จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”
“รอ” ด้วยความเชื่อวางใจ
เป็นกุญแจสำคัญ
สิธยา
คูหาเสน่ห์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)