ความเป็นแม่เริ่มต้นตรงไหนและเมื่อไร
และอะไรคือความเป็นแม่
ท่านคิดว่าความเป็นแม่เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ใช่หรือไม่
สำหรับหลายคนเห็นเป็นเช่นนั้น
วินาทีที่รู้แน่ชัดว่ากำลังตั้งครรภ์
ผู้หญิงก็เริ่มหัดที่จะดูแลและปกป้องลูกน้อยในครรภ์
นี่คือการฝึกที่จะเป็นแม่แล้วใช่ไหม
ที่จริงความเป็นแม่มีขอบเขตกว้างไกลกว่านั้นมากมายนัก
ความเป็นแม่ไม่มีขอบเขตจำกัด
ความเป็นแม่อาจทำให้ผู้หญิงมีความสุขและความชื่นนชมยินดีมากกว่าสิ่งอื่นใด
แต่อีกด้านหนึ่งความเป็นแม่ก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดและความทุกข์มากมายเช่นกัน
เมื่อลูกได้รับความเจ็บปวด
แม่ย่อมรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า
เมื่อลูกมีความสุข แม่ก็ย่อมสุขด้วย
ความเป็นแม่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรงและบางทีเกินขีดจำกัดที่คิดว่าจะเป็นไปได้
หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าไม่มีขีดจำกัด
หน้าที่ของแม่ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัวและขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็นแม่ในวัฒนธรรมใดก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าแม่มีหน้าที่พื้นฐานที่เหมือนๆ
กัน คือ หน้าที่ในการเลี้ยงดูฟูมฟักและปกป้องลูก
หน้าที่ของแม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าลูกน้อยจะได้รับอาหารจนอิ่ม
ได้รับความรัก และได้รับความปลอดภัย
สำหรับแม่หลายคนอาจมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย
และพร้อมที่จะให้การดูแลและการปกป้องได้
แต่สำหรับอีกหลายคนต้องดิ้นรนเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
แม่มิได้ปกป้องคุ้มครองเฉพาะลูกเท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงสมาชิกในครอบครัวด้วย
ส่วนใหญ่แม่จะเป็นผู้ตัดสินใจแทนลูกเพราะแม่เป็นผู้ที่รู้จักลูกดีที่สุดจึงสามารถรู้ว่าอะไรดีีที่สุดสำหรับลูก
ความเป็นแม่ยังได้ขยายขอบเขตไปถึงลูกของคนอื่นด้วย
ความเป็นแม่ทำให้ผู้หญิงอ่อนไหวในอารมณ์มากขึ้น
ภาพยนตร์หรือข่าวที่เมื่อก่อนไม่ได้สร้างความสะเทือนใจหรือเร้าอารมณ์
บัดนี้กลับทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรง
เนื่องจากแม่รักลูกมากก็เป็นธรรมดาที่ผู้เป็นแม่จะรู้สึกรุนแรงกว่าผู้ที่เป็นลูก
แม้ว่าความเป็นแม่อาจทำให้เกิดความยากลำบากอยู่บ้าง
แต่ในความทุกข์ยากแฝงไว้ด้วยบำเหน็จรางวัล
ลูกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้เป็นแม่ตั้งแต่ในครรภ์
แม่บางคนกลัวว่าเมื่อลูกออกมาลืมตาดูโลกแล้ว
ความสัมพันธ์แบบนั้นจะหมดไป
แต่ไม่ต้องกลัว
ความรู้สึกผูกพันจะมีมากขึ้นเมื่อได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน
ลูกเป็นส่วนหนึ่งของแม่
เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นแม่แล้ว
ผู้หญิงคนนั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แท้ที่จริงไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียด้วยซ้ำไป
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มาก
ผู้ที่ยังไม่เป็นแม่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าความรักที่แม่มีต่อลูกเป็นอย่างไรจนกว่าจะมีประสบการณ์แบบนั้นเอง
คนที่ยังไม่เป็นแม่
อยากเป็นแม่แล้วหรือยัง
สิธยา คูหาเสน่ห์
20/8/55
19/7/55
การปล้ำสู้
ข้าพเจ้าคิดว่าหลายคนคงเดยได้ยินเรื่องราวของดักแด้กับผีเสื้อมาแล้ว
ส่วนตัวข้าพเจ้ามิเพียงได้ยินเท่านั้นแต่ยังได้เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอีกด้วย
แม้ว่าผีเสื้อที่ข้าพเจ้าเคยฟูมฟักมาจะไม่ใช่ผีเสื้อสีสวย
แต่เป็นผีเสื้อกลางคืนก็ตาม
ทว่าไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อสีสวยหรือผีเสื้อกลางคืนก็เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าพระผู้สร้าง
และเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง
เรื่องราวนี้เล่าว่า...
ชายคนหนึ่งพบรังดักแด้รังหนึ่ง
วันหนึ่งรังดักแด้นั้นก็เปิดออกเป็นรูเล็กๆ
เขาเฝ้ารอดูการปล้ำสู้ของผีเสื้อตัวน้อยที่พยายามจะออกมาจากรังทางรูเล็กๆ
นั้นนานหลายชั่วโมง
แล้วความพยายามก็หยุดลง
ดูเหมือนว่ามันทำได้แค่นั้นเอง
ชายคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะช่วยผีเสื้อตัวน้อยให้ออกมาจากรังดักแด้
เขาหยิบกรรไกรมาตัดรังดักแด้ออก
เมื่อเปิดกว้างผีเสื้อตัวน้อยก็ออกมาจากรังได้อย่างง่ายดาย
แต่ลำตัวของผีเสื้อตัวน้อยบวมเป่งและปีกก็สั่นระริก
ชายคนนั้นเฝ้าดูต่อไปเพราะเขาคาดหวังไว้ว่าปีกจะขยายใหญ่ขึ้นและกางออกพร้อมที่จะบิน
แต่ไม่มีอะไรตามคาดเกิดขึ้นเลย
แท้จริงแล้วผีเสื้อน้อยตัวนี้จะไม่สามารถบินได้ตลอดชีวิตของมัน
ทำได้แค่คลานไปด้วยลำตัวที่บวมเป่งและปีกที่สั่นระริกของมันเท่านั้น
สิ่งที่ชายคนนี้คิดว่าเป็นความเมตตาที่ช่วยให้ผีเสื้อตัวน้อยออกจากรังดักแด้เร็วขึ้นคือความไม่เข้าใจของเขา
แท้จริงแล้วการที่ผีเสื้อตัวน้อยค่อยๆ
ออกจากรังดักแด้ และปล้ำสู้ออกจากรูเล็กๆ
นั้นเป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อบีบให้ของเหลวจากร่างกายของผีเสื้อเข้าไปสู่ปีกของมันเป็นการเตรียมพร้อมที่จะบินเมื่อออกจากรังดักแด้
บทเรียนที่ได้จากเรื่องราวนี้เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ในชีวิตของเรา
ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากอุปสรรคหรือการปล้ำสู้
ก็จะเป็นการทำร้ายเรา
เราจะไม่เข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ
เมื่อเผชิญกับมัน เราจะไม่สามารถบินได้
ยิ่งโลกปัจจุบันที่โฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ
ด้านด้วยแล้ว
เรายิ่งต้องเตรียมพร้อมที่บินสู่โลกกว้างที่โหดร้าย
ดังนั้นสิ่งร้ายๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามิได้แค่เกิดขึ้น
ทุกอย่างย่อมมีเหตุผล
เรารู้ดีว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น
พระองค์ทรงมีพระประสงค์
และเป็นพระประสงค์ดี
แต่ในขณะที่เกิดขึ้น
เราอาจไม่พร้อมที่จะมองด้วยใจวินิจฉัย
และสงสัยพระเจ้า ต่อว่าพระองค์
แต่ขอให้จำไว้ว่าเวลาของพระเจ้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด
ขอเพียงอดทนรอคอย
และเตรียมตัวให้พร้อมที่จะบินเมื่อปีกของเราแข็งแรงพอที่จะพยุงเราไป
ข้าพเจ้ารู้ว่่าการรอคอยไม่ใช่เรื่องง่าย
ในช่วงเวลาที่ฟูมฟักผีเสื้ออยู่นั้น
ข้าพเจ้าก็ใจร้อนอยากเห็นผีเสื้อเร็วๆ
และการเปลี่ยนแปลงแต่ละขั้นตอนก็ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่
แต่ข้าพเจ้าดีใจที่มิได้ทำเหมือนชายคนนี้
ที่ไม่ทำเหตุผลหนึ่งก็คือ
“กลัว” ในคืนที่มันโผล่ออกจากรังดักแด้นั้น
ข้าพเจ้าเตรียมกล้องไว้พร้อมสำหรับจับภาพในวินาทียิ่งใหญ่แห่งความเป็นอิสระ
ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
ในการปล้ำสู้กับชีวิต ให้เราทูลขอสติปัญญาและกำลังจากพระเจ้าเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้
ในการปล้ำสู้กับชีวิต ให้เราทูลขอสติปัญญาและกำลังจากพระเจ้าเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้
สิธยา
คูหาเสน่ห์
22/6/55
ความกระวนกระวายใจ
ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ย่างเข้าครึ่งปีหลังเสียแล้ว
ที่เขาพูดว่าเวลาผ่านไปเหมือนติดปีก
(ใหญ่ๆ เสียด้วย)
เห็นจะจริง
สำหรับข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เพราะป่วยเสียเดือนกว่า
(เมื่อเร็วๆ นี้)
ไม่ทราบเหมือนกันว่าสาเหตุจริงๆ
คืออะไร ไม่ได้ป่วยมานานโข
จู่ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ
ร่างกายผ่ายผอมจนคนทัก
แพทย์ก็เดาว่าเป็นโน่นเป็นนี่
หรือว่าร่างกายจะประท้วงเพราะเดี๋ยวก็ไปอยู่ในที่ที่หนาวจัดจนมือเท้าชาไร้ความรู้สึก
ยังไม่ทันปรับตัวอย่างเต็มที่ก็กลับมาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนระอุราวกับเตาไฟ
แต่ไม่ว่าอาการป่วยของข้าพเจ้าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม
พระเจ้าก็ทรงรักษาให้หายแล้ว
ตอนนี้ก็สบายดีแล้วจึงได้กลับมาขีดๆ
เขียนๆ เหมือนเดิม (แต่จะพูดว่าขีดๆ
เขียนๆ เห็นจะไม่ถูกนัก
เพราะสมัยนี้เทคโนโลยีล้ำหน้า
คงไม่มีใครเขียนกันแล้ว)
โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ
ในหลายๆ ด้าน
ไม่น่าแปลกที่คนในโลกปัจจุบันจะมีความกระวนกระวายใจมากมายหลายเรื่อง
ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องความขัดแย้ง
สุขภาพที่ย่ำแย่
สถานการณ์อันตรายที่กำลังเผชิญอยู่
ความตายที่คืบใกล้เข้ามา
ความจำเป็นในชีวิตที่ยังขาดอยู่
ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่อ่อนแอ
ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คุกคามอยู่
ฯลฯ แต่พระคัมภีร์บอกว่า
“อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ
เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ
โดยการอธิษฐานและการวิงวอน
พร้อมกับการขอบพระคุณ
แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ
จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์
(ฟิลิปปี 4:6-7
ฉบับมาตรฐาน) ฉะนั้น
หากท่านมีความกระวนกระวายใจในเรื่องใด
จงทูลต่อพระเจ้าเถิด
พระองค์ทรงสดับฟังการร้องทูลของท่าน
ขอบพระคุณแม้ว่าคำตอบหรือทางออกยังมาไม่ถึง
อีกครั้งที่พระคัมภีร์ย้ำว่า
“จงละความกังวลทุกอย่างของท่านไว้กับพระองค์
เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย”
(1 เปโตร 5:7 ฉบับมาตรฐาน)
ดังนั้น
คงไม่มีอะไรผิดที่จะยอมรับและพยายามรับมือกับปัญาต่างๆ
ในชีวิต การไม่ยอมรับรู้เป็นเรื่องโง่เขลาและไม่ถูกต้อง
แต่การวิตกกังวลเกินเหตุก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องเหมือนกัน
และเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
สิ่งที่ควรทำคือทูลเรื่องราวความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอน
พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยท่านจากความกลัวหรือความกังวลต่างๆ
และทรงช่วยให้ท่านสามารถจัดการกับความจำเป็นในชีวิตและสงครามฝ่ายวิญญาณได้ตามความเป็นจริง
บางทีสาเหตุที่ทำให้บางคนวิตกกังวลและกลัว
กระวายใจ อาจเป็นผลของความบาปและความรู้สึกผิดของคนนั้น
ถ้าท่านทำบาปหรือทำสิ่งที่ผิด
ท่านอาจกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับพระเจ้า
มโนธรรมอาจกำลังพยายามทำให้ท่านสนใจกับสิ่งที่ทำไป
สิ่งที่ท่านต้องทำคือ กลับใจ
สารภาพบาป และทูลขอให้พระเจ้าทรงอภัย
และแก้ใขสิ่งผิดและทำสิ่งที่ถูกต้อง
นอกจากนั้นลองสำรวจดูสิว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่
โดยทั่วไปมนุษย์ต้องการการนอนหลับพักผ่อนประมาณ
8-9 ชั่วโมงต่อวัน
การพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทำให้กระวนกระวายใจได้
ถ้านอนไม่หลับ
ท่านอาจทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรือไม่ก็ไปพบแพทย์
หัดเป็นคนสมเหตุสมผลมากขึ้น
คนมากมายมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงและไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ผ่อนคลายเสียบ้าง
และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
จงมีชีวิตอยู่วันต่อวัน
ติดสนิทกับพระเจ้า
และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ลองหาเวลาฟังดนตรีเบาๆ
เพลงคริสเตียนซึ่งสามารถช่วยท่านให้มุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าและทิ้งความกลัวและความวิตกกังวลไว้เบื้องหลังมีอยู่มากมาย
(จากประสบการณ์ส่วนตัว
เพลงบรรเลงคริสเตียนสามารถช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ)
เมื่อมีความวิตกกังวล
อย่าเก็บไว้ในใจ
หาใครสักคนที่ไว้ใจได้และพูดคุยแบ่งปันกัน
การพูดปัญหาต่างๆ
ออกมาน่าจะช่วยให้คลายกังวลไปได้บ้าง
แต่เพื่อนที่ดีที่สุดและสามารถรับฟังได้ทุกเรื่องก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นสหายเลิศของเรานั่นเอง
(2 เธสะโลนิกา 2:16-17
ฉบับมาตรฐาน
“ขอให้องค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
และพระเจ้าพระบิดาของเรา
ผู้ทรงรักเราและประทานให้เรามีความชูใจนิรันดร์
และความหวังดีโดยพระคุณ
ทรงชูใจและทรงเสริมท่านให้มั่นคง
ในการกระทำและในวาจาอันดีทุกอย่าง”)
ความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลมีผลต่อความเชื่อ
ขณะที่กำลังทุกข์ใจกับปัญหาต่างๆ
ท่านอาจสงสัยพระเจ้า
อาจมีคำถามมากมายผุดขึ้นในความนึกคิด
อาจไม่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังคำร้องทูลจริงหรือ
ทำไมคำตอบมาไม่ถึงเสียที
ขอแล้วทำไมไม่ได้
เมื่อตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้
อย่าสงสัยพระเจ้า
ความวิตกกังวลทำให้ความรู้สึกมั่นคงลดลงเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อกัน
เมื่อชีวิตดำเนินไปตามแผนและรู้สึกมั่นคง
ความวิตกกังวลก็จะค่อยๆ
หมดไป ในทำนองเดียวกัน
ความวิตกกังวลมีมากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคาม
ชีวิตไม่มั่นคง
หรือเมื่อหมกมุ่นอยู่กับผลลัพธ์บางอย่าง
ผู้เชื่อต้องรู้จักที่จะละความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลของตนไว้กับองค์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการอธิษฐานวิงวอนต่อพระองค์
การกระทำเช่นนี้ทำให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์มากขึ้น
และทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น
นี่เป็นวิธีขจัดความกระวนกระวายใจหรือความวิตกกังวลสำหรับผู้เชื่อ
สุดท้ายนี้
ข้าพเจ้าขอหนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลและความเชื่อเริ่มสั่นคลอนว่า
จงวางใจพระเจ้า
ไม่มีปัญหาใดใหญ่เกินกว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
ทูลทุกเรื่องราวต่อพระองค์
คร่ำครวญต่อพระองค์
และสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตคริสเตียน
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร
สิธยา
คูหาเสน่ห์
25/4/55
ข่าวประเสริฐของพระเจ้า
“เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด”
โรม 1:16
คำว่า
“ข่าวประเสริฐ” ก็คือข่าวดี
เป็นข่าวยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียวเพราะเป็นข่าวประเสริฐ
(ข่าวดี) ของพระเจ้า
เพราะถ้าปราศจากข่าวนี้แล้ว
มนุษยชาติก็จะถูกตัดสินให้รับโทษชั่วนิรันดร์
และถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้เป็นผู้ลิขิตความรักและชีวิต
แต่ทำไมข่าวประเสริฐของพระเจ้าจึงเป็นข่าวดีล่ะ
ประการแรก
ข่าวประเสริฐไม่ใช่ข่าวสารเกี่ยวกับศาสนา
แต่เป็นข้อความที่พูดถึงเรื่องความรักและจุดประสงค์สำหรับมนุษย์ของพระเจ้า
ศาสนาเป็นการแก้ไขเราจากภายนอก
พระเจ้าทรงต้องการแก้ไขเราจะข้างในออกมา
ศาสนาอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จนกลายเป็นภาระหนัก
ส่วนความรักและข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นสิ่งที่นำเสรีภาพมาสู่เรา
เป็นข้อความที่บอกเราว่าพระเจ้าทรงรักเรามากพอที่จะวายพระชนม์เพื่อให้เราได้รับความรอดและหลุดพ้นจากสิ่งพันธนาการต่างๆ
นอกจากนั้นยังต้องรู้อีกว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรไปหรือยังไม่ได้ทำอะไร
พระเจ้าก็ยังทรงรักเราด้วยความรักนิรันดร์ของพระองค์และยังทรงมีพระประสงค์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับชีวิตของเรา
(ทั้งชีวิตบนโลกนี้และชีวิตชั่วนิรันดร์)
ดังที่พระเยซูตรัสว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก
จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ
แต่มีชีวิตนิรันดร” (ยอห์น
3:16) และอีกครั้งว่า
“เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต
และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”
(ยอห์น 10:10)
ประการที่สอง
ข่าวประเสริฐเป็นข่าวสารเกี่ยวกับบาป
เรื่องที่เราทำผิด
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า
“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”
โรม 3:23
บาปไม่ใช่แค่เรื่องการกระทำที่ร้ายกาจเท่านั้น
แต่เป็นทุกเรื่องที่ไม่ถึงมาตรฐานแห่งความสมบูรณ์พร้อมของพระเจ้าที่พระองค์ทรงอยากให้เราทำ
บาปรวมถึงจิตใจที่ไม่ยอมให้อภัย
ความหยิ่งยโส ความอิจฉาริษยา
แรงจูงใจผิดๆ ฯลฯ
พวกเราส่วนมากยังทำบาปเรื่องไม่ทำสิ่งที่ควรหรือสามารถทำได้อีกด้วย
(เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ
คนนั้นจึงบาป ยากอบ 4:17)
แต่ยังมีความเข้าใจผิดทั่วไปเกี่ยวกับพระเจ้าที่ว่าพระองค์ทรงไม่ได้ลงโทษเราเพราะบาปของเราหรอก
ความจริงคือเรานั่นแหละที่นำการลงโทษของบาปมาสู่ตัวเองเพราะบาปมีผลที่ตามมาตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราพยายามลบล้างกฎแห่่งแรงโน้มถ่วม
เราทำไม่ได้หรอก
มันจะทำลายล้างเราในที่สุด
ในทำนองเดียวกัน
เราก็ไม่สามารถทำลายล้างกฎสากลทางศีลธรรมของพระเจ้าเช่นกัน
หากเราพยายามที่จะทำลาย
กฎนั้นก็จะทำลายเราเสียเอง
และนอกจากผลกระทบที่น่าเจ็บปวดในโลกนี้ซึ่งรวมถึง
การทนทุกข์ทรมาน ความโศกเศร้า
ความเศร้าใจ ความเจ็บป่วย
และความตายฝ่ายวิญญาณ
ผลน่าเศร้าที่ตามมาก็คือความตายนิรันดร์และการแยกจากพระเจ้า
(เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย
โรม 6:23)
ประการที่สาม
ข่าวประเสริฐเป็นข่าวสารเกี่ยวกับการเยียวยาของพระเจ้า
เพราะบาปทำให้เราแยกหรือขาดการติดต่อกับพระเจ้า
เราถูกตัดขาดด้วยสูญญากาศที่มีรูปร่างเหมือนพระเจ้าหรือด้วยความว่างเปล่าภายใน
ดังที่เซนต์ออกันตินเขียนไว้ว่า
“โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงสรา้งเราขึ้นมาเพื่อพระองค์เอง
และใจของเราไม่สงบนิ่งจนกว่าจะได้พำนักในพระองค์”
ศาสนามากมายในโลกนี้เป็นพยานหลักฐานแห่งการเสาะหาพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งของมนุษย์และพยายามจะทำให้สูญญากาศนั้นหมดไป
แต่เพราะพระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย
พระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ปราศจากบาปของพระองค์มาเพื่อช่วยเราให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายของเรา
การวายพระชนม์บนกางเขนของพระเยซูคริสต์เป็นการตายแทนเรา
การวายพระชนม์ของพระองค์เป็นค่าไถ่บาปทั้งสิ้นของเรา
พระองค์ทรงเป็นทางเดียวที่จะนำเรากลับไปหาพระเจ้าและเป็นประตูบานเดียวสู่ชีวิตนิรันดร์
(พระเยซูตรัสกับเขาว่า
“เราเป็นทางนั้น
เป็นความจริงและเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
ยอห์น 14:6)
ประการสุดท้าย
ข่าวประเสริฐเป็นการเรียกสู่ความเชื่อและการกลับใจ
ถ้าพบว่าท่านทำผิดร้ายแรงและถูกลงโทษถึงตาย
ท่านจะรับข้อเสนอที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ไหม หากว่ามีการเสนอให้
เนื่องจากพระเยซูทรงตายแทนท่าน
ดังนั้นพระเจ้าทรงกำลังเสนอการยกโทษ
การให้อภัย และชีวิติรันดร์ให้แก่ท่าน
สิ่งที่ท่านต้องทำคือสารภาพบาปและกลับใจ
เลิกการทำชั่วที่เคยทำ
เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงตายแทนบาปของท่าน
และยอมรับพระองค์เข้าในชีวิตของท่านในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้า
ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าและให้เปล่าๆ
เพียงแค่ตัดสินใจรับเท่านั้น
สุขสันต์วันอีสเตอร์
(อีกครั้ง)
สิธยา
คูหาเสน่ห์
22/3/55
แผนงานล้ำเลิศของพระเจ้า
“พระยาเวห์ตรัสว่า
'เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ
ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า
เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า'”
เยเรมีย์
29:11
พระเจ้าทรงมีแผนงานล้ำเลิศสำหรับผู้เชื่อทุกคน
ทว่าบางคนอาจไม่ค่อยแน่ใจหรือไม่เชื่อเช่นนั้นก็เป็นได้
ลูกของพระเจ้าทุกคนต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีแผนงานสำหรับทุกคนตามพระสัญญาที่ตรัสไว้ในข้อพระวจนะข้างต้น
และทุกคนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเช่นนั้น
ถ้าหากไม่เชื่อ
ก็จะเป็นการเสี่ยงต่อการใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะค้นหาว่าเราควรไปไหน
เราควรทำอะไร และควรอยู่กับใคร
พระเจ้าตรัสแก่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า
“เราได้รู้จัักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์
และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์
เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้
เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติ”
(เยเรมีย์
1:5)
การทรงเรียกของเราอาจไม่เหมือนกับการทรงเรียกของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์
แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีแผนงานอย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน
และเราทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้แผนงานนั้นสำเร็จ
พระเจ้ามิได้ทรงเรียกให้เลียนแบบใครคนใดคนหนึ่ง
แต่พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้แต่ละคนเป็นอย่างที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่แรกสร้างเราขึ้นมา
เมื่อเรามอบให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิตของเรา
ให้พระองค์ทรงครอบครองทั้งชีวิตของเรา
พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยแผนงานของพระองค์ทีละขั้นทีละตอน
พระเจ้าอาจมิได้ทรงเผยให้เห็น
“ภาพใหญ่” ทั้งหมดในทันทีเพราะบางทีเราอาจกลัว
หรือมีท่าทีต่อพระเจ้าว่า
“พระองค์เจ้าข้า
ข้าพระองค์พร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองแล้ว”
แต่พระเจ้าทรงทราบว่าเรายังต้องการความช่วยเหลือของพระองค์อยู่เสมอ
ดังนั้นพระองค์จึงทรงปลุกเร้าให้เราพึ่งพาพระองค์
ถ้าเช่นนั้น
เพราะเหตุใดจึงมีผู้เชื่อจำนวนมากกลัวที่มอบตัวเองให้พระเจ้าทรงครอบครองเล่า
บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าพระองค์จะทรงเรียกร้องให้พวกเขาทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ
หรือทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้เพื่อความสำเร็จในชีวิต
จริงๆ แล้ว
เราไม่มีวันประสบความสำเร็จหรือมีความสุขจริงๆ
ได้เลยหากทำนอกเหนือแผนงานของพระเจ้าที่ทรงตั้งไว้
เช่น พระเจ้าทรงสร้างคนหนึ่งไว้ให้เป็นครู
พระองค์ทรงจัดเตรียมตามความจำเป็นของคนนั้นได้
และทรงเติมเต็มชีวิตของคนนั้นด้วยจุดมุ่งหมายและความหมายแห่งชีวิตได้ในทุกด้านในฐานะครูคนหนึ่ง
เพราะนั่นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าสำหรับคนนั้น
แต่สมมุติว่าคนนั้นตัดสินใจว่าไม่อยากเป็นครูกลับอยากเป็นนักธุรกิจ
จึงพยายามหาช่องทางที่จะเป็นนักธุรกิจชื่อดังให้ได้
แต่กลับพบว่าไม่เคยมีสันติสุข
ความชื่นชมยินดี หรือความพึงพอใจจริงๆ
ในชีวิตเลย
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายไว้แต่แรก
ในแต่ละวันรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป
แก่นแท้ของความจริงคือพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นครู
และพระองค์ทรงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมที่จะให้เป็นครู
และแม้ว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต
แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่า
“มันไม่มีอะไรผิดหรอก”
ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนเดินออกนอกกรอบแผนงานของพระเจ้าเพียงเพราะทำตามที่คนอื่นพูดหรือคิดเท่านั้น
และก็สงสัยไม่หายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ได้รับชีวิตที่เต็มบริบูรณ์
เอเฟซัส
2:10
กล่าวว่า
“เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี
ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม”
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างคนๆ
หนึ่ง
พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินตามแผนงานที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมาให้พร้อม
มีทั้งสติปัญญา ของประทาน
และพระองค์ยังทรงพร้อมที่จะช่วยในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ
ตลอดชีวิตด้วย ถ้าทูลถามว่ามีอะไรบ้าง
พระองค์ก็จะทรงสำแดงให้รู้
ด้วยวิธีการของพระองค์อาจเป็นการนำให้ได้รับการอบรมหรือการศึกษาพิเศษบางอย่าง
หรือพระองค์อาจทรงไม่ทำอะไรเลยก็ได้
กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามแผนงานของพระเจ้าคือการแสวงหาพระองค์ในแต่ละวัน
อย่ารอจนเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วจึงแสวงหาพระองค์
ถ้าไม่มีการแสวงหาในแต่ละวัน
โอกาสเป็นไปได้มากที่จะได้รับบำเหน็จล่าช้า
ฮีบรู 11:6
กล่าวว่า
“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย
เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น
ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่
และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์”
ถ้าดำรงชีวิตโดยการพึ่งพาพระสติปัญญา
การทรงนำ และพระคุณของพระเจ้าในแต่ละวันแล้วล่ะก็
ท่านก็สามารถพึ่งพาพระองค์ในการนำท่านให้อยู่บนเส้นทางแห่งพระพรยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้
เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
นี่เป็นความจริงที่ต้องยึดถือ
และรอวันที่จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับท่าน
อย่ารอช้าอยู่เลย
ให้รับรีบเร่งไปรับบำเหน็จของเรากันเถิด
*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน
สิธยา
คูหาเสน่ห์
13/2/55
'รัก' คำสั้นๆ
พระคัมภีร์ย้ำว่าชีวิตของเราต้องตั้งอยู่บนความรัก
พระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราพบในพระคัมภีร์คือให้รักพระเจ้าและรักกันและกัน
มัทธิว
22:37-40
กล่าวว่า
พระเยซูทรงตอบเขาว่า
'จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน'
และด้วยสุดความคิดของท่าน
นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ
'จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง'
ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด
ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้
พระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีกให้รักเพื่อนบ้าน
กาลาเทีย 5:14
บอกว่า
เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว
คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ยอห์น
13:33-35...ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น
พวกท่านไปไม่ได้
เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน
คือ ให้รักซึ่งกันและกัน
เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร
ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
ถ้าท่านรักกันและกัน
ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
คริสเตียนมีประสบการณ์ชีวิตผ่านทางความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเน้นเรื่องความรักว่าเป็นพลังที่เป็นตัวกำหนดธรรมชาติของเรา
จึงมีคำถามที่น่าสนใจว่าความรักเกิดขึ้นเองอย่างไม่ตั้งใจหรือว่าเกิดขึ้นตามการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแน่
กระนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่าไม่มีอะไรที่น่าเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก
แต่คนก็ตระหนักว่าความรักนั้นสำคัญ
มิเช่นนั้นคงไม่มีการเรียกร้องหาความรักกัน
เราคงรับรู้ถึงความหิวโหยความรักได้จากบทเพลง
ภาพยนตร์ และนวนิยายต่างๆ
แต่พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าความรักเป็นประสบการณ์การเรียนรู้และให้คำแนะนำไว้มากมายเกี่ยวกับ
'ความรัก'
บางทีข้อพระวจนะที่พูดถึงความรักได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคงเป็น
1
โครินธ์
13:4-7
ที่เขียนไว้ว่า
ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี
ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม
แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ความรักทนได้ทุกอย่าง
เชื่ออยู่เสมอ
มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ
จากข้อพระวจนะข้างต้นจะเห็นว่าผู้ที่รักต้องอยากให้ผู้ที่ถูกรักได้สิ่งที่ดีที่สุด
แม้ว่าการให้นั้นหมายถึงการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนก็ตาม
ขอให้สังเกตข้อ 4
และ5
เป็นพิเศษ
ความรักนั้นก็อดทนนาน
และมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา
ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
พระคริสต์ทรงให้แบบอย่างของความถ่อมใจที่กอปรด้วยความรักไว้ในวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
พระองค์ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่างซึ่งปรากฏอยู่ใน
ยอห์น 13:14,
15
เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน
ทานก็ควรล้างเท้าของกันและกันด้วย
พระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าย้ำให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระองค์และชี้ให้เห็นว่าความถ่อมใจเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ต่อการแสดงออกถึงความรัก
ความถ่อมพระทัยของพระองค์มองข้ามการเป็นมนุษย์และการถูกตรึงที่กางเขน
ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่
ไร้ขีดจำกัด และมีพร้อมอยู่เสมอ
พระองค์ทรงเป็นความรัก
พระองค์ทรงรักโลก
พระองค์ทรงรักสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
พระองค์ทรงรักท่าน
พระองค์ทรงรักทุกคน
เมื่อเราได้รับความรักจากพระองค์เช่นนี้
ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเราทุกคนมีความรักของพระองค์มากพอที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น
ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งได้รับมาก
นี่เป็นการท้าทายของข้าพเจ้า
ลองทำดูสิ!
*ข้อพระคัมภีร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน
สิธยา
คูหาเสน่ห์
5/11/54
มีขีดจำกัดหรือไร้ขีดจำกัด
มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง ทรงทำการผ่านสรรพสิ่งและทรงอยู่ในทุกคน แต่ว่าพระคุณนั้นประทานแก่เราแต่ละคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทาน (เอเฟซัส 4:5-7 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
องค์เจ้านายของเราใหญ่ยิ่ง และทรงฤทธานุภาพนัก ความเข้าใจของพระองค์นั้นสุดจะวัดได้ (สดุดี 147:5-6 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพท่ีทำกิจอยู่ภายในเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักรและในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน (เอเฟซัส 3:20-21พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
ความหมายของคำว่า "ไร้ขีดจำกัด" อาจมีมากมาย ดูเหมือนว่ามนุษย์ไม่ค่อยชอบขีดจำกัดนัก และพยายามที่จะหนีให้ไกลจากการถูกจำกัดด้วยขีดจำกัด ในขณะเดียวกับที่เราอยากจะหนีให้ไกลจากขีดจำกัดต่างๆ เราก็วางขีดจำกัดของมนุษย์ไว้กับพระเจ้า บ่อยครั้งที่มนุษย์มองว่าพระเจ้าสามารถทำได้มากกว่ามนุษย์ บางครั้งในพื้นที่ที่ฝนไม่ตกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มนุษย์ก็จะตั้งกลุ่มอธิษฐานทูลขอฝนจากพระเจ้า และเมื่อฝนตกมนุษย์ก็รู้ว่านั่นเป็นการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า แต่เราอาจเคยได้ยินบางคนพูดว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานแบบนี้ หรือมองอีกแง่หนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพที่จะตอบคำอธิษฐานของพวกเขา
สำหรับประเทศไทยในตอนนี้ คำอธิษฐานของเราคงจะตรงกันข้าม เรามีน้ำมากเกินไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข่าวที่ได้ยิน สิ่งที่เห็นจากการรายงานข่าวทางทีวีเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย มันสลดหดหู่ใจเป็นอย่างมากที่รู้ว่าเพื่อนร่วมชาติจำนวนมากได้รับความเสียหายและความเดือดร้อน และยิ่งเศร้าใจมากขึ้นเมื่อได้ข่าวว่าผู้ที่อาสาไปให้ความช่วยเหลือหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องออกไปทำหน้าที่บรรเทาทุกข์นั้นได้รับอันตรายหรือเสียชีวิต มันเป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจตลอดเวลาขอพระเจ้าทรงเมตตาคนเหล่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเวลานี้
ไร้ขีดจำกัดก็บอกอยู่แล้วว่าไม่มีขีดจำกัดหรือไม่มีขอบเขต ซึ่งก็เป็นพูดถึงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียว พระเจ้าที่เรารู้จักทรงมีความสามารถที่ไม่จำกัด แต่ขีดความสามารถของเราที่จะเข้าถึงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์นั้นมีจำกัด ข้อพระวจนะในเอเฟซัส 3:20-21 บรรยายถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าที่มีมากยิ่งกว่าที่เราคิด นอกจากนั้นยังบรรยายถึงขีดจำกัดของฤทธานุภาพนั้นที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตของเรา เรายังได้รับการบอกกล่าวถึงฤทธานุภาพท่ีทำกิจอยู่ภายในเรามากยิ่งกว่าที่เราคิดอีกด้วย หากเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา พระเจ้าก็จะทรงไม่ตอบคำอธิษฐานนั้นเพราะเรามีฤทธานุภาพของพระองค์ในตัวเราน้อยกว่าคนที่เชื่อว่าพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐาน
ขีดจำกัดอีกอย่างหนึ่งของฤทธานุภาพของพระเจ้าในการตอบคำอธิษฐานของเราคือพระประสงค์ของพระองค์ ถ้าสิ่งที่เราขอเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า 1 ยอห์น 5:14-15 บอกเราว่า "และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์" (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
ถ้าเราเชื่อ ความเป็นไปได้ที่พระเจ้าทรงทำกิจในเราและผ่านชีวิตของเราก็ไร้ขีดจำกัด พระเยซูตรัสในมัทธิว 17:20 ว่า "...เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า 'จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น' มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย" ดังนั้น ให้เราเชื่อในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าและ "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา" (มัทธิว 7:7-8 พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
แล้วท่านล่ะ เชื่อในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียวนั้นหรือไม่
สิธยา คูหาเสน่ห์
10/10/54
แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด
เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย' มัทธิว 25:45 (พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน)
ในหมู่คริสเตียนไม่มีข้อโต้เถียงเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้า แต่คริสเตียนบางคนดูเหมือนว่าไม่ค่อยเชื่อมั่นเรื่องการรับใช้ผู้ขัดสน แต่พระวจนะของพระเจ้ามีความชัดเจนในเรื่องนี้
รอบๆ ตัวเรามีผู้หิวโหยหรือผู้ด้อยโอกาสมากมาย ท่านเคยคิดถึงคนเหล่านี้บ้างไหมเมื่อเทียบกับความสมบูรณ์พูนสุขและความมั่งคั่งของตนเอง ในขณะที่ท่านมีอาหารรับประทานจนอิ่มทุกมื้อ มีคนอีกมากมายที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ต้องดื่มน้ำประทังความหิว ในขณะที่ท่านมีบ้านที่แสนสบายคุ้มหัว มีคนอีกหลายคนที่ไร้ที่อยู่อาศัย ในขณะที่ท่านมีเงินทองสำหรับจับจ่ายใช้สอย มีคนจำนวนไม่น้อยต้องขอทานเศษเงินจากคนอื่น เป็นต้น
ท่านทูลขอให้พระเจ้าทรงอวยพรมากๆ ทางหนึ่งที่ท่านจะได้รับพรนั้นก็คือ การให้ ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งได้รับมาก ยิ่งให้มาก ก็ยิ่งมีมาก เมื่อท่านให้ด้วยความเต็มใจ ชีวิตของท่านก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์มาก สิ่งที่เราหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่นจะทำให้ชีวิตของเราเต็มบริบูรณ์ขึ้น
ท่านอยากได้รับพรจากพระเจ้ามากๆ ไหมล่ะ ลองคิดถึงการให้มากกว่าการได้รับดูสิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนใจที่จะให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด ใครก็ตามที่ปล่อยโอกาสที่จะรับใช้ผู้อื่นให้หลุดลอยไปพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีเลิศที่สุดในชีวิตไปทีเดียว
โอกาสที่ท่านจะรับใช้ผู้เล็กน้อยที่สุดเปิดไว้ให้ฉวยตลอดเวลา
จอห์น แกรนท์ เห็นชายแก่คนหนึ่งในร้านสรรพสินค้าเดินเลือกของอยู่ใกล้ๆ ชายแก่คนนี้หลังค่อม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่งตัวซอมซ่อม ชายคนนั้นมองดูสินค้าบนหิ้งเดียวกันกับเขา เมื่อจอห์นได้สินค้าที่ต้องการแล้วก็เดินออกไป เขาเห็นชายแก่คนนั้นหยิบสินค้าขึ้นมาหนึ่งห่อแล้วพินิจพิเคราะห์ดูข้อมูลข้างห่ออย่างขะมักเขม้น แล้วก็ถามเขาว่า "ขอโทษครับ ตรงนี้คือน้ำตาลใช่ไหมครับ" เมื่อจอห์นบอกว่าใช่ เขาก็กล่าวขอบคุณอย่างมากมาย
เมื่อจอห์นขับรถกลับบ้าน เขาก็อดคิดถึงชายแก่คนนั้นไม่ได้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่รู้ว่ามีบางคนอ่านหนังสือไม่ออก เขาคิดไปไกลกว่านั้นว่าชายคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านแบบไหนกันนัและเขาดำเนินชีวิตมาจนแก่ขนาดนี้อย่างไร
หลังจากนั้นเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงสร้างและทรงรักชายแก่คนนั้นแบบเดียวกับที่พระองค์ทรงสร้างและทรงรักเขา แต่ทำไมเขาจึงมีโอกาสได้รับการศึกษา ในขณะที่ชายแก่คนนั้นไม่มี
แม้ว่าจอห์นไม่ได้ช่วยเหลือชายแก่คนนั้นทางรูปธรรม แต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยให้ชายแก่คนนั้นซื้อของได้ถูกต้องตามที่ต้องการ
ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว แม้ว่าจะไม่ชัดเจนอย่างที่จอห์นช่วยชายแก่คนนั้น แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่าอย่างน้อยชายแก่อีกคนหนึ่งก็รูสึกดีๆ ที่มีคนถามเขาว่า "เหนื่อยหรือคะ"
วันหนึ่งขณะที่กำลังเดินกลับบ้านก็เห็นชายแก่คนหนึ่งใช้ไม้พยุงตัวเดินโขยกเขยกอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเดินด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามองดูสักพักก็เห็นเขานั่งแปะลงข้างทาง ข้าพเจ้าเดินอยู่อีกฝั่งก็หยุดเดินและถามว่า "เหนื่อยหรือคะ" เขาไม่ตอบ มองดูข้าพเจ้าแล้วยิ้ม เมื่อถึงบ้านก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เห็นว่ามีคนหนึ่งดำรงชีวิตด้วยความยากลำบากเช่นนี้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คราวนี้ได้ช่วยเหลือด้วยเงินทองไปเล็กๆ น้อยๆ ครั้งที่ครอบครัวของข้าพเจ้า (ขาดลูกชาย) ไปชมกำแพงเมืองจีนที่นครปักกิ่ง เมื่อรับประทานอาหารกลางวันที่ศูนย์อาหารเสร็จก็ลุกขึ้น อาหารแต่ละจานของพวกเรายังมีอาหารเหลืออยู่บ้างเพราะอาหารไม่อร่อยเลยและมันมาก พวกเราจึงเลือกรับประทานบางส่วนเท่านั้น ทันทีที่เราลุกขึ้นก็มีชายคนหนึ่งนั่งลงรับประทานอาหารที่เหลือทันที พวกเราทุกคนตกใจมากที่เห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารเขามากจึงให้เงินไปเล็กน้อยและบอกเขาว่า "ไปซื้ออาหารกินนะ" เมื่อเดินจากมาก็รู้สึกเสียใจที่ให้เงินเขาน้อยไป น่าจะให้มากกว่านั้นสักหน่อย และคิดว่าทำไมพวกเรากินทิ้งกินขว้างในขณะที่อีกคนไม่มีเงินซื้ออาหารสำหรับประทังชีวิต
ข้าพเจ้าอยากจบข้อเขียนด้วยคำถามว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ท่านปล่อยให้โอกาสในการรับใช้ผู้อื่นหลุดลอยไปบ้างไหม แต่ข้าพเจ้ามีข่าวดีจะบอก พระเจ้าทรงเมตตาที่จะยกโทษให้แก่ท่านและทรงมอบโอกาสให้แก่ท่านที่จะรับใช้อีก" ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอีก
สิธยา คูหาเสน่ห์
3/9/54
รูปแบบของการอธิษฐาน
คราวที่แล้วพูดถึงแบบพื้นฐานของการอธิษฐานไปแล้ว ต่อไปใคร่อยากพูดถึงรูปแบบของการอธิษฐานบ้างซึ่งพอจะแบ่งคร่าวๆ ได้ 4 แบบ ที่ขึ้นกับบุคลิกลักษณะส่วนบุคคลเป็นสำคัญ
แบบที่ 1 แบบอุทิศถวาย หรือการอธิษฐานแบบอิงพระวจนะ หลายคนชอบอ่านพระวจนะที่เปิดทางให้มีโอกาสสนทนากับพระเจ้า คนพวกนี้มักเริ่มต้นอธิษฐานด้วยการอ่านบทเพลงสดุดี การอธิษฐานรูปแบบนี้เป็นการขะมักเขม้นในการอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ (ดู กจ. 1:14; 2:42 และ รม. 12:12)
แบบที่ 2 แบบเกิดขึ้นทันที คำอธิษฐานแบบนี้หลั่งไหลออกจากใจโดยไม่ได้วางแผนไว้ก่อน เป็นการอธิษฐานที่เกิดขึ้นในขณะนั้น โดยมากมักเป็นคำอธิษฐานขอบพระคุณ การอธิษฐานทูลขอสติปัญญาในการกระทำบางอย่าง การอธิษฐานทูลขอเพื่อความจำเป็นที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นต้น
แบบที่ 3 แบบสนทนา บางคนอธิษฐานยาวเหมือนกำลังสนทนากับพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เพราะมีความแน่ใจว่าพระองค์ทรงฟังสิ่งที่กำลังพูด ซึ่งการอธิษฐานแบบนี้ (สำหรับข้าพเจ้า) เหมือนกำลังสนทนากับพระเจ้า (เราสามารถทำได้เพราะพระองค์ทรงเป็นสหายของเรา) คำอธิษฐานแบบนี้เป็นการกล่าวออกมาจากใจในสิ่งที่เราอยากทูลพระเจ้า เป็นการมอบภาระทุกสิ่งไว้กับพระองค์ ไม่ต้องคำนึงว่าคำอธิษฐานของเราจะฟังสวยหรูแบบบางคนหรือไม่ ขอแค่เทใจสนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น รูปแบบนี้จะทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะไม่สามารถเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกันและกันก่อน
แบบที่ 4 แบบการกระทำ บางคนอธิษฐานในขณะที่กำลังเดินหรือกำลังทำบางสิ่งบางอย่าง คนพวกนี้เห็นว่าการนั่งลงอธิษฐานเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา และคิดว่าอธิษฐานในขณะที่กำลังกระทำอะไรบางอย่างเป็นการดีกว่า สำหรับคนพวกนี้การกระทำบางสิ่งบางอย่างถือเป็นการอธิษฐานของพวกเขา
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นรูปแบบบางอย่างของการอธิษฐานเท่านั้น บางคนอาจมีรูปแบบที่ต่างออกไป สำหรับข้าพเจ้าถนัดอธิษฐานเงียบๆ ตามลำพัง ไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนตายตัวว่าเป็นช่วงใดของวัน ข้าพเจ้าไม่ใช่นักอธิษฐาน ดังนั้นคำอธิษฐานของข้าพเจ้ามักสั้นและเข้าเป้าเลย ข้าพเจ้าอธิษฐานหลายช่วงในแต่ละวัน ซึ่งถ้าจะพิจารณาแล้วก็มีทั้งสี่แบบที่กล่าวมาข้างต้นรวมกัน
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการอธิษฐานก็คือการสนทนาแบบหนึ่ง เมื่อเป็นการสนทนาจึงต้องเป็นแบบสองทาง นั่นคือ ต้องมีผู้พูดและผู้ฟัง เมื่อเราอธิษฐาน นั่นคือ เราเป็นผู้พูด และพระเจ้าทรงเป็นผู้ฟัง ในการสนทนาโดยทั่วไปผู้พูดก็ต้องเป็นผู้ฟังด้วย นั่นหมายความว่าในขณะที่เราอธิษฐานนั้น เราต้องไวต่อพระสุรเสียงของพระเจ้าที่จะตรัสกับเราด้วย อย่าสวมบทบาทผู้พูดตลอดการสนทนา และจากประสบการณ์ส่วนตัวนั้นสิ่งที่พระองค์ตรัสกับเรามิได้เกิดขึ้นในช่วงการอธิษฐานเสมอไป บางครั้งพระองค์ตรัสผ่านคนอื่นในเวลาอื่น หรืออาจเป็นข้อพระวจนะที่เราจะอ่านพบในเวลาต่อมา หรืออาจเป็นข้อความในหนังสือบางเล่ม หรืออาจเป็นการกระตุ้นในใจของเรา หรือที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับตัวข้าพเจ้าคือ เป็นความคิดที่แวบเข้ามา เป็นความมั่นใจที่เกิดขึ้นในทันที ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าผู้เชื่อแต่ละคนย่อมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ พระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเรา และพระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเราเสมอ แต่อย่าลืมว่าคำตอบที่ยังมาไม่ถึงมิได้หมายความว่าพระองค์ทรงปฎิเสธ แต่หมายความว่ายังไม่ใช่เวลาที่เราจะได้ตามที่ขอ แต่ถ้าขอแล้วไม่ได้จริงๆ ก็หันมาดูว่าเราขอผิดหรือไม่ (ยากอบ 4:3 ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน) อย่าท้อใจเมื่อได้ได้คำตอบ ขอให้ขะมักเขม้นในการอธิษฐานต่อไป
สิธยา คูหาเสน่ห์
12/7/54
แบบพื้นฐานของการอธิษฐาน
การอธิษฐานเป็นการสื่อสารกับพระเจ้าและเป็นการสื่อสารสองทาง เราพูดและเราต้องฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย ที่เราอธิษฐานเพราะพระเจ้าทรงต้องการให้เราทูลพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดในใจ แม้ว่าพระองค์ทรงสัพพัญญู แต่พระองค์ยังทรงต้องการได้ยินจากเรา
การอธิษฐานมีแบบพื้นฐาน 5 แบบ
แบบที่หนึ่ง คือ การสรรเสริญ เราอธิษฐานสรรเสริญความมหัศจรรย์ของพระเจ้า การสรรเสริญของเราก็คือเมื่อเราเรียกพระองค์ว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า จอมเจ้านาย จอมกษัตริย์ พระนามเหล่านี้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระธรรมสดุดีหลายบทเป็นบทเพลงแห่งการสรรเสริญ
แบบที่สอง คิือ การขอบพระคุณ เป็นการ "ขอบพระคุณ" พระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา ขอบพระคุณสำหรับทุกเรื่องที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา พระองค์ทรงประทานชีวิต อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย และพระองค์ยังทรงจัดเตรียมทุกสิ่งสำหรับการดำรงและการดำเนินชีวิตของเรา
แบบที่สาม คือ การสารภาพ เป็นการทูลพระเจ้าว่าเราเสียใจกับสิ่งไม่ดีที่เรากระทำไป เราทูลพระเจ้าว่าเราเสียใจเมื่อเราทำให้คนอื่นเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ เราสารภาพกับพระองค์และทูลขอการอภัย
แบบที่สี่ คือ การวิงวอน เป็นการทูลของการช่วยเหลือจากพระเจ้า ในยามที่ตกอยู่ในอันตราย ทูลขอการปกปักรักษาและการคุ้มครอง ยามทุกข์ยาก ทูลขอความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหา ยามเจ็บป่วย ทูลขอการรักษา พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงอธิษฐานทูลขอเท่านั้น
แบบที่ห้า คืือ การอธิษฐานเผื่อ เป็นการอธิษฐานทูลขอสำหรับผู้อื่น พระองค์ทรงห่วงใยคนเหล่านั้นอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องทูลขอ แต่การอธิษฐานแบบนี้เป็นการเสริมสร้างชุมชนผู้เชื่อ คำอธิษฐานของเปาโลในเอเฟซัส 3:14-21 เป็นคำอธิษฐานที่งดงามมากสำหรับบุคคลแห่งความเชื่อ
เอเฟซัส 3:14-21 อ่านว่า "เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ขอพระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากย่ิงกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์ อาเมน"
จากแนวทางข้างต้นให้เราลองมาสำรวจชีวิตการอธิษฐานกันสักหน่อยว่าเราอธิษฐานตามนั้นหรือไม่ และข้าพเจ้าอยากขอเพิ่มเติมสักนิดว่าคำอธิษฐานที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นคำอธิษฐานที่ยืดยาว พระเจ้าทรงต้องการฟังจากเราเท่านั้น เพราะแต่ละคนย่อมอธิษฐานต่างกัน บางคนอาจอธิษฐานยาวที่มีรายละเอียดในทุกเรื่อง บางคนอาจอธิษฐานสั้นกระชับแบบ zip file รายละเอียดต่างๆ อยู่ภายใน ฟังดูสั้น แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นรายละเอียดมากมายในคำอธิษฐานนั้น สำหรับข้าพเจ้าเป็นแบบหลัง ไม่ว่าคำอธิษฐานจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงสดับฟัง
สิธยา คูหาเสน่ห์
20/6/54
รับมือกับความเครียด
เมื่อเกิดความเครียดเป็นความรู้สึกว่าต้องรับมือกับอะไรบางอย่างมากกว่าที่เคย เป็นภาวะของอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ คับข้องใจ หรือถูกบีบคั้น กดดันจนทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ สับสน โกรธ หรือเสียใจ ความเครียดที่มีไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้นให้คนเราเกิดแรงมุมานะที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้ คนที่มีความรับผิดชอบสูงจึงมักหนีความเครียดไปไม่พ้น ความเครียดที่เป็นอันตราย คือ ความเครียดในระดับสูงที่คงอยู่เป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต พฤติกรรม ครอบครัว การทำงาน และสังคมได้ ความเครียดเกิดขึ้นเมื่อเราเหนื่อย เจ็บป่วย หรือเมื่อมีภาระรับผิดชอบมากเกินไป เมื่อเกินการควบคุมจึงเกิดความเครียด
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นมุมมองของโลก ส่วนมมุมมองของคริสเตียนเป็นอย่างไร
ในฐานะผู้เชื่อ ความเครียดก็มาในหลายรูปแบบ แต่กล่าวโดยทั่วไป สำหรับคริสเตียนส่วนใหญ่ก็คือ การขาดความวางใจในพระเจ้า
แม้ว่าเราไม่สามารถรวบรวมคริสเตียนทั้งหมดมาไว้ที่เดียวกัน แต่ส่วนใหญ่คิดแบบเดียวกันว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองสูงสุดและทรงควบคุมชีวิตของเราทุกคน เราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงลิขิตความเชื่อ เราเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่เราจำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อความเครียดเข้าควบคุมชีวิตของเรา จึงอาจพูดได้ว่านั่นเป็นเวลาที่เราขาดความวางใจในพระเจ้านั่นเอง
แม้ว่าที่กล่าวมาดูเหมือนจะง่าย แต่ไม่ได้จะบอกเป็นนัยว่าชีวิตในพระคริสต์ที่ไม่มีความเครียดเกิดขึ้นเลยนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
วางใจพระเจ้าให้มากขึ้นสิ แล้วจะไม่ต้องรับมือกับความเครียดอีกเลย มันง่ายอย่างนี้จริงหรือ
ชีวิตของเรายุ่งยากวุ่นวายมากเหลือเกิน และเราก็เปราะบางเกินกว่าที่จะหนีพ้นการสู้รบปรบมือกับมันได้ แต่สำหรับคริสเตียน ความเครียดมีด้านบวกด้วย เราอาจใช้ความเครียดเป็นเครื่องเตือนใจเราว่าชีวิตของเราได้ออกห่างจากพระเจ้าไปเสียแล้ว มันอาจเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเราหยุดพึ่งพาพระองค์สำหรับกำลังที่จะสู้ชีวิตในแต่ละวัน บางทีเราอาจลืมพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์ไปกระมัง
ถ้าเช่นนั้น คริสเตียนรับมือกับความเครียดได้อย่างไรบ้าง
มีหลักการที่สามารถปฏิบัติได้ที่คริสเตียนควรนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียด เช่น การพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสมดุลระหว่างงาน (พันธกิจสำหรับผู้รับใช้) กับครอบครัว อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากมุมมองฝ่ายวิญญาณ การผ่อนคลายความเครียดเริ่มต้นและจบลงด้วยหลักการพื้นฐาน 3 ประการ
1. อธิษฐาน
แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือความกระวนกระวายใจและความเครียด พระคัมภีร์แนะนำว่าให้มอบทุกสิ่งไว้กับพระเจ้าโดยการอธิษฐาน
ฟิลิปปี 4:6-7 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
2. ใคร่ครวญพระคำ
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยพระสัญญาจากพระเจ้า การใคร่ครวญพระคำที่เป็นพระสัญญาจากพระองค์
เหล่านี้สามารถขจัดความห่วงกังวล ความสงสัย ความกลัว และความเครียดไปจากจิตใจของเราได้ ลองใคร่ครวญข้อพระวจนะเหล่านี้ดูเมื่อเกิดความเครียด
2 เปโตร 1:3 ด้วยเห็นแล้วว่า ฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์
มัทธิว 11:28-30 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา
ยอห์น 14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
สดุดี 4:8 ข้าพระองค์จะเอนกายลงนอนหลับในความสันติ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์เท่านั้นที่ทรงกระทำให้ข้าพระองค์อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
3. สรรเสริญพระเจ้า
มีคนหนึ่งกล่าวไว้อย่างนี้ว้า "ผมพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสรรเสริญพระเจ้าและมีความเครียดในเวลาเดียวกัน เมื่อผมกำลังเครียดกับอะไรบางอย่าง ผมก็จะเริ่มต้นสรรเสริญพระเจ้าและความเครียดของผมก็หมดไป"
การสรรเสริญและการนมัสการพระจ้าจะทำให้เราไม่คิดถึงเรื่องไม่สบายใจของเรา ปัญหาหนักที่กำลังรุมเร้าอยู่ และมุ่งความสนใจที่พระเจ้า เมื่อเราเริ่มสรรเสริญและนมัสกรพระเจ้า ปัญหาต่างๆ ของก็เริ่มเล็กลงทันทีเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ดนตรีก็สามารถทำให้จิตใจได้รับการประเล้าประโลมเช่นกัน
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะนำวิธีดังกล่าวข้างต้นไปลองปฏิบัติิดูเมื่อเกิดความเครียด
สิธยา คูหาเสน่ห์
14/5/54
เดินทางผิด
สดุดี 125:1-3 “บรรดาผู้ที่วางใจในพระเจ้าก็เหมือนภูเขาศิโยน ซึ่งไม่หวั่นไหว แต่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระเจ้าทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่เวลานี้สืบต่อไปเป็นนิตย์ฉันนั้น เพราะคทาของความอธรรม จะไม่พักอยู่เหนือแผ่นดินที่ตกเป็นส่วนของคนชอบธรรม เกรงว่าคนชอบธรรม จะยื่นมือออกกระทำความผิด”
ท่ามกลางพวกเรามีสักกี่คนที่วางแผนการเดินทางไว้แล้วในที่สุดกลับไม่เป็นไปตามแผนที่คิดไว้ การดำเนินชีวิตของคริสเตียนก็เป็นแบบนั้นแหละ นาทีที่เราตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินชีวิตอย่างดีบนเส้นทางจาริกของเรา และเมื่อไปถึงองค์พระผู้ช่วยให้รอดจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ" แต่สำหรับหลายคนอาจเดินผิดพลัดพลงเข้าไปในเส้นทางอื่นที่อาจมองว่าเป็นทางลัดที่อยู่นอกเส้นทางที่วางแผนไว้ครั้งแรก ซึ่งการเดินไปบนเส้นทางใหม่นี้เป็นการเดินทางผิด และทำให้ห่างจุดหมายปลายทางออกไปทุกทีๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเราเดินทางมาไกลโขแล้ว อาจเป็นเพราะมีผู้คนมากมายแซ่ซ้องชื่นชมความสำเร็จในชีวิตของเรา แต่ระยะทางและความสำเร็จสำคัญต่อแผนงานฝ่ายวิญญาณหรือไม่หากว่ามันเป็นการเดินทางผิดและความสำเร็จนั้นก็เป็นการทำในสิ่งที่ผิด
ท่านล่ะ หากรู้ตัวว่าเดินทางผิดและห่างจากเส้นทางที่ควรจะเดิน ท่านจะทำอย่างไร ท่านจะหันหลังกลับและเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่
ท่านมีอำนาจที่จะตัดสินใจ เลือกทำในสิ่งที่ถูก ถ้าในอดีตท่านเลือกผิดหรือเดินทางผิดไป ก็ปล่อยอดีตที่เลวร้ายนั้นไว้ข้างหลัง และเดินหน้าต่อไปด้วยย่างเท้าที่นำไปในทางที่ถูกต้อง และเป็นบุคคลอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็น ข้าพเจ้าใคร่ขอหนุนใจท่านด้วยข้อพระวจะในฟิลิปปี 3:12-14 ที่เปาโลบอกว่า "มิใช่ข้าพเจ้าได้แล้วหรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยเอาไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน" การตัดสินใจที่จะลืมอดีตและทิ้งมันไว้ข้างหลังอาจเป็นการหันหลังกลับที่ชาญฉลาดที่จะนำท่านกลับมาสู่ทางหลวงแห่งชีวิตของท่าน ขอให้หยุดที่จะหมกมุ่นอยู่กับประเด็นเก่าๆ ที่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนมันได้เสียที และมุ่งหน้าเดินไปบนทางหลวงแห่งชีวิตของท่านจนถึงหลักชัย และไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและจะได้ยินเสียงตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ"
สดุดี 25:4-5 "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคาของพระองค์ ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ”
สดุดี 25:8-10 “พระเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐและเที่ยงธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสั่งสอนพระมรรคานั้นแก่คนบาป พระองค์ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูกและทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม พระมรรคาทั้งสิ้นของพระเจ้าเป็นความรักมั่นคงและความสัตย์จริงแก่บรรดาผู้ที่รักษาพันธสัญญาและบรรดาพระโอวาทของพระองค์”
สิธยา คูหาเสน่ห์
2/4/54
ของขวัญแห่งความชื่นชมยินดี
เมื่อเข้าใกล้วันอีสเตอร์ ท่านคิดถึงอะไร ใจของท่านมุ่งไปที่การวายพระชนม์และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์หรือไม่ การเสด็จเข้ามาในโลกของพระองค์ก็เพื่อมาไถ่บาปของมนุษยชาติ พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์ (2 โครินธ์ 5:21 ฉบับมาตรฐาน 2002) พระเยซูทรงแน่พระทัยสำหรับจุดมุ่งหมายแห่งการเสด็จมาช่วยคนบาปให้รอดจนกระทั่งทรงคาดการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว (มัทธิว 26:2 ฉบับมาตรฐาน 2002)
ท่านคิดว่าจุดมุ่งหมายของท่านในฐานะที่เป็นสาวกของพระเยซูคืออะไร
บางคนอาจตอบว่าคือการรักพระองค์ คนอื่นๆ อาจบอกเป็นอย่างอื่นว่าคือการรับใช้พระองค์ แต่จริงๆ แล้วจุดมุ่งหมายของมนุษย์คือการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า มิใช่หรือ ให้เราอ่านข้อพระวจนะในฮีบรู 12:2 กันสักหน่อย "โดยจับตามองที่พระเยซูผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อไม้กางเขนเพื่อความยินดีที่มีอยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า" (ฉบับมาตรฐาน 2002)
พระเยซูทรงทอดพระเนตรนอกเหนือการทนทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ที่พระองค์ทรงรู้ว่าจะเกิดขึ้นและทรงเพ่งมองที่ความชิื่นชมยินดีที่จะเกิดขึ้นตามมา
ท่านคิดว่าความชื่นชมยินดีแบบใดหรือที่เป็นแรงจูงใจให้พระองค์ทรงยอมพลีพระชนม์เพื่อคนบาป
พระคัมภีร์บอกเราว่าจะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ (ลูกา 1:510 ฉบับมาตรฐาน 2002) ในทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้บำเหน็จแก่การดีที่เราทำและมีความชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์ตรัสว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์" ฉะนั้น พระเยซูทรงมุ่งหวังความชื่นชมยินดีที่จะเกิดขึ้นเมื่อแต่ละบุคคลกลับใจและได้รับความรอด พระองค์ยังทรงรอคอยความชื่นชมยินดีที่เกิดจากการดีที่ผู้เชื่อทำเพราะเชื่อฟังพระองค์และได้รับการจูงใจจากความรัก
เรารู้จากพระคัมภีร์อีกว่าเรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน (1 ยอห์น 4:19 ฉบับมาตรฐาน 2002) เอเฟซัส 2:1-10 บอกเราว่าโดยวิสัยแล้วเราทั้งหลายกบฎต่อพระเจ้าและตายฝ่ายวิญญาณ แต่โดยความรักและพระคุณนั่นเองที่นำเรามาถึงความเชื่อในพระองค์และการคืนดีกันกับพระองค์ พระองค์ยังทรงจัดเตรียมแผนการทำดีของเราไว้ด้วย (เอเฟซัส 2:10 ฉบับมาตรฐาน 2002)
แล้วจุดมุ่งหมายของเราล่ะ
เราสามารถทำให้พระองค์ทรงมีความชื่นชมยินดีได้ เรามีพระเจ้าที่มหัศจรรย์เหลือหลาย พระเจ้าที่ทรงช่วยคนบาปให้รอด พระเจ้าที่ทรงทำให้เราสามารถทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย พระองค์ทรงชื่นชมยินดีเมื่อเราตอบสนองพระองค์ด้วยการกลับใจ ความรัก และการทำดี นั่นแหละ สิ่งเหล่านี้สามารถนำความชื่นชมยินดีมาให้พระองค์
พระองค์ทรงกำลังรอความชื่นชมยินดีจากเราทั้งหลายอยู่ อย่าชักช้าที่จะทำให้พระองค์ทรงชื่นชมยินดีกันอยู่เลย ไม่นานพระองค์ก็จะทรงเสด็จมาแล้ว เรากำลังอยู่ในยุคสุดท้ายแล้ว จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนั้นคงมากพอที่จะเป็นหมายสำคัญของการใกล้เสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว รีบฉวยโอกาสที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วทำการดีกันเถอะ ประกาศข่าวประเสริฐเพื่อช่วยวิญญาณ เตรียมพร้อมรับเสด็จองค์พระเมสสิยาห์
สุดท้ายนี้ขอให้เราซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทั้งๆ ที่เป็นคนบาป ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา รักกันให้มากๆ ระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่หาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์ และพยายามรักกันให้ได้แบบที่พระเจ้าทรงรักเรา เอื้ออาทรต่อกันให้มาก ห่วงใยกันให้มาก
ข้าพเจ้าเศร้าใจอย่างยิ่งที่เห็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับชาวญี่ปุ่น ใจปฏิเสธว่าไม่ใช่ความจริง ร้องไห้ทุกครั้งที่ดูหรืออ่านข่าว ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่าความหายนะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วความหายนะฝ่ายวิญญาณล่ะมันจะน่ากลัวกว่านี้สักกี่เท่า มันคงเป็นระดับที่เกินความเข้าใจของเราอย่างแน่นอน
สิธยา คูหาเสน่ห์
3/3/54
ติดพันกับพระเจ้า
อะไรที่เรียกว่า "ติดพันกับพระเจ้า" ข้าพเจ้าขอนำเสนอความคิดสัก 2-3 ข้อ เพื่อให้มองเห็นภาพว่าการติดพันกับพระเจ้าเป็นอย่างไร
1. ท่านจะติดพันกับพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อท่านอ้าแขนออก ถ้าท่านไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถติดพันกับพระเจ้าได้ พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อโอบอุ้มเรา แต่ท่านต้องเชื่อวางใจพระเจ้าและมีความอดทนและอดกลั้นและรอคอยการช่วยเหลือจากพระองค์
2. เมื่อท่านติดพันกับพระองค์ ท่านจะไปในที่ที่พระองค์เสด็จไปและเดินในเส้นทางของพระองค์
3. การติดพันกับพระเจ้าเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะทำ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราทั้งหลายติดพันกับพระองค์อยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีกำลังและพลังอำนาจมากกว่า เราทั้งหลายเป็นผู้เลือกที่จะติดพันกับพระองค์หรือจะดำเนินชีวิตของเราเองโดยปราศจากพระองค์
ท่านล่ะ ติิดพันกับพระเจ้าหรือเปล่า หรือว่าท่านอยู่โดยปราศจากพระองค์ การดำเนินชีวิตตามลำพังนั้นโดดเดี่ยวและอ่อนล้ากำลัง พระองค์ทรงเป็นพลัง ทำไมไม่พึ่งพาพระองค์ล่ะ
“เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง … เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" ยอห์น 15:5
การดำเนินชีวิตของคริสเตียนเป็นวิถีที่ต้องพึี่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นเถาองุ่น เหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลอย่างอุดมสมบูรณ์เพราะมีแหล่งน้ำดีที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต คริสเตียนก็ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำแห่งชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งเช่นกัน
เถาองุ่นก็ทำหน้าที่ของเถาองุ่น แขนงเพียงแค่พึ่งพาและรับสิ่งที่เถาองุ่นมอบให้ นั่นแหละ พระเยซูทรงต้องการให้ผู้เชื่อทั้งหลายเข้าใจเช่นนั้น พระคริสต์ทรงปรารถนาให้เราทั้งหลายยอมรับว่ารากฐานของการงานทั้งหมดของเรานั้นอยู่ที่พระองค์ พระองค์จะทรงดูแลกิจการงานทั้งหมดของเรา
เมื่อเราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ พระองค์ทรงสนองตอบความจำเป็นของเราโดยการส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาช่วยเหลือเราทั้งหลาย พระเยซูทรงต้องการให้เราทั้งหลายพึ่งพาพระองค์ในขณะที่เราทำงานรับใช้พระองค์ ขอเพียงติดสนิทหรือติดพันกับพระองค์ทุกเวลา ดำเนินชีวิตโดยการพึ่งพาพระองค์และรู้ว่าเมื่อแยกจากพระองค์แล้ว เราจะทำอะไรไม่ได้เลย
การพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของการงานทั้งหมด เราทั้งหลายไม่มีอำนาจหรือพลังอะไรที่จะทำให้เกิดความสำเร็จได้นอกจากได้รับจากพระองค์เท่านั้น
การพึ่งพาพระเจ้าต้องเป็นการพึ่งพาอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติบาปของมนุษย์ทำให้เกิดความโน้มเอียงที่จะพึ่งพาตนเอง ด้วยเหตุนี้เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราทั้งหลายพ่ายแพ้ต่อการทดลองก็คือการสอนให้รู้ถึงการพึ่งพาพระองค์อย่างสิ้นเชิงเพื่อให้เราสามารถเติบโตขึ้นในความบริสุทธิ์
นอกจากนั้นการล้มลงในความบาปของเราต่อการทดลองยังเป็นการสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาวินัยในการอธิษฐาน ยังเป็นการบังคับเราให้ยอมรับการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยวิธีที่จับต้องได้ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะมันเป็นการยอมรับว่าถ้าปราศจากพระเจ้า เราจะทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองและต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
แต่ทว่าการยอมรับเช่นนั้นเป็นการค้านธรรมชาติบาปของเราเป็นอย่างมาก ท่านเห็นด้วยหรือไม่
ข้าพเจ้าหวังว่าเราทั้งหลายจะเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นๆ
สิธยา คูหาเสน่ห์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)